พระพุทธเจ้า กับ พระศิวะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย พิศวัสต์, 18 พฤศจิกายน 2008.

  1. พิศวัสต์

    พิศวัสต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2007
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +431
    พระพุทธเจ้ากับพระศิวะ ใคร มีบารมีธรรมมากกว่ากัน ?

    ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธ เราก็พูดได้ว่าพระพุทธเจ้าเรามีบารมีมากกว่า ฮินดูก็ว่าพระศิวะใหญ่กว่าผู้อื่นใดในโลก ตกลฝงแล้วใครมีบารมีมากกว่ากันครับ อธิบายสั้นๆครับ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ดูที่สาวกสิครับ

    สายศิวะ สาวกเป็นได้แค่ลูกน้อง ใครจะมาแสดงอะไรข้ามหน้าข้ามตา ก็มีหวังขาไม่หาย
    ตัวก็หาย(ราหู) หรือไม่ก็หัวขาดแต่กายมีชีวิตเลยต้องหาหัวใหม่เป็นช้าง ก็ว่ากันไป...

    สายพุทธ สาวกเป็นได้เสมอพระองค์ ซึ่งปรากฏในพระสูตรหลายที่ หากผู้ใดแสดงธรรม
    อยู่ แสดงธรรมได้ พระพุทธองค์จะหลีกทางให้ จะเคารพผู้แสดงธรรมนั้น
    ที่นี้เมื่อดูสาวกแล้ว ปรากฏว่าผู้ที่สามารถมีสาวกที่เสมอตนได้ ก็แปลว่ามีธรรมฤทธิที่
    พอกัน ทั้งๆที่ธรรมฤทธิ์พอกันแต่ก็น้อมลงเป็นสาวก จุดนี้คุณคิดว่าใครมีบารมีมากกว่า

    แต่สังเกตดีๆนะครับ เนื่องจากพระพุทธองค์ใช้วิธีหลีกทาง เคารพธรรม ตรงนี้คือการ
    ไม่ประสงค์จะมีบารมี ดังนั้น ก็ต้องไม่สรุปไปว่า พระพุทธองค์มีบารมีมากกว่าแต่ถ่าย
    เดียว

    เพราะ ไม่มีก็คือมี มีก็คือไม่มี แต่กลับดูเหมือนมีมากกว่า

    ดังนั้น จะสรุปว่าพระพุทธองค์มีบารมีมากกว่า ก็เป็นข้อสรุปที่ไม่ตรงอริยะสัจจะ

    พูดอีกแง่ พระพุทธองค์ไม่ใช่บุคคลที่ใครจะเอาบารมีมาเทียบได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2008
  3. รถถัง3

    รถถัง3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +30
    จะเอามาเทียบกันทำไมเหรอครับน้อง เอาเวลาไปคิดอะไรที่มันสร้างสรรค์หน่อย จะดีกว่ามั้ยครับ
     
  4. นาระกันทา

    นาระกันทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +206
  5. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +973
    พระศิวะ มีภรรยาคือพระอุมา ยังอยู่ในกาม พระพุทธเจ้าละทิ้งกิเลสหมดออกจากกาม ใครประเสริฐกว่า
    พระศิวะใหญ่กว่าผู้ใดในโลก แต่อยู่ในโลกย์ พระพุทธเจ้าใหญ่กว่าโลกทั้งสามและอยู่พ้นโลกย์ ใครดีกว่ากัน
    พระศิวะได้พระนามว่า โอปปาติกะเทพ พระพุทธองค์ทรงได้พระนามว่า พระวิสุทธิเทพ เทพผู้บริสุทธิ์สิ้นเชิง ใครดีกว่า
    พระศิวะมีบารมีเท่าไร ถามชาวฮินดูดูเอานะ พระพุทธองค์มีพระบารมีครบ 30 ทัศ มีมากเป็น อสงไขยนับไม่ได้เป็นมหากัป ใครดีกว่า
    พระศิวะยังมีความโกรธ พระพุทธองค์ไม่มีความโกรธ มีแต่ความกรุณา เมตตา ใครดีกว่า
    พระศิวะยังแพ้แก่นางพรามณี(ในกำเนิดพระตรีมูรติ ) พระพุทธองค์ไม่เคยแพ้ใคร ใครประเสริฐกว่ากันเล่า

