"ปัญญาในพระพุทธศาสนา" คืออย่างไร ? เกิดขึ้นจากเหตุไหน? เพื่ออะไร ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 5 มกราคม 2012.

  1. ไม่ใช่ใคร

    ไม่ใช่ใคร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอคารวะในปฏิปทาของท่านครับ
     
  2. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    มิลินทปัญหา​


    [๐๘] ถามว่า โยนิโสมนสิการและปัญญา มีลักษณะอย่างไร
    ปัญหาที่ ๘ ถามลักษณะมนสิการ


    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่า

    ” ข้าแต่พระนาคเสน มนสิการ มีลักษณะอย่างไร ปัญญา มีลักษณะอย่างไร ? “

    พระนาคเสนตอบว่า

    ” มหาราชะ มนสิการ มีความ อุตสาหะ เป็นลักษณะ และมีการ ถือไว้ เป็นลักษณะ ส่วน ปัญญา มีการ ตัด เป็นลักษณะ “

    ” ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มนสิการ มีการถือไว้เป็นลักษณะอย่างไร ปัญญา มีการตัดเป็นลักษณะอย่างไร ขอจงอุปมาให้แจ้งด้วย ? “

    -----------------------------------------------------------------

    อุปมาคนเกี่ยวข้าว

    ” มหาบพิตรทรงรู้จักวิธีเกี่ยวข้าวบ้างไหม ? “

    ” อ๋อ…รู้จัก พระผู้เป็นเจ้า “

    ” วิธีเกี่ยวข้าวนั้นคืออย่างไร ? “

    ” ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คือคนจับกอข้าวด้วยมือข้างซ้าย แล้วเอาเคียวตัดให้ขาดด้วยมือข้างขวา “

    ” มหาราชะ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด คือ พระโยคาวจรถือไว้ซึ่ง มนสิการ คือกิเลสอันมีในใจของตนแล้ว ก็ตัดด้วย ปัญญา ฉันนั้น มนสิการ มีลักษณะถือไว้ ปัญญา มีลักษณะตัด อย่างนั้นแหละขอถวายพระพร “

    ” ถูกดีแล้ว พระนาคเสน “

    -----------------------------------------------------------------

    อธิบาย

    คำว่า มนสิการ มีลักษณะ ถือไว้ หมายถึงการกำหนดจิตพิจารณา ขันธ์ ๕

    คือร่างกายว่ามีสภาพเป็นอย่างไร

    ส่วน ปัญญา มีลักษณะ ตัด หมายถึงยอมรับนับถือกฏธรรมดาว่า ร่างกายมีสภาพเป็น อนิจจัง

    ทุกขัง อนัตตา ไม่ยึดถือว่า ” มันเป็นเราเป็นของเรา ” ดังนี้

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    [๑๘] ถามว่า ญาณ กับ ปัญญา เป็นอันเดียวกันมิใช่หรือ
    ปัญหาที่ ๓ ถามที่ดับปัญญา

    ” ข้าแต่พระนาคเสน ญาณ เกิดแก่ผู้ใด ปัญญา เกิดแก่ผู้นั้นหรือ ? “

    ” เกิด…มหาราชะ คือ ญาณ เกิดแก่ผู้ใด ปัญญา ก็เกิดแก่ผู้นั้น”

    ” ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งใดเป็นญาณสิ่งนั้นหรือเป็นปัญญา? “

    ” ถูกแล้ว…มหาราชะ คือสิ่งใดเป็นญาณก็สิ่งนั้นแหละเป็นปัญญา”

    ” ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ญาณได้เกิดแก่ผู้ใดปัญญานั้นได้เกิดแก่ผู้นั้น ผู้นั้นหลงหรือไม่หลง ? “

    ” มหาราชะ ผู้มีปัญญาหลงในบางสิ่งบางอย่าง ไม่หลงในบางสิ่งบางอย่าง”

    ” หลงในสิ่งไหน ไม่หลงในสิ่งไหน ? “

    ” ขอถวายพระพร หลงในศิลปะที่ไม่ชำนาญก็มี ในทิศที่ไม่เคยไปก็มี ในชื่อหรือสถานที่ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังก็มี “

    ” อ๋อ…แล้วไม่หลงในอะไร พระผู้เป็นเจ้า ? “

    ” ไม่หลงในสิ่งที่ตนรู้แล้วว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา “

    ” ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็โมหะ คือความหลงของผู้นั้นไปอยู่ที่ไหนล่ะ? “

    ” มหาราชะ พอ ญาณ เกิดแล้ว โมหะ คือความหลงก็ดับไปในญาณนั้นเอง”

    ” ขอนิมนต์อุปมาเถิด “

    -----------------------------------------------------------------

    อุปมาผู้จุดประทีป

    ” ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง จุดประทีปเข้าไปในเรือนที่มืด ในขณะนั้นความมืดก็ดับไป แสงสว่างก็ปรากฏขึ้นฉันใด เมื่อ ญาณ เกิดขึ้นแล้ว โมหะ ก็ดับไปในที่นั้นฉันนั้นแหละ”

    ” ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็ปัญญานั้นเล่า…ไปอยู่ที่ไหน? “

    ” มหาราชะ ปัญญา ทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไปในที่นั้นเอง สิ่งใดที่ทำด้วยปัญญานั้นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ดับ “

    ” ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า ปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไป แต่สิ่งใดที่ทำด้วยปัญญานั้นว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ดับ ดังนี้ “

    “ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาด้วย”

    -----------------------------------------------------------------

    อุปมาการเขียนเลข

    ” มหาราชะ เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้ใดรู้หนึ่ง อยากดูตัวเลขในกลางคืน จัดแจงให้จุดประทีปขึ้นเขียนเลข เมื่อประทีปดับแล้วเลขก็ยังไม่หายไป ข้อนี้มีอุปมาฉันใดปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น มิได้ดับไปฉันนั้น “

    ” ขอพระผู้เป็นเจ้าอุปมาให้ยิ่งขึ้น “

    -----------------------------------------------------------------

    อุปมาโอ่งน้ำ

    ” ขอถวายพระพร เปรียบประดุจพวกมนุษย์ในชนบทตะวันออก จัดตั้งโอ่งน้ำไว้ ๕ โอ่งข้างประตู เพื่อดับไฟที่จะไหม้เรือนเมื่อไฟไหม้เรือนแล้ว โอ่งน้ำ ๕ โอ่งนั้นเขาก็นำไปเก็บไว้ในละแวกบ้าน ไฟก็ดับไปชาวบ้านคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำสิ่งที่จำเป็นด้วยโอ่งน้ำเหล่านั้นอีก? “

    ” ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า เพราะไม่มีความจำเป็นกับโอ่งน้ำเหล่านั้นอีกแล้ว ด้วยว่าไฟก็ดับแล้วเขาจึงนำไปเก็บไว้อย่างนั้น “

    ” มหาราชะ ควรเห็น อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้นว่า เปรียบเหมือนกับโอ่งน้ำทั้ง ๕ พระโยคาวจรเปรียบเหมือนชาวบ้าน กิเลสเปรียบเหมือนไฟ กิเลสดับไปด้วยอินทรีย์ ๕ เปรียบเหมือนกับไฟดับไปด้วยน้ำทั้ง ๕ โอ่งนั้น

    กิเลสที่ดับไปแล้วย่อมไม่เกิดขึ้นอีกฉันใดเมื่อปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไปแต่สิ่งที่รู้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นมิได้ดับไปฉันนั้น “

    ” ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก “

    -----------------------------------------------------------------

    อุปมารากยา

    ” มหาราชะเปรียบปานประหนึ่งว่า แพทย์ผู้ถือเอารากยา ๕ รากไปหาคนไข้ บดรากยาทั้ง ๕ นั้น แล้วละลายน้ำให้คนไข้ดื่ม โรคนั้นก็หายไปด้วยรากยาทั้ง ๕ รากนั้น

    แพทย์นั้นคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำกิจที่ควรทำด้วยรากยาเหล่านั้นอีก ? “


    ” ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า “

    ” มหาราชะ รากยาทั้ง ๕ นั้น เหมือน อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น แพทย์นั้นเหมือนพระโยคาวจร ความเจ็บไข้เหมือนกิเลส บุรุษผู้เจ็บไข้เหมือนปุถุชน ไข้หายไปด้วยยาทั้ง ๕ รากนั้นแล้ว ผู้เจ็บไข้นั้น ก็หายโรคฉันใด

    เมื่อกิเลสออกไปด้วยอินทรีย์ ๕ แล้วกิเลสก็ไม่เกิดอีก อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่าปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งนั้น หามิได้ดับไปฉันนั้น “


    ” นิมนต์อุปมาให้ยิ่งกว่านี้อีก “

    -----------------------------------------------------------------

    อุปมาผู้ถือลูกธนู

    ” มหาราชะ เหมือนกับบุรุษผู้จะเข้าสู่สงคราม ถือเอาลูกธนู ๕ ลูก แล้วเข้าสู่สงคราม เพื่อต่อสู้กับข้าศึก เขาเข้าสู่สงครามแล้วก็ยิงลูกธนูไป ข้าศึกก็แตกพ่ายไป บุรุษนั้นคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำกิจด้วยลูกธนูเหล่านั้นอีก ? “

    ” ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า “

    ” มหาราชะ ควรเห็น อินทรีย์ ๕ เหมือนลูกธนูทั้ง ๕ พระโยคาวจรเหมือนกับผู้เข้าสู่สงคราม กิเลสเหมือนกับข้าศึก กิเลสแตกหักไปเหมือนกับ ข้าศึกพ่ายแพ้กิเลสดับไปแล้ว ไม่เกิดขึ้นอีกอย่างนี้แหละ มหาบพิตร

