บทความให้กำลังใจ(คิดบวก)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,116
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,030
    เยียวยาด้วยรัก
    ภาวัน
    ตอนอายุสามขวบ เธอถูกพ่อเลี้ยงล่วงละเมิดทางเพศ หกปีต่อมาเธอก็มีพ่อเลี้ยงคนใหม่ เป็นนักบิดรูปร่างใหญ่โต วัน ๆ ง่วนอยู่กับแก๊งมอเตอร์ไซค์ ชอบเสพยาในบ้าน ร้ายกว่านั้นก็คือ ชอบใช้กำลังกับแม่ของเธอและตัวเธอ เธอจึงกลายเป็นคนก้าวร้าวตั้งแต่เด็ก มีเรื่องตบตีกับเพื่อนเป็นประจำ

    พออายุ ๑๔ เธอหนีออกจากบ้าน ไปมั่วสุมกับเพื่อนวัยรุ่นด้วยกัน อายุ ๑๕ เธอถูกตำรวจจับ กว่าแม่จะมารับตัวเธอกลับบ้านก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไม่กี่ปีต่อมาเธอก็ถูกชายสองคนข่มขืน เธอโทษตัวเองว่าเป็นความผิดของเธอเองที่ไปบ้านเขาทั้ง ๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน เธอต้องทนอยู่กับความอับอายดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็ต้องเข้าหายาเสพติดเพื่อกลบความอับอายและเพื่อลืมความทรงจำอันเลวร้ายตั้งแต่วัยเด็ก ไม่นานก็ติดยาเต็มขั้น ยังดีที่ตอนอายุ ๒๑ เธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง อายุไล่ ๆ กับเธอ แต่ดูแก่เกินวัยมากราวกับอายุ ๔๐ เธอกลัวจะเป็นอย่างนั้น จึงตัดใจเลิกยา

    แล้วเธอก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ มีสามี มีลูกที่น่ารัก และมีงานที่ดี แต่ก็มีปัญหานอนไม่หลับและฝันร้ายเป็นประจำ จึงหันเขาหาธรรมะ ช่วยให้ใจสงบลงได้บ้าง แต่แล้ววันหนึ่งเธอเห็นผู้หญิงถูกตบตีกลางถนน ความรู้สึกบางอย่างกระตุกขึ้นมาในใจทันที เธอเกือบจะวิ่งเข้าไปหาชายอันธพาลคนนั้น แต่เพื่อนฉุดเธอไว้ได้ทัน เหตุการณ์นั้นได้ปลุกกระตุ้นความรู้สึกเก่า ๆ ให้ผุดโพลงขึ้นมาอย่างรุนแรง มันเป็นทั้งความโกรธ ความรู้สึกไร้คุณค่า และสิ้นไร้ไม้ตอก แล้วฝันร้ายก็กลับคืนมา รวมทั้งความทรงจำอันเลวร้ายในอดีต เธอไม่กล้าเข้าหายาเสพติด แต่หันไปพึ่งเหล้าแทน เพื่อปัดเป่าความรู้สึกย่ำแย่ดังกล่าวออกไปจากจิตใจ

    แน่นอนเหล้าไม่ได้ช่วยเธอเลย เมื่อตั้งสติได้เธอหันไปหาสมาธิภาวนา เธอฝึกสติอย่างจริงจัง เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยใจให้หลงไปกับอดีต ขณะเดียวกันก็รู้ทันอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ผลักไส เธอได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอนั้น ไม่สำคัญเท่ากับว่า เธอรู้สึกกับมันอย่างไร เมตตาภาวนายังช่วยให้เธอรับมือกับความทรงจำอันเจ็บปวดได้ รวมทั้งสามารถให้อภัยคนที่ทำร้ายเธอ

    คราวหนึ่งเธอได้ไปปฏิบัติธรรม โดยเน้นที่การเจริญเมตตาจิต คืนหนึ่งเธอฝันถึงพ่อเลี้ยงที่เป็นนักบิดติดยา ในฝันนั้นตัวเขาเล็กลงเหลือแค่หนึ่งในสาม นั่งทรุดพิงกำแพงราวกับคนหมดสภาพ ขณะที่เธอเดินเข้าไปหาเขา เธอพบว่าเขาเป็นคนที่สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงรังควานและคุกคามคนอื่นเพื่อจะได้รู้สึกว่ามีอำนาจ ทันทีที่รู้เช่นนี้ ความโกรธเกลียดที่เคยมีต่อเขาก็หายไป เกิดความสงสารขึ้นมาแทนที่ เป็นครั้งแรกที่เธอเมตตาเขาและให้อภัยเขาได้อย่างแท้จริง

    วันรุ่งขึ้น เธอตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาโล่ง ความทรงจำอันเจ็บปวดที่เธอแบกมานานกว่า ๒๐ ปี หลุดไปอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดเธอก็เป็นอิสระจากอดีตอันเลวร้าย หลังจากวันนั้นฝันร้ายก็ไม่มารบกวนเธออีก ต่อมาไม่นานเธอได้พบกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง คำพูดบางประโยคของเขา หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงเจ็บปวด แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกอะไรแล้ว แทนที่จะตอบโต้ด้วยความโมโห เธอกลับพูดด้วยความสงบ จิตเปี่ยมเมตตา เธอรู้สึกว่าที่เขาพูดเช่นนั้นก็เพราะเขามีความทุกข์ มีความเจ็บปวด

    จากคนที่ขาดความอบอุ่น รู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่าและไม่มีใครรัก เจ็บแค้นเพราะถูกข่มเหงรังแก เธอได้กลายมาเป็นคนใหม่ เพราะได้คิดว่า คนที่ทำร้ายเธอนั้นแท้จริงเป็นคนน่าสงสาร ที่มีบาดแผลในจิตใจมาก่อน ความโกรธแค้นเปลี่ยนมาเป็นความเห็นใจและความเมตตา ขณะเดียวกันความเมตตาที่เติมเต็มจิตใจ ก็ทำให้เธอกลับมารักตัวเองได้อย่างแท้จริง ไม่รู้สึกเกลียดชังตนเอง หรือรู้สึกว่าตนไร้คุณค่า ไม่คู่ควรต่อความรักอีกต่อไป

    เบื้องหลังพฤติกรรมอันเลวร้ายของผู้คนนั้น มักได้แก่การขาดความรักและรู้สึกไร้คุณค่า ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เพียงทำร้ายคนอื่นเท่านั้น หากยังนำไปสู่พฤติกรรมที่ทำร้ายตนเองอีกด้วย ต่อเมื่อจิตใจได้รับการเติมเต็มด้วยความรัก ชีวิตจึงจะหันไปสู่ความดีงามทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แต่ความรักที่ได้จากใครนั้น มากเพียงใดก็ไม่สำคัญเท่ากับความรักที่บ่มเพาะในใจตน รวมทั้งความรักที่ให้แก่ตนเอง เมื่อรักตนเองได้อย่างแท้จริง ความรักผู้อื่นก็จะเป็นเรื่องง่าย
    :- https://visalo.org/article/Image255702.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,116
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,030
    TigerBali.jpg
    ใจดีสู้เสือ