    จริงๆแล้วพระศิวะเป็นชื่อที่พราหมณ์เค้าตั้งขึ้นมาเพื่อเคารพ บูชา บนสวรรค์เลยต้องหาเทวดาที่มีคุณสมบัติแบบที่พราหมณ์ต้องการมีแทนที่ ไม่งั้นพราหมณ์บวงสรวงไป บนอะไรไป ไม่มีเทวดาช่วย เดี๋ยวไม่ทำความดีกัน กลัวไม่มีใครขึ้นสวรรค์ มาเป็นบริวารของเทวดา มาเป็นเทวดา เป็นพรรคเป็นพวกกัน ...เข้าใจก่อ
     
  6. parnparn

    parnparn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +199
    พระศิวะ Shiva คือ การให้เป็นนามธรรม การให้ที่ยิ่งใหญ่คือให้ชีวิต (ชีวะ) หรือให้กำเนิด เปรียบคือ พ่อ หรือพระบิดา

    พระพุทธเจ้า ไม่ใช่มีเพียง พระสมณโคดมแต่มีมาก่อนมากมาย เป็นผู้ที่ตรัสรู้ และนำเหล่าสาวก ให้สู่นิพพาน คือไม่เกิด

    ถ้าจะเทียบดู ดูจากเต๋า คือธรรมชาติ ดังนี้
    สีขาวคือ ความว่างหรือนิพพาน จุดดำในสีขาว คือ ชีวิตหรือพระศิวะ
    สีดำคือ ธรรมชาติ จุดขาวในสีดำ คือ พุทธะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • onmyo07.jpg
      onmyo07.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.9 KB
      เปิดดู:
      931
  7. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +973


    อย่าบิดเบือนพระธรรม อย่าอ้างมั่ว ในเต๋า รูปนี้ ใช้อธิบายความอนิจจังคือไม่เที่ยงของธรรมชาติเท่านั้น

    พระศิวะ ไม่ได้มาจาก รากศัพท์ว่า ชีวะ เพราะท่านเป็นผู้ทำลาย ไม่น่าจะให้ชื่อ ชีวะ แต่มาจาก สุริยะ สูรย์ คือดวงอาทิตย์ ท่านจึงเป็นอำนาจทำลายด้วย แม้ศิวลึงค์ แรกๆคือเสาหินรูปทรงกลมบนหัวเสาที่แสดงถึงพระอาทิตย์ แล้วกลับกลายมาเปลี่ยนเป็นรูปอวัยวะเพศชาย เมื่อสมัยปรับปรุงเทพเจ้า รวมเทพเจ้าพื้นเมืองรวมกับเทพเจ้าของชาติอารยัน

    ไม่ได้กำเนิด




    แล้วคำว่า สมณโคดม นี่ เป็นคำที่คนนอกศาสนาพุทธในสมัยพุทธกาล ใช้เรียกพระพุทธองค์

    แต่คนพุทธในสมัยพุทธกาล ใช้ ภันเต ภควา แปลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หรือ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า (เป็นคำยกย่องไม่ใช่อ้างถึงพระเจ้า เพราะเค้าถือว่า นักบวขหรือพระที่มีคนเรียกอย่างนี้ แสดงว่าผู้ที่พูดเคารพท่านมาก )
     
  8. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,709
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    ไม่ใช่มั๊ง


