ผลของการถืออุโบสศีล(เปรียบดั่งขนมบัวลอย)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย รักบุญ, 7 พฤศจิกายน 2009.

  1. รักบุญ

    รักบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +160
    <CENTER>ผลของการถืออุโบสศีล( ส่งต่อได้บุญ ทำตามก็ยิ่งได้บุญ)


    เหตุที่เราต้องเดินตามคนอื่นเพราะต้องทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตอิสระอย่างใจไม่ได้ เพราะศีล ๘ ไม่สมบูรณ์

    สาเหตุที่เราเกิดมาเป็นคน เพราะการมีกุศลได้ทำไว้ในกาลก่อน แต่การได้เกิดมาในตระกูลที่ต่างกัน มีฐานะต่างกัน เป็นเพราะศีลที่เราได้อบรมมาอย่างดีและไม่ดีต่างกัน

    บางคนต้องการออกจากงาน อยากมีชีวิตเป็นอิสระ จมอยู่ในความหวังที่ว่า "ถึงวันนั้น คุณจะมีอิสระภาพทางการเงิน" ได้แต่เพียงหวัง เรียนจบก็หวัง ทำงานแล้ว งานนี้ไม่ดีก็ออกมาหวังใหม่ หวังท่ามกลางความเป็นจริงที่การันตีไม่ได้ว่าเราจะมีวันนั้นสมตามปรารถนา เวลาเรียน เราก็เรียนเพราะต้องการความรู้ ความรู้นั้นก็นำมาใช้หาเงินอีกเหมือนกัน เราต้องแย่งคนอื่น แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้โต๊ะทำงานขนาด สองคูณสอง แล้วมาเป็นกลไกอะไรสักอย่างหนึ่งขององกรให้เขาลากไป โดยที่เราทำอะไรไม่ได้แม้ว่าจะไม่ชอบ หลาย ๆคนมีความฝันว่าจะทำงานอาสาสมัครยามว่างช่วยเหลือสังคม แล้วเมื่อไหร่จะช่วยใครได้ ในเมื่อตัวเองยังไม่ว่าง เพราะต้องทำงาน นอกจากนั้น บางครั้งมีหลายความคิดของหลาย ๆ คน ที่คิดว่า อยากช่วยเหลือศาสนาพุทธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เงินไม่มี สติปัญญาน้อย ต้องทำงานไปวัน ๆ นึง แล้วทำได้แค่ใส่บาตรตอนเช้า


    เงื่อนไขสำคัญคือ การที่เราไม่มีฐานะ ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอ ที่จะเป็นไทแก่ตัวเอง เดินอยู่บนโลกได้โดยไม่ต้องงอนง้อใคร จริงอยู่ จะมีคนแย้งว่า "คุณก็ทำงานดี ๆ ประหยัด ๆ สิ" อย่างนี้ แต่ในความเป็นจริง ทุกคนทำแบบนี้ แต่นับเศษส่วนมนุษย์เงินเดือนแล้วมีเท่าไหร่กัน ที่สบายจริง ๆ


    ทางออกอีกอย่างหนึ่ง เป็นกลไกทางธรรมชาติ ที่จะจัดสรรให้เราสบายก่อนแก่ตัว คือ การอัพเกรดสถานะของเราให้อยู่ในระดับที่สูงด้วยการสั่งสมสภาพฝ่ายบวก หรือคือ กุศล กุศลจะเป็นเพื่อนกับเรา เป็นบ้านของเรา ที่ทำให้เราเดินห้างใช้สอยจับจ่ายสบาย ๆ ได้ ในขณะที่คนอื่นกำลังปวดหัวกับตัวเลขอยู่ในออฟฟิซ