    ภาวัน
    ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากหนังสือเรื่อง เดินสู่อิสรภาพ อันเป็นบันทึกการเดินเท้าจากเชียงใหม่ไปยังเกาะสมุยบ้านเกิดเยี่ยงนักจาริกแสวงบุญจนค้นพบความหมายของชีวิตในมิติทางจิตวิญญาณ ชีวิตและมุมมองที่เปลี่ยนไปของเขาเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายจนทุกวันนี้

    เขาเคยเล่าประสบการณ์บางช่วงในวัยหนุ่มให้แก่นิตยสาร Way เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า วันหนึ่งเขากับเพื่อนเดินผ่านตลาด จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง “แชะ”ดังจากซอกตึก เมื่อมองไปยังต้นเสียงก็พบว่ามีคนยืนถือปืนจ้องมายังทั้งคู่ เสียงนั้นคือเสียงลั่นไกปืนนั้นเอง เขาตกใจมาก วิ่งหนีสุดชีวิตด้วยความกลัวตาย แต่เพื่อนเขาไม่ได้วิ่งตามมาด้วย หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เขาได้พบเพื่อนคนนั้นอีกครั้ง แทนที่จะแสดงความดีใจ เขากลับชี้หน้าด่าว่า “มึงอย่าทำแบบนั้นอีกเป็นอันขาด” เพื่อนเล่าว่า แทนที่เขาจะวิ่งหนี กลับกระโจนเข้าไปหามือปืนจนหมอนั่นตกใจวิ่งหนีไป

    คำพูดของเพื่อนผู้นั้น ได้สอนเขาว่า “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความกลัว อย่าวิ่งหนี ต้องกระโจนเข้าหา เพื่อจะได้รู้ว่าความกลัวไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป”

    ไม่ว่าเรากลัวอะไรก็ตาม หากเราวิ่งหนีสิ่งนั้นอยู่ร่ำไป มันก็จะตามมาหลอกหลอนเราไม่หยุดหย่อน นักธุรกิจที่กลัวความล้มเหลว ไม่ว่าทำอะไร ก็กลัวว่าจะล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมักเลือกสิ่งจำเจหรือย่ำเท้าอยู่กับที่มากกว่าที่จะกล้าริเริ่มสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าชีวิตแบบนี้ย่อมน่าเบื่อ คนที่กลัวความแก่ ก็จะประหวั่นทุกครั้งที่พินิจใบหน้าของตนในกระจกเพราะกลัวว่าจะเห็นรอยย่น ที่ร้ายก็คือ หลายอย่างที่เรากลัวนั้นไม่ว่าจะหนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้น สักวันหนึ่งก็ต้องเจอเข้ากับตัว ความล้มเหลวและความแก่คือส่วนเสี้ยวของความจริงที่เราต้องเจอทุกคน ถ้ายังกลัวมันอยู่ ถึงตอนนั้นก็จะทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง

    ดังนั้นแทนที่จะคิดหนีมัน ไม่ดีกว่าหรือที่จะหันหน้ามาเผชิญกับมัน เพียงเท่านี้ก็ทำให้มันลดความน่ากลัวลงไปทันที พิษสงที่เคยคิดว่ามันมีอยู่มากมาย กลับละลายหายไป ถึงตอนนั้นก็จะพบว่า แท้จริงแล้วมันไม่น่ากลัวเลย สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือความกลัวในใจเราต่างหาก

    มีคำกล่าวว่า “ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความกลัว” หลายคนพบว่า มะเร็งไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวมะเร็ง มะเร็งนั้นทำร้ายได้แต่ร่างกาย แต่ถ้ากลัวมะเร็งแล้ว มันสามารถบั่นทอนทั้งจิตใจและร่างกาย ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไร้ชีวิตชีวา เหมือนคนตายทั้งเป็น มีบางคนที่ร่างกายปกติ แต่หมอวินิจฉัยผิดว่าเป็นมะเร็ง ทันทีที่รู้ข่าวก็ทรุดทันที ตรงข้ามกับผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่ยอมรับความจริงได้ กลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม ดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข

    เมื่อกลัวอะไรก็ตาม พึงรู้ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ความกลัวในใจเรา ดังนั้นสิ่งที่ควรจัดการเป็นอย่างแรกคือความกลัวในใจ อย่าปล่อยให้มันครอบงำใจหรือบงการชีวิตเรา แต่ควรรู้ทันมัน และถอนพิษสงของมัน ด้วยการทำตรงข้ามกับที่มันสั่ง เมื่อมันสั่งให้หนีสิ่งใด ก็ควรเดินหน้าเข้าหาสิ่งนั้น วิธีนี้นอกจากทำให้มันมีอำนาจเหนือจิตใจของเราน้อยลงแล้ว เรายังจะพบว่าสิ่งที่เรากลัวนั้น แท้จริงไม่น่ากลัวแต่อย่างใด เอาเข้าจริง ๆ มันกลับกลัวเราด้วยซ้ำ จนต้องล่าถอยไป เช่นเดียวกับมือปืนที่กระโจนหนีไปทันทีเมื่อเห็นเหยื่อกระโดดเข้าหา

    ใช่หรือไม่ว่า ที่คนโบราณสอนว่า “ใจดีสู้เสือ” ก็คงเพราะเสือจะเป็นฝ่ายกลัวเราทันทีที่เราไม่กลัวมัน

    :- https://visalo.org/article/Image255705.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,116
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,030
    มองแต่ไม่เห็น
    ภาวัน
    ขณะที่เขาขับมอเตอร์ไซค์ใกล้ถึงสี่แยก ก็เห็นสัญญาณไฟเขียว จึงพุ่งไปข้างหน้า แต่พอถึงกลางสี่แยก รถเก๋งซึ่งแล่นมาจากทิศทางตรงกันข้าม ก็เลี้ยวซ้ายแล้วชนเขาอย่างจัง เขากระเด็นจากรถกระแทกพื้น โชคดีที่เขาเพียงแต่ดั้งจมูกหักและเสียฟันไปสองสามซี่ อย่างไรก็ตามเขาถูกปรับเนื่องจากไม่สวมหมวกกันน็อค ส่วนคนขับรถเก๋งถูกปรับที่ไม่ยอมให้ทางรถมอเตอร์ไซค์

    เหตุการณ์นี้ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าเมืองเล็กเมืองใหญ่ สาเหตุนั้นมักสรุปกันว่าเป็นเพราะความประมาทของคนขับไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย แต่บ่อยครั้งทั้งคู่ยืนยันว่าตนขับด้วยความระมัดระวัง คนขับรถเก๋งหลายคนยืนยันว่าไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์เลยก่อนที่จะพุ่งชน บางคนถึงกับบอกว่า “ผมให้สัญญาณไฟเลี้ยวก่อนแล้ว หนำซ้ำยังดูจนแน่ใจว่าถนนว่าง จึงเลี้ยว จู่ ๆ ก็มีอะไรมาชนรถของผม มารู้อีกทีก็เห็นคนนอนแผ่อยู่บนถนนพร้อมกับมอเตอร์ไซค์” ส่วนคนขับมอเตอร์ไซค์ก็พูดทำนองว่า “ผมขับอยู่ดี ๆ รถคันนั้นก็พุ่งมาชนผม แถมคนขับยังมองมาที่ผมด้วยซ้ำ “

    เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากจนยากที่จะสรุปว่าเป็นเพราะความประมาทอย่างเดียว ในที่สุดนักวิชาการคู่หนึ่งเชื่อว่าตนพบคำตอบ คริสโตเฟอร์ ชาบริส และดาเนียล ไซมอนส์ ได้ทำการทดลองที่มีชื่อเสียงมาก เขานำวีดีโอคลิปความยาวไม่ถึง ๑ นาทีมาให้คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าชม วีดีโอนั้นเป็นภาพนักกีฬา ๒ ทีมเดินสลับกันไปมาในวง ระหว่างนั้นก็โยนลูกบาสเกตบอลให้แก่เพื่อนในทีมไปด้วย ทีมหนึ่งใส่เสื้อสีขาว อีกทีมหนึ่งใส่เสื้อสีดำ รวมแล้วมีไม่ถึงสิบคน

    สิ่งที่ผู้ชมได้รับมอบหมายให้ทำก็คือ นับในใจว่าทีมเสื้อขาวนั้นโยนลูกให้กันกี่ครั้ง โดยไม่ต้องสนใจทีมเสื้อดำ เมื่อฉายวีดีโอเสร็จ ผู้ฉายก็ถามว่า มีการโยนลูกกี่ครั้ง แน่นอนว่าคำตอบค่อนข้างหลากหลาย แต่ที่จริงนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่คำถามข้อที่สองว่า “ระหว่างที่นับลูกนั้น มีใครเห็นกอริลล่าบ้าง” ประมาณครึ่งหนึ่งรู้สึกงงงันว่า เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ดังนั้นจึงมีการฉายคลิปวีดีโอนั้นซ้ำอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนไม่ต้องนับแล้ว และให้สังเกตว่าเห็นอะไร ไม่นานทุกคนก็พบคำตอบ เพราะพอคลิปวีดีโอฉายได้ไม่ถึง ๓๐ วินาที ก็มีคนแต่งชุดกอริลล่าเดินเข้ามากลางวงปะปนอยู่กับทั้งสองทีม แถมยังหันหน้าให้กล้อง และตบอกก่อนที่จะเดินจากไป

    “กอริลล่า”นั้นปรากฏกลางจอนาน ๙วินาที แต่เกือบครึ่งของผู้ชมมองไม่เห็นเลย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ เมื่อใจเราจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่าง มีแนวโน้มที่เราจะมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด ทั้ง ๆ ที่มันอยู่ต่อหน้าเราแท้ ๆ

    มีการทดลองทำนองนี้อยู่หลายครั้ง โดยนักวิชาการคนละกลุ่ม คราวหนึ่งเปลี่ยนจากคนเล่นบาสเกตบอล มาเป็นตัวอักษรสีขาวและสีดำ คนดูเพียงแต่นับอักษรสีขาวที่เคลื่อนมาแตะริมจอคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องสนใจสีดำ ปรากฏว่าร้อยละ๓๐ มองไม่เห็นกากบาทสีแดงที่เคลื่อนมากลางจอ ทั้ง ๆ ที่สีแดงเป็นสีที่โดดเด่น ต่างจากกอริลลาสีดำซึ่งเป็นสีเดียวกับของอีกทีมหนึ่งที่โยนบาสเกตบอลในการทดลองก่อนหน้านั้น

    มีการทดลองอีกครั้งหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์โดยตรง คราวนี้กำหนดให้อาสาสมัครขับรถโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จำลองสถานการณ์จริง (simulator) ทุกคนได้รับโจทย์ว่า เมื่อถึงสี่แยก ให้มองหาลูกศรสีน้ำเงินซึ่งชี้ว่าให้เลี้ยวไปทางไหน ทั้งนี้ไม่ต้องสนใจลูกศรสีเหลือง ขณะที่รถวิ่งมากลางสี่แยก ก็ให้รถมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งแล่นสวนมาแล้วหยุด การทดลองพบว่า หากคนขับมอเตอร์ไซค์สวมเสื้อสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีเดียวกับลูกศรที่ต้องมอง คนขับรถเก๋งจะสังเกตเห็นและหยุดทัน แต่ถ้าคนขับมอเตอร์ไซค์สวมเสื้อสีเหลือง ร้อยละ ๓๖ จะพุ่งขับชน โดยที่บางคนไม่ได้แตะเบรกเลยด้วยซ้ำ

    การทดลองเหล่านี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า คนเรามิได้เห็นทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้า หากเป็นสิ่งที่ไม่คาดหวังว่าจะเจอหรือไม่อยู่ในความสนใจ ก็มีแนวโน้มที่จะมองไม่เห็น นั่นหมายความต่อไปว่า สิ่งที่เราไม่เห็น ก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งนั้นไม่มี ดังนั้นจึงอย่าเชื่อสายตาของเรามากนัก เพราะมันมีข้อจำกัดมากมาย

    บ่อยครั้งที่ผู้คนทะเลาะกันเพราะเชื่อสายตาของคนมากไป แต่ถ้าเราไม่ยึดมั่นสำคัญหมายว่าสิ่งที่เราเห็นเท่านั้นที่เป็นความจริง เราคงจะทะเลาะกันน้อยลง และฟังกันมากขึ้น
    :- https://visalo.org/article/Image255412.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,116
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,030
    หลุมดำปราบเซียน
    ภาวัน
    ปาร์กเกอร์ ปาล์มเมอร์ เป็นครูที่มีประสบการณ์การสอนมานานกว่า ๓๐ ปี เขียนหนังสือติดอันดับขายดีหลายเล่ม เขาได้รับการยกย่องจากหลายวงการในสหรัฐอเมริกา ไม่เฉพาะแต่วงการการศึกษาเท่านั้น นอกจากปริญญากิตติมศักดิ์ ๑๐ ใบแล้ว เขายังได้รับรางวัลระดับชาติมากมาย

    ทั้ง ๆ ที่ได้รับความสำเร็จมากมาย แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ให้บทเรียนล้ำค่าแก่เขา

    คราวนั้นเขาได้มาจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่คณาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมิดเวสท์ การอบรมครั้งนั้นสำเร็จอย่างงดงาม เขาได้รับความชื่นชมจากผู้คนถ้วนหน้า หลายคนบอกว่าปาร์กเกอร์ทำให้พวกเขาเข้าใจศิลปะการสอนลึกซึ้งขึ้น ดังนั้นเมื่อเขาได้รับการขอร้องให้ช่วยสาธิตการสอนสักหนึ่งชั่วโมง เขาจึงตอบตกลง ตอนนั้นเขาไม่เฉลียวใจเลยว่านี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาก

    ห้องเรียนที่เขาอาสาเป็นครูชั่วคราวนั้น เป็นห้องเรียนวิชารัฐศาสตร์ มีนักศึกษาอยู่ ๓๐ คน ทุกคนในห้องดูสนใจเรียน ยกเว้นคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่แถวสุดท้ายของห้อง หมวกแก๊ปถูกดึงลงมาปิดตา จึงมองไม่ออกว่าเขากำลังหลับหรือลืมตาอยู่ บนโต๊ะของเขาว่างเปล่า ไม่มีสมุดบันทึกหรือเครื่องเขียนเลย แถมเอนกายนอนขนานกับพื้นราวกับกำลังเลื้อย