    ผู้เข้าถึงธรรมแล้ว


    ท่านจะมีสติสัมปชัญญะ เร็วทันการปรุงแต่งด้วยกาย วาจา ใจว่า


    การกล่าวสิ่งใดออกไปแล้ว จริงในระดับไหนก็ตาม

    ถ้าพูดไปแล้ว เป็นสาเหตุ เป็นปัจจัย

    ในการก่อ วิบากต่อชีวิตต่างๆ ด้วย มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม

    ท่านจะไม่มีส่วนร่วม ในกรรมสามอยางนั้นเลย





    ประสาอะไร กับ ผู้ที่รู้เพียงตำรา รู้จากญาณที่ไม่สมบูรณ์

    ที่ปรุงกรรมสามต่อไป ด้วย ความรู้ที่เป็นเหตุก่อทุกข์ ก่อวัฏฏะให้ตนเอง





    ..........ถามตรงๆนะ มีใครได้ไปยังภพที่องค์ศดาศิวะอยู่บ้าง

    ท่าน มีรูป หรือ อรูป

    แน่ใจ หรือ ว่าท่านติดกาม


    .................................ฯลฯ...................................



    ถ้าอีกอย่างนะ ถ้าปัจจุบันภูมิจิตท่านทรงอริยะ

    รู้ไหม ว่าการกล่าวไปทั้งหมด มีวิบากเช่นไร



    มีเด็กคนหนึ่งซนมาก ขึ้นไปขี่คอ ปีนป่ายพระพุทธรูป


    ด้วยความไม่รู้


    ต่อมาผู้ใหญ่มาเห็น บอกให้ลง แล้วอธิบายให้ฟัง


    ถามว่า เด็กไม่ผิด ใช่ไหม?

    ถ้าใช่ ไม่มีใครถือสา แต่วิบากกรรมด้วยความไม่รู้ ก็ยังอยู่นะ





    พิจารณา มหาพิจารณา
     
  9. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +973
    พระพุทธองค์ทรงอธิบายเรื่องพระเจ้าของพราหมณ์ เช่น พระอิศวร พระพรหมเอาไว้เหมือนกัน แต่อธิบายเอาไว้เช่นนี้...


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

    [๑๓] ดูกรภัคควะ อนึ่ง เราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้ง
    รู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับ
    ได้เฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์ ฯ

    ดูกรภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางพวกบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่า
    พระอิศวรทำให้ ว่าพระพรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถามเขาอย่างนี้ว่า
    ได้ยินว่า ท่านทั้งหลายบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระอิศวรทำให้ ว่า
    พระพรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์จริงหรือ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้
    แล้วยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น เราจึงถามต่อไปว่า พวกท่านบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่า
    เลิศ ว่าพระอิศวรทำให้ ว่าพระพรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์มีแบบอย่างไร
    สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถามอย่างนี้ เมื่อตอบไม่ถูก จึงย้อนถามเรา เราถูก
    ถามแล้วจึงพยากรณ์ว่า ท่านทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราวโดยระยะกาลยืดยาว
    ช้านาน ที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดใน
    ชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออก
    จากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้น
    กาลยืดยาวช้านาน ฯ

    ดูกรท่านทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราวโดยระยะกาลยืดยาวช้านาน
    ที่โลกนี้จะกลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ วิมานของพรหมปรากฏว่าว่างเปล่า
    ครั้งนั้น สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญย่อม
    เข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่า แม้สัตว์ผู้นั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหารมี
    รัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงามสถิตอยู่ใน
    ภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน เพราะสัตว์นั้นอยู่แต่ผู้เดียวเป็นเวลานาน จึงเกิดความ
    กระสันความดิ้นรนขึ้นว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ต่อมา
    สัตว์เหล่าอื่นก็จุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้า
    ถึงวิมานพรหมที่ว่าง เป็นสหายของสัตว์ผู้นั้น แม้สัตว์พวกนั้นก็ได้สำเร็จทางใจ
    มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ใน
    วิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ฯ

