บทความให้กำลังใจ(สร้างพลังใจในยามวิกฤต )

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    monkatriverside.jpg
    สุขที่ใจใฝ่หา
    พระไพศาล วิสาโล
    มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาความสุข แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักความสุขที่ควรแสวงหา ความสุขที่ผู้คนส่วนใหญ่แสวงหานั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นความสุขแค่แบบเดียวเท่านั้น ทั้งที่ความสุขนั้นมีอยู่ ๒ ประเภท

    ความสุขประเภทแรก เป็นความสุขที่เกิดจากการเสพ เรียกว่ากามสุข เกิดจากการเสพผัสสะที่เร้าใจ มีสิ่งมากระตุ้นอายตนะ ทำให้เกิดความตื่นเต้น ความสนุกสนาน เช่น ได้ดูหนังที่สนุกตื่นเต้น ได้ฟังเพลงที่เร้าใจไพเราะ ได้กินอาหารที่อร่อย ได้เห็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจ ได้เจออะไรที่แปลกใหม่ ถือเป็นการเร้าจิตกระตุ้นใจแบบหนึ่ง ความสุขที่ผู้คนรู้จักส่วนใหญ่เป็นความสุขชนิดนี้

    ลองทบทวนดูก็จะพบว่าความสุขที่เราแสวงหาส่วนใหญ่หนีไม่พ้นความสนุก ความตื่นเต้น สิ่งที่กระตุ้นตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมถึงใจด้วย หลายคนเห็นเงินก็มีความสุขแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้ใช้เงินนั้นเลย ที่สุขก็เพราะรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เงินก้อนใหญ่ บางคนอาจจะมีความสุขจากสิ่งเร้าใจประเภทเสี่ยงอันตราย เช่น ปีนเขา แข่งรถซิ่ง หรือจากการดูกีฬา เช่น ฟุตบอล เทนนิส วอลเล่ย์บอล ฯลฯ ที่มีความสุขก็เพราะได้ลุ้น มันกระตุ้นใจให้ตื่นเต้น แต่ถ้าเรารู้ผลการแข่งขันแล้ว ไปเปิดเทปดูย้อนหลังความสุขก็จะน้อยลง รสชาติจะจืดจางไปมากทีเดียว อันนี้รวมถึงความสุขทางเพศด้วย แค่ได้เห็นด้วยตา ได้สัมผัสด้วยกายก็เร้าให้เกิดความตื่นตัว เกิดความตื่นเต้น ยิ่งตื่นเต้นยิ่งกระตุ้นเร้ามากเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

    แต่ความสุขแบบนี้มีข้อเสียคือ พอได้เสพบ่อย ๆ เสพมาก ๆ ก็เริ่มชินชา เมื่อได้กินอาหารจานอร่อยวันแล้ววันเล่า ลิ้นก็เริ่มชินชา ไม่รู้สึกว่าอร่อยเหมือนเดิม เพลงที่สนุก ฟังทีแรกก็เร้าใจ แต่พอฟังไปนาน ๆ มันก็จืดจางลง ความสุขทางเพศก็เหมือนกัน ใหม่ ๆ ก็ตื่นเต้น แต่พอทำไปบ่อย ๆ ก็ชินชา ไม่ตื่นเต้นแล้ว ต้องไปหาของใหม่มาเสพ หรือไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ มีการเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนท่วงท่า เปลี่ยนบรรยากาศ เพื่อให้มันกลายเป็นของใหม่ขึ้นมา เพื่อจะได้เร้าใจ หรือกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้จักแต่ความสุขประเภทนี้ คือต้องสนุกสนานตื่นเต้นเร้าใจ

    ความสุขประเภทที่สอง เป็นความสุขที่เกิดจากความสงบ เรียกว่าความสงบสุข สามารถเกิดขึ้นได้แม้จะมีสิ่งเร้าน้อย มีสิ่งเสพไม่มาก คนที่เสพความสุขประเภทแรกจนเต็มที่แล้ว ในที่สุดก็จะรู้สึกว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง จึงเริ่มแสวงหาความสุขที่เกิดจากความสงบแทน มีคนรวยจำนวนมากที่เดินทางไปประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น หรือมาประเทศไทย เพราะว่าต้องการแสวงหาสถานที่ที่สงบ ยอมเหนื่อยยาก เสียเงินทอง เสียเวลา ละทิ้งความสนุก ละทิ้งความสบาย แต่เขาถือว่าคุ้ม เพราะความสงบเป็นสิ่งที่หาได้ยากในบ้านเมืองของเขา ข้อสำคัญก็คือ ในส่วนลึกของจิตใจ ความสงบสุขคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา

    ปัจจุบันนี้ประเทศในยุโรปหรืออเมริกา มีวัดหรือโบสถ์หลายแห่งกลายเป็นสถานที่ดึงดูดผู้คน ไม่ใช่เพราะเขาสนใจศาสนา แต่เพราะเป็นสถานที่ที่สงบ วัดบางวัดซึ่งเป็นที่อยู่ของนักบวชที่เคร่งครัด เปิดให้คนมาพัก โดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีสัญญาณไวไฟ แม้ราคาห้องพักจะแพงมาก แต่คนก็นิยมไป เพราะว่าเขาต้องการความสงบ จะเสียเงินเท่าไร จะลำบากอย่างไรก็ไป เพราะเป็นสิ่งที่เขาขาด

    ฝรั่งหลายคนมาบวช โกนหัว ห่มเหลือง เพื่อลิ้มรสความสงบ เพราะรู้ว่าความสุขจากการเสพที่เรียกว่ากามสุขนั้นไม่ใช่คำตอบของชีวิต คนที่แสวงหาความสุขประเภทนี้ และพร้อมที่จะละทิ้งความสุขจากการเสพ มีมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ใช่เพิ่งจะมีในสมัยนี้เท่านั้น เช่นเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้า ก็เป็นผู้หนึ่งที่รู้สึกว่าความสุขที่มีในปราสาท ๓ หลังนั้น ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง หรือมานพหนุ่มที่ชื่อว่ายสกุลบุตร ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เบื่อหน่ายในกามสุข

    ยสกุลบุตรเป็นบุตรของเศรษฐีเมืองพาราณสี มีชีวิตอยู่กับการเสพสุขสนุกสนาน รอบตัวเต็มไปด้วยสิ่งเร้าจิตกระตุ้นใจ มีดนตรีขับกล่อม มีผู้หญิงมาร่ายรำทั้งวันทั้งคืน แต่กลับรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ความสุขที่ตัวเองต้องการ วันหนึ่งตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นนางรำทั้งหลายนอนก่ายกองกันด้วยความเพลีย บ้างก็เสื้อผ้าหลุดลุ่ย บ้างก็น้ำลายไหล ยสกุลบุตรเห็นแล้วนึกถึงซากศพ เกิดความสังเวชขึ้นมา จึงเดินออกจากคฤหาสน์ เดินออกไปอย่างไร้จุดหมาย เดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ทิศทาง รู้แต่ว่าสิ่งที่มีอยู่นั้นไม่ใช่คำตอบ แล้วก็พูดรำพึงตลอดทางว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" จนกระทั่งเดินไปถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระพุทธเจ้าได้ยินเสียงยสกุลบุตร จึงตรัสขึ้นมาว่า "ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง"

    ยสกุลบุตรได้ยินก็สะดุดใจ เดินเข้าไปหาพระพุทธเจ้าเพื่อสนทนาธรรมด้วย พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการทำความดีก่อน เช่น การให้ทาน การรักษาศีล ซึ่งมีสวรรค์เป็นอานิสงส์ จากนั้นก็ทรงชี้ให้เห็นโทษของสุขในสวรรค์ ซึ่งเป็นกามสุขอย่างหนึ่ง แล้วทรงชี้ให้เห็นสิ่งที่ดีกว่านั้น คือ การเป็นอิสระจากกามสุข หรือเนกขัมมะ เพียงเท่านั้นยสกุลบุตรก็ตาสว่าง เกิดปัญญาขึ้นมา จนกระทั่งบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เพราะจิตใจของยสกุลบุตรนั้นเหนื่อยหน่ายในกามสุข และปรารถนาความสุขที่เกิดจากความสงบอยู่ก่อนแล้ว

    พระภัททิยะเดิมเป็นเจ้าชายในตระกูลศากยวงศ์ ได้ออกบวชพร้อมกับพระอานนท์ และพระเทวทัตซึ่งเป็นพระญาติด้วยกัน ไม่ได้ตั้งใจอยากจะมาบวชเลย แต่เพื่อนคือเจ้าชายอนุรุทธะขอร้องให้มาบวชด้วยกัน พอมาบวชแล้วก็ตั้งใจปฏิบัติ ไม่นานก็บรรลุธรรม วันหนึ่งก็รำพึงขึ้นมาว่า "สุขหนอ สุขหนอ" เพื่อนพระได้ยินก็คิดว่าพระภัททิยะรำพึงถึงความสุขในสมัยอยู่วัง จึงไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเรียกมาถาม และได้คำตอบจากพระภัททิยะว่า ท่านไม่ได้นึกถึงความสุขในอดีต แต่ท่านกำลังมีความสุขในเพศสมณะ ท่านบอกว่าสมัยที่อยู่วังแม้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีองครักษ์รายล้อม ก็ยังมีความหวาดกลัว ไม่มีความสุข แต่พอมาครองผ้ากาสาวพัสตร์ อยู่อย่างเรียบง่าย ฉันมื้อเดียว นอนใต้โคนไม้ ไม่มีองครักษ์คอยปกป้อง อยู่ในป่าที่เงียบสงัด กลับมีความสุขมากกว่า

    ความสงบที่เกิดจากสิ่งเร้า เกิดจากความตื่นเต้นหวือหวานั้นเสพง่าย แต่ก็เบื่อง่ายด้วยเช่นกัน มันทำให้ต้องดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น เพราะว่าเมื่อเสพไปแล้วไม่นานก็เบื่อ อยากได้ของใหม่ ทำให้ดิ้นรนแสวงหาสิ่งเสพใหม่ ๆตลอดเวลา แต่ได้เสพเท่าไร มีเท่าไรก็ยังไม่พอ ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งทำให้เกิดความเหนื่อยอ่อน พอเหนื่อยถึงจุดหนึ่ง ก็อยากจะแสวงหาความสงบ เริ่มจากการไปหาสถานที่ที่สงบสงัด อย่างที่วัดป่าสุคะโตนี้ หลายคนมาก็เพราะรู้สึกพึงพอใจหรือติดใจในความสงบ บางคนเพียงแค่มาไม่กี่นาทีก็รู้สึกถึงความสงบ เพราะว่าแตกต่างไปจากที่บ้าน หรือในเมืองที่แสนวุ่นวาย อึกทึก

    ทุกวันนี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยพากันแสวงหาที่ที่สงบ สงัด เพื่อจะได้สัมผัสกับความสุขสงบ อย่างไรก็ตาม ความสุขสงบที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมอันสงัด ยังไม่ใช่ความสุขที่เราจะฝากจิตฝากใจเอาไว้ได้ เพราะว่าความสุขแบบนี้ไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนง่าย อย่างที่วัดป่าสุคะโตนี้ บางช่วงก็อึกทึกคึกโครม อย่างวันพรุ่งนี้จะมีการบวชเณร มีผู้คนมามากมาย เด็ก ๆ ก็จะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว คนที่หวังความสงัดก็อาจจะไม่พอใจ บางช่วงหมู่บ้านหน้าวัดก็มีงานศพ มีการฉายหนัง หรือเปิดเพลงเสียงดังทั้งคืน ชาวบ้านเขาชอบ แต่พวกเราอาจจะไม่ชอบเพราะว่ามันทำลายความสงบ

    หลายคนพออยู่ไป ๆ ก็รู้สึกว่าไม่สงบแล้ว จึงคิดหาสถานที่ใหม่ที่สงบกว่า แต่ถึงจะหาเจอ ในที่สุดก็จะพบว่ามันก็ไม่สงบอย่างที่คิด เพราะเจอเสียงดังรบกวนอีก สุดท้ายต้องหนีไปหาที่ใหม่อีก นอกจากเสียงดังแล้ว บางครั้งก็ยังมีสิ่งอื่น ๆ รบกวนจิตใจ เช่น คนที่พูดหรือทำอะไรไม่ถูกใจ ดังนั้นใครก็ตามที่แสวงหาความสงบจากสถานที่ จะสมหวังได้ยาก ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็หนีเสียงดังไม่พ้น แถมยังต้องเจอสิ่งที่กระทบใจ ขัดใจให้ขุ่นมัวอยู่เสมอ

