พลังจิต หรืออภิญญา ไม่ได้ทำให้ผู้ใดหลุดพ้นจากทุกข์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย หล่อลากดิน, 28 ตุลาคม 2008.

  1. หล่อลากดิน

    หล่อลากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,202
    ค่าพลัง:
    +235
    พลังจิตหรืออภิญญา มิได้ทำให้ผู้ใดหลุดพ้นจากทุกข์อย่างแท้จริงได้ ในปัจจุบัน คนจำนวนมากชื่นชมคนที่มีพลังจิตเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา การแสดงพลังจิตเล็กๆ น้อยๆ อาจสามารถดึงดูดศรัทธาจากประชาชนได้มาก

    แม้ในสมัยพระพุทธกาลก็เช่นกัน มีชายคนหนึ่งกราบทูลให้พระพุทธองค์เผยแพร่พระพุทธศาสนาด้วยการแสดงปาฏิหารย์ เขาได้ขอให้พระพุทธองค์ส่งพระสงฆ์สาวกทุกรูปที่มีอภิญญา ออกไปแสดงปาฏิหารย์ให้ประชาชนดู "ผู้คนก็จะประทับใจมาก" ชายผู้นั้นกล่าว "พระองค์จะได้สาวกเพิ่มขึ้นมากมาย ด้วยวิธีนี้"

    พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ ชายผู้นั้นทูลขอถึงสามครั้ง ในที่สุดพระพุทธองค์ก็ตรัสว่า "ดูก่อนท่านผู้เจริญ ปาฏิหารย์มีอยู่สามประเภทด้วยกัน คือหนึ่งอิทธิปาฏิหารย์ ความสามารถในการเหาะเหิรเดินอากาศ ดำดิน และการแสดงฤทธิ์ที่เหนือมนุษย์ สองอาเทศนาปาฏิหารย์ ความสามารถในการอ่านจิตคนอื่น ซึ่งสามารถบอกได้ว่า "เมื่อวันนั้น วันนี้ ที่มีความคิดอย่างนี้ และได้ออกไปทำอย่างนั้นอย่างนี้" ผู้คนคงจะประทับใจมากกับสิ่งเหล่านี้ แต่ยังมีปาฏิหารย์ข้อสาม คืออนุสาสนีปาฏิหารย์ ความสามารถในการบอกกล่าวแก่ผู้หนึ่งว่า "พฤติกรรมอย่างนั้น อย่างนี้ที่ไม่ดี ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นหนทางแห่งความเจริญ ไม่เป็นประโยชน์สุขแก่ตนเองหรือผู้อื่น ควรละทิ้งการกระทำเหล่านั้นเสีย แล้วปฏิบัติในหนทางที่จะก่อให้เกิดกุศล ท่านควรจะเจริญกรรมฐานดังที่จะสอนท่าน ณ. บัดนี้" ความสามารถแนะนำสั่งสอนให้ผู้อื่นให้เข้าสู่หนทางที่ถูกต้องนี่แหล่ะเป็นปาฏิหารย์ที่สำคัญที่สุด

    คัดลอกมาจาก ... รู้แจ้งในชาตินี้ หน้าที่134-135

    มาวิเคราะห์ในประเด็นนี้ก็คือ ในพระอภิธรรม ในคัมภีร์ พระปุคคะละปัญญัติ มีบทหนึ่งที่พระท่านได้กล่าวไว้ว่า...

    สะมะยะวิมุตโต อะสะมะยะวิมุตโต
    กุปปะธัมโม อะกุปปะธัมโม
    ปะริหานะธัมโม อะปะริหานะธัมโม
    เจตะนา ภัพโพ อนุรักขะนาภัพโพ

    ...

    นี่แหล่ะคือปะริหานะธัมโม ใช่หรือไม่?
     