    การถือศีล ๘ เป็นกุศลที่แรงสำหรับเราที่กินเงินเดือน ทำให้เราอัพเกรดสถานะของเราได้ด้วยกระบวนการทางธรรมชาติอย่างง่าย ๆ ชีวิตเราจะลอยขึ้นสู่ที่สูงหากเราตั้งอยู่ในศีลนี้ทุกวัน ทุกคืนอยู่ โดยไม่ต้องอ้างตัวเองว่าหิว มันคุ้ม สำหรับการหิวเพียงไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อถึงวันที่กุศลให้ผล คุณต้องการจะทานร้านไหนเหรอ เอ็มเคไม่พอหรอก คุณอยากทานมื้อค่ำที่ปารีส ก็มีสิทธิ์


    การถือศีลแปดเป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรทำ เพราะเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอความหวังอะไรสักอย่างที่ไม่มีเครื่องการันตี ศีล เป็นกุศล กุศลที่เราทำแล้ว เป็นเครื่องการันตีที่ดีเยี่ยม เพราะอะไร เพราะว่า เราทำลงไป เมื่อทำลงไป ก็ย่อมได้รับผลสะท้อนกลับ ถ้าการกระทำนั้นสวยงาม ผลก็ออกมางาม

    การที่ศีล ๘ หรืออุโบสถศีล อัพเกรดเราจากชนชั้นล่าง ไปสู่ชนชั้นกลางหรือสูงได้ เป็นเพราะอะไร ขอให้เรานึกถึงบนมบัวลอย คุณชอบทานบัวลอยไหม ลูกบัวลอยก่อนที่คนเค้าจะทำมันเป็นแป้ง ที่เขาเอามาผสม แล้วปั้นให้เป็นลูก ๆ หรือว่าใช้เครื่อง แล้วเอามาต้มในหม้อ

    ลูกบัวลอยที่อยู่ข้างนอกหม้อ ก็เป็นเพียงแค่แป้งกลม ๆ กินไม่ได้ ส่วนลูกที่อยู่ในหม้อ ลูกบัวลอยลูกไหน ที่ยังไม่ร้อน ยังไม่สุกพอก็จะจมอยู่ที่ก้นหม้อก่อน แต่พอลูกบัวลอยลูกไหนร้อนสุกขึ้นมามันก็จะลอยขึ้นมาบนน้ำ


    เหมือนกับเราที่วันหนึ่ง ๆ ถ้าเราเป็นคนไม่มีศีลเลย เที่ยวกลางคืน ดื่มแอลกอฮอล์ แย่งแฟนคนอื่น นินทาคนอื่น ด่าคนอื่น โกหก ฆ่ามด จิ๊กของ เราก็จะเป็นแป้งแห้ง ๆ ที่อยู่นอกหม้อ ทำอะไรก็ไม่ได้ กินก็ไม่ได้ จับแล้วก็เปรอะมืออีกตะหาก



    แต่ถ้าเราตั้งอยู่ในกุศลศีลแล้ว เราจะอยู่ในหม้อ เมื่อสั่งสมศีลนั้นได้ที่ เรา ที่เป็นแป้ง กลม ๆ เล็ก ๆ ก็กำลังกลายเป็นบัวลอย เมื่อศีลนั้นเต็มสมบูรณ์เมื่อไหร่ เมื่อนั้น เราก็จะลอยขึ้นมาอยู่บนหม้อ โดยไม่ต้องตะเกียกตะกายแข่งขันกับใคร เมื่อวันที่เราลอยออกมาอยู่ข้างบนหม้อ วันนั้น เป็นวันของเรา วันนั้น เป็นวันที่ชีวิตเป็นของเรา วันนั้นเป็นวันที่เราช่วยเหลือคนอื่นได้ วันนั้นเป็นวันที่เราประกาศอิสระภาพให้กับตัวเอง เป็นวันที่เราไม่เพียงทำได้แค่ใส่บาตรตอนเช้า ไม่ใช่ทำได้เพียงแค่บริจาคเงิน 500 บาทในบัญชีให้กับองค์กรการกุศลตอนสิ้นเดือนแค่นั้น แต่เรา ทำสิ่งที่เราอยากทำได้ เพราะกุศลที่สั่งสมมา ได้กลายเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษของเราแล้ว ในวันนั้น