    ในสมัยพุทธกาล มีพราหมณีคนหนึ่งร่ำรวยมาก ชื่อว่าเวเทหิกา นางมีความสุขมาก จิตใจนิ่งสงบ เธอคิดว่าเป็นเพราะตัวเองปฏิบัติธรรมดี พูดอวดคนนั้นคนนี้ทำนองว่าฉันเก่ง นางทาสีคนหนึ่งได้ยิน วันหนึ่งจึงอยากทดสอบนาง แกล้งนอนตื่นสาย ไม่ลุกมาตักน้ำให้นางเวเทหิกาล้างหน้า พอนางเวเทหิการู้เข้าก็ไม่พอใจ ด่าว่านางทาสีคนนั้นด้วยความโกรธ นางทาสีจึงได้โอกาสบอกให้นางเวเทหิการู้ว่า ที่เธอเป็นสุขและใจสงบได้นั้น ไม่ใช่เพราะปฏิบัติธรรมดี แต่เป็นเพราะทุกอย่างรอบตัวเธอราบรื่นหรือถูกใจเธอต่างหาก แต่พอมีอะไรไม่ถูกใจ ไม่สมหวัง ก็ขุ่นมัวขึ้นมาทันที

    การที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราจะเป็นไปอย่างราบรื่นตามใจหวังตลอดเวลานั้นเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่อยู่วัดก็อาจเจอสิ่งขัดใจ ทำให้ว้าวุ่นใจ มีหลายคนไม่อยากรับผิดชอบงานในวัด อยากอยู่ในกุฏิเฉย ๆ เพราะกลัวว่าถ้าทำงานแล้วใจจะไม่สงบ ความคิดแบบนี้ทำให้กลายเป็นคนไม่รับผิดชอบ ไม่เอื้อเฟื้อต่อส่วนรวม และที่สำคัญคือกลายเป็นคนจิตใจอ่อนแอ เพราะเจออะไรมากระทบนิดหน่อยจิตใจก็เป็นทุกข์แล้ว ใครก็ตามที่พยายามหนีไปอยู่ในที่ที่สงบสงัด ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย เพื่อจะได้มีความสงบสุข พึงตระหนักว่าความสงบสุขแบบนั้นเป็นสิ่งที่เปราะบางมาก เพราะอะไรมากระทบก็ไม่ได้ ถ้าพึ่งพาสิ่งแวดล้อมที่สงบอย่างเดียว จะผิดหวังเพราะของแบบนี้ไม่จิรัง ไม่ยั่งยืน มันเป็นของชั่วคราว

    เราต้องเรียนรู้ที่จะเข้าถึงความสงบแบบไม่ต้องอิงอาศัยสิ่งแวดล้อม ไม่ต้องอาศัยคนอื่นมาปรนนิบัติให้ถูกใจเรา เราต้องเรียนรู้ที่จะหาความสงบได้ด้วยตัวเอง ความสงบแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการฝึกใจ ด้วยการปฏิบัติธรรม เจริญสติ ฝึกสมาธิภาวนา ไม่เช่นนั้นความสุขหรือความสงบที่เกิดขึ้นกับเรา ก็จะหลุดลอยไปจากเราได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีคนมาพูดกระทบ ตำหนิ หรือแม้แต่ท้วงติง จิตใจเราก็รุ่มร้อนแล้ว ถ้าไม่อยากให้จิตใจเรารุ่มร้อนหรือวุ่นวายง่าย ๆ ก็ต้องฝึกใจให้มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ๆ มีการวางจิตวางใจที่ถูกต้อง ถ้าเราฝึกจิตฝึกใจจนมั่นคง รู้จักวางใจให้ถูก เราก็จะพบกับความสงบได้ในทุกที่ ทุกสถานการณ์ แม้แต่เวลาเจ็บป่วยก็ยังพบกับความสงบใจได้ ใครพูดอะไรมาใจก็ไม่กระเพื่อม รู้จักปล่อยวางได้ หรือว่าเจอสิ่งไม่สมหวัง งานล้มเหลว ใจก็ไม่ทุกข์

    อาจารย์ของอาตมา หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ ท่านทำงานเยอะตั้งแต่ยังหนุ่ม ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการสอนธรรมเท่านั้น ท่านยังทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน การช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก การอนุรักษ์ธรรมชาติ ท่านทำมาเป็นเวลาหลายสิบปี เคยมีคนถามว่างานที่ท่านทำนั้นสำเร็จหรือไม่ ท่านก็มักจะตอบว่า “งานที่หลวงพ่อทำล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงแม้งานล้มเหลว แต่หลวงพ่อไม่ล้มเหลว" คือแม้งานของท่านล้มเหลว แต่ท่านก็ยังสงบเย็นอยู่ได้ อย่างนี้เรียกว่าเข้าถึงความสงบที่ใจ เพราะว่าได้ฝึกจิตฝึกใจมาจนกระทั่งวางใจถูก เมื่อวางใจถูก มีอะไรมากระทบใจก็สงบได้

    เราควรสัมผัสกับความสงบที่เกิดจากใจ ไม่ควรหวังพึ่งความสงบจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หรือความสงบจากการพูดดีทำดีของคนรอบข้าง เพราะสิ่งเหล่านั้นมันไม่จีรัง หลายคนทำดีแล้วทุกข์ เพราะว่าคนอื่นไม่เห็นความดีของตัว แถมบางครั้งยังถูกเอาเปรียบอีก มีคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า ไม่อยากทำความดีแล้ว ทำดีแล้วไม่ได้ดีเพราะว่าคนรอบข้างคิดแต่จะรังแก เอาเปรียบ ที่เขาทุกข์ไม่ใช่เพราะทำดี แต่ทุกข์เพราะคาดหวังความดีจากคนรอบตัวมากไป ถ้าคาดหวังความดีจากคนรอบตัว คาดหวังให้คนอื่นพูดดี ทำดี ก็ยากที่จะพบกับความสงบสุขได้

    เราควรปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความสงบและความสุขที่เกิดจากใจของตัวเอง ใครเขาจะทำไม่ดีหรือพูดไม่ดีกับเรา ใจเราก็ยังนิ่งสงบได้ นี้เป็นความสุขที่เราควรรู้จัก เป็นสุขที่เราควรแสวงหา เกิดมาทั้งทีหากไม่รู้จักความสุขชนิดนี้ก็น่าเสียดายอย่างยิ่ง
    :- https://visalo.org/article/5000s14.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    enoughandhappy.jpg
    ชีวิตก้าวหน้าได้ เมื่อใจพอเพียง

    พระไพศาล วิสาโล
    ทุกวันนี้มีความเชื่อที่แพร่หลายว่า คนเราจะก้าวหน้าได้ต้องมีความโลภ เพราะความโลภจะผลักดันให้เกิดความขยันขันแข็ง บางคนพูดไปถึงขั้นว่า ถ้าอยากรวยก็ต้องเป็นหนี้เยอะ ๆ เพราะเมื่อเป็นหนี้แล้ว จะอยู่นิ่งเฉย นั่งเล่นนอนเล่นไม่ได้ ต้องตั้งหน้าทำงานหาเงินเพื่อใช้หนี้ ในที่สุดก็จะรวยไปเอง

    คำพูดข้างต้นถูกต้องเพียงครึ่งเดียว ตรงที่บอกว่าคนเราจะร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จได้ต้องขยันขันแข็ง แต่ความขยันนั้นไม่จำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยความโลภเสมอไป มีคนเป็นอันมากที่เมื่อถูกกระตุ้นให้เกิดความโลภแล้ว ก็เข้าหาการพนัน หรือหนักกว่านั้นคือลักขโมยและฉ้อโกง เพราะคิดว่าวิธีเหล่านั้นเป็นทางลัดที่จะทำให้รวยเร็ว ๆ ในสายตาของคนเหล่านั้น (ซึ่งมีอยู่มากมายในเมืองไทย) การขยันทำงานเป็นวิธีที่ให้ผลช้า แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน คนที่หมกมุ่นกับการพนัน ลักขโมย หรือฉ้อโกงแล้ว แทนที่ชีวิตจะเจริญก้าวหน้า กลับเสื่อมถอยและตกต่ำไม่ช้าก็เร็ว

    ไม่ใช่ความโลภดอก แต่เป็นความพอเพียงต่างหากที่ทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า ทุกวันนี้เราพูดถึงความพอเพียงกันมาก แต่เข้าใจกันน้อย ความพอเพียงที่จะทำให้ชีวิตก้าวหน้าได้ หมายถึง ความพอเพียงในการบริโภคเป็นเบื้องต้น มีเงินมากเท่าไรก็ตามแต่หากจับจ่ายใช้สอยไม่หยุด เอาแต่ “เที่ยว” และ “เล่น” (เช่น เที่ยวห้าง เที่ยวสถานบันเทิง เล่นการพนัน เล่นหวย ฯลฯ) สักวันก็ต้องยากจนหรือมีหนี้สินท่วมตัว ในทางตรงข้าม ความประหยัดมัธยัสถ์ จับจ่ายใช้สอยหรือบริโภคอย่างรู้จักประมาณ ไม่ฟุ่มเฟือย เป็นหนทางสู่ความเจริญก้าวหน้า

    สิ่งหนึ่งที่คนไทยไม่ค่อยทราบกันก็คือ ประเทศที่เจริญก้าวหน้าอย่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ล้วนเป็นผลมาจากความประหยัดมัธยัสถ์ของผู้คน แรนดี้ เพาช์ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำด้านคอมพิวเตอร์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Last Lecture อันโด่งดัง เล่าว่าเมื่อเขาเป็นเด็ก แม้พ่อแม่มีฐานะการเงินที่ดี แต่ทั้งครอบครัวแทบไม่เคยไปกินอาหารนอกบ้านเลย ปีหนึ่ง ๆ พ่อแม่พาลูกไปดูหนังในโรงเพียงหนึ่งถึงสองครั้งเท่านั้น “ดูโทรทัศน์สิ” พ่อแม่มักจะบอกลูก ๆ อย่างนี้ “มันฟรีรู้ไหม ดีกว่านั้นก็ไปห้องสมุด ขอยืมหนังสือมาสักเล่ม”

    คราวหนึ่งผู้เขียนมีโอกาสเยี่ยมเพื่อนที่ทำงานใน บริษัท GM ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา เพื่อนผู้เขียนเป็นวิศวกรระดับปริญญาเอกซึ่งมีเงินเดือนสูงพอสมควร แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือเธอและเพื่อน ๆ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสระดับเดียวกัน นำอาหารกลางวันมากินที่สำนักงาน ไม่มีใครออกไปซื้ออาหารกินกันเลย เพื่อนอธิบายว่านี้เป็นวัฒนธรรมของคนที่นั่น ซึ่งคงไม่ได้หมายถึงที่บริษัท GM เท่านั้น

    นอกจากความประหยัดมัธยัสถ์หรือความพอเพียงในการบริโภคแล้ว ความพอเพียงในการแสวงหาเงินก็สำคัญเช่นกัน ความพอเพียงดังกล่าวตรงข้ามกับความโลภในการหาเงิน ความโลภอย่างหลังดูเผิน ๆ ก็น่าจะดี เพราะถ้าโลภและขยันกอบโกยก็น่าจะรวยเร็ว ไม่ใช่หรือ แต่อย่าลืมว่าความโลภนั้นบ่อยครั้งก็บดบังปัญญา ทำให้ถูกหลอกง่ายหรือพลั้งพลาดจนสายเกินแก้

    เราคงได้ยินเรื่องของคนที่หมดเนื้อหมดตัวเพราะเล่นแชร์ลูกโซ่ (เช่น แชร์แม่ชม้อย) หรือคนที่สูญเงินนับล้าน ๆ เพราะถูกหลอกว่าจะได้ผลตอบแทนหลายเท่าตัว คนเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ แต่สาเหตุที่ถูกหลอกได้ก็เพราะความโลภอยากรวยเร็ว ๆ นั่นเอง

    วิกฤตเศรษฐกิจปี ๔๐ จนทำให้สถาบันการเงินกว่า ๕๐ แห่งต้องปิดตัว และธุรกิจมากมายต้องล้มละลาย ส่วนหนึ่งก็เพราะหวังกำไรงามจากการกู้เงินดอลลาร์ดอกเบี้ยต่ำแล้วมาปล่อยกู้ในเมืองไทยด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง แต่พอค่าเงินบาทตก ดอลลาร์ที่เคยราคา ๒๐ บาทก็เพิ่มเป็น ๕๐ บาท ผลก็คือหนี้เพิ่มเท่าตัวชั่วข้ามคืน จนบริษัทเหล่านี้ไม่อาจใช้หนี้ได้ ส่วนคนที่กู้เงินมาซื้อหุ้นหรือบ้านเพื่อเก็งกำไรก็เดือดร้อนด้วยเช่นกัน เพราะไม่มีเงินจ่ายหนี้

    วิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาขณะนี้ก็มีสาเหตุคล้าย ๆ กัน คือสถาบันการเงินพากันปล่อยกู้ให้คนซื้อบ้าน โดยไม่สนใจว่าคนกู้จะมีปัญญาจ่ายหรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อสถาบันเหล่านี้จะมีรายได้งาม ๆ จากการปล่อยกู้ ขณะเดียวกันก็แปลงหนี้คุณภาพต่ำเป็นตราสารหรือพันธบัตรออกขายราคาถูก ๆ คนที่อยากรวยเร็ว ๆ ก็รีบซื้อ แต่พอหนี้เหล่านั้นกลายเป็นหนี้เน่า จึงเดือดร้อนกันไปหมด เศรษฐีที่หวังรวยฉับพลันพากันสิ้นเนื้อประดาตัว ขณะที่สถาบันการเงินหลายแห่งถึงกับล้มละลาย ส่งผลกระเทือนไปทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจถดถอยไปทุกหนแห่ง

    คนที่รู้จักพอในการแสวงหาเงินหรือกำไร ย่อมมีสติ จึงยากที่จะถูกหลอก ไม่กลายเป็นแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ จึงเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

    “พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้” คือกุญแจสู่ความสุขและความก้าวหน้าของชีวิต พอใจในสิ่งที่มีแปลว่าได้เท่าไรก็พอใจ แม้คนอื่นจะได้มากกว่าก็ไม่เป็นทุกข์ อย่างไรก็ตามเมื่อพอใจสิ่งที่ได้มาแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่านั่งเฉย ๆ งอมืองอเท้า ตรงกันข้ามเราควรขยันหมั่นเพียรต่อไป เพราะความสุขที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การมีมาก ๆ หรือบริโภคเยอะ ๆ แต่อยู่ที่การทำงานและการสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้แก่โลก

    มนุษย์เราไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าให้แก่ตนเองและแก่โลกได้ หากไม่รู้จักพอกับการเที่ยวเล่นหรือปรนเปรอตนเอง ขณะเดียวกันหากมัวแต่หาเงินหาทองไม่รู้จักพอ ก็จะไม่มีเวลาและพลังงานเหลือสำหรับการทำสิ่งดีงามให้แก่ตนเองและแก่โลก ท่านอาจารย์พุทธทาสสอนว่า จงทำงานให้มาก แต่บริโภคให้น้อย เพื่อเอาส่วนเกินมาเจือจานผู้อื่น เศรษฐีที่เป็นพุทธสาวกในสมัยพุทธกาล ล้วนใช้สอยพอประมาณ ทั้งนี้เพื่อนำเงินที่เหลือไปเอื้อเฟื้อคนยากจน ขณะเดียวกันก็ขยันขันแข็งในการทำงาน ไม่ใช่เพื่อหาเงินมามาก ๆ แต่เพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวม

    นอกจากการช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว เรายังควรมีเวลาสำหรับการฝึกฝนพัฒนาตน เพิ่มพูนความรู้ และทำจิตให้สงบด้วย หากเรามัวแต่เที่ยวเล่นหรือหาเงินหาทองไม่หยุดหย่อน เราจะมีเวลาเหลือสักเท่าไรในการทำสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิต

    พอเพียงในการบริโภค ไม่โลภในการแสวงหาทรัพย์ แต่ขยันทำงานและสร้างสรรค์ความดีแก่ส่วนรวม คือเคล็ดลับสู่ความก้าวหน้าของตนเองและของโลก
    :- https://visalo.org/article/59MealifeP.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    DisappointmentGood.jpg
    ยิ่งผลักไส ใจยิ่งทุกข์

    พระไพศาล วิสาโล
    ในสมัยพุทธกาลมีผู้หญิงคนหนึ่ง คือ นางกีสาโคตมี เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากและใฝ่ธรรม แต่วันหนึ่งลูกของนางซึ่งกำลังอยู่ในวัยน่ารักได้ตายลง เธอยอมรับไม่ได้ ยังเชื่อว่าลูกสามารถฟื้นขึ้นมาได้ จึงไปขอร้องใครต่อใครให้มาช่วยรักษาลูกให้ฟื้น ทุกคนก็บอกว่าลูกเธอตายแล้ว แต่เธอก็ไม่ยอมรับความจริง ใจหนึ่งก็ทุกข์ทรมานมาก ใจหนึ่งก็มีความหวัง พอมีคนแนะนำให้ไปหาพระพุทธเจ้า เธอก็รีบไปเฝ้าพระองค์ทันที พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า คนที่ปฏิเสธความจริงแบบนี้ สอนธรรมะอย่างไรก็ไม่ได้ผล เพราะใจไม่เปิดรับ ดังนั้นแทนที่พระองค์จะสอนให้เธอเห็นว่าความตายเป็นธรรมดาของชีวิต เกิดมาแล้วก็ต้องตายทุกคนไม่ช้าก็เร็ว พระองค์กลับบอกนางว่าพระองค์สามารถช่วยให้ลูกเธอฟื้นขึ้นมาได้หากเธอไปเอาเม็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตายมาให้

    นางดีใจมาก รีบเข้าไปในหมู่บ้าน ไปบ้านนั้นบ้านนี้ ทุกบ้านมีเม็ดผักกาดทั้งนั้น แต่ทุกบ้านก็มีคนตาย เพราะสมัยก่อนคนตายที่บ้าน บ้านนี้ลูกตาย บ้านนี้ผัวตาย บ้านนี้พ่อตาย บ้านนี้แม่ตาย ทุกบ้านมีคนตายทั้งนั้น เธอพบว่าไม่ใช่เธอเท่านั้นที่สูญเสีย คนอื่นก็สูญเสียคนรักเหมือนกัน ในที่สุดเธอก็ยอมรับความจริงได้ว่าลูกเธอตายแล้ว จึงเอาลูกไปเผา จากนั้นก็กลับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า คราวนี้พระองค์จึงแสดงธรรมเพราะว่านางเริ่มเปิดใจแล้ว พระองค์ตรัสว่า “มฤตยูย่อมพาชีวิตของผู้ที่ยึดติดมัวเมาในบุตรและทรัพย์สินไป ดุจเดียวกับกระแสน้ำหลากมาพัดพาเอาชีวิตของผู้นอนหลับไหลไป ฉะนั้นแล” ตรัสเพียงเท่านี้นางก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน

    นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ทุกข์เพราะใจไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ความตายของลูกไม่ได้หนักหนาร้ายแรงเท่ากับใจที่ไม่ยอมรับ แต่พอยอมรับได้ ปรากฏว่าจิตใจก็เปิดรับธรรมะจนกลายเป็นพระอริยะเจ้าได้ สาเหตุหนึ่งที่ยอมรับได้ก็เพราะเห็นว่าทุกคนก็มีความทุกข์เหมือนกัน สูญเสียคนรักเหมือนกัน จึงยอมรับความเจ็บป่วยของตัวเองได้

    เวลาที่เราเจอเหตุร้าย ไม่ว่ากับร่างกายของเรา กับทรัพย์สินเงินทองของเรา กับการงานของเรา กับคนที่เรารัก หรือกับความสัมพันธ์ของเรา ให้ตั้งสติให้ดี ให้ระลึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นปัญหามากเท่ากับใจของเรา ว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร ถ้าเราปฏิเสธ ไม่ยอมรับ มันจะทำให้เราทุกข์ยิ่งกว่าเดิม หรือหนักกว่าทุกข์ที่เกิดจากเหตุร้ายนั้นเสียอีก ดังนั้น ขอให้ตั้งหลักให้ดีแล้วทำใจยอมรับมันให้ได้ ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกตัวเราเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเราก็เหมือนกัน

    เวลาเราทำสมาธิภาวนา หรือปฏิบัติธรรม บางครั้งก็มีความฟุ้งซ่าน บางครั้งก็มีความหงุดหงิด บางครั้งก็มีความเครียด มีความไม่สงบเกิดขึ้น นั่นไม่ใช่ปัญหาเท่าไร กลับจะเป็นของดีด้วยซ้ำ เพราะสามารถเอามาเป็นการบ้านให้จิตได้พิจารณา เพราะอารมณ์เหล่านี้สอนธรรมะได้เหมือนกัน แต่ถ้าใจไม่ยอมรับเมื่อมีอารมณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น ก็จะทุกข์ทันที ทุกข์เพราะฟุ้งซ่าน ทุกข์เพราะหงุดหงิด ทุกข์เพราะใจไม่สงบ

    นักปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อยแปลกใจว่าทำไมตนมีความทุกข์มากกว่าตอนก่อนปฏิบัติธรรมเสียอีก ไม่ใช่เพราะว่าพอมาปฏิบัติธรรมแล้วจิตฟุ้งกว่าปกติ นั่นก็อาจจะมีส่วน แต่สาเหตุสำคัญเป็นเพราะมีความคาดหวังว่าเมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วใจต้องสงบ คนทั่วไปเขาไม่มีความคาดหวังแบบนั้นเพราะเขาไม่สนใจ แต่พอมาปฏิบัติธรรมแล้วก็จะมีความคาดหวังว่าใจต้องสงบ พอมีความฟุ้งซ่าน มีความเครียดเกิดขึ้น ใจก็ไม่ยอมรับเพราะว่ามันไม่ตรงกับความคาดหวัง ยิ่งคาดหวังมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อมีสิ่งรบกวนจิตใจ บางคนทุกข์มากถึงกับเจ็บกับป่วยก็มี บางคนทำแล้วรู้สึกแน่นหน้าอก ปวดหัว เหล่านี้เป็นอาการของคนที่ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของตัว พยายามบังคับควบคุมจิตให้สงบ พยายามบังคับควบคุมจิตให้นิ่ง พยายามผลักไสความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้น เป็นการต่อต้านที่สวนทางกับความเป็นจริง เหมือนกับคนที่ขวางน้ำเชี่ยวย่อมถูกกระแสน้ำพัดพาไป

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    (cont.)
    แต่ถ้าเราเริ่มต้นจากการยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น อะไรเกิดขึ้นก็ไม่ผลักไส วางใจเป็นกลางกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นทุกข์ คำว่า “ยอมรับ” กับคำว่า “วางใจเป็นกลาง” ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีความหมายเหมือนกัน เมื่อฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้เฉย ๆ ไม่ต้องไปทำอะไร แต่ส่วนใหญ่ไม่ยอมรู้เฉย ๆ เพราะว่ามีความอยาก อยากให้จิตสงบ พอความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นก็เลยไม่ชอบ เกลียดความฟุ้งซ่าน จึงพยายามกดข่มผลักไสมัน ก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อมันไม่ยอมไป ที่จริงแล้วยิ่งกดข่ม ยิ่งผลักไส มันก็ยิ่งดื้อ ยิ่งท้าทาย ยิ่งต่อต้าน เหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ พอมันยังอยู่ ไม่ยอมไป เราก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้นเพราะไม่ชอบมัน

    ในสมัยพุทธกาลมีเรื่องราวของพระเถระพระเถรีหลายท่านที่ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะไม่พบความสงบในจิตใจ ท่านอุตส่าห์บวชเพื่อดับทุกข์ แต่พอมีความทุกข์เกิดขึ้น ไม่ได้ทุกข์ที่ไหน ทุกข์ที่ใจ คือใจไม่สงบ ใจฟุ้งซ่าน ท่านยอมรับไม่ได้ ก็เลยท้อในการปฏิบัติธรรม ถึงกับฆ่าตัวตาย แขวนคอบ้าง เอามีดกรีดคอบ้าง แต่กลับบรรลุธรรมในที่สุด เพราะว่าตอนที่กำลังจะตายนั้น เจ็บปวดมาก จึงได้เห็นธรรมว่าสังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง พอเห็นเช่นนั้นก็ปล่อยวาง ไม่ยึดในสังขารนี้ต่อไป ยอมรับความทุกข์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น จิตก็หลุดพ้นในขณะที่สิ้นลม จะเห็นได้ว่าการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะนั้นสำคัญมาก ถ้าไม่ยอมรับ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ทำให้ทุกข์ทรมานใหญ่หลวงได้

    มีพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ท่านก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมมาก อยากให้จิตตื่น อยากได้ความรู้สึกตัว แต่ปฏิบัติมาหลายปีก็ยังไม่รู้สึกว่าจิตตื่น ที่จริงจิตของท่านไม่ได้ย่ำแย่กว่าจิตของคนอื่น อาจจะดีกว่าจิตของคนที่ไม่ได้ปฏิบัติด้วยซ้ำ แต่มันไม่ดีอย่างที่ท่านคาดหวัง เมื่อได้ยินคนนั้นคนนี้บอกว่าจิตเขาตื่น รู้สึกตัวชัดเจน เห็นรูปนาม แต่ตัวเองยังไม่เห็น จึงเป็นทุกข์มาก หน้าตาหม่นหมอง ตัดพ้อว่าตัวเองทำความดี ให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรมมาเป็นสิบ ๆ ปี ทำไมไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติ ฟังน้ำเสียงแล้วท่านท้อแท้กับการปฏิบัติมาก หรือถึงกับท้อแท้ในการบวช ดูแล้วมีความคิดอยากจะสึกด้วยซ้ำ อาตมาเห็นท่านแล้วรู้สึกว่า ท่านมีความทุกข์ไม่ต่างจากวัยรุ่นที่กลุ้มใจเพราะหน้ามีสิว ทั้งสองคนมีความท้อแท้ในชีวิต กลุ้มอกกลุ้มใจเหมือนกันเลย ทั้งที่สาเหตุนั้นต่างกันอย่างฟ้ากับดิน คนหนึ่งทุกข์เพราะมีสิว อีกคนหนึ่งทุกข์เพราะจิตไม่ตื่น ไม่มีความรู้สึกตัว หรือไม่สงบอย่างที่คาดหวัง ทั้งหมดนี้เป็นอาการของคนที่ไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น เมื่อใจปฏิเสธเหมือนกัน ความทุกข์หรืออากัปกิริยาที่แสดงออกก็เหมือนกัน คือ ท้อแท้ หดหู่ เครียด มีโทสะอยู่ข้างในลึก ๆ