    ชื่อว่าปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นหามิได้ดับไป ขอถวายพระพร”


    ” แก้ดีแล้ว พระนาคเสน “

    -----------------------------------------------------------------

    ที่มา Being Buddhist ~ Blog ~

    -----------------------------------------------------------------

    ผมขอโมทนาในกุศลจิตของท่านเสขะ บุคคลด้วยครับ

    ขอให้ท่านเสขะ เจริญด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ครับ

    เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  3. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ปฎิบัติแล้วลดละทุกข์ได้จริง
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    ปัญญาทางพุทธศาสนา..คืออย่างไร ? เกิดขึ้นจากเหตุไหน? เพื่ออะไร ?

    (ตอบตามความรู้สึก ตามทัศนะ ความเห็นส่วนตนได้เต็มที่ครับ จะขอรับไปพิจารณา)
    ปัญญา ทางพุทธศาสนาคือ การยกธรรมใดก็ได้ขึ้นมาพิจราณา หรือโยนิโส แบบผ่าน "วิปัสสนา" ..จนเกิดปฏิเวธ..จากธรรมที่ยกมากำหนดครับ
    ขอนุโมทนากับพี่เสขะ..กรรมใดที่ได้ล่วงเกิน ขออโหสิกรรมกับผมด้วยครับ..ขอให้มีธรรมารมณ์เป็นฐาน สร้างสติและกำลังจิต ให้เข้มแข็ง และปลอดภาระทางโลกทั้งปวง เป็นกำลัง..สาธุ
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถ้ารู้ตัวเองได้ถึงที่สุดมันก็ไม่มีเรื่องต้องรู้อีกแต่ส่วนมากไม่รู้ตัวเองเลยต้องมีพระศาสดาคอยชี้บอก เมื่อพิจารณาตามแล้วจึงรู้ว่าโอเรานี่โง่นะที่ไม่รู้จัดตัวของตัวเอง เมื่อรู้จัดตัวของตัวเองแล้วทั้งหมดทั้งปวงเวลานั้นแหละเขาเรียกว่าปัญญาเกิด เป็นปัญญาในพระพุทธศาสนา นั่นเพราะเพราะตัวของตัวเองและสิ่งอื่นๆมันมีตั้งนานแล้วมันเกิดขึ้นก่อนหน้าเรานานแล้วมันเหมือนๆกันหมดแต่เราเองที่ไม่อาจรู้และเข้าใจมันได้
    สาธุคั๊บ
     
  6. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ก่อนอื่น ต้องขออโหสิกรรมกับท่านเสขะบุคลด้วย หากการกระทำใดที่ก็ให้เกิดกรรมที่ไม่ดี
    ต่อท่านเสขะบุคคล ข้าพเจ้าขอ อโหสิกรรมให้ และหากการกระทำใดที่ไม่ดีที่ทำให้เสขะบุคคล
    ขอให้ท่านเสขะบุคล อโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วย

    ปัญญา ทางพุทธศาสนา คือ อาการที่เข้าไป รู้ในสิ่งที่ ฟังคิดภาวนา ของการเข้าไปยึดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเเล้วถอนการยึดในสิ่งนั้นได้ตามความเป็นจริง

    เกิดจากการ ฟัง คิด ภาวนา แล้วเบื่อหน่าย (ถ้าไม่เบื่อหน่ายก็ยังหลง)

    เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์
     
  7. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    [​IMG]

    ผมขออดโทษงดโทษ เว้นจากหนี้กรรมหนี้เวรหนี้สินกับทุกท่าน ไม่ขอถือโทษโกรธเคือง อาฆาต พยาบาท จองกรรม จองเวรต่อ ทุกๆท่าน และเพื่อนๆพี่ๆทุกๆคน ทุกๆรูปนามครับ เป็นผู้หมดเวรหมดภัย อภัยอโหสิกรรมต่อกันตลอดไปครับ

    สาธุ ขอโมทนาใน เมตตา กรุณา และมุฑิตาจิตของทุกท่านครับ....สาธุ สาธุ สาธุ


    ,,,,,
    ^ ^) ...... อโหสิกรรม ต่อกันทั้งหมดทั้งสิ้นครับ
    _/|\ )
     
  8. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    ขอกราบน้อมนพ ระลึกถึงพระบารมีแห่งพระคุณแห่งพระศรีรัตนตรัยที่สถิตย์ทั่วทุกสถานในสากลจักรวาลจงอำนวยอวยชัยแก่พระมหาบพิตรแห่งจักรีวงศ์และบรมวงศานุวงศ์อันใกล้ชิดทรงพระเจริญและพ้นจากพยัญตรายอันมีโรคาพายาธิ พร้อมกันด้วยพี่น้องปวงชนทุกคนขอจงได้รับความสุขความเจริญตลอดปีใหม่นี้เทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...