    พระพุทธองค์ทรงแสดงผลของอุโบสถศีลไว้มากมาย เช่น


    พระจันทร์และพระอาทิตย์ที่น่าดูทั้ง
    สอง โคจรส่องแสงไปตลอดที่มีประมาณ
    เท่าใด อนึ่ง พระจันทร์และพระอาทิตย์
    ขจัดมืดในอากาศส่องอยู่บนฟ้า ทำให้รุ่ง-
    โรจน์ไปทั่วทิศ(ตลอดที่เพียงใด)ทรัพย์อัน
    ใดมีอยู่ในระหว่าง (ที่ๆ แสงส่องถึง) นั้น
    เช่นแก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์อัน
    งาม ทองสิงคี ทั้งทองกาญจนะ ทองที่
    เรียกว่าชาตรูปะ ทองหฏกะทรัพย์เหล่านั้น
    (มีค่า) ไม่ถึงแม้ส่วนที่ ๑๖ แห่งอุโบสถ
    อันประกอบด้วยองค์ ๘ ดุจหมู่ดาวทั้งหมด
    (สว่าง) ไม่ถึงส่วนที่ ๑๖ แห่งแสงจันทร์
    ฉะนั้น.

    จาก อุโปสถสูตร ใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (ข้อความด้านบนคัดมาจากพระไตรปิฎกอีกแห่งหนึ่ง เพราะ จาก84000.org ช่วงท้ายแปลแล้วไม่ค่อยถูก)



    ในมหาเวสสันดรชาดก พระนางมัทรี เมื่อบุตรทั้งสองถูกชูชกนำไป ท่านก็ได้ตั้งอธิษฐานในอุโบสถศีล เพื่อให้ได้ลูกทั้งสองกลับมา ในที่สุด พระกัณหา และชาลี ก็กลับมาสู่อ้อมอกของพระมารดา คือพระนางมัทรี



    นอกจากนี้ข้อความจากในชาดกอีกตอนหนึ่งก็ได้มีการกล่าวถึงการยืนยันความสมหวังของผู้มีศีล ๘ หรืออุโบสถศีล

    อาทิตตชาดก
    ว่าด้วย การให้ทานกับการรบ

    บุคคลย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์ เพราะพรหมจรรย์อย่างต่ำ เกิดในเทวโลก เพราะพรหมจรรย์อย่างกลาง และบริสุทธิ์ได้ เพราะพรหมจรรย์อย่างสูง.


    อธิบายว่า

    การประพฤติพรหมจรรย์โดยมุ่งเทวนิกายของผู้มีศีลนั่นแล ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างต่ำ. การยังสมาบัติให้บังเกิดขึ้นของผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์นั่นแล ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างกลาง. การที่ภิกษุดำรงอยู่ในปาริสุทธิศีล เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างสูง.


    http://84000.org/tipitaka/atita100/jataka.php?i=271180


    เอกุโปสถิกาเถริยาปทาน

    เรื่อง ผลของการรักษาอุโบสถศีลแม้เพียงชาติเดียว
    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=33&A=4306



    อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ
    กตปุญฺโญ อุภยตฺถ โมทติ
    โส โมทติ โส ปโมทติ
    ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธิมตฺตโน

    คนทำดีย่อมร่าเริงในโลกนี้
    คนทำดีย่อมร่าเริงในโลกหน้า
    คนทำดีย่อมร่าเริงในโลกทั้งสอง
    คนทำดีย่อมร่าเริง เบิกบานใจยิ่งนัก
    เมื่อมองเห็นแต่กรรมบริสุทธิ์ของตน