  2. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ครับใช้พลังจิตต้องใช้เพื่อแก้ปัญหาครับ

    กระผมไม่มีความพยายามในการใช้พลังจิตเพื่อ

    พลังพิเศษต่างๆนาๆ

    แต่กระผมใช้เพื่อแก้ปัญหาชิวิตกระผม

    แต่กระผมสงสารคนที่พยายามจะสร้างพลีงจิต

    บางทียากและต้องเสียอะไรๆไป

    พวก พระที่เรียนอาคมท่านจะใช้เมื่อมีเหตุการณ์จำเป็นจริงๆ

    ท่านจะทำตัวเหมือน สมณะทั่วไป
     
  3. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    หนึ่งในอภิญญาหกคือ อาสวะขยญาณ เป็นอภิญญาที่ทำให้ได้บรรลุนิพพาน เป็นหนทางเดียวที่จะบรรลุมรรคผล แล้วจะกล่าวว่าอภิญญาไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้อย่างไร
     
  4. หล่อลากดิน

    หล่อลากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,202
    ค่าพลัง:
    +235
    ท่านที่สนใจเรื่องอภิญญา หรือปาฏิหารย์ พึงพากเพียรเอาเองเถิด แม้ปาฏิหารย์จะไม่ขัดกับการเจริญวิปัสสนา แต่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ไม่มีใครห้าม และหากประสบผลสำเร็จก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครดูถูกหรือเหยียดหยามเอาได้

    แต่พึงอย่าเข้าใจว่านั่นเป็นสาระสำคัญของการปฏิบัติ บุคคลที่ได้อภิญญาแล้วคิดว่าตัวเองบรรลุถึงที่สุดของการปฏิบัติธรรมแล้ว ได้ชื่อว่าหลงผิด เปรียบเสมือนผู้ที่แสวงหาแก่นไม้ แต่กลับพอใจในเนื้อไม้รอบนอกเท่านั้น เมื่อนำมันกลับมาบ้าน เขาก็จะพบว่าสิ่งที่ได้มานั้นไม่มีประโยชน์ ดังนั้น หากท่านได้อภิญญาแล้ว พึงวิปัสสนาญาณขั้นสูงสุดขึ้นตามลำดับ จนได้บรรลุมรรคผล และอรหันต์ผลในที่สุด

    เมื่อสติและสมาธิเจริญขึ้น วิปัสสนาญาณที่หยั่งรู้สภาวะความเป็นจริงของรูปนามในระดับต่างๆ จะบังเกิดขึ้น นี้ก็นับว่าเป็นปาฏิหารย์รูปแบบหนึ่งเช่นกัน แต่ยังมิใช่ที่สุดของพรหมจรรย์
     
  5. หล่อลากดิน

    หล่อลากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,202
    ค่าพลัง:
    +235
    มาต่อกันอีกสักนิดนึงนะครับ .. เรื่องแม่ไก่ฟักไข่

    พระพุทธองค์ทรงยกอุทาหรณ์ใกล้ตัวที่แสดงให้เห็นว่า จะบรรลุมรรคผลของการปฏิบัติได้อย่างไร หากแม่ไก่ออกไข่ด้วยความมุ่งหวังที่จะให้ไข่ฟังออกมาเป็นตัว แต่เมื่อออกไข่แล้วก็วิ่งหนีไปปล่อยให้ไข่ต้องเผชิญกับสายลมแสงแดดตามลำพัง ในที่สุดไข่ก็จะเน่า ในทางกลับกัน หากแม่ไก่ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อตรง นั่งกกไข่เป็นเวลานานๆ ทุกๆ วัน ความอบอุ่นจากร่างกายแม่ไก่ จะทำให้ไข่ไม่เน่าเสีย และทำให้ลูกไก่ที่อยู่ในไข่เติบโตขึ้น

    การนั่งกกไข่เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของแม่ไก่ มันจะต้องทำหน้าที่อย่างถูกต้อง โดยกางปีกเล็กน้อย เพื่อปกป้องรังของมันจากฝน และจะต้องระมัดระวัง ไม่ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนไข่มากเกินไปจนไข่แตกร้าว หากแม่ไก่นั่งในท่าที่ถูกต้อง และเป็นเวลานานพอสมควร ไข่ก็จะได้รับความอบอุ่นตามธรรมชาติ ที่เพียงพอต่อการฟักตัวในเปลือกไข่ ตัวอ่อนจะค่อยๆ สร้างจงอยปากและกรงเล็บ