    ดูกรท่านทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความ
    คิดเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็นพรหม เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ไม่มีใครข่มได้ เห็น
    ถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิศวร เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ
    เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น สัตว์
    เหล่านี้ เราเนรมิตขึ้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า เราได้มีความคิดอย่างนี้ก่อนว่า
    โอหนอแม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ความตั้งใจของเราเป็นเช่นนี้และ
    สัตว์เหล่านี้ก็ได้มาเป็นอย่างนี้แล้ว แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลังก็มีความคิดเห็นอย่าง
    นี้ว่าท่านผู้เจริญนี้แลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็น
    ถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิศวร เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ
    เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พวก
    เราอันพระพรหมผู้เจริญนี้นิรมิตแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าพวกเราได้เห็น
    ท่านพรหมผู้นี้เกิดก่อน ส่วนพวกเราเกิดภายหลัง ฯ


    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ บรรทัดที่ ๕๔๗ - ๗๐๗. หน้าที่ ๒๓ - ๒๙.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=547&Z=707&pagebreak=0
     
  10. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,709
    แล้วมีตอนไหน ที่บอกว่า ท่านเสพกามเหรอ...


    มีความพยายาม ที่อุตส่าห์ลำบากค้นตำรามา



    ขอถามว่า



    ถ้าสิ่งที่ค้นมานั้นเป็นขณะนั้น ...แล้วปัจจุบัน ท่านเป็นเช่นไรหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤศจิกายน 2008
  11. เจ้าโง่

    เจ้าโง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +181
    น่าสนใจนะ.....เปรียบเทียบจากข้อมูลที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จมันก็ลำบาก

    แล้วถ้าจะใช้ข้อมูลจากทางเทวคติมาเปรียบเทียบมันก็ลำบากเพราะต่างฝ่ายต่างถือข้าง

    ลัทธิตัวเอง ไม่ว่าจะ ไศวะ หรือ ไวษณพ หรือลัทธิศาสนาอื่นๆ

    แล้วนี่ถ้าจะเอามาเปรียบกับข้อข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ทางจิตที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวแล้วละก็คง

    เป็นเรื่องที่เถียงกันไม่จบแน่...

    แต่ถ้าจะดันทุรังเปรียบเทียบกันจริงๆ

    อย่างแรก..เราต้องกำหนดขอบเขตและคุณลักษณะของศดาศิวะให้ได้ก่อน(เหมือนอย่างที่

    เราเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า)

    เช่นว่าเป็นรูปหรืออรูป....นี่แค่ข้อแรกก็งงแล้วเพราะตามเทวะคตินั้น

    มีทั้งที่บอกว่าเป็นรูป และฝ่ายที่บอกว่าเป็นอรูป....คือถ้าได้คำตอบแรกแล้วก็จะกลายเป็น

    ตัวกำหนดจุดยืน...ที่จะกลายมาเป็นคุณลักษณะต่างๆในลำดับถัดมา...นี่แค่ว่ากันตามเทวคตินะ

    แล้วยังมีข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ทางจิตเข้ามาเกี่ยวอีกเลยทำให้รู้สึกว่า...

    เขียนไปเขียนมาก็มึนเอง...ขี้เกียจคิดขึ้นมาทันที...เรื่องแบบนี้..นานาจิตตังจริงๆ

    เหมือนเรื่องที่เราเลือกที่จะเชื่อ

    เลือกความเชื่อ...

    เลือกศาสนา...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2008
  12. siamgirl

    siamgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,682
    ค่าพลัง:
    +2,742
    ....
     