    ผู้ที่รักษาอุโบสถศีลเพียงชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่ง พระพุทธองค์ตรัสว่า การรักษาอุโบสถศีลของผู้นั้นมีผลมาก มีอานิสงส์มากกว่า อานิสงส์ของพระราชาผู้ทรงเป็นใหญ่ใน ๑๖ รัฐ มีรัตนะสมบัติมากมาย ถ้าได้เทียบกันจริง ๆ แล้ว อานิสงส์ของการครองสมบัตินี้ ยังไม่ถึง เศษหนึ่งใน ๑๖ ของอุโบสถศีลนี้เลย วิสาขสูตร ๒๓/๑๓๓

    ดังนี้

    “...ดูกรวิสาขา อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ บุคคลเข้าอยู่แล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความ แพร่หลายมาก ...... เพียงไร ดูกรวิสาขา เปรียบเหมือนพระราชาที่เสวยราชย์ดำรงอิสรภาพและอธิปไตยในชนบทใหญ่ ๆ ๑๖ รัฐ มีรัตนะ ๗ ประการมากมายเหล่านี้ คือ อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี มัลละ เจดีย์ วังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ การเสวยราชดำรงอิสรภาพและอธิปไตย ของพระราชานั้น ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ

    ....ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรวิสาขา เพราะราชสมบัติมนุษย์เป็นเหมือนของคนกำพร้า เมื่อเทียบกับสุขอันเป็นทิพย์ .....

    .......ดูกรวิสาขา ข้อที่บุคคลบางคนในโลกนี้ จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการแล้ว เมื่อตายไป พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี นี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรวิสาขา เราหมายเอาข้อนี้ จึงกล่าวว่า ราชสมบัติมนุษย์เป็นเหมือนของคนกำพร้า เมื่อเทียบกับสุขอันเป็นทิพย์ ฯ

    วิสาขสูตร ๒๓/๑๓๓ ต.บ. ๒๓ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

    http://84000.org/tipitaka/read/?23/133



    ชราสูตรที่ ๑

    [๑๕๘] เทวดาทูลถามว่า

    อะไรหนอยังประโยชน์ให้สำเร็จ จนกระทั่งชรา
    อะไรหนอตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ
    อะไรหนอเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย
    อะไรหนอโจรลักไปได้ยาก ฯ


    [๑๕๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

    ศีลยังประโยชน์ให้สำเร็จจนกระทั่งชรา
    ศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ
    ปัญญาเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย
    บุญอันโจรลักไปได้ยาก ฯ