    ทุกๆวันที่ผ่านไป เปลือกไข่ก็จะบางลงๆ ในช่วงสั้นๆ ที่แม่ไก่ออกจากรัง ลูกไก่ที่อยู่ในไข่ก็จะเริ่มเห็นแสงสว่างมากขึ้น ประมาณสามสัปดาห์หลังจากนั้น ลูกไก่สีเหลืองที่มีลักษณะสมบูรณ์ก็จะเจาะเปลือกไข่ออกมา ผลนี้จะเกิดขึ้นไม่ว่าแม่ไก่จะมุ่งหวังให้เกิดหรือไม่ก็ตาม สิ่งเดียวที่แม่ไก่ทำก็คือนั่งกกไข่อย่างสม่ำเสมอเพียงพอ

    แม่ไก่มีความทุ่มเทและมุ่งมั่นต่องานของมันมาก บางครั้งมั้นยอมที่จะหิวกระหายดีกว่าทิ้งการกกไข่ และเมื่อจำเป็นที่จะต้องลุกขึ้น มันก็จะจัดแจงธุระของมันอย่างรวดเร็ว แล้วไปนั่งปฏิบัติหน้าที่ต่อ

    สรุปก็คือการที่จะบรรลุเป้าหมายตามที่ได้ตั้งไว้ ย่อมประกอบไปด้วย

    ฉันทะ --> คือความพอใจ
    วิริยะ --> คือความเพียร หรือความแข็งขัน
    จิตตะ -->คือความมุ่งมั่นใฝ่ใจในการระลึกรู้
    วิมังสา -->คือปัญญาไตร่ตรอง

    ซึ่งทั้งสี่ข้อที่กล่าวในที่นี้ คือวิถีที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ถึงแม้นจะไม่มีอภิญญาใดๆ เลยก็ตาม

    ครับท่าน
     
  6. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,162
    หึๆ แต่ผมจะเหมาหมดครับท่าน
     
  7. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    พลังจิตหรืออภิญญา มันเป็นของแถม เมื่อเราปฏิบัติไปถึงจุด ต่อเชื่อมจากของเก่า มันจะมาทันที มันจะมาล่อเป้าเราอยู่ทุกวัน มันก็เปรียบเหมือนเรากำลังเดินทาง อยู่บนเส้นทางหนึ่ง ถ้าแวะข้างทางก็ช้า (กำลังสนุกกับอภิญญา และพลังจิต) แต่ถ้าเราไม่สนใจสิ่งนั้น และมุ่งเดินไปให้ถึงจุดหมาย ก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็ว ของเก่านั้น ก่อนที่เราจะไปถึงจุดเชื่อมต่อนั้น มันมีความอยากได้ อยากมี แต่พอเอาเข้าจริง ๆ มันมีมา เราก็ไม่สนมันหรอกค่ะ เพราะจุดประสงค์เรามาเพื่อต้องการพ้นทุกข์ และเมื่อถึงขั้นนั้นจิตจะถูกฝึกอบรมมา มันจะรู้สึกเฉย ๆ เสียแล้ว ไม่คิดว่าสิ่งนี้จะวิเศษ และพาเราพ้นทุกข์ได้หรอกค่ะ และเราก็ไม่ได้ต้องการมาสนุกกับของแถมค่ะ ก็เหมือนกับเราเป็นรูปปั้น หากใครจะด่า จะว่า จะเหยียดหยาม เราไม่สน ก็ยังแข็งเป็นรูปปั้น แต่ถ้าหากใครเอ่ยปากให้เราช่วย เราก็ช่วย เพียงแต่เราขอยืนอยู่เฉย ๆ เหมือนรูปปั้นดีกว่า เพราะเนื่องจากการทำเนวสัญญา นาสัญญาด้วย เพื่อตัดภพตัดชาติ ทั้งของเก่าและของใหม่ เราเลยไม่สนในสิ่งที่ได้ค่ะ อันนี้พูดโดยรวมนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2008
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
  9. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ยังไมรู้เลยว่าอภิญญาคืออะไรบ้าง แต่ก็มาสรุปเอง เออเอง เลื่อนลอยมาก
     