    “นักศึกษาจากนรก”คนนี้เป็นเสมือนสิ่งท้าทายความสามารถของปาร์กเกอร์ ตลอดทั้งชั่วโมงเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อปลุกชายหนุ่มคนนี้ให้ตื่นจากความหลับใหล หันมากระตือรือร้นสนใจการเรียน แต่ยิ่งพยายามเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่เพราะไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จเลย แต่เขาจะยอมแพ้ได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นครูที่จัดเจนและได้รับความยกย่องจากผู้คนมากมาย นั่นยิ่งทำให้เขาพยายามเอาชนะชายหนุ่มคนนี้ให้ได้ โดยไม่สนใจนักศึกษาที่เหลือทั้งชั้น ชายหนุ่มคนนั้นกลายเป็น “หลุมดำ”ที่ดูดพลังงานเขาไปจนหมดสิ้น ผลก็คือชั่วโมงนั้นกลายเป็นชั่วโมงที่ยาวนานและแสนทรมาน อีกทั้งจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากเขาจะดึงความสนใจชายหนุ่มคนนี้ไม่สำเร็จแล้ว นักศึกษาคนอื่น ๆ ที่เหลือก็ไม่ได้อะไรจากการสอนของเขาเลย

    เมื่อจบชั่วโมง เขารู้สึกอับอายขายหน้ามาก เพราะตกม้าตายต่อหน้านักศึกษาและบรรดาครูที่ชื่นชมยกย่องเขา เขารู้สึกสมเพชตัวเองและเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง มันทำให้เขาสูญเสียความเคารพตนเอง กลายเป็นแผลฉกรรจ์ในจิตใจของเขา

    เมื่อใคร่ครวญเหตุการณ์ครั้งนั้นในภายหลัง เขาพบว่าความผิดพลาดที่สำคัญของเขาก็คือ การหมกมุ่นจดจ่ออยู่กับนักศึกษาคนนั้นคนเดียว ปล่อยให้นักศึกษาคนอื่นหายไปจากสายตาของเขา นี้เป็นความผิดพลาดอย่างเดียวกับที่ครูฝึกสอนไร้เดียงสาทำเป็นประจำ

    ถ้าเพียงแต่เขาปล่อยวางชายหนุ่มคนนั้นลงบ้าง แล้วหันมาให้ความใส่ใจกับนักศึกษาคนอื่น ๆ เขาย่อมจะมีกำลังใจในการสอน เพราะคงได้เห็นแววตาแห่งความสนใจใฝ่รู้ของคนเหล่านั้น การสอนของเขาในวันนั้นจะกลายเป็นความสนุกได้ไม่ยาก เขาอาจปลุกความกระตือรือร้นของนักศึกษาทั้ง ๓๐ คนไม่ได้ แต่การกระตุ้นความใฝ่รู้ของนักศึกษา ๒๙ คนก็เป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมมิใช่หรือ

    ประสบการณ์ดังกล่าวของปาร์กเกอร์ เป็นบทเรียนอย่างดีสำหรับครูหรือผู้บรรยาย แทนที่จะมัวจดจ่อใส่ใจกับผู้ฟังบางคนที่นั่งหลับ คุยโทรศัพท์ หรือเล่นไลน์ จนหัวเสียและไม่มีสมาธิกับการสอนการบรรยาย หากหันมาสนใจผู้ฟังส่วนใหญ่ในห้อง ก็คงไม่ตกม้าตายง่าย ๆ

    แต่ถึงจะไม่ใช่ครูหรือผู้บรรยาย ประสบการณ์ของปาร์กเกอร์ก็เป็นเครื่องเตือนใจอย่างดีว่า อย่ามัวจดจ่ออยู่กับปัญหาอุปสรรคหรือข้อบกพร่อง จนละเลยประโยชน์ ความสำเร็จ หรือข้อดี ของสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังทำอยู่ ถ้าจดจ่อแต่อย่างแรก ก็มีแต่จะท้อและอ่อนล้า แต่ถ้าจดจ่ออย่างหลัง ก็จะมีกำลังใจ และทำให้สนุกกับงานได้ไม่ยาก

    ถ้าคุณรู้สึกแย่กับชีวิต นั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังทำความผิดพลาดอย่างเดียวกับปาร์กเกอร์ในเหตุการณ์ครั้งนั้น
    :- https://visalo.org/article/Image255712.html


     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,116
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,030
    คอยได้ ใจเย็น
    ภาวัน
    คนไทยคนหนึ่งเล่าว่า เคยไปซื้อหนังสือที่ร้านดังกลางกรุงโอซากา ซึ่งมีสาขาทั่วประเทศ (รวมทั้งที่เมืองไทยด้วย) เมื่อเลือกหนังสือได้แล้ว ก็ไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ๓,๙๗๑ เยนคือราคาหนังสือรวมภาษีด้วย อันที่จริงถ้าจ่ายด้วยธนบัตร ๕,๐๐๐ เยนก็ไม่มีปัญหา แต่เนื่องจากเขามีเหรียญเยอะมาก จึงล้วงจากกระเป๋ามาเต็มกำมือ พร้อมกับธนบัตร ๑,๐๐๐ เยน ๓ ใบ ปัญหาเกิดขึ้นตรงที่ว่าเขาไม่คุ้นกับเหรียญญี่ปุ่น จึงนับเหรียญได้ช้ามาก เพราะมีทั้งเหรียญ ๑ เยน ๑๐ เยน ๕๐ เยน ๑๐๐ เยน และ ๕๐๐ เยน ยิ่งนับก็ยิ่งงง เพื่อนคนไทยเลยมาช่วยนับด้วย แต่ก็ไม่ทำให้เร็วขึ้นเท่าใด สุดท้ายก็เลยยื่นเหรียญทั้งกำให้พนักงานขายช่วยนับให้

    ระหว่างที่ลูกค้าง่วนอยู่กับการนับเหรียญ พนักงานขายก็ยืนรออย่างสงบ ไม่แสดงให้เห็นเลยว่าลูกค้ากำลังทำให้เขาเสียเวลา ครั้นลูกค้ายื่นเหรียญมาให้นับ เขาก็ยินดีทำโดยไม่มีอาการหงุดหงิดหรือเร่งรีบ ทั้ง ๆ ที่มีลูกค้าคนอื่นเข้าแถวรออยู่

    ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่ถือว่าเวลาเป็นทรัพย์สินสำคัญ จะเรียกว่าเวลาเป็นเงินเป็นทองก็ได้ เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงจะถูกซอยถี่ยิบเป็นนาทีหรือวินาทีทีเดียว เห็นได้จากตารางรถไฟทั่วประเทศ เวลาที่รถไฟมาถึงและออกจากสถานี จะไม่เป็นตัวเลขกลม ๆ แต่จะระบุเป็นนาทีเลย (เช่น ๗.๕๘ น.) แล้วรถไฟก็มาตรงตามเวลาเป๊ะเสียด้วย หากมาช้าไปแค่นาทีเดียว ก็อาจก่อปัญหาตามมา

    มองในแง่นี้การมีชีวิตเร่งรีบของคนญี่ปุ่นจึงเป็นเรื่องธรรมดามากโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ แต่ในอีกด้านหนึ่งเรากลับพบว่าคนญี่ปุ่นมีความอดทนในการรอคอยมาก ไม่ใช่จำเพาะในร้านหนังสือชื่อดังเท่านั้น แต่เห็นได้ในแทบทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งบนท้องถนน