    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=15&A=1075




    เรื่อง ผลของการรักษาอุโบสถศีลแม้เพียงชาติเดียว


    [๑๕๑] ในพระนครพันธุมดี มีพระบรมกษัตริย์ทรงพระนามว่าพันธุมา
    ในวันเพ็ญ ท้าวเธอทรงรักษาอุโบสถศีล สมัยนั้น ดิฉันเป็นนางกุม-
    ภทาสีในพระนครพันธุมดีนั้น เห็นเสนาพร้อมด้วยพระมหากษัตริย์
    จึงคิดอย่างนี้ในครั้งนั้นว่า แม้พระมหากษัตริย์ก็ยังทรงละราชกิจมา
    รักษาอุโบสถศีล กรรมนั้นต้องมีผลแน่นอน หมู่มหาชนจึงพากัน
    เบิกบานใจ ดิฉันพิจารณาเห็นทุคติและความเป็นคนยากไร้โดยแยบ-
    คาย ทำให้จิตใจร่าเริงแล้ว รักษาอุโบสถศีล ดิฉันรักษาอุโบสถศีลใน
    พระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะกรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้น
    ดิฉันได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วิมานที่บุญกรรมสร้างให้ดิฉันอย่าง
    สวยงามในดาวดึงส์นั้น สูงโยชน์หนึ่ง ประกอบด้วยเรือนยอดมีที่นั่ง
    ใหญ่โต ประดับแล้วอย่างดี นางอัปสรแสนนางต่างบำรุงบำเรอ
    ดิฉันอยู่ทุกเมื่อ ดิฉันงามเกินนางเทพอัปสรอื่นๆ ในกาลทั้งปวง
    ดิฉันได้เป็นพระอัครมเหสีของท้าวสักรินทเทวราช ๖๔ พระองค์ ได้
    เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๖๓ พระองค์ ดิฉันเป็นผู้มี
    ผิวพรรณปานดังทองคำ ท่องเที่ยวอยู่ในภพทั้งหลาย ดิฉันเป็นผู้
    ประเสริฐในที่ทุกสถาน นี้เป็นผลแห่งอุโบสถศีล ดิฉันย่อมได้
    ยานช้าง ยานม้า และยานรถ แม้ทุกอย่างมากมาย นี้เป็นผลแห่ง
    อุโบสถศีล ภาชนะสำเร็จด้วยทองเงินแก้วผลึกและแก้วปทุมราช
    ดิฉันได้ทุกอย่าง ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้ายและผ้าที่มี
    ราคาสูงๆ ดิฉันก็ได้ทุกสิ่ง ข้าว น้ำ ของเคี้ยว ผ้า เสนาสนะ
    ดิฉันได้ทุกอย่าง นี้เป็นผลแห่งอุโบสถศีล เครื่องหอมชนิดดี
    ดอกไม้ จุรณ์สำหรับลูบไล้ ดิฉันก็ได้ทุกประการ นี้เป็นผลแห่ง
    อุโบสถศีล เรือนยอด ปราสาท มณฑป เรือนโล้นและถ้ำ ดิฉัน
    ก็ได้ถ้วนทุกสิ่ง นี้เป็นผลแห่งอุโบสถศีล พอดิฉันอายุได้ ๗ ขวบ
    ก็ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ได้บรรลุอรหัตเมื่อยังไม่ทันจะถึงครึ่ง
    เดือน ดิฉันมีอาสวะสิ้นไปหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ใน
    กัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ดิฉันได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น ดิฉัน
    ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งอุโบสถศีล ดิฉันเผากิเลสทั้งหลาย
    แล้ว ... พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
    ทราบว่า ท่านพระเอกุโปสถิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.


    จบ เอกุโปสถิกาเถริยาปทาน. <!--detail--><!-- [​IMG].... --></CENTER>
     
  2. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,667
    ค่าพลัง:
    +9,239
    "พระพุทธองค์ทรงแสดงผลของอุโบสถศีลไว้มากมาย เช่น
    พระจันทร์และพระอาทิตย์ที่น่าดูทั้ง
    สอง โคจรส่องแสงไปตลอดที่มีประมาณ
    เท่าใด อนึ่ง พระจันทร์และพระอาทิตย์
    ขจัดมืดในอากาศส่องอยู่บนฟ้า ทำให้รุ่ง-
    โรจน์ไปทั่วทิศ(ตลอดที่เพียงใด)ทรัพย์อัน
    ใดมีอยู่ในระหว่าง (ที่ๆ แสงส่องถึง) นั้น
    เช่นแก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์อัน
    งาม ทองสิงคี ทั้งทองกาญจนะ ทองที่
    เรียกว่าชาตรูปะ ทองหฏกะทรัพย์เหล่านั้น
    (มีค่า)
    ไม่ถึงแม้ส่วนที่ ๑๖ แห่งอุโบสถ
    อันประกอบด้วยองค์ ๘ ดุจหมู่ดาวทั้งหมด
    (สว่าง) ไม่ถึงส่วนที่ ๑๖ แห่งแสงจันทร์
    ฉะนั้น. "


    ขออนุโมทนาค่ะ


     
  3. สน2550

    สน2550 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +280
    อนุโมทนา สาธุครับ
    เห็นถูกเห็นตรงเพื่อนิพพาน
     
  4. นาตยา

    นาตยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +1,104
    อนุโมทนาค่ะ<!-- google_ad_section_end --> เขียนให้กำลังใจดีค่ะ ซักวันหนึ่งเราจะเป็นบัวลอยค่ะ
     