  10. จิตเอกภพ

    จิตเอกภพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +48
    อย่าเก่งแต่พูด ทำจะดีกว่า
     
  11. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    ผมว่าอภิญญาคือของแถมที่ได้จากการปฏิบัติ
     
  12. หล่อสะท้านภพ

    หล่อสะท้านภพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +66
    เห็นด้วยอย่างยิ่งครับคือเราต้องมองเป็นกลางก่อนว่าใครมีจริตไปในทางไหน เช่น ตัวผมเองนี้เป็นพวกที่ชอบพิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยตัวเองก่อนแล้วค่อยเชื่อ ถ้าผมยังไม่ได้เห็นด้วยตัวเองว่าสัตว์โลกมีการเวียนว่ายตายเกิดจริงหรือนรกสวรรค์ชั้นพรหมมีจริงผมจะไม่ยอมบรรลุรรมขั้นสูงสุดแน่นอนเพราะจะยังไม่เกิดความเบื่อหน่ายในสังสารวัฏแต่ผมจะรู้ได้ก้ต้องอาศัยฤทธิ์อภิญญา(ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้ตอนไหน)ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ธรรมของพระพุทธองค์มีไว้ให้พิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยตัวเองก่อนแล้วค่อยเชื่อพระพุทธองค์สรรเสริญคนเช่นนี้มิฉะนั้นพระพุทธองค์จะสอนหลักกาลามาสูตร10ไว้เพื่ออะไรและในบทสวดมนต์ที่ว่า"เอหิปัสสิโก"หมายความว่าจงมาพิสูจน์เถิดก็ยังมีเรื่องอภิญญานี้ผมเข้าใจว่ามันเป็นเครื่องมือที่ช่วยพิสูจน์ในคำสอนของพระพุทธเจ้ามากกว่าหรือเป็นยานพาหนะส่งเราข้ามฝั่งเช่นเราได้อาศัยเรือมาข้ามฝั่งแล้ว(คือนิพพาน)เราก็ไม่ได้เสียดายเรือนั้นถึงกับต้องแบกหามเอาไปด้วยหรือไม่ได้เสียดายขนาดที่ไม่ยอมออกจากเรือนั้นมันขึ้นอยู่กับคนที่รู้จักใช้มากกว่า และที่สำคัญเรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคนที่สร้างมาเพื่อบรรลุธรรมแบบไหน ไม่ใช่เหตุที่ใครคนหนึ่งจะมาเหมาเอาโดยรวมว่า ไม่เป็นเหตุแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง
     
  13. แมวแหมว

    แมวแหมว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +49
    เก่งอภิญญาก็เท่านั้น เก่งในทางโลกโดยไม่สนทางธรรมก็เท่านั้น

    สู้อยู่อย่างสงบกายสงบใจไม่ได้ มองดูรู้เห็นและอยู่ในความเป็นจริง

    ปัจจุบันขณะนั้นแหละ สิ่งที่ยากที่สุดคืออยู่อย่างคนปกติธรรมดา

    โดยที่มีความเข้าใจในชีวิตและการยอมรับความเป็นจริง
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สิ่งหนึ่ง ****

    สิ่งใด...ทำให้กิเลสนิสัยหมดไปได้
    สิ่งนั้น....ทำให้หลุดพ้นทุกข์ได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    เท่าที่ได้ยิน และ เคยอ่านเจอมานะคะ อภิญญาที่หก หรือ อาสวะขยญาณ นี้ ผู้ที่จะมีสิทธิ์บรรลุได้ คือ พระอรหันต์เท่านั้นค่ะ เพราะเป็นอภิญญาทางธรรม และในหนังสือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมก็กล่าวไว้ว่า พระเทวทัตบรรลุฌานอภิญญาทางโลกหมดทั้ง 5 อย่างเลยค่ะ แต่ไม่บรรลุอภิญญาทางธรรม คือ อาสวักขยญาณ = การทำอาสวะให้หมดสิ้นไป ค่ะ (ขอโทษด้วยนะคะ หากสะกดผิด แต่เท่าที่เคยอ่านเจอ สะกดแบบนี้ค่ะ)

    อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกผู้คนจะสามารถบรรลุฌานนี้ได้ แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังใช่ว่าจะบรรลุฌานนี้ทุกองค์

    หากผู้ใดที่ทราบ หรือมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ ก็แลกเปลี่ยนกันได้นะคะ ถือว่าเป็นวิทยาทานค่ะ
     
  16. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องบรรลุอาสวขยญาณก่อนครับ จึงจะถอดถอนอาสวะทั้งหลายที่มีอยู่ในใจออกไปได้ หากไม่ได้ญาณนี้จะไม่บรรลุอรหัตผล
    พระพุทธเจ้าทรงเรียงลำดับผลของการปฏิบัติที่ประเสริฐขึ้นตามลำดับ ซึ่งอยู่ในกูฏทัณตสูตร เรียงลำดับตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงอรหัตผล ดังข้อความต่อไปนี้
    ---------------------------------------------------------------
    ภิกษุบรรลุปฐมฌานอยู่ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ
    ภิกษุบรรลุทุติยฌานอยู่ ดูกรพราหมณ์ แม้นี้ก็เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.
    ภิกษุบรรลุตติยฌานอยู่ ดูกรพราหมณ์ แม้นี้ก็เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.
    ภิกษุบรรลุจตุตถฌานอยู่ ดูกรพราหมณ์ แม้นี้ก็เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.


    <CENTER>วิชชา ๘ วิปัสสนาญาณ
    </CENTER>ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แลมีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยงต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลือง แดง ขาว หรือนวล ร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้นวางไว้ในมือ
    แล้วพิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวลร้อยอยู่ในนั้น ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดาและวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญ
    ซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.


    <CENTER>มโนมยิทธิญาณ
    </CENTER>ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง
    ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเองฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรพราหมณ์นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์
    มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.


    <CENTER>อิทธิวิธญาณ
    </CENTER>ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์อานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรพราหมณ์เปรียบเหมือนช่างหม้อหรือลูกมือของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อนวดดินดีแล้ว ต้องการภาชนะชนิดใดๆพึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่งเปรียบเหมือนช่างงา หรือลูกมือของช่างงาผู้ฉลาดเมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงาชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่งเปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือของช่างทองผู้ฉลาด เมื่อหลอมทองดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใดๆ พึงทำทองรูปพรรณชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดิน
    ก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.


    <CENTER>ทิพยโสตญาณ
    </CENTER>ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล เขาจะพึงได้ยินเสียงกลองบ้าง เสียงตะโพนบ้าง เสียงสังข์บ้าง เสียงบัณเฑาะว์บ้าง เสียงเปิงมางบ้าง เขาจะพึงเข้าใจว่าเสียงกลองดังนี้บ้าง เสียงตะโพนดังนี้บ้าง เสียงสังข์ดังนี้บ้าง เสียงบัณเฑาะว์ดังนี้บ้าง เสียงเปิงมางดังนี้บ้าง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด
    คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.


    <CENTER>เจโตปริยญาณ
    </CENTER>ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น
    ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต
    จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าจิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนหญิงสาวชายหนุ่มที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องดูเงาหน้าของตนในกระจกอันบริสุทธิ์สะอาด หรือในภาชนะน้ำอันใสหน้ามีไฝก็จะพึงรู้ว่าหน้ามีไฝ หรือหน้าไม่มีไฝก็จะพึงรู้ว่าหน้าไม่มีไฝ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล
    ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นด้วยใจ คือจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะหรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิหรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่าและมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.


    <CENTER>ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    </CENTER>ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
    ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงจากบ้านตนไปบ้านอื่น
    แล้วจากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านอื่นอีก จากบ้านนั้นกลับมาสู่บ้านของตนตามเดิม เขาจะพึงระลึกได้ อย่างนี้ว่า เราได้จากบ้านของเราไปบ้านโน้น ในบ้านนั้น เราได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น เราได้จากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านโน้น แม้ในบ้านนั้น เราก็ได้ยืน อย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น แล้วเรากลับจากบ้านนั้นมาสู่บ้านของตนตามเดิม ดังนี้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น
    มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.