  13. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,709
    ที่ถามว่า รูป หรือ อรูป นั่นต้องการโยงไปยังข้อกล่าวหาของคุณ นายเมว่า ท่านเสพกาม

    และ ความยึดติดตำรา ในรูปสมมุติว่า ท่านเป็นอย่างนี้ๆ เพราะ ไม่ตี ไม่เข้าใจ

    ขอบเขตลักษณะที่แท้จริงของท่าน


    โลกมนุษย์ เป็นธรรมดา ที่ชอบเอาสิ่งต่างๆมาเทียบกัน

    มักไม่เห็นสิ่งเดียวกัน ที่มีในความต่างกัน

    ถ้าทำแล้ว ได้สิ่งดีๆเกิดในจิต โดยพิจารณาโดยรอบ ด้วยสัมมาสติ
    ว่า ใจของตนเจริญขึ้นหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งดี

    แต่ส่วนใหญ่ มีอัตตา มีสักกายทิฐิ มีมานะ หนาแน่นขึ้นว่า


    ตน ของตนดี สิ่งที่ฉันเชื่อดีกว่า เสมอกว่า ด้อยกว่า อย่างใดอย่างหนึ่ง



    สรรพสิ่ง ไม่หยุดนิ่งกับที่


    ธรรมถ่ายทอดไปแล้ว ไม่มีทั้งรูปและอรูป
    แต่เป็นธรรมดาของคนที่ยังติดข้องในของคู่ จะทำกัน

    สร้างวิบากแก่จิต แก่สังขารตน และ ชักนำให้ชีวิตทำต่อๆกันไป
    เป็นวิบากลูกโซ่ กลับมองไม่เห็น


    ตำราที่บันทึก ไม่ใช่สภาวะ แต่เหมือนแผนที่ ที่ไม่อัพเดทกับสภาวะปัจจุบันอันเป็นธรรมสภาวะจริงๆ
     
  14. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064

    พระพุทธเจ้าตอนบำเพ็ญสะสมบารมีอยู่
    ก็เคยได้จุติในพรหมโลกเป็นพระศิวะมาแล้วค่ะ


    ก่อนที่จะสะสมบารมีต่อมาจนได้เป็นพระพุทธเจ้า
    คงเข้าใจนะคะว่าใครจะบารมีมากกว่ากัน
     
  15. อวตารเทพมาร

    อวตารเทพมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2006
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +2,101
    ผมเคารพในหลวงปู่ฤษีนะครับ ถ้าจำไม่ผิดพระศิวะเป็นตำแหน่งนะครับแล้วตอนนี้ท่านปู่พระอินทร์ก็รับตำแหน่งอยู่ครับ ส่วนพระศิวะองค์แรกสุดนั้นท่านน่าจะอยู่ที่นิพานแล้วครับ(เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมเองนะครับ)
     
  16. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +973



    วิสัชนา..... ท่านยังอยู่ในกามภพ กามนั้นคือความใคร่ มาจาก อายตนะหก และขันธ์ 5 ......เอวัง
     
  17. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,709

    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

    ผิด เต็มๆ
     
  18. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +973


    วิสัชนา.....มาบอกเพื่อให้รู้ ทิฏฐิที่ท่านคิดนั้นผิด เลยเปรียบเทียบไว้ ตำราเป็นแผนที่ ตำรานั้นเป็นสมมุติบัญญัติ ไว้อธิบายสิ่งที่อธิบายเป็นภาษาคน ให้เข้าใจได้ ถึงสภาวะ ปรมัตถสัจจะบัญญัติ ได้คร่าวๆ

    การอัพเดท ....คุณอย่าลืม ธรรมะเป็น อกาลิโก ไม่จำกัดกาล .... เขียนแค่นี้น่าจะพอเข้าใจ หากไม่ใช่พวกนอกศาสนาพุทธที่เคารพลัทธิแห่งปรมาตมัน มากกว่าพระพุทธองค์
     
  19. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +973
    ตรงไหน
    คุณอ้างเหตุผลมา อย่าอ้างเอาปรัชญาเลื่อนลอย ขอหลักฐานชั้แรกจากคัมภีร์ แล้วค่อยอ้างปรัชญา
     
  20. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +973
    สาธุ ถูกแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...