  5. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุญาตท่านจขกท. เพิ่มเติมข้อวิกาลโภชนํ และน้ำปานะค่ะ

    อุโบสถศีลประกอบด้วย ๘องค์หมายถึง ศีล ๘ หรือศีลอุโบสถนั่นเอง ส่วนใหญ่เรามักจะทราบในรายละเอียดบ้างแล้ว แต่ในที่นี้ ศีลข้อที่ ๖พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอรรถาธิบาย อุโบสถศีลข้อที่ ๖ว่า

    " .......แม้นเราในวันนี้ก็บริโภคอาหารครั้งเดียวงดอาหารในราตรีเว้นจากการบริโภคผิดเวลาตลอดวันและคืนนี้

    ด้วยองค์นี้เราก็ได้ชื่อว่าปฏิบัติตามพระอรหันต์ทั้งหลายอย่างหนึ่งและอุโบสถก็จักเป็นอันเรารักษาแล้ว " (องฺ ติก. ข้อ๕๑๐)

    บทว่าวิกาลโภชนํได้แก่ การบริโภคอาหาร เมื่อล่วงเลยเวลาเที่ยงตรง, การบริโภคอาหารเมื่อล่วงเลยเวลาเที่ยงก็คือ

    การบริโภคอาหารเมื่อล่วงเลยกาลที่ทรงอนุญาตไว้คือเจตนางดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล

    บทว่า เอกภตฺติกา (บริโภคภัตครั้งเดียว) นั้น ท่านแบ่งการบริโภคอาหารเป็น 2 เวลา คือ เวลาเช้ากับเวลาเย็น อาหารที่

    จะรับประทานในเวลาเช้าท่านกำหนดตั้งแต่อรุณจนถึงเที่ยงวันส่วนอาหารเย็นกำหนดตั้งแต่เลยเที่ยงไปจนถึงเวลาอรุณขึ้น


    เพราะฉะนั้นในเวลาภายในเที่ยงวัน แม้นจะบริโภคอาหาร ๕ - ๑๐ครั้งก็ชื่อว่ามีการรับประทานเพียงครั้งเดียว เวลาเดียว

    วิกาลโภชน์มีองค์แห่งการเกิด ๔ ประการ (องค์ที่ทำให้เกิดองค์อุโบสถที่๖ ต้องแตกทำลาย)

    ๑.วิกาโลเป็นเวลาวิกาล คือตั้งแต่เที่ยงวันไปแล้ว

    ๒. ยาวกาลิกํของนั้นเป็นของเคี้ยวของฉันที่ทรงอนุญาตให้กินได้ก่อนเที่ยงวัน

    ๓.อชฺโฌหรณํ มีการกลืนล่วงลำคอคงไป

    ๔. อนุมฺมตฺตกตาไม่ใช่คนบ้า

    (ขุทฺทก.อ ๑/๓/๔๒, อง.อ. ๑/๓/๔๐๑)

    หลังจากเที่ยงวันไปแล้วนอกจากน้ำเปล่าบริสุทธิ์แล้วผู้รักษาอุโบสถสามารถกลืนน้ำปานะดับกระหายหรือบรรเทาความหิวได้โดยไม่ทำให้องค์อุโบสถศีลข้อที่๖ แตกทำลาย

    น้ำปานะได้แก่ เครื่องดื่ม หรือน้ำสำหรับดื่มที่คั้นจากผลไม้ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาติแก่พระภิกษุให้รับประเคนแล้วสามารถเก็บไว้ฉันได้ตลอด