    <CENTER>จุตูปปาตญาณ
    </CENTER>ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตมีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ เปรียบเหมือนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง ๓ แพร่ง ท่ามกลางพระนคร บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนปราสาทนั้น จะพึงเห็นหมู่ชนกำลังเข้าไปสู่เรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังสัญจรเป็นแถวอยู่ในถนนบ้าง นั่งอยู่ที่ทาง ๓ แพร่งท่ามกลางพระนครบ้าง เขาจะพึงรู้ว่า คนเหล่านี้เข้าไปสู่เรือน เหล่านี้ออกจากเรือน เหล่านี้สัญจรเป็นแถวอยู่ในถนน เหล่านี้นั่งอยู่ที่ทาง ๓ แพร่งท่ามกลางพระนคร ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแลย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละ เป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ.


    <CENTER>อาสวักขยญาณ
    </CENTER>ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขาใสสะอาดไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระ
    นั้น จะพึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น เขาจะพึงคิดอย่างนี้ว่า สระน้ำนี้ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง เหล่านี้ กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น ดังนี้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ
    แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้น ก็มีญาณว่าหลุดพ้น รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูกรพราหมณ์ นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ากว่ายัญก่อนๆ.
    ดูกรพราหมณ์ ก็ยัญสมบัติอื่นๆ ที่จะดียิ่งกว่า ประณีตยิ่งกว่า กว่ายัญสมบัตินี้มิได้มี.

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=9&A=3478
    ----------------------------------------------------------------------
    สรุปปแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจัดลำดับความสำคัญของการปฏิบัติทางจิตว่าผลใดประเสริฐกว่ากันเป็นลำดับขั้น ซึ่งสรุปได้ดังนี้
    1. การได้ฌานขั้นต่างๆประเสริฐกว่า มีอานิสงค์มากกว่าการรักษาศีล
    2. การได้วิปัสสนาญาณประเสริฐกว่า มีอานิสงค์มากกว่าการบรรลุฌาน
    3. การได้มโนยิทธิญาณประเสริฐกว่า มีอานิสงค์มากกว่าการบรรลุวิปัสสนาญาณ
    4. การได้อิทธิวิธญาณ(แสดงฤทธิ์ได้) ประเสริฐกว่า มีอานิสงค์มากกว่าการบรรลุมโนยิทธิญาณ
    5. การได้ทิพยโสตญาณ(หูทิพย์) ประเสริฐกว่า มีอานิสงค์มากกว่าการบรรลุอิทธิวิธญาณ
    6. การได้เจโตปริยญาณ(รู้ใจคนอื่น) ประเสริฐกว่า มีอานิสงค์มากกว่าการบรรลุทิพยโสตญาณ
    7. การได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ(ระลึกชาติได้) ประเสริฐกว่า มีอานิสงค์มากกว่าการบรรลุเจโตปริยญาณ
    8. การได้จุตูปปาตญาณ(รู้กำเนิดของสัตว์ทั้งหลาย รู้กฎแห่งกรรม) ประเสริฐกว่า มีอานิสงค์มากกว่าการบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    9. การได้อาสวักขยญาณ(รู้อริยสัจ หมดกิเลส) ประเสริฐกว่า มีอานิสงค์มากกว่าการบรรลุจุตูปปาตญาณ

    ยึดตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีกว่าครับ
     
  17. หล่อสะท้านภพ

    หล่อสะท้านภพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +66
    เช่นนั้นพระพุทธเจ้าทรงใช้อะไรปราบโจรองคุลีมารจนภายหลังได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ปราบผกาพรหมผู้ที่มีความเห็นผิดให้มีความเห็นที่ถูกต้อง พระมหาโมคคัลลานะใช้อะไรปราบพญานาคนันโทปนันทะ และตัวอย่างอีกมากมายนับไม่ถ้วน คุณศึกษาพระสูตรมาดีหรือยังถึงได้มาพูดจาเช่นนี้ ประโยชน์ทางอภิญญามีมายมากนักเพียงแต่ผู้ที่ไม่รู้จักใช้ประโยชน์จึงได้พูดจาเช่นนั้นและถ้ามีคนมาถามเรื่องนรกสวรรค์สถานที่นั้นมีจริงหรือไม่คุณตอบไม่ได้คุณอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน ถ้าคุณชอบทางสายสุขวิปัสโกคุณก็ปฏิบัติเอาเถิดแต่อย่าได้มาลบหลู่ทางปฏิบัติสายอื่น เพราะมันมันเป็นการลบหลู่คำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยก็เพราะว่าในกรรมฐาน40ที่พระองค์ทรงแสดงไว้ มีกสิณ10 ที่เป็นพื้นฐานทำให้เกิดอภิญญาโดยตรง ผู้ที่เป็นนักปฏิบัติธรรมจริงไม่ควรเอาความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสินผู้อื่น
     
  18. หล่อสะท้านภพ

    หล่อสะท้านภพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +66
    ถ้าเสียเวลาเปล่าพระโพธิสัตว์จะเสียเวลาสร้างบารมีให้นานทำไมเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากสังสารวัฏแล้วเมื่อพระโพธิสัตว์ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้วมีสักพระองค์ไหมที่เสียใจทั้งๆที่สามารถจะเลือกบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นอรหันต์สาวกก็ไปนิพพานได้เหมือนกันและใช้เวลาในการสร้างบารมีน้อยกว่าด้วย ฉันนี้ก้ฉันใดผู้ที่ต้องการความรู้พิเศษมากว่าทางสายสุขวัสโกก้ต้องใช้เวลาสร้างบารมีมากกว่าเช่นกันแล้วจะมีใครมาบ่นทีหลังว่าเสียเวลาเปล่าทำไม ลองคิดดูพระอรหันต์ชั้นปฏิสัมภิทาญาณกับชั้นสุขวิปัสโกใครจะแสดงธรรมได้วิจิตรพิศารมากกว่ากัน คุณศึกษาเรื่องมิลินทปัญหามาหรือยังผมอยากรู้นักว่าถ้าพระอรหันต์ชั้นสุขวิปัสโกจะแก้ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์ได้เหมือนอย่างพระอรหันต์ชั้นปฏิสัมภิทาญาณอย่างพระนาคเสน จนสามารถทำให้พระเจ้ามิลินท์สิ้นสงสัยภายหลังได้บวชสำเร็จเป็นพระอรหันต์อีกองค์ และสามารถทำให้พระพุทธศาสนาสืบทอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
     
  19. หล่อลากดิน

    หล่อลากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,202
    ค่าพลัง:
    +235
    ความเข้มแข็ง ความเพียร และความกล้าหาญ ในการที่จะเผชิญหน้า และทำลายล้างกองทัพทั้งสิบของมารให้สิ้นไป เพื่อบรรลุถึงวิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ และมีโสตาปัตติผลในชาตินี้เป็นอย่างน้อย ก็ย่อมที่จะมีแสงสว่างที่ก้าวไปถึงอีกผลทั้งสามในข้างหน้า และสิ่งสุดท้ายก็คือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายโดยสิ้นเชิง และสิ่งเหล่านั้นเราทั้งหลายต่างล้วนรู้กันแล้วถ้วนหน้า ว่าสิ่งนั้นคือพระอรหันตผลนั่นเอง

    ทุกท่านสามารถเลือกวิถีชีวิต และเส้นสายการเดินทางด้วยตัวของท่านเอง ครับ
     
  20. JCkula

    JCkula สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +3
    พลังจิต หรือ อภิญญา ไม่ได้ช่วยให้ใครหลุดพ้น

    ผมก็ว่างั้น

    ถ้าคิดจะหลุดพ้นก็ไม่จำเป็นต้องมี ความสงบที่แท้จริงคือการหลุดพ้น

    คิดว่าอย่างนี้นะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...