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับเราแล้ว อย่าคิดแต่จะหนี ปฏิเสธ หรือผลักไส แต่ควรเริ่มต้นด้วยการยอมรับมันให้ได้ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ป่วยการที่จะตีโพยตีพาย ลองวางใจเป็นกลาง ฟุ้งซ่านก็รู้ เครียดก็รู้ ดูมันเฉย ๆ อย่าเป็นศัตรูหรือเป็นปฏิปักษ์กับมัน ยอมรับมันให้ได้ ยอมรับไม่ได้แปลว่ายอมจำนน มันต่างกัน เหมือนกับเวลาเจ็บป่วย อย่างแรกที่ต้องทำคือยอมรับว่าเราป่วยแล้ว อย่ามัวโอดโอยหรือตีโพยตีพายว่าทำไมต้องเป็นฉัน ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมจำนน คือหาทางรักษาความเจ็บป่วยนั้น เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรักษา เมื่องานล้มเหลวก็ต้องแก้ไข แต่ก่อนอื่นต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน อันนี้เรียกว่า “ทำจิต” ส่วนการรักษาหรือการแก้ไขนั้น เรียกว่า “ทำกิจ”

    อะไรที่รักษาได้ บรรเทาได้ เราควรทำ แต่อะไรที่ทำไม่ได้แล้ว เช่นการสูญเสียคนรัก เขาตายจากไป ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ เราก็ต้องยอมรับอย่างเดียว ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา หรือว่าเอาสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามาเป็นบทเรียนในการดำเนินชีวิต หรือพยายามสืบสานคุณงามความดีของเขาให้ยั่งยืน หรือประกาศความดีของเขา ให้ขจรขจาย นี่คือสิ่งที่สามารถทำได้ แต่ว่าต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงก่อน

    ผู้หญิงคนหนึ่งสูญเสียสามีแล้วไม่ยอมรับความจริง ยังทำอาหารเช้าให้สามีกิน เอามาวางไว้บนโต๊ะตรงที่เขาเคยนั่งประจำ โทรศัพท์เข้าเบอร์เขาทุกวัน ทุกข์มากเพราะไม่ยอมรับความจริงว่าเขาตายไปแล้ว แต่พอยอมรับความจริงได้ ความทุกข์ก็จะหลุดออกไปทันที เพราะฉะนั้นการฝึกใจให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือการวางใจให้เป็นกลาง ไม่เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นนอกตัวเรา หรือว่าเกิดขึ้นกับตัวเรา กับใจของเรา เป็นสิ่งสำคัญมาก ที่เราควรฝึกให้เป็นนิสัย จะช่วยให้เราสามารถรับมือความทุกข์ต่าง ๆ ได้ด้วยใจที่โปร่งเบา
    :- https://visalo.org/article/suksala22.htm
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    e6287.gif
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    MomentTrouble.jpg
    ลืมตัว
    พระไพศาล วิสาโล
    ชายผู้หนึ่งไปซื้อของที่ตลาดคลองเตย เห็นแผงมะม่วงเรียงติด ๆ กันหลายแผง เขาจึงเดินดูและสอบถามราคาตั้งแต่แผงแรกไปจนถึงแผงสุดท้าย จากนั้นก็กลับมาที่แผงแรก และเลือกมะม่วงมาได้จำนวนหนึ่ง แต่เมื่อจะจ่ายเงิน พ่อค้ากลับพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ไปดูร้านอื่นแบบนี้ อั๊วไม่ขายให้แล้ว”

    พ่อค้าไม่พอใจที่เห็นชายผู้นั้นเดินผ่านแผงของเขาทีแรก ไปสนใจแผงอื่น ความรู้สึกว่า “ตัวกู” ถูกกระทบเพราะไม่ได้รับความสนใจ ทำให้รู้สึกขุ่นเคืองชายผู้นั้น จึงตอบโต้ด้วยการไม่ยอมขายมะม่วงให้

    พ่อค้าคงรู้สึกสะใจที่ชายผู้นั้นไม่ได้มะม่วงอย่างที่ต้องการ เขาอาจรู้สึกว่า “กูชนะ” แล้ว แต่ถ้าถามว่าพ่อค้าผู้นี้ฉลาดหรือโง่ คำตอบย่อมชัดเจนอยู่แล้ว

    ธรรมดาพ่อค้าควรดีใจที่มีลูกค้ามาซื้อของ เพราะนั่นคือรายได้ที่จะตามมา จะว่าไปแล้วเขามาเป็นพ่อค้าก็เพราะเหตุนี้ การปฏิเสธลูกค้าย่อมไม่เป็นผลดีแก่ตัวเขาเอง แต่อะไรทำให้เขาทำเช่นนั้น คำตอบก็คือ ความลืมตัว

    พ่อค้าลืมตัวเพราะถูกความขุ่นเคืองครอบงำจิตใจ จึงคิดแต่จะตอบโต้หรือเอาชนะผู้อื่น จนลืมไปว่าผลเสียจะเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างไรบ้าง มะม่วงของเขาแม้จะดี หอมหวาน แถมราคาถูก แต่หากเขาลืมตัวแบบนี้บ่อย ๆ เพราะปล่อยให้ความหงุดหงิดขุ่นเคืองเกิดขึ้นเป็นประจำ ก็หวังความเจริญในอาชีพนี้ได้ยาก

    คนเราไม่ว่าฉลาดหรือเก่งเพียงใดก็ตาม หากลืมตัวเสียแล้ว ก็สามารถทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตัวเองได้ทั้งนั้น นักธุรกิจต้องการเสนอขายผลิตภัณฑ์ลูกค้า แต่เมื่อถูกลูกค้าวิจารณ์ ก็โกรธ ห้ามใจไม่อยู่ ใช้ถ้อยคำรุนแรงตอบโต้ลูกค้า ผลก็คือเสียลูกค้า ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เขาควรทำคือตั้งสติ ไม่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำใจ พยายามโน้มน้าวลูกค้าให้เห็นข้อดีของผลิตภัณฑ์ หรือใช้เหตุผลหักล้างคำวิจารณ์ดังกล่าว

    ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม นอกจากความรู้ ความสามารถ เงินทุน เครือข่าย และโอกาสแล้ว อย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ สติหรือความรู้ตัว ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในการงาน เป็นซีอีโอ ศาสตราจารย์ ดาราดัง แต่หากขาดสติ จนลืมตัว แม้เพียงชั่วขณะ ชีวิตก็อาจดำดิ่ง ประสบหายนะได้ เพราะอารมณ์ชั่ววูบชักนำให้ทำสิ่งเลวร้าย จนต้องติดคุกติดตะราง

    แม้แต่การทำบุญ หากไม่มีสติ ก็อาจลืมตัวทำบาปก็ได้ หญิงผู้หนึ่งไปทำบุญที่วัดใหญ่แห่งหนึ่ง วันนั้นมีคนเยอะมาก ต้องต่อแถวยาวกว่าจะได้ไปบูชาสักการะพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ จู่ ๆ ก็มีชายผู้หนึ่งแซงเธอต่อหน้าต่อตา เธอไม่พอใจ จึงต่อว่าชายผู้นั้น ผลก็คือเกิดการทะเลาะกัน ด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรงทั้งสองฝ่าย วันนั้นแทนที่เธอจะได้บุญ กลับได้บาป เพราะจิตใจขุ่นมัว มีแต่ความเคืองแค้นและหมองหม่น

    เมื่อใดที่ลืมตัว ก็ลืมผิดชอบชั่วดี จึงทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะเมื่อความโกรธเข้ามาครอบงำจิตใจ ลูกสามารถกราดเกรี้ยวกับพ่อแม่เพราะดื้อไม่ทำตามคำแนะนำ ส่วนสามีก็สามารถทำร้ายภรรยาเพราะถูกต่อว่า

    ทุกวันนี้เราเห็นความลืมตัวเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสื่อโซเชียล เช่น เฟซบุ๊ค ความลืมตัวเพราะโกรธชั่ววูบ ทำให้ดารา นักร้อง คนดัง หลายคนเขียนข้อความรุนแรง ที่ทำให้ต้องเสียใจในภายหลัง บางคนอนาคตดับวูบเพียงเพราะข้อความไม่กี่ประโยคที่ระบายออกมา

    หลายคนไม่ตระหนักว่าอันตรายนั้นอยู่ที่ปลายนิ้วของตน นั่นคือโทรศัพท์มือถือ ทันทีที่ขาดสติ ลืมตัว เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ข้อความที่พรั่งพรูผ่านปลายนิ้ว ไปปรากฏในสื่อโซเชียล กลับกลายเป็นหอกกลับมาทิ่มแทงตัวเอง บางคนทนไม่ได้ถึงกับฆ่าตัวตาย

    โลกยุคนี้ ความลืมตัวคือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรอื่น
    :- https://visalo.org/article/secret256011.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2023
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    SatiMindSafe.jpg
    ตัวขโมยความสุข
    ภาวัน
    เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น

    หนุ่มโสดคนหนึ่งสังเกตว่าหลายเดือนมานี้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในบ้านเขา นั่นคืออาหารที่เก็บไว้ในครัวหายเป็นประจำ เขาเชื่อว่าต้องมีขโมยเข้าบ้านเขา แต่ไม่เคยจับได้คาหนังคาเขาเสียที เขาจึงติดตั้งกล้องวงจรปิดซึ่งสามารถส่งสัญญาณภาพไปยังโทรศัพท์มือถือของเขา

    แล้วเขาก็พบว่า มีใครคนหนึ่งกำลังยุ่มย่ามอยู่ในบ้านเขา จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจทันทีเพราะเชื่อว่าพบขโมยแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อตำรวจมาถึง ก็พบว่าประตูและหน้าต่างบ้านนี้ลั่นดาลแน่นหนา ตำรวจจึงตรวจค้นทุกซอกทุกมุมและทุกห้อง แต่ก็ไม่เจออะไร จนกระทั่งตำรวจเลื่อนประตูตู้เสื้อผ้าก็พบผู้หญิงวัย ๕๘ ปีคนหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ข้างใน

    เธอสารภาพว่า เป็นคนไร้บ้านและแอบเข้ามาอยู่ในบ้านนี้นานเป็นปีแล้ว ที่เธอเข้ามาได้ก็เพราะเห็นว่าประตูบ้านนี้ไม่ได้ลั่นดาลเอาไว้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอต้องซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าในยามเจ้าของบ้านกลับมา ต่อเมื่อเขาออกไปข้างนอก เธอจึงจะออกมาหาอาหารกิน และอาบน้ำถูฟัน

    ชายเจ้าของบ้านคิดไม่ถึงว่าขโมยที่เขาต้องการตัวนั้น ที่แท้กบดานซ่อนอยู่ในบ้านเขานานเป็นปีแล้ว และที่เคยคิดว่าเขาอยู่คนเดียวในบ้านนั้นเป็นความเข้าใจผิดมาโดยตลอด

    อ่านเรื่องนี้แล้ว ใครที่คิดว่าตัวเองอยู่ลำพังในบ้าน อย่าเพิ่งแน่ใจนักว่ามีคุณคนเดียวที่อยู่บ้าน เพราะอาจมีคนแปลกหน้าหรือขโมยอยู่ร่วมบ้านเดียวกับคุณก็ได้

    คนเรามักคิดว่าขโมยนั้นอยู่ไกลตัว แต่บางทีขโมยก็อยู่ใกล้ตัวเรานิดเดียว จะว่าไปแล้ว ใช้คำว่า “บางที”ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะบ่อยครั้งขโมยอยู่ใกล้ชิดเรามากอย่างที่นึกไม่ถึง

    ไม่เชื่อก็ลองสำรวจดูว่าในตัวคุณมีพยาธิอยู่หรือเปล่า นั่นแหละตัวการที่ขโมยอาหารในร่างกายของคุณอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าคุณหาอะไรมาใส่ท้อง ดีเลิศแค่ไหนก็ตาม มันจะคอยแย่งกินแย่งดูดจนอิ่มหมีพีมัน ขณะที่ร่างกายของคุณกลับย่ำแย่ลง

    ก้อนมะเร็งเป็นหัวขโมยอีกชนิดหนึ่งที่อาจกำลังแย่งชิงสารอาหารไปจากเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายของคุณอยู่ในขณะนี้ก็ได้

    อย่างไรก็ตามหัวขโมยที่ดูดเอาสุขภาพของคุณไปนั้น ยังไม่น่ากลัวเท่ากับเจ้าตัวร้ายที่ขโมยความสุขไปจากใจคุณ

    เช่นเดียวกับพยาธิและก้อนมะเร็ง เจ้าตัวร้ายที่ว่านี้ไม่ได้อยู่นอกตัวคุณ ไม่ใช่ทั้งคนใกล้ตัว หรือคนไกลตัว หากแต่อยู่ในใจคุณนั้นเอง