    ใกล้ ๆ ร้านหนังสือดังกล่าว เป็นศูนย์การค้าที่มีคนพลุกพล่านมาก บาทวิถีเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ว่าใครจะเร่งรีบมาจากไหน แต่พอเห็นไฟแดงบนถนนฝั่งตรงข้าม ทุกคนก็หยุดหมด ทั้ง ๆ ที่ถนนบางสายแคบชนิดที่เรียกว่าซอยจึงจะถูก เพราะกว้างแค่ ๓-๔ เมตร แถมไม่มีรถวิ่งเลย คนนับร้อยก็ยังรอคอยอย่างสงบ ต่อเมื่อไฟเขียวสว่างจ้า จึงพากันเดินข้ามถนน

    เป็นธรรมดาที่เราจะเห็นคนเข้าคิวยาวอยู่หน้าร้านอาหารตอนเที่ยง ในเมืองไทยหรือแม้แต่กรุงเทพ ฯ ภาพแบบนี้หาได้ยากเพราะคนไทยไม่ค่อยยอมเสียเวลากับการรอคอยเพียงเพื่อจะได้กินอาหารสักมื้อ ที่จริงกับเรื่องอื่น ๆ คนไทยก็ไม่ค่อยอดทนกับการรอคอยเช่นกัน พนักงานขายหากเจอลูกค้าควักเหรียญเป็นกำมานับต่อหน้า หรือจ่ายเป็นเหรียญ แทนที่จะจ่ายด้วยธนบัตร มักแสดงอาการไม่พอใจให้เห็น (มีบางคนโดนพนักงานเก็บเงินบนเรือด่วนขว้างเหรียญลงพื้นต่อหน้าต่อตา) ส่วนพนักงานขับรถ หากจอดเข้าป้ายแล้ว ผู้โดยสารไม่รีบขึ้นรถ ก็มักจะชิงออกรถไปก่อน

    แต่ในญี่ปุ่นภาพที่เห็นกลับตรงกันข้าม ในเมืองฟูกูโอกะ ขณะที่รถโดยสารกำลังจะเคลื่อนจากป้าย พนักงานขับรถมองกระจกหลังเห็นคุณยายเดินกระย่องกระแย่งมาแต่ไกล เขาดับเครื่องทันทีเพื่อคอยคุณยายมาขึ้นรถ ไม่มีผู้โดยสารคนใดบ่นหรือไม่พอใจพนักงานขับรถ ทั้ง ๆ ที่ต้องคอยนานหลายนาที

    การรู้จักคอยกับความเจริญก้าวหน้าของคนญี่ปุ่น น่าจะมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง เมื่อรู้จักคอย อดทนได้กับผลลัพธ์ที่ยังมาไม่ถึง จึงทำให้ขยันหมั่นเพียรได้ต่อเนื่อง จนประสบความสำเร็จ ตรงกันข้ามกับคนที่คอยไม่เป็น หวังเห็นผลเร็ว ๆ พอทำไปได้สักพัก ไม่เห็นผลสำเร็จเสียที ก็ท้อแท้และเลิกกลางคัน

    สาเหตุที่คนไทยเป็นอันมากนิยมทางลัด อยากรวยเร็ว ๆ ดังเร็ว ๆ จนต้องหันไปใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง เช่น เล่นพนัน คอร์รัปชั่น ใช้เส้นสาย หรือเอาตัวเข้าแลก ส่วนหนึ่งก็เพราะคอยไม่เป็นนั่นเอง
    :- https://visalo.org/article/Image255609.html
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,116
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,030
    enemywithin.jpg
    หัวโขน

    ภาวัน
    ตอนที่เขาตัดสินใจออกนิตยสารฉบับใหม่ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ หาใช่มือใหม่ในวงการหนังสือไม่ เขามีชื่อเสียงมาก่อนแล้วจากการเป็นบรรณาธิการนิตยสารชั้นนำเช่น Trendy Man และ IMAGE แต่นั่นมิใช่หนังสือในฝันของเขา เขาอยากมีอิสระทำนิตยสารอย่างที่ใจรัก โดยไม่อยู่ในอาณัติของนายทุน เขากับเพื่อนจึงลงขันทำนิตยสารที่ตั้งใจว่าไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

    เขาสร้างนิตยสาร a day โดยเริ่มต้นจากศูนย์ เขาจึงต้องนับหนึ่งในทุกเรื่อง รวมทั้งออกไปขายโฆษณาด้วยตนเอง เขามั่นใจว่านิตยสารของเขาจะได้รับความสนใจจากวงการโฆษณา อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่วัยละอ่อนในวงการ แต่แล้วเขาก็ได้บทเรียนที่สำคัญ

    วันนั้นเขาเข้าไปที่บริษัทเอเจนซี่โฆษณาตามเวลาที่นัดหมาย เมื่อไปถึงแทนที่พนักงานบริษัทจะให้เขาขึ้นไปพบกับผู้วางแผนโฆษณา กลับก็ให้เขานั่งรอที่ห้องล็อบบี้ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พนักงานบริษัทก็ลงมาบอกกับเขาอย่างห้วน ๆ ว่าวันนี้เจ้านายไม่ว่าง ขอเลื่อนนัดไปวันหลัง ทันทีที่ได้ยิน ความรู้สึกในตอนนั้นของเขาคือ “เสียใจ เจ็บ บอบช้ำ...รู้สึกด้อยค่ามากเลย”

    เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธอย่างนั้น เพราะตอนที่เขาเป็นบก.นิตยสารชื่อดังนั้น ใคร ๆ ก็เกรงใจเขา ปีใหม่ก็มีคนเอากระเช้าของขวัญมาให้มากมาย แต่ทันทีที่เขามาเป็นบก.นิตยสารออกใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เขาก็กลายเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีใครให้ความสนใจ เป็นความเจ็บปวดมิใช่น้อยที่เขาพบว่า“ผมแม่งก็แค่ nobody คนหนึ่ง”

    หลังจากความขุ่นเคืองจางคลาย เขาก็ได้คิดว่า ปัญหาอยู่ที่เขาประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป การถูกเมินเฉยทำให้เขาเห็นตัวเองอย่างที่เป็นจริง เขาพูดถึงประสบการณ์ครั้งนั้นว่า “มันคือการกลับไปสู่ตัวตนของเราจริง ๆ นั่นคือเราไม่ได้เป็นใครที่สำคัญเลย”

    การเป็นบก.นิตยสารชั้นนำทำให้เขาหลงคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เพราะใคร ๆ ก็เข้าหา แต่ในที่สุดเขาก็รู้ว่านั่นเป็นเพราะหัวโขนที่เขาสวมต่างหาก ทันทีที่ถอดหัวโขน ผู้คนก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป จนกว่าเขาจะมีหัวโขนใหม่ที่ดูดีไม่น้อยกว่าเดิม

    บนเวที แม้นว่าพระรามหรือทศกัณฐ์ จะมีฤทธานุภาพสร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้ชมมากมายเพียงใด ผู้แสดงทุกคนย่อมรู้ดีว่า บทบาทหรือหัวโขนที่ตนสวมใส่ต่างหากที่สะกดผู้คนเอาไว้ หาใช่เป็นเพราะตัวเขาเองไม่ ดังนั้นเมื่อการแสดงสิ้นสุด ได้เวลาถอดหัวโขน ผู้เล่นทุกคนย่อมพร้อมที่จะกลับคืนสู่ความเป็นคนธรรมดาที่กลืนหายไปกับฝูงชน