    ๑ วัน๑ คืน เรียกว่า ยามกาลิกทรงอนุญาติไว้อย่าง

    ๑.อัมพะปานะน้ำมะม่วง

    ๒. ชัมพุปานะน้ำชมพู่หรือน้ำหว้า

    ๓. โจจะปานะน้ำกล้วยมีเมล็ด

    ๔. โมจะปานะน้ำกล้วยไม่มีเมล็ด

    ๕. มะธุกะปานะ น้ำมะทรางต้องเจือด้วยน้ำจึงควร

    ๖. มุททิกะปานะน้ำลูกจันทน์หรือองุ่น

    . สาลุกะปานะน้ำเหง้าบัว

    ๘.ผารุสะกะปานะ น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่

    นอกจากน้ำปานะ ๘ อย่างแล้วท่านยังอนุญาตน้ำที่จะอนุโลมตามน้ำปานะไว้อีก เรียกว่า กัปปิยปานะอนุโลม คือ น้ำปานะที่สมควร ซึ่งฉันได้โดยไม่เป็นอาบัติในเวลาวิกาล ได้แก่

    น้ำปานะแห่งผลไม้เล็ก เช่น ลูกหวาย มะขาม มะงั่ว มะขวิด สะคร้อ และเล็บเหยี่ยว เป็นต้น

    นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้ฉันน้ำปานะเหล่านั้น ผสมกับน้ำตาลแล้วเคี่ยวไฟจนเข้มข้น (ยกเว้นที่ทำจากถั่วและนม) สามารถฉันได้ จัดเป็น อัพโพหาริก เช่น น้ำอัดลมในสมัยนี้แม้นน้ำผลไม้สำเร็จรูป เช่น น้ำองุ่นที่กรองเนื้อออกดีแล้วก็ดื่มได้

    น้ำที่ไม่ทรงอนุญาต ดื่มแล้วองค์อุโบสถต้องแตกทำลาย

    อกัปปิยปานะอนุโลม หรือ เครื่องดื่มที่ไม่พึงดื่ม คือ น้ำปานะที่ไม่สมควร ภิกษุดื่มในเวลาวิกาลไม่ได้ ถ้าดื่มต้องอาบัติปาจิตตย์ ได้แก่

    น้ำแห่งธัญชาติ (ข้าว)๗ ชนิด คือ ข้าวสาลีข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวละมานข้าวฟ่าง ลูกเดือย และหญ้ากับแก้

    น้ำแห่งมหาผล (ผลไม้ใหญ่ ) ๙ ชนิดคือ ผลตาลมะพร้าวขนุน สาเกน้ำเต้า ฟักเขียวแตงไทแตงโม และ ฟักทอง

    น้ำแห่งอปรัณณชาติ ได้แก่ ถั่วชนิดต่าง ๆมี ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ และงา เป็นต้น แม้นจะต้มจะกรองทำเป็นเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ ก็ย่อมเป็นอาบัติปาจิตตีย์

    นม ท่านจัดเป็นอาหารอันประณีตภิกษุสามเณรไม่พึงฉันยามวิกาล แม้นจะผสมกับเครื่องดื่มต่าง ๆ ก็ไม่ควรหากฉันก็ย่อมต้องอาบัติปาจิตตีย์

    ดังนั้น ผู้หวังความบริสุทธิ์ของอุโบสถมีองค์ ๘พึงงดเว้นเครื่องดื่มที่ทรงห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายในยามวิกาล

    ประสบการณ์สมัยบวชเป็นพระสงฆ์ในสำนักวัดป่า มีข้อที่ต้องศึกษาและควรรู้มากมายเกี่ยวข้อวัตรข้อนี้ จึงเป็นแรงบันดาลที่จะเขียน เพื่อให้ความรู้เรื่องน้ำปานะแก่อุบาสก อุบาสิกา เพื่อจะถือองค์อุโบสถศีลได้อย่างบริสุทธิ์ตลอดจนจัดหาน้ำปานะถวายแด่พระสงฆ์สามเณรในกาลพรรษานี้ได้อย่างถูกต้องตามพุทธานุญาตทุกประการ
    _________________________
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : คัมภีร์อุโบสถศีล

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...