    เจ้าตัวร้ายที่ว่าก็คือ ความยึดติดถือมั่นในอัตตาหรือตัวกูของกู ซึ่งแตกลูกแตกหลานเป็น ความโลภ ความโกรธเกลียด ความอิจฉาริษยา ความถือตัว เป็นต้น เจ้าตัวร้ายที่ว่านี้จะคอยดูดความสุขไปจากจิตใจของเราตลอดเวลา ทำให้จิตใจร่านรนรุ่มร้อน ขุ่นเคือง กระสับกระส่าย จนอยู่ไม่เป็นสุข กินไม่ได้ นอนไม่หลับ อาจถึงกับล้มป่วยเลยด้วยซ้ำ

    ตราบใดที่เราจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เจ้าตัวร้ายนี้ก็จะรังควาญเราไม่จบสิ้น แม้เราจะมีครอบครัวที่ดี มีร่างกายแข็งแรง มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีตำแหน่งหน้าที่สูงเด่น ประสบความสำเร็จนับไม่ถ้วน เราก็ยังไม่มีความสุขอยู่นั้นเอง เพราะความสุขที่ควรมีควรได้นั้นถูกดูดไปหล่อเลี้ยงปรนเปรออัตตาหรือเจ้าตัวร้าย ขณะที่มันเติบใหญ่พองโต แต่จิตใจของเรากลับเหี่ยวแห้งเศร้าหมอง

    ขโมยนั้นชอบซุกซ่อนอยู่ในที่มืด เพราะกลัวแสงสว่างหรือกลัวคนเห็น ฉันใดก็ฉันนั้น เจ้าตัวร้ายนี้ก็กลัวใจที่มีสติรู้ทัน เมื่อใดก็ตามที่มีสติ ใจก็พลันสว่าง สามารถเห็นเจ้าตัวร้ายคาหนังคาเขา ทำให้มันต้องรีบหลบหนี ไม่มารังควาญอีกต่อไป ความปกติสุขจึงกลับคืนสู่ใจของเรา

    แน่นอนมันไม่ได้หายไปเลย แต่จะคอยกลับมารบกวนเวลาเราเผลอ การมีสติหมั่นดูใจตนอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้นจึงอย่าเผลอส่งจิตออกนอกตัว จนลืมกลับมาดูใจ หาไม่แล้วความสุขของคุณจะถูกดูดหายไปได้ง่าย ๆ
    :- https://visalo.org/article/Image255411.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2023
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    hutseaside.jpg
    เมื่อเรากลายเป็น “ของมัน”

    พระไพศาล วิสาโล
    เคยสังเกตไหมว่าเวลาเพื่อนทำกระเป๋าเงินหาย เราสามารถสรรหาเหตุผลมาได้มากมายเพื่อช่วยให้เธอทำใจ (ยังดีที่ไม่เสียมากกว่านี้,ถือว่าใช้กรรมก็แล้วกัน,เงินทองเป็นของนอกกาย ฯลฯ) ในทำนองเดียวกันเวลา เพื่อนอกหัก ถูกแฟนทิ้ง เราก็รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรเพื่อให้เธอปล่อยวาง แต่เวลาเราประสบเหตุอย่างเดียวกัน กลับทำใจไม่ได้ เอาแต่เศร้าซึมจ่อมจมอยู่กับความสูญเสีย คำแนะนำดี ๆ ที่ให้กับเพื่อนกลับเอามาใช้กับตัวเองไม่ได้ บ่อยครั้งก็นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะทำใจอย่างไร

    ใช่หรือไม่ว่าสาเหตุที่เราสามารถแนะนำเพื่อนได้อย่างฉาดฉาน ก็เพราะเงินของเพื่อน ไม่ใช่เงินของฉัน แฟนของเพื่อน ไม่ใช่แฟนของฉัน เราจึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเท่าใดนัก ปัญญาจึงทำงานได้เต็มที่ แต่เมื่อใดที่เหตุร้ายเกิดกับเงินของฉัน หรือกับแฟนของฉัน อารมณ์จะท่วมท้นใจจนนึกอะไรไม่ออก


    ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังเท่ากับคำว่า “ของฉัน” ไม่ว่าความวิบัติจะรุนแรงเพียงใดก็ตาม หากมันไม่เกี่ยวข้องกับ “ของฉัน” เราก็ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาด้วย แต่ทันทีที่มีอะไรมากระทบกับ “ของฉัน” แม้เล็กน้อยเพียงใด มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที

    หลายคนดูข่าวแผ่นดินไหวในอิหร่านที่มีคนตายนับแสนคนด้วยความรู้สึกเฉย ๆ แต่จะขุ่นเคืองไปทั้งวันเมื่อพบว่ารถของตนมีรอยขีดข่วนที่ตัวถัง

    สาเหตุที่ผู้คนยอมเหนื่อยยากทำงานตัวเป็นเกลียวก็เพื่อรักษาและเพิ่มพูน “ของฉัน”ให้มากที่สุด ความยึดอยากให้ทุกอย่างเป็น “ของฉัน”ทำงานอยู่ในส่วนลึกของจิตใจตลอดเวลา แม้เก้าอี้ในโรงหนังที่เพิ่งมานั่งได้ไม่กี่นาที เราก็เรียกว่า “เก้าอี้ของฉัน”ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

    แต่เราเคยสังเกตไหมว่า ทันทีที่ยึดอะไรก็ตามว่าเป็น “ของฉัน” เรากลายเป็น “ของมัน”ไปทันที เราจะยอมทุกข์เพื่อมัน ถ้าใครวิจารณ์เสื้อของฉัน ตำหนิรถของฉัน เราจะโกรธและจะแก้ต่างให้มัน บางครั้งถึงกับแก้แค้นแทนมันด้วยซ้ำ ถ้าเงินของฉันถูกขโมย เราจะทุกข์ข้ามวันข้ามคืนทีเดียว

    คนจำนวนไม่น้อยยอมตายเพื่อรักษาสร้อยเพชรไว้ไม่ให้ใครกระชากเอาไป บางคนยอมเสี่ยงชีวิตฝ่าเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้บ้านเพราะกลัวอัญมณีจะถูกทำลายวายวอด ฉะนี้แล้วควรจะเรียกว่ามันเป็น “ของฉัน” หรือฉันต่างหากที่เป็น “ของมัน”

    เป็นเพราะหลงคิดว่ามันเป็น “ของฉัน” ผู้คนทั้งโลกจึงกลายเป็น “ของมัน”ไปโดยไม่รู้ตัว มีชีวิตอยู่ก็เพื่อมัน ยอมทุกข์ก็เพื่อมัน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่ามีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด แต่ก็ใช้เวลาไปอย่างไม่เสียดายก็เพื่อมัน ซ้ำร้ายกว่านั้นหลายคนยอมทำชั่ว อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณก็เพื่อมัน

    ยิ่งยึดมั่นว่าทรัพย์สมบัติเป็นของฉัน เรากลับกลายเป็นทาสของมัน จิตใจนี้อุทิศให้มันสถานเดียว เศรษฐินีเงินกู้คนหนึ่ง เป็นโรคอัลไซเมอร์ในวัยชรา จำลูกหลานไม่ได้แล้ว แต่สิ่งเดียวที่จำได้แม่นก็คือสมุดจดบันทึกทรัพย์สิน ทุกวันจะหยิบสมุดเล่มนี้มาพลิกดูไม่รู้เบื่อ แม้ลูกหลานจะชวนสวดมนต์หรือฟังเทปธรรมะ ผู้เฒ่าก็ไม่สนใจ จิตใจนั้นรับรู้ปักตรึงอยู่กับเงินทองเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อสิ้นลมผู้เฒ่าจะนึกถึงอะไรและจะไปสุคติได้หรือไม่

    ไม่ว่าจะมีเงินทองมากมายเพียงใด เมื่อตายไปก็ไม่มีใครเอาไปได้แม้แต่อย่างเดียว นั่นเป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่อทรัพย์สมบัติ แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ หากหวงแหนติดยึดมันแม้กระทั่งในยามสิ้นลม มันก็สามารถฉุดลงอบายได้

    ถ้าไม่อยากเป็น “ของมัน” ก็ควรถอนความสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็น “ของฉัน” การให้ทานเป็นวิธีการเบื้องต้นในการฝึกจิตให้ถอนความสำคัญมั่นหมายดังกล่าว ถ้าให้ทานอย่างถูกวิธี ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับเท่านั้น หากยังเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้ ประโยชน์ประการหลังมิได้หมายถึงความมั่งมีศรีสุขในอนาคตเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือช่วยลดความยึดติดในทรัพย์ “ของฉัน” แต่อานิสงส์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราให้โดยไม่ได้หวังอะไรกลับคืนมา หากให้เพื่อมุ่งประโยชน์แก่ผู้รับเป็นสำคัญ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นพระหรือไม่ก็ตาม และเมื่อให้ไปแล้วก็ให้ไปเลย โดยไม่คิดว่าของนั้นยังเป็นของฉันอยู่ ( หรือเฝ้ามองว่าทำไมหลวงพ่อยังไม่ฉันอาหาร “ของฉัน”)

    การให้ทานและเอื้อเฟื้อเจือจานเป็นการสร้างภูมิต้านทานให้แก่จิตใจ ทำให้ไม่ทุกข์เมื่อประสบความสูญเสีย ในทางตรงข้ามคนที่ตระหนี่ แม้จะมีความสุขจากเงินทองที่พอกพูน แต่หารู้ไม่ว่าจิตใจนั้นพร้อมที่จะถูกกระทบกระแทกในยามเสียทรัพย์ แม้จะเป็นเรื่องที่จำเป็นก็ตาม

    ชาวอินเดียผู้หนึ่งเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก วันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากภรรยาว่าเธอปวดท้องและปวดศีรษะมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล หมอจึงสั่งตรวจเลือดและทำอุลตร้าซาวด์ เพราะเกรงว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ พอรู้เช่นนี้เขาจึงสั่งให้ภรรยารีบหนีออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้น แล้วเขาก็โทรศัพท์ไปด่าหมอว่าเห็นแก่เงิน สั่งตรวจเลือดและทำอุลตร้าซาวด์โดยไม่จำเป็น หมอพยายามอธิบายอย่างไรเขาไม่ยอมเข้าใจ

    ต่อมาเขามีเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลเดียวกันนั้นเพื่อผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี เขาต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลายวันเนื่องจากมีการติดเชื้อ ค่าใช้จ่ายจึงเป็นจำนวนมาก วันสุดท้ายที่เขาอยู่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินได้มาเก็บเงินจากคนไข้ถึงในห้อง ทันที่เขาเห็นตัวเลขค่าใช้จ่าย ก็เกิดอาการช็อคและสิ้นลมคาเตียง

    เงินนั้นมีไว้ใช้ แต่เมื่อใดที่เผลอใจกลายเป็นของมันไป มันก็สามารถทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตได้
    :- https://visalo.org/article/secret255307.htm
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    look in yourself.jpg
    อยู่กับทุกข์ให้เป็น ก็ไม่เป็นทุกข์

    พระไพศาล วิสาโล
    ทุกวันนี้ผู้คนมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น ความรู้และเทคโนโลยีนานาชนิดทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้มากมาย ร้อนก็เปิดแอร์ อาบน้ำก็ไม่ต้องกลัวหนาวเพราะมีเครื่องทำน้ำอุ่น ไปไหนมาไหนก็ไม่เหนื่อยเพราะมีรถยนต์และเครื่องบิน ฯลฯ

    แต่ถึงแม้จะมีความสามารถในการพาตัวให้ไกลจากความทุกข์ได้มากมายเพียงใด ความจริงอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ มีความทุกข์หลายอย่างที่เราไม่อาจหนีพ้นได้ ร่ำรวยเพียงใดก็ยังต้องเจอกับความพลัดพรากสูญเสีย ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องพบกับความไม่สมหวัง เก่งเพียงใดก็ต้องประสบกับความล้มเหลว ที่แน่ ๆ ก็คือ ไม่มีใครหนีพ้นความแก่ชรา ความเจ็บป่วย และความตายไปได้

    คนเป็นอันมากเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือวิตกกังวล จนเครียดหนัก หรือถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลายเป็นการเอาความทุกข์มาซ้ำเติมตนเองให้หนักกว่าเดิม แทนที่จะเสียแต่เงิน ใจก็พลอยเสียไปด้วย แทนที่จะป่วยกายอย่างเดียว ใจก็ป่วยด้วย พูดอีกอย่าง แทนที่จะเจอธนูดอกเดียว กลับเจอถึงสองดอก ธนูดอกแรกนั้นอาจ มาจากคนอื่นหรือสิ่งนอกตัว แต่ธนูดอกที่สองนั้นเกิดจากน้ำมือของเราเอง ร้ายกว่านั้นก็คือธนูดอกที่สองนั้นมักก่อความทุกข์ที่รุนแรงหนักหนากว่าธนูดอกแรกเสียอีก

    หญิงสูงวัยผู้หนึ่งไปหาหมอครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคอะไร แล้ววันหนึ่งหมอก็เรียกเธอไปพบ แล้วบอกว่า “ ป้าเป็นมะเร็งตับนะ อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน” เธอตกใจมาก นับแต่นั้นมาก็เศร้าซึม หมดอาลัยตายอยาก ไม่พูดไม่คุยกับใคร ผ่านไปได้แค่ ๑๒ วัน เธอก็เสียชีวิต