    แต่ในชีวิตจริงคนจำนวนไม่น้อยหาได้ตระหนักไม่ว่า เป็นเพราะหัวโขนที่ตนสวมใส่ อันได้แก่ ตำแหน่งหน้าที่ หรือยศถาบรรดาศักดิ์ จึงทำให้ผู้คนยำเกรง ดังนั้นเมื่อพ้นตำแหน่งหรือไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ จึงทำใจไม่ได้เมื่อพบว่าไม่มีใครให้ความสนใจกับตนอีกต่อไป

    ผู้ว่าราชการจังหวัดใหญ่ผู้หนึ่ง เมื่อเกษียณจากราชการ กลับมาเป็นประชาชนเต็มขั้น รู้สึกอาลัยวันคืนเก่า ๆ ที่เคยมีอำนาจวาสนา เขามีชีวิตอย่างหงอยเหงานานนับปี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับเชิญให้ไปร่วมงานในจังหวัดที่ตนเคยพ่อเมือง เขาดีใจมากและเฝ้ารอวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ แต่เมื่อไปร่วมงาน ปรากฏว่าบริษัทบริวารที่เคยห้อมล้อมเขา กลับไปแห่แหนผู้ว่าคนใหม่ แม้แต่คหบดีในจังหวัดที่เคยพินอบพิเทาเขา ก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป เขารู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง นับแต่วันนั้นเขาก็เศร้าซึมหนักขึ้น ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิต

    ผู้มีปัญญาย่อมไม่เพลิดเพลินหลงใหลในคำแซ่ซร้องสรรเสริญของผู้คน เพราะเขารู้ดีว่านั่นเป็นเพราะบทบาทหรือหัวโขนที่เขาสวมใส่มากกว่าอะไรอื่น ไม่ช้าก็เร็วบทบาทหรือหัวโขนนั้นก็ต้องปลาสนาการไป ถึงตอนนั้นใครที่หลงใหลเพลิดเพลินย่อมอยู่เป็นทุกข์สถานเดียว

    ตำแหน่งหน้าที่หรือยศถาบรรดาศักดิ์อันสูงส่ง ให้ความสุขแก่เราก็จริง แต่มันก็สามารถสร้างความทุกข์ให้แก่เราได้ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเรายึดติดหวงแหนมัน เช่นเดียวกับหัวโขน มันเป็นสิ่งสมมติและเป็นของชั่วคราว ยิ่งยึดติดถือมั่นในมัน เราก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อต้องสูญเสียมันไป

    เมื่อใดที่พอใจในความเป็นตัวเราโดยไม่แคร์หัวโขนใด ๆ เมื่อนั้นจึงจะเป็นสุขอย่างแท้จริง
    :- https://visalo.org/article/Image255401.htm
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,116
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,030
    Buddhaandlotusamazon.jpg
    มรดกที่ปฏิเสธไม่ได้

    ภาวัน
    รู้กันมานานแล้วว่า พ่อแม่สามารถมีอิทธิพลต่อลูกได้ ทั้งรูปร่าง สุขภาพ และนิสัยใจคอ โดยผ่านทางสายเลือด(หรือพันธุกรรม) กับการเลี้ยงดู ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น การสร้างบรรยากาศแวดล้อม หรือการประพฤติตัวให้เด็กเห็นโดยไม่ตั้งใจ

    แต่เพิ่งไม่นานมานี้เองที่เราพบว่าพ่อแม่สามารถถ่ายทอดคุณสมบัติบางอย่างให้ลูกโดยกลไกอย่างอื่นได้ด้วย ยิ่งกว่านั้นคุณสมบัติดังกล่าวยังสามารถ่ายทอดไปยังหลานและเหลนได้อีก แม้จะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย

    การค้นพบดังกล่าวมาจากหลายทิศทาง หนึ่งในนั้นก็คือการวิจัยเกี่ยวกับหนู ที่ออสเตรเลียมีการเลี้ยงหนูตัวผู้ด้วยอาหารอุดมไขมัน จนตัวอ้วนฉุและกลายเป็นโรคเบาหวาน(ประเภทที่ ๒ ซึ่งไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์) ที่น่าแปลกใจก็คือลูกเพศเมียของหนูเหล่านี้เมื่อโตขึ้นก็เป็นเบาหวานประเภทเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยกินอาหารอุดมไขมันเลย และแม้ว่าแม่ของพวกมันมีน้ำหนักปกติและกินอาหารที่มีคุณภาพดีขณะตั้งท้องก็ตาม

    ตามปกติอาหารที่แม่กินย่อมมีผลต่อสุขภาพของลูกเมื่อโตขึ้นเพราะมีสายรกเป็นตัวเชื่อม แต่ในกรณีนี้สุขภาพของลูกกลับเป็นผลมาจากสุขภาพของพ่อ คำถามก็คือมันเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพ่อไม่เคยสัมผัสกับลูกเลย แล้วเขาก็พบว่าน้ำเชื้อของพ่อคือต้นเหตุ อาหารอุดมไขมันของพ่อได้เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติบางประการในน้ำเชื้อของมัน ซึ่งทำให้เกิดเบาหวานในตัวลูก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมิใช่การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม เพราะยีน(หรือการเรียงตัวของดีเอ็นเอ)ยังเหมือนเดิม แต่มีการทำงานที่เปลี่ยนไปในบางจุด คือยีนบางตัวที่ควรทำงานแต่กลับไม่ทำงาน ขณะที่ยีนตัวอื่นไม่ควรทำงานแต่กลับทำงาน

    ที่ชิคาโกมีการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของหนูเช่นกัน แต่เน้นพฤติกรรมของมันแทนที่จะเป็นเรื่องสุขภาพ เขาให้หนูเพศเมียอายุ ๑๕ วันวิ่งเล่นเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ในสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นเร้าผัสสะ เช่น มีจักรให้ถีบ มีของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ให้เล่น และมีกิจกรรมมากมายให้ทำ ผลก็คือหนูเหล่านี้มีความจำดีและเรียนรู้ไว นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก ที่แปลกก็คือ ลูกของหนูเหล่านี้มีความจำดีและเรียนรู้ไวเหมือนแม่ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยอยู่ในบรรยากาศแวดล้อมที่กระตุ้นเร้าความสนใจอย่างที่แม่ประสบเลย

    กรณีดังกล่าวชี้ว่านอกจากคุณสมบัติทางพันธุกรรมแล้ว คุณสมบัติที่เกิดจากประสบการณ์ของแม่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ ทั้งนี้โดยผ่านความเปลี่ยนแปลงในไข่ของแม่ กรณีนี้ยังสะท้อนว่า สิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมพฤติกรรมของแม่นั้นสามารถส่งผลข้ามไปถึงตัวลูกได้ด้วย

    ไม่ใช่แต่หนูเท่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ก็ให้ข้อสรุปสอดคล้องกัน และชี้ว่าผลกระทบนั้นสามารถต่อเนื่องไปหลายชั่วอายุคนด้วย ที่สวีเดนมีการศึกษาพฤติกรรมสุขภาพของคนในเมืองโอเวอร์คาลิกซ์ (Overkalix) ซึ่งเก็บประวัติการเกิดและตายของประชากรอย่างดีมาก ผู้วิจัยพบว่าหากพ่อเริ่มสูบบุหรี่ก่อนอายุ ๑๑ ปี ลูกชายของเขาจะล่ำอ้วนกว่าลูกชายของคนที่เลิกสูบบุหรี่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันผู้ชายที่ขาดอาหารในช่วงอายุ ๘-๑๒ ปี ลูกชายของลูกชายมีโอกาสมากที่จะตายในวัยหนุ่ม ส่วนผู้หญิงที่ขาดอาหารในวัยเด็ก ลูกชายของลูกสาวก็มีแนวโน้มสูงที่จะตายในวัยสาว นอกจากนั้นเขายังพบว่า ผู้ชายคนใดที่กินมากในวัยเด็ก ลูกชายของลูกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจ

    พฤติกรรมและประสบการณ์ของเรานั้นสามารถก่อผลกระทบกว้างไกลกว่าที่เราคิด แม้การศึกษาวิจัยเหล่านี้จะมิใช่บทสรุปที่ชี้ขาด แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่า การกิน การบริโภค และการใช้ชีวิตของเรา ไม่เพียงส่งผลต่อตัวเราและคนรอบข้าง ตลอดจนลูกของเราเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งผลไปไกลถึงหลานและอาจถึงเหลนของเราด้วยก็ได้ เขาอาจเป็นเบาหวานหรือโรคหัวใจ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยกินอาหารตามใจปากหรือสูบบุหรี่เลย แต่เป็นเพราะพฤติกรรมของพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายต่างหาก ในทางตรงข้าม หากเราหมั่นดูแลสุขภาพ อารมณ์เย็น ใฝ่รู้ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ประเทืองปัญญาและอารมณ์ ก็สามารถส่งผลให้ลูกหลานของเรามีสุขภาพดีและมีสติปัญญาตามไปด้วยก็ได้ แม้เขาไม่มีโอกาสอยู่ในสิ่งแวดล้อมดี ๆ เหมือนเรา

    มนุษย์เราต่างมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างสลับซับซ้อนยิ่ง ทั้งกว้างและไกลไปถึงอนาคตอันกำหนดจุดจบได้ยาก เพียงแค่ดำรงชีวิตอย่างใส่ใจเท่านั้น เราก็สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย การอยู่อย่างมีสติจึงมิได้เป็นประโยชน์ต่อตนเองเท่านั้น หากยังเป็นความรับผิดชอบต่อโลกด้วย

    :- https://visalo.org/article/Image255406.htm
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,116
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,030
    กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง
    ภาวัน
    นิตยสาร The Economist รายงานว่า ทุกวันนี้บุคคลที่ประสบความสำเร็จจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญอย่างมากกับการตื่นเช้า อันที่จริงจะเรียกว่า “ตื่นเช้า”ก็ไม่ถูกนัก เพราะหลายคนตื่นก่อนอาทิตย์ขึ้นเสียอีก ผู้เชี่ยวชาญด้าน “การบริหารเวลา”ผู้หนึ่งเคยสอบถามผู้บริหารองค์กรที่มีชื่อเสียงจำนวน ๒๐ คน เขาพบว่ากว่าร้อยละ ๙๐ ตื่นก่อน ๖ โมงเช้าในวันธรรมดา เช่น อินทรา นูยี ซีอีโอของเป๊ปซี่ ตื่นตี ๔ บ๊อบ อีเกอร์ ซีอีโอของดิสนีย์ตื่น ตี ๔ ครึ่ง แจ๊ค ดอร์ซีย์ ซีอีโอของทวิตเตอร์ ถือว่านอนอุตุมากที่สุด คือตื่นตี ๕ ครึ่ง

    พวกเขาตื่นเช้าไปทำไม กิจวัตรอย่างแรก ๆ ที่นักธุรกิจเหล่านี้ขาดไม่ได้คือ การออกกำลังกาย ซีอีโอเหล่านี้บริหารร่างกายอย่างจริงจัง เดวิด คัช ซีอีโอของเวอร์จินอเมริกา เรียกเหงื่อจากจักรยานทันทีที่ตื่นมาตอน ๔.๑๕ น. ส่วนทิม คุก นั้นอยู่ในโรงยิมตั้งแต่ตี ๕ ซีอีโอเหล่านี้เห็นว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ และร่างกายที่แข็งแรงจะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวันได้ดีขึ้น

    แต่ในเวลาเดียวกัน The Economist ตั้งข้อสังเกตว่า ทั้ง ๆ ที่ซีเรียสกับการออกกำลังกาย คนเหล่านี้มักทำอย่างอื่นไปด้วย และไม่ใช่แค่อย่างเดียว บ๊อบ อีเกอร์ แห่งดิสนีย์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ขณะออกกำลัง “ผมดูอีเมล์ ท่องเว็บ และดูโทรทัศน์นิดๆ หน่อย ๆ ในเวลาเดียวกัน” ทั้งหมดนี้เขาทำขณะฟังเพลงไปด้วย

    การออกกำลังกายนั้นเป็นของดีแน่ แต่การทำหลายอย่างพร้อม ๆ กันนั้นเป็นเรื่องดีจริงหรือ นักธุรกิจเหล่านี้คงคิดว่านี้เป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ในเมื่อมีเวลาน้อยแต่มีอะไรต่ออะไรต้องทำมากมาย ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำหลาย ๆอย่างในเวลาเดียวกัน หลายคนรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำเช่นนั้น แต่The Economist กลับมองว่า การทำเช่นนั้น “เป็นตัวการทำให้ใจฟุ้งซ่าน หาใช่การบริหารที่ดีไม่”

    หลายปีก่อนนิตยสารฉบับเดียวกันนี้เคยระบุถึงการวิจัยชิ้นหนึ่งที่ทำกับผู้คนเป็นจำนวนหลายพันคน ใช้เวลานานหลายเดือน ได้ข้อสรุปว่า การทำหลายอย่างพร้อม ๆ กัน (multi-tasking) ไม่ได้ช่วยให้ผลการทำงานดีขึ้นเลย ตรงกันข้ามการทำงานทีละอย่างกลับทำให้ได้งานที่มีคุณภาพดีกว่า อันที่จริงข้อสรุปดังกล่าวเป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้ว เพราะเมื่อทำทีละอย่าง จิตย่อมจดจ่อเป็นสมาธิได้ดีกว่า และเมื่อมีสมาธิ ก็สามารถคิดและทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผลงานออกมาดี

    การทำทีละอย่างนั้นมีผลดีต่อสุขภาพจิตด้วย ไม่ใช่ดีต่องานเท่านั้น เพราะหากทำเป็นนิสัย จะช่วยให้จิตไม่แส่ส่าย ปล่อยวางความคิดและอารมณ์ได้เร็ว จึงผ่อนคลายได้ง่าย ในทางตรงข้ามการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน นอกจากจิตจะล้าหรือเครียดได้ง่ายแล้ว จิตจะอยู่นิ่ง ๆ นาน ๆ ได้ยาก จึงฟุ้งซ่านบ่อย ผลที่ตามมาคือ ต่อไปจะคุมจิตได้ยาก ถึงเวลานอน ก็นอนยาก เพราะจิตฟุ้งไม่หยุด คิดโน่นคิดนี่ตลอดเวลา ทำให้เครียดหนักขึ้น

    ทุกวันนี้โรคเครียดกลายเป็นปัญหาของคนสมัยใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคิดไม่หยุด และหยุดความคิดไม่ได้ นิสัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการสะสมบ่มเพาะเป็นเวลานาน ไม่ใช่จากการคิดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ทั้งในชีวิตประจำวันและจากการทำงาน

    ลองสร้างนิสัยใหม่ให้แก่จิตใจด้วยการทำทีละอย่างตั้งแต่ตื่นนอน เวลาล้างหน้า ใจก็อยู่กับการล้างหน้า เวลาอาบน้ำใจก็อยู่กับการอาบน้ำ ไม่ควรเอาอะไรมาคิด เปิดใจรับความสดชื่นจากสายน้ำ เวลากินข้าว ใจก็อยู่กับการกินข้าว วางงานการที่จะทำในเช้าวันนั้นลงก่อน ขณะเดียวกันเมื่อออกกำลังกาย ใจก็อยู่กับการออกกำลังกาย รับรู้ถึงการยืดและขยายของกล้ามเนื้อ รวมทั้งลมหายใจที่เข้าออก อย่าเพิ่งสนใจอีเมล์หรือข้อความในไลน์

    วิธีนี้ช่วยให้จิตมีสมาธิ และพักความคิดไปในตัว นอกจากทำให้จิตผ่อนคลายแล้ว เมื่อถึงเวลาใช้ความคิค ก็คิดได้อย่างมีพลัง ทะลุปรุโปร่ง จึงช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น

    “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง” เป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยให้งานได้ผล คนเป็นสุขทั้งกายและใจไปพร้อม ๆ กัน
    :- https://visalo.org/article/Image255905.html
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,116
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,030
    คิดบวก
    ภาวัน
    ทุกวันนี้ “คิดบวก” กำลังเป็นที่นิยมมาก แต่เราหมายความว่าอย่างไรเวลานึกถึงคำนี้ ความหมายหนึ่งก็คือ การคาดการณ์อนาคตในแง่ดี มองเห็นความสำเร็จอยู่ข้างหน้า หน่วยงานหลายแห่งถึงกับเอาแนวคิดนี้มาใช้ในการวางแผน คือ ตั้งเป้าที่สวยหรูเอาไว้ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดกำลังใจในการทำงาน บางคนถึงกับเชื่อว่า ถ้านึกถึงสิ่งดี ๆ สิ่งนั้นก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นกับตนได้

    แต่ปัญหาที่เกิดจากวิธีคิดแบบนี้ก็คือ หากผลที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ก็จะตั้งรับไม่ทัน หลายคนวาดหวังว่าชีวิตจะต้องราบรื่น ก้าวหน้าและเปี่ยมสุข แต่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ก็ล้มทรุดทันทีทั้ง ๆ ที่มะเร็งยังอยู่ในระยะแรก

    นักธุรกิจจำนวนไม่น้อยทำงานอย่างเล็งผลเลิศ มองเห็นอนาคตสดใส จึงเดินหน้าเต็มที่โดยไม่คิดเผื่อทางอื่นไว้เลย พอสถานการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ปรับตัวไม่ทัน เพราะไม่มีแผนสองไว้รองรับ

    การตั้งเป้าไว้สวยหรูนั้น ยังมีผลเสียตรงที่ ดึงดูดให้ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับการทำให้ถึงเป้า จนลืมเรื่องอื่นที่มีความสำคัญต่อชีวิต ผลก็คือ แม้ประสบความสำเร็จตามเป้า แต่ก็สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไป มีนักธุรกิจชาวอเมริกันคนหนึ่งเล่าว่า เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมีเงิน ๑ ล้านเหรียญก่อนอายุ ๔๐ แล้วเขาก็ทำได้ในที่สุด แต่ปรากฏว่าเขาต้องหย่าขาดจากภรรยา มีปัญหาสุขภาพ ซ้ำลูกยังไม่คุยกับเขาอีกด้วย

    จะดีกว่าไหมหากเรามองอนาคตในแง่ลบไว้บ้าง เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และเราไม่อาจควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจของเราได้ แม้วันนี้ชีวิตจะราบรื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะราบรื่นเหมือนวันนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไร จึงควรเผื่อใจไว้ว่าอาจไม่สำเร็จอย่างที่วาดหวัง

    การมองว่าในอนาคตเราอาจเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย การงานล้มเหลว มีปัญหาการเงิน หลายคนมองว่าเป็น “ลาง”ไม่ดี แต่ที่จริงมันเป็นการกระตุ้นเตือนให้เราไม่ประมาทกับชีวิต และไม่หลงเพลินในความสำเร็จที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุร้ายที่อาจมาถึง และหาทางป้องกันมิให้มันเกิดขึ้นหากอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ รวมทั้งเร่งทำสิ่งที่ควรทำแทนที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

    นี้เป็นวิธีหนึ่งที่พระพุทธเจ้าใช้สอนพระภิกษุและคฤหัสถ์ กล่าวคือ ทรงแนะให้ระลึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความพลัดพรากสูญเสียจากของรักของชอบใจ อยู่เนือง ๆ ในบางครั้งทรงแนะให้พระภิกษุระลึกถึงอนาคตภัย ๕ ประการ คือ ความแก่ ความเจ็บป่วย ข้าวยากหมากแพง ความไม่สงบในบ้านเมือง และความแตกสามัคคีในหมู่สงฆ์ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นเตือนให้เร่งทำความเพียรในขณะที่ยังมีชีวิตสุขสบาย

    เวลาไปฟังผลตรวจร่างกายจากหมอ หลายคนวิตกกังวลว่าจะเจอข่าวร้าย จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ถ้าตั้งสติให้ดี แล้วนึกถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น เช่น เป็นมะเร็ง ลองทำใจให้คุ้นกับความคิดนึกดังกล่าวสักพัก ยอมรับความกลัวที่เกิดขึ้น แล้วจะพบว่าเราสามารถรับฟังคำวินิจฉัยของหมอด้วยใจที่สงบมากขึ้น สุดท้ายแม้พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราก็จะยอมรับความจริงนี้ได้ง่ายขึ้น เพราะเผื่อใจเอาไว้แล้ว

    ถึงตรงนี้แหละที่ “คิดบวก”ในอีกความหมายหนึ่งเป็นประโยชน์แก่เรา นั่นคือการมองเห็นด้านดีของเหตุร้าย มีบางคนบอกว่าโชคดีที่รู้แต่เนิ่น ๆ ทำให้มีเวลารักษาตัวเองก่อนที่มันจะลาม หลายคนบอกว่า โชคดีที่เป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้เขาหันมาสนใจธรรมะ จึงได้พบกับความสุขที่แท้

    ในทำนองเดียวกัน การเห็นสิ่งดี ๆ ไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งแย่ ๆ ก็ทำให้เราสามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ ดังหลายคนบอกว่า ถึงแม้กายจะป่วย แต่ก็ยังเห็นสิ่งสวยงามอยู่รอบตัว

    การมองเห็นด้านดีของเหตุร้าย และการเห็นสิ่งดี ๆ ที่อยู่รายรอบสิ่งแย่ ๆ เป็นการคิดบวกที่ช่วยให้เราอยู่กับความทุกข์ได้โดยใจไม่ทุกข์
    :- https://visalo.org/article/Image255603.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...