    ก้อนมะเร็งนั้นแม้จะบั่นทอนร่างกายของเธอ แต่ก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับใจที่ตื่นตระหนกและวิตกกังวล นั่นเป็นเพราะเธอไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น แต่พยายามปฏิเสธต่อต้านตลอดเวลา ใจที่ดิ้นรนขัดขืนนั้นสามารถตัดรอนชีวิตของเธอได้เร็วยิ่งกว่าก้อนมะเร็งเสียอีก

    จะว่าไปแล้วความทุกข์ของคนสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากใจที่ปฏิเสธต่อต้านความจริงที่เกิดขึ้นยิ่งกว่าอะไรอื่น ดังนั้นแม้แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รถติด ก็ทำให้ผู้คนขึ้งเครียดหงุดหงิดอย่างหนัก ทั้ง ๆ ที่เครียดหรือกังวลเท่าใด ก็ไม่ช่วยให้รถเคลื่อนได้เร็วขึ้น มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น

    อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร มีสิ่งร้ายเกิดขึ้นกับเราก็ไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับใจที่ปฏิเสธต่อต้านสิ่งนั้น พูดอีกอย่าง ยิ่งเราปฏิเสธต่อต้านสิ่งใด ความทุกข์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเจอสิ่งนั้น การวิจัยพบว่า คนที่กลัวเข็มฉีดยานั้น เมื่อถูกเข็มแทงจะรู้สึกปวดมากกว่าคนที่วางเฉยต่อเข็มนั้นถึงสามเท่า คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่าใจที่ปฏิเสธต่อต้านความทุกข์ย่อมทำให้ความทุกข์นั้นทบทวีหรือตรีคูณ

    ในทางตรงข้ามทันทีที่เราหยุดต่อต้านขัดขืน ยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ความทุกข์จะลดลงไปมาก คนที่ยอมรับความจริงได้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง ไม่ต่อต้านขัดขืน หรือคร่ำครวญตีโพยตีพายอีกต่อไป จะพบว่ามีแต่กายเท่านั้นที่ทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ด้วย

    เป็นธรรมดาของคนเราเมื่อเจอภัยคุกคามหรือสิ่งที่ไม่ชอบ ย่อมมีปฏิกิริยาในทางใดทางหนึ่งเสมอคือ ถ้าไม่หนี ก็ต่อสู้ แม้ตัวจะหนีไม่พ้น แต่ใจก็ยังดิ้นรนขัดขืนหรือต่อสู้ ซึ่งก็ยิ่งทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น แต่หากเรามีสติรู้ทันใจที่ดิ้นรนขัดขืน มันก็จะค่อย ๆ สงบลง ไม่ว่าการดิ้นรนขัดขืนนั้นจะแสดงออกมาในรูปของความกลัว ความวิตกกังวล ความโกรธแค้น ความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็สามารถสงบลงได้เมื่อมีสติหรือรู้ตัว

    ในทางตรงข้ามการกดข่มหรือพยายามกำจัดมันกลับทำให้มันดำรงคงอยู่ต่อไป แม้ดูเหมือนจะหายไป แต่แท้จริงมันกลับหลบซ่อน และพร้อมจะปรากฏตัวอีกด้วยอาการที่รุนแรงกว่าเดิมหากมีอะไรมากระทบหรือสะกิดใจเรา จะว่าไปก็คงไม่ต่างจากการเกาให้หายคันเวลาถูกยุงกัดหรือเป็นลมพิษ แทนที่ความคันจะหายไป มันกลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกาหนักขึ้น กลายเป็นว่ายิ่งเกาก็ยิ่งคัน การอยู่เฉย ๆ รับรู้ความคันที่เกิดขึ้นกับกาย และรู้ทันใจที่ดิ้นรนกระสับกระส่าย กลับช่วยให้ความทุกข์ทุเลาเบาบางลง

    การยอมรับความจริง มิได้หมายถึงการยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ที่จริงแล้วมันกลับช่วยให้เราสามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ดีขึ้น คนที่ยอมรับความเจ็บป่วยได้ นอกจากใจจะทุกข์น้อยลงแล้ว ยังมีเวลาใคร่ครวญหาทางเยียวยารักษา สามารถใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ ไม่ถูกรบกวนด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ผิดกับคนที่ไม่ยอมรับความจริง จะมัวแต่ตีโพยตีพาย คร่ำครวญวิตกกังวล จนไม่เป็นอันทำอะไร สิ่งที่ควรทำจึงไม่ได้ทำ ปัญหาที่ควรแก้จึงไม่ได้แก้

    ลองถามตัวเองว่าแต่ละวันเราเสียเวลาและพลังงานไปกับการคร่ำครวญหรือวิตกกังวลมากมายเพียงใด บางเรื่องเกิดขึ้นนานแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ป่วยการที่จะนึกถึง ขณะที่บางเรื่องก็ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่เรากลับตีโพยตีพายไปล่วงหน้าแล้ว แม้แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ก็เถอะ ลองตั้งสติและมองให้รอบด้านอาจพบว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหนักหนาเลย เป็นแต่ไม่ตรงกับความคาดหวังของเราเท่านั้น ลองปล่อยวางความคาดหวังนั้น ก็จะพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เหลือบ่ากว่าแรง อีกทั้งอาจมีแง่ดีบางอย่างที่ไม่เคยนึกมาก่อนก็ได้ ที่สำคัญก็คือ อย่ามัวจดจ่อปักใจอยู่กับสิ่งแย่ ๆ ที่เกิดขึ้น จนลืมว่าชีวิตนี้ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายที่รอการชื่นชมจากเรา

    ความทุกข์บางอย่างเราหนีไม่พ้นก็จริง แต่หากเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้เป็น ใจก็ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป
    :- https://visalo.org/article/secret255403.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    Peninsula, Costa Rica_.jpg
    มองเป็น ก็เห็นสุข

    พระไพศาล วิสาโล
    ถ้าให้เลือกระหว่าง ก) มีเพื่อนรวย หรือมีฐานะดีกว่าคุณ ข) มีเพื่อนจน หรือมีฐานะต่ำกว่า คุณจะเลือกข้อไหน

    คนส่วนใหญ่คงเลือกข้อ ก) เพราะว่าเพื่อนรวยนั้นสามารถเป็นที่พึ่งพาได้เวลาเดือดร้อนเรื่องเงินทอง ไปไหนมาไหนกับเขาก็ได้รับความสะดวกสบาย อาจไม่ต้องควักเงินเลยด้วยซ้ำ บางคนให้เหตุผลว่ามีเพื่อนรวยทำให้รู้สึกโก้ มีหน้ามีตา

    อย่างไรก็ตาม การมีเพื่อนรวยนั้นก็มีข้อเสียอยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็คือ อาจทำให้คุณเจ็บป่วยได้มากขึ้น ไม่นานมานี้นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยชิคาโกได้สอบถามความเห็นและข้อมูลจากคนจำนวน ๓,๐๐๐ คน อายุระหว่าง ๕๗-๘๕ ปี โดยขอให้ทุกคนให้ประเมินสุขภาพของตนและระบุโรคประจำตัวของตน รวมทั้งจัดอันดับสถานะการเงินของตนเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนฝูง ครอบครัว เพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมงาน

    ข้อสรุปที่พบก็คือ คนที่มีฐานะการเงินต่ำกว่าคนอื่น ๆ ที่ตนคบหาอยู่ด้วย มีโอกาสที่จะเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคหัวใจ มากกว่าคนที่มีฐานะดีกว่า ถึง ๒๒%

    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เหตุผลก็คือ คนที่คบเพื่อนรวยนั้น มักจะไม่มีความสุข เนื่องจากรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า จึงเกิดความเครียดซึ่งหากสะสมยืดเยื้อ ก็ทำให้เจ็บป่วยได้

    ความเจ็บป่วยนั้นไม่ได้เกิดจากความยากจนอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลจากการเปรียบเทียบกับคนอื่นด้วย หากรู้สึกว่าตัวเองมีเงินน้อยกว่า ฐานะต่ำกว่า ก็สามารถทำให้เป็นทุกข์จนล้มป่วยได้

    การเปรียบเทียบเป็นที่มาของความทุกข์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคนที่มีมากกว่า ดีกว่า สูงกว่าเรา ดังนั้นไม่ว่าจะมีมากเท่าไร คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความทุกข์ ตราบใดที่เห็นคนอื่นมีมากกว่าตน แม้แต่เศรษฐีร้อยล้านก็ไม่มีความสุขหากเห็นเพื่อน ๆมีเงินนับพันล้าน

    หลายคนมักปรารถนาจะได้อะไรต่ออะไรมาก ๆ แต่ที่จริงแล้วการได้มามาก ๆ ไม่ทำให้เรามีความสุขเลย หากได้น้อยกว่าคนอื่น ในทางตรงข้าม แม้ได้น้อยแต่ถ้าได้มากกลับทำให้เรามีความสุขมากกว่า

    เคยมีการสอบถามผู้คนว่า จะเลือกข้อไหน ระหว่าง
    ก) ได้เงิน ๕,๐๐๐ แต่เพื่อนร่วมงานได้ ๓,๐๐๐
    ข) ได้เงิน ๑๐,๐๐๐ แต่เพื่อนร่วมงานได้ ๑๕,๐๐๐

    คนส่วนใหญ่เลือกข้อ ก) ทั้ง ๆ ที่ตัวเองได้แค่ครึ่งเดียวของข้อ ข) เหตุผลนั้นมีประการเดียวคือ ต้องการได้มากกว่าคนอื่น ส่วนจำนวนนั้นเป็นเรื่องรอง

    พูดอีกอย่างก็คือ สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ความสุขไม่ได้อยู่ที่ว่าตนมีเท่าไร แต่ขึ้นอยู่กับคนอื่นว่ามีเท่าไร ต่างหาก ตราบใดที่เขามีมากกว่าฉัน ฉันก็ไม่มีความสุข

    ความคิดเช่นนี้แหละเป็นที่มาของความทุกข์ของคนทุกวันนี้ เพราะไม่ว่าจะได้มากเท่าไร ก็ต้องมีคนอื่นที่ได้มากกว่าเราเสมอ ตราบใดที่เราไม่เลิกเปรียบเทียบกับคนอื่น เราจะหาความสุขไม่ได้เลย แม้จะมีโชคได้แหวนเพชรเม็ดงามก็ยังทุกข์หากรู้ว่าคนอื่นได้เพชรเม็ดใหญ่กว่าหรือแพงกว่า มีรถราคาเป็นล้านก็ยังทุกข์เมื่อเห็นเพื่อนบ้านขับรถราคาแพงกว่า ได้เป็นผู้จัดการก็ยังทุกข์หากรู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นได้เป็นซีอีโอบริษัทใหญ่กว่า ได้คู่ครองที่ซื่อตรงก็ยังทุกข์เมื่อเห็นเพื่อนได้คู่ครองที่เอาอกเอาใจมากกว่า รูปร่างดีแต่ก็ยังเป็นทุกข์เพราะเห็นเพื่อน ๆ สวยกว่า ซื้อของได้ถูกกว่าก็ยังทุกข์เมื่อรู้ว่าคนอื่นซื้อได้ถูกกว่าเรา

    ตราบใดที่เรายังเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่เสมอ เราจะหาความสุขไม่ได้เลย ไม่ว่าร่ำรวยแค่ไหน ได้โชคได้ลาภเพียงใดก็ตาม

    แต่ทันทีที่เรารู้จักพอใจสิ่งที่มี ยินดีสิ่งที่ได้ ความสุขจะบังเกิดขึ้นทันที แทนที่จะเฝ้ามองสมบัติของคนอื่นว่าดีกว่าอย่างไร เราลองหันมาชื่นชมสิ่งที่เรามี เห็นข้อดีหรือประโยชน์ของสิ่งที่มีอยู่ ความพอใจก็จะเกิดขึ้น ความรุ่มร้อนก็จะหายไป แทนที่จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่เราไม่มี ทำไมไม่หาความสุขจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในขณะนี้

    ถ้าวางใจได้อย่างนี้ แม้จะมีเพื่อนที่รวยกว่า เก่งกว่า ดังกว่า หรือสวยกว่า เราก็ไม่มีความทุกข์เลย ไม่มีทั้งความรู้สึกด้อยหรืออิจฉา กลับรู้สึกยินดีมีมุทาจิตด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วเมื่อหันมาใส่ใจกับสิ่งที่เรามีอยู่ เราก็จะพบว่าเรายังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายที่น่าชื่นชม ซึ่งบางอย่างคนอื่นอาจไม่มีหรือมีไม่เท่าก็ได้ เช่น แม้จะมีเงินน้อยกว่า ตำแหน่งต่ำกว่า แต่เราก็มีสุขภาพดี มีครอบครัวที่อบอุ่น มีชีวิตที่ราบรื่น เพียงเท่านี้ก็น่าจะมีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ

    ความสุขมีอยู่กับเราอยู่แล้วทุกขณะ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือไม่เท่านั้น
    :- https://visalo.org/article/secret255405.htm
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    BuddhaJitDin.jpg
    วางได้จึงไปดี

    พระไพศาล วิสาโล

    ทุกวันยายจะตื่นมาตั้งแต่ตีสี่ หลังจากสวดมนต์และทำกิจส่วนตัวเสร็จ ก็จะออกมาเตรียมอาหารใส่บาตรโดยมีลูกสาวช่วยอีกแรง


    วันหนึ่งหลานสาว ซึ่งต้องออกไปทำงานก่อนฟ้าสาง สังเกตว่าตีห้าครึ่งแล้ว ยายไม่ออกมาเตรียมอาหารเหมือนเคย มีแต่แม่ทำงานอยู่ในครัวคนเดียว จึงมาเคาะประตูห้องยาย พร้อมกับถามว่า “ยายจ๋า ไม่ใส่บาตรเหรอ?”

    ยายตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “วันนี้ไม่ใส่หรอก เดี๋ยวยายจะนั่งสมาธิต่อสักหน่อย”

    หลานสาวถามต่อว่า “งั้นหนูไปทำงานนะ ยายจะเอาอะไรไหม?”

    ยายตอบว่า “ไปเหอะ ยายไม่เอาอะไรอีกแล้ว”

    จนสายยายก็ยังไม่ออกมาจากห้อง ลูกสาวรู้สึกผิดสังเกต จึงทั้งเรียกทั้งเคาะประตูห้องอยู่นาน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงไปเรียกคนมาช่วยงัดประตูห้องเข้าไป ภาพที่ปรากฏก็คือ ยายนุ่งขาวห่มขาว หลังพิงฝาอยู่ในท่านั่งสมาธิ ดวงตาปิด มีรอยยิ้มน้อย ๆ คล้าย ๆ คนนั่งหลับ แต่พอมีคนมาแตะตัว ร่างของยายก็เอียงกระเท่เร่ลงมา ถึงตอนนั้นทุกคนจึงรู้ว่ายายหมดลมแล้ว

    ยายจากไปอย่างสงบและดูเหมือนจะรู้ตัวล่วงหน้าด้วยว่าจะจากไปในเช้าวันนั้น จึงนุ่งขาวห่มขาวและเลือกที่จะทำจิตให้สงบ แทนที่จะออกไปใส่บาตรเหมือนเคย ธรรมดาคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ย่อมอยากให้คนรักหรือลูกหลานอยู่ใกล้ ๆ เพื่อเป็นกำลังใจ แต่ยายกลับปรารถนาที่จะอยู่ลำพัง ใช้เวลาที่เหลืออยู่กับการสวดมนต์ รำลึกถึงพระรัตนตรัย และนั่งสมาธิ

    คนที่จะทำเช่นนี้ได้ย่อมไม่อาลัยในชีวิตและไม่กลัวความตาย ทั้งนี้เพราะเชื่อมั่นว่าได้ทำความดีมาโดยตลอด และได้ใช้ชีวิตอย่างมีประโยชน์คุ้มค่าสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ จึงแน่ใจว่ามีสุคติเป็นเบื้องหน้า ขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าหน้าที่ที่สมควรทำก็ทำเสร็จสิ้นแล้ว จึงหมดห่วงไร้กังวล ดังนั้นจึงพร้อมที่จะจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่จำเป็นต้องสั่งเสียหรือล่ำลาลูกหลาน

    คนทั่วไปนั้นเมื่อใกล้จะตายมักทำใจไม่ได้ พยายามดิ้นรนต่อสู้กับพญามัจจุราชเพราะกลัวว่าตายแล้วจะไปอบาย เนื่องจากไม่สนใจสร้างบุญกุศล หรือทำบาปเป็นอาจิณ หาไม่ก็นึกเสียใจที่ยังไม่ได้ทำอะไรอีกมากมายที่สมควรทำ ความห่วงกังวลและความรู้สึกผิดติดค้างใจจึงรบกวนจิตใจทำให้กระสับกระส่าย ใช่แต่เท่านั้น เป็นเพราะยึดติดหวงแหนสิ่งต่าง ๆ อย่างเหนียวแน่นมาทั้งชีวิต เมื่อรู้แน่ว่าจะต้องพลัดพรากสิ่งเหล่านั้นไปหมด จึงไม่สามารถยอมรับความตายได้ แต่ยิ่งดิ้นรนต่อสู้ความตายมากเท่าไร ก็ยิ่งทุรนทุรายมากเท่านั้น

    นอกจากการทำความดี ละเว้นความชั่วแล้ว เราจะตายอย่างสงบได้ก็ต่อเมื่อรู้จักปล่อยวางด้วย ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ อำนาจ ชื่อเสียงเกียรติยศ ตลอดจนลูกหลาน ไม่เว้นแม้กระทั่งร่างกายที่ยึดว่าเป็นตัวตน แต่ถ้าจะรอปล่อยวางเมื่อใกล้ตายก็นับว่าเป็นความประมาทอย่างยิ่ง จึงควรฝึกปล่อยวางตั้งแต่ยังสุขสบายดีอยู่ ด้วยการให้ทานซึ่งเป็นการสละสิ่งที่ง่ายที่สุดคือเงินทองของนอกตัว ตามมาด้วยการรักษาศีล อันเป็นการฝึกลดละความเห็นแก่ตัว โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อหมกมุ่นในกามสุข

    แต่เท่านั้นยังไม่พอ จำเป็นต้องบำเพ็ญภาวนาคือฝึกฝนจิตใจ นอกจากเพื่อสละความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอกุศลหรือทำให้จิตใจรุ่มร้อนเศร้าหมองแล้ว ที่สำคัญก็คือเพื่อให้มีปัญญาเห็นความจริงว่าสิ่งทั้งปวงนั้นไม่จีรังยั่งยืน (อนิจจัง) เจือไปด้วยทุกข์ ไม่เคยทำให้เกิดความพอใจได้อย่างแท้จริง (ทุกขัง)และไม่สามารถยึดมั่นเป็นตัวเราของเราได้อย่างแท้จริง (อนัตตา) ปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์ดังกล่าวจะทำให้จิตใจสามารถปล่อยวางสิ่งทั้งหลายได้ ไม่ตกเป็นทาสของมัน รวมทั้งชื่อเสียงเกียรติยศ บริษัทบริวาร ลูกหลานคนรัก และความสำเร็จทั้งปวง

    ปล่อยวางในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งไม่ไยดีหรือไม่รับผิดชอบ หากหมายถึงการมีจิตใจเป็นอิสระจากสิ่งเหล่านั้น แม้ยังเกี่ยวข้องอยู่แต่ก็ไม่สยบมัวเมาในสิ่งเหล่านั้น รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและส่วนรวมตามควรแก่กรณี แต่เมื่อถึงเวลาพลัดพรากจากกัน ก็ไม่หวงแหนติดยึดหรือเศร้าโศกเสียใจ

    แม้ปุถุชนคนทั่วไปยากที่จะมีปัญญาถึงขั้นปล่อยวางสิ่งทั้งปวงได้อย่างแท้จริง แต่การดำเนินชีวิตโดยหมั่นให้ทาน รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนาอยู่เสมอ ย่อมช่วยให้จิตใจปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นได้มากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความสุขเพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่ทรัพย์สมบัติอาจจะลดลง เป็นความสุขจากจิตที่สงบเย็นและจากความสัมพันธ์ที่ร่มรื่นกับผู้อื่น ช่วยให้ชีวิตโปร่งโล่งเบาสบายอย่างแท้จริง และเมื่อถึงคราวละจากโลกนี้ไปก็สามารถจากไปได้อย่างสงบ เพราะไม่หวงแหนอะไรและไม่คิดจะเอาอะไรอีกแล้ว

    เช้าวันที่ยายจะจากไป ประโยคสุดท้ายที่ยายตอบหลานก็คือ “....ยายไม่เอาอะไรอีกแล้ว” ข้อความนี้มีนัยยะลึกซึ้งมากเพราะเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจของผู้ที่ปล่อยวางทุกอย่าง จึงพร้อมที่จะตายอย่างสงบ ใช่หรือไม่ว่า ต่อเมื่อเราสามารถพูดประโยคนี้ได้จากก้นบึ้งของหัวใจ จึงจะพร้อมรับความตายได้ด้วยใจสงบ
    :- https://visalo.org/article/secret255305.htm

     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    enemywithin.jpg
    เห็นนอกเห็นใน

    พระไพศาล วิสาโล
    ที่ประเทศจีนเมื่อหลายร้อยปีก่อน ชายตาบอดคนหนึ่งไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้าน หลังจากพูดคุยกันจนค่ำเขาก็ขอตัวกลับบ้าน เพื่อนจึงยื่นโคมให้ชายตาบอด ชายตาบอดแปลกใจ บอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันเพราะตาบอด เพื่อนตอบว่า “ถึงคุณตาบอดก็จริง แต่คนอื่นยังตาดี ถ้าคุณถือโคมนี้เอาไว้ เขาก็จะไม่มาเดินชนคุณ” ชายตาบอดจึงรับไป แต่ระหว่างทางปรากฏว่ามีคนมาเดินชนคนตาบอดจนล้ม เขาโกรธมาก ต่อว่าคนที่เดินมาชน ว่า “ตาบอดหรือไง ไม่เห็นหรือว่าฉันถือโคมอยู่” ชายผู้นั้นก็ขอโทษขอโพย และกล่าวว่า “สงสัยโคมที่คุณถือมันดับไปนานแล้ว” เรื่องก็จบเท่านี้ เป็นนิทานสั้นๆ แต่ก็สอนใจให้ดีทีเดียว

    นิทานเรื่องนี้สอนเราว่า อย่านึกถึงประโยชน์ของตนเพียงอย่างเดียว ให้นึกถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย ขณะเดียวกันเวลามีปัญหาอะไรก็อย่ามัวโทษคนอื่นอย่างเดียว ให้ย้อนกลับมาดูตัวเองด้วย ชายตาบอดไม่จำเป็นต้องใช้โคมก็จริง แต่มันเป็นประโยชน์ช่วยให้คนอื่นมองเห็นทาง จะได้ไม่เดินชนชายตาบอด บางสิ่งบางอย่างอาจไม่จำเป็นสำหรับเรา แต่มันอาจเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น อย่างคนบางคนอาจจะอยู่กับความอึกทึกครึกโครมได้ แต่ก็ไม่ควรไปสร้างความอึกทึกให้กับใคร คนอื่นเขาอาจจะต้องการความสงบก็ได้ อันนี้เป็นคุณธรรมพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันในสังคม คือรู้จักเผื่อแผ่ถึงคนอื่น หรือมองในมุมของคนอื่นบ้าง แต่ขณะเดียวกันเวลามีปัญหา เราก็อย่ามองไปที่คนอื่นอย่างเดียว ให้ย้อนกลับมามองที่ตัวเองด้วย เพราะสาเหตุอาจเกิดที่ตัวเราเองก็ได้ อย่างชายตาบอด โทษคนที่มาเดินชนเขา แต่ที่จริงเป็นเพราะโคมของเขามันดับไปนานแล้วต่างหาก

    คนที่ชอบโทษคนอื่นโดยไม่หันกลับมาดูตัวเองก็ไม่ต่างจากคนตาบอด เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา ผู้คนมักจะโทษว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นต้นเหตุ ไม่ได้กลับมามองว่าตัวเองมีส่วนทำให้เกิดปัญหาหรือเปล่า อันนี้รวมถึงคนที่เอาแต่มองนอกตัว แต่ไม่เห็นตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เวลาโกรธใครก็ใช้อารมณ์เข้าใส่ มองไม่เห็นอารมณ์ความโกรธที่เกิดขึ้น คนที่ไม่เห็นความโกรธที่เกิดขึ้นในใจนั้นไม่ต่างจากคนตาบอดเลย ในที่นี้หมายถึงตาในที่สามารถเห็นความรู้สึกนึกคิดภายใน

    นิทานเรื่องนี้บอกให้เราเห็นถึงนิสัยใจคอของคนส่วนใหญ่ คือเห็นแต่ความผิดของคนอื่น แต่ไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง ขณะเดียวกันก็เห็นแต่ประโยชน์ของตัวเอง ลืมนึกถึงประโยชน์ของผู้อื่น ตรงข้ามกับคนดีมีธรรมะ เขาจะไม่ได้มองเพียงแค่ประโยชน์ของตัว แต่จะคำนึงถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย ส่วนเวลามีปัญหาก็จะไม่มัวโทษคนอื่นอย่างเดียว แต่จะย้อนกลับมาดูตัวเองด้วย นี้เป็นคุณธรรมพื้นฐานของคนดี

    จะว่าไปแล้วการคำนึงถึงประโยชน์ของคนอื่นนั้น ก็ส่งผลดีต่อตัวเราเองด้วย เช่น คนตาบอดถือโคมไฟส่องทางให้คนอื่นมองเห็น ก็ช่วยให้เขาไม่เดินชนคนตาบอด ขณะเดียวกันการหันมามองตนเองอยู่เสมอก็มีประโยชน์กับตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะคนเราจะทุกข์ หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ใจของเราเองเป็นประการสำคัญ มีหลายคนที่สูญเสียทรัพย์สินเงินทอง แต่เขาก็ไม่มีความทุกข์ ยังยิ้มได้ แม้เขาจะเจ็บป่วย เขาก็ไม่ร้อนใจอะไร เมื่อถูกตำหนิ ใจของเขาก็ยังเป็นปกติ งานการไม่สำเร็จก็ยังกินได้นอนหลับ ก็เพราะว่าใจเขามีคุณภาพ เป็นใจที่มีธรรมะเป็นเครื่องรักษา เหตุการณ์เหล่านี้จึงไม่สามารถกระทบใจเขาจนเป็นทุกข์ได้ แม้มีปัจจัยภายนอกมากระทบ ถ้าปัจจัยภายในไม่เอาด้วย ก็ไม่เป็นทุกข์ เหมือนกับตบมือข้างเดียวย่อมไม่มีเสียงดัง

    ใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าวางใจเป็น ถึงแม้จะเสียทรัพย์ ประสบเคราะห์ เราก็ยังยิ้มได้ อะไรเกิดขึ้นกับเราก็ไม่สำคัญเท่าเราวางใจอย่างไร รู้สึกกับสิ่งนั้นอย่างไร ถ้าวางใจให้เป็น ความทุกข์ก็ไม่อาจเข้ามารบกวนจิตใจได้ เหมือนกับศัตรูมาอยู่รอบเมืองแล้ว แต่ถ้าเมืองมีทหารยามที่เข้มแข็ง ศัตรูก็เข้ามาก่อกวนหรือก่อวินาศกรรมในเมืองไม่ได้ แต่ถ้าทหารยามไม่เข้มแข็ง ไม่ซื่อสัตย์ ศัตรูก็เข้ามายึดเมืองได้

    ในประเทศอินเดียมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูง สร้างป้อมปราการไว้แข็งแรงกำแพงแน่นหนา เป็นการยากมากที่จะเข้ามาถึงเมืองนี้ได้ เพราะต้องปีนเขา กว่าจะไปถึงกำแพงเมืองก็อาจถูกยิงหรือโยนทรายร้อนใส่ก็ได้ นอกจากนี้เส้นทางเข้าออกสู่วังหลวงก็ซับซ้อนมาก แต่สุดท้ายศัตรูก็สามารถยึดเมืองนี้ได้ ไม่ใช่เพราะมีแสนยานุภาพเกรียงไกร แต่เพราะเขาติดสินบนทหารที่เฝ้าประตู เมื่อเขาให้สัญญาณ ทหารก็ยอมเปิดประตูและบอกทางเข้าวังหลวง ในที่สุดก็ต้องเสียเมืองให้กับศัตรู

    เมืองก็เปรียบเหมือนจิตใจของเรา ถ้าใจเรามีความโลภ ก็เปิดช่องให้ความทุกข์มาครองใจเราได้ ถ้าไม่มีสติ ลืมตัว ความทุกข์ก็เข้ามารบกวนจิตใจเราได้เช่นกัน ทำให้เกิดความโกรธ ความเศร้า ความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ถ้ามีสติรักษาใจ ก็สามารถป้องกันมิให้อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ ทำให้ใจสงบเป็นปกติ แต่ส่วนใหญ่คนเราจะมีชีวิตที่ผาสุกได้ ก็ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมิตรสหายแวดล้อมที่เรียกว่า กัลยาณมิตร บางคนมัวเมาลุ่มหลงติดเพลินในความสุขหรืออบายมุข ต้องมีเพื่อนมาเตือนถึงก็จะรู้ตัว หันมาใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง บางคนเศร้าโศกเสียใจเพราะอกหัก แต่พอเพื่อนมาเตือนก็ได้สติขึ้นมา สามารถปล่อยวางอารมณ์นั้นลงได้ บางคนโกรธแค้น อยากทำร้ายคนอื่น แต่พอมีคนมาเตือน ก็ได้สติ หยุดทำชั่วทันที

    มีโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ คนมีฐานะนิยมส่งลูกหลานมาเรียนกันมากมาย ปัญหาที่ตามมาคือหาที่จอดรถลำบาก การหาที่จอดรถเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับพ่อแม่ที่มารับส่งลูก โรงเรียนก็พยายามจัดระเบียบ คือให้ขับรถทางเดียวกัน การจราจรก็สะดวกขึ้น แต่มีวันหนึ่งขณะที่รถติดกันเป็นแพตรงประตูเข้า มีรถอีกคันหนึ่งแล่นมาทางประตูออก จึงวิ่งเข้ามาได้สะดวก และได้ที่จอดรถอย่างง่ายดาย เผอิญเป็นที่จอดรถเดียวที่เหลืออยู่ ผู้ปกครองที่ถูกแย่งที่จอดรถไปต่อหน้าต่อตา จึงเดินมาต่อว่าคนที่ขับรถย้อนศร ชายคนที่ถูกต่อว่า ไม่พอใจมาก จึงพูดขึ้นว่า “คุณไม่รู้หรือว่าผมเป็นใคร” อีกฝ่ายตอบ “ผมไม่สนใจว่าคุณเป็นใครแต่คุณทำผิดกฎ” แล้วก็หันหลังจะกลับไปขึ้นรถ คนที่ถูกต่อว่านั้นเป็นทหารยศนายพล โกรธมากจึงเข้าไปในรถและคว้าปืนออกม แล้วเดินตาม หมายจะยิงคนที่ต่อว่าตน

    บังเอิญคนขับรถของโรงเรียนอยู่ในเหตุการณ์ พอเห็นนายทหารกำลังจะยิง ก็เดินเข้าไปจับมือเขาไว้แล้วพูดว่า “ท่านจะมารับลูกไม่ใช่หรือครับ” พอได้ยินคนทักเช่นนี้นายทหารคนนั้นก็ได้สติทันที แทนที่จะเดินไปยิงเขา ก็เอาปืนไปเก็บที่รถแล้วเดินไปรับลูก เหตุการณ์นี้จบลงโดยไม่มีใครเป็นอะไร

    นายทหารคนนี้ได้สติเมื่อมีคนมาทักท้วง ทำให้เขาได้คิดว่าถ้ายิงคนตาย ลูกของตัวจะเดือดร้อนไปด้วย พอคิดได้ความโกรธก็วูบหายไป โดยไม่จำเป็นต้องข่มใจ สติมีพลังที่สามารถทำให้ความโกรธหายไปได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถมีสติได้ด้วยตัวเองเพราะว่าอารมณ์รุนแรงมาก ต้องอาศัยคนภายนอกช่วยเตือนช่วยบอก แต่ถ้าเตือนไม่เป็นอาจทำให้อีกฝ่ายขัดใจและยิ่งทวีความโกรธ จนอาจทำร้ายคนที่เตือนก็ได้

    อย่างไรก็ตามเราจะรอให้คนมาช่วยเตือนสติอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เราต้องรู้จักสร้างสติขึ้นมาเอง เพราะทุกคนมีสติกันทุกคน แต่เป็นสติที่ถูกปล่อยทอดทิ้ง เหมือนกับต้นไม้ที่ไม่ค่อยได้รับการรดน้ำพรวนดินเท่าที่ควร การหมั่นฝึกสติทำให้สติของเราว่องไวปราดเปรียว รู้ใจได้ทันท่วงที เช่น รู้ว่าใจกำลังฟุ้ง กำลังโกรธ อันนี้เป็นหน้าที่ของสติ ถ้ามีสติไว ใจก็จะไม่แล่นไปตามอารมณ์ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความรู้สึกนึกคิด หรือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” หมายความว่า กล่าวติเตียนผู้อื่นแต่ตัวเองกลับทำเสียเอง นั่นเป็นเพราะไม่มีสติ เราไม่ชอบคนนินทา แต่พอเห็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งชอบนินทา เราทนไม่ได้ ก็เลยแอบนินทาเพื่อนคนนี้ให้คนอื่นฟัง เราเคยเป็นอย่างนี้บ้างไหม นั่นเป็นเพราะไม่มีสติ จึงเผลอทำสิ่งนั้นด้วยความไม่ชอบขี้หน้าเขา ความโกรธหรือต้องการตอบโต้ก็สามารถทำให้เราทำตัวอย่างเดียวกับคนที่เราไม่ชอบได้เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์พุทธทาส เล่าว่าที่สวนโมกข์สมัยก่อนเมื่อหน่อไม้ภายในวัดเริ่มโต ชาวบ้านจากหมู่บ้านรอบวัดก็มาเก็บหน่อไม้ แต่ยังไม่ทันที่หน่อไม้จะโตเต็มที่ชาวบ้านก็แย่งกันตัด แม่ชีในวัดบอกชาวบ้านว่าให้หน่อไม้โตได้ที่ค่อยตัด แต่ก็ไม่มีใครฟัง แม่ชีจึงไม่พอใจมาก วันหนึ่งเห็นหน่อไม้ที่เพิ่งขึ้น ยังโตไม่ได้ที่ แม่ชีกลับตัดเสียเอง ทำไมแม่ชีถึงทำเช่นนั้นทั้ง ๆ ที่ห้ามคนไม่ให้ตัด นั่นก็เพราะต้องการสกัดไม่ให้ชาวบ้านตัดหน่อไม้ อันนี้ก็เข้าทำนอง “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” เช่นกัน

    คนเรามักเป็นแบบนี้ นั่นเป็นเพราะความไม่รู้ตัว เราไม่ชอบให้คนอื่นทำอะไรก็ตาม แต่เราก็กลับสิ่งนั้นเสียเอง ถ้าเรารู้ตัว นอกจากตัวเองจะไม่เป็นทุกข์แล้ว ยังสามารถทำสิ่งที่ควรทำ เพื่อประโยชน์ทั้งของตนเองและผู้อื่นด้วย
    :- https://visalo.org/article/PosttoDay25541002.htm
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    DhammaGuard.jpg
    ศีลธรรมและสันติภาพจะกลับมาได้อย่างไร
    (จบ) ศาสนา คือความรัก ความเมตตา และการให้อภัย
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อเร็วๆ นี้ มีการพูดกันในหมู่ชาวพุทธบางกลุ่มว่า หากมีพระถูกฆ่าในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ตอบโต้ด้วยการเผามัสยิด ๑ หลังต่อพระ ๑ รูป ในเรื่องนี้ท่านอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช ได้ให้ข้อเตือนใจที่ดีมากว่า “การที่เราจะมาชวนกันไปเผามัสยิดนี่ ผิดศีล ๕ นะ คนผิดศีล ๕ จะรักษาศาสนาพุทธได้หรือ กระทั่งศีลยังทำลายเลย” พูดอีกอย่างคือ ถ้าศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ จะรักษาพระพุทธศาสนาได้อย่างไร

    ถ้าเราจะรักษาศาสนา รักษาความดี รักษาความถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคม ก็จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ถูกต้องด้วย นั่นคือใช้สันติวิธี ถ้าเราต้องการรักษาความสงบสุข หรือต้องการให้ความสงบสุขกลับคืนมา เราต้องใช้วิธีที่สันติ ถ้าเราต้องการให้ศีลธรรมกลับมา เราต้องใช้วิธีการที่ถูกศีลถูกธรรม นั่นคือ สันติวิธี นี่คือวิธีการที่สอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “พึงเอาชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ พึงเอาชนะความชั่วด้วยความดี พึงเอาชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ พึงเอาชนะคนพูดพล่อยด้วยคำสัตย์”

    ยิ่งฝ่ายก่อการร้ายใช้ความรุนแรง เราก็ยิ่งต้องใช้สันติวิธี ยิ่งเขาใช้ความมดเท็จ เราก็ยิ่งต้องใช้สัจจะ

    เมื่อสี่ปีที่แล้วมีการก่อการร้ายที่ประเทศนอรเวย์ มีคนตายเกือบ ๘๐ คน มือปืนมีคนเดียว เป็นชาวนอรเวย์ เป็นฝ่ายขวาหัวรุนแรง ไม่ใช่มุสลิม เด็กถูกฆ่าตายเกลื่อนเลย แต่ปรากฏว่าเขาถูกจับขึ้นศาล ไม่ได้ถูกยิงทิ้ง นายกรัฐมนตรีนอรเวย์กล่าวว่า ชายหัวรุนแรงคนนี้ ต่อต้านนโยบายของรัฐบาล ที่ส่งเสริมสันติภาพ ประชาธิปไตย เปิดรับคนต่างศาสนา หรือผู้ลี้ภัย

    เพื่อที่จะตอบโต้กับวิธีการดังกล่าวนายกรัฐมนตรีนอรเวย์บอกว่า “เราจะรับมือกับการโจมตีครั้งนี้ด้วยประชาธิปไตยที่มากกว่าเดิม เปิดกว้างกว่าเดิม และมีมนุษยธรรมยิ่งกว่าเดิม” ยิ่งเขามีความคิดคับแคบ มีความคิดที่ไร้มนุษยธรรมมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องเอาความใจกว้างสู้กับเขา เอามนุษยธรรมสู้กับเขา

    อันนี้สอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเขามาด้วยความโกรธ ต้องเอาความไม่โกรธสู้กับเขา ถ้าเขามาด้วยความเท็จต้องเอาสัจจะสู้กับเขา ถ้าเขามาด้วยความชั่ว ต้องเอาความดีสู้กับเขา นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมเราควรใช้สันติวิธี และถ้าเป็นไปได้ เราต้องพร้อมที่จะให้อภัย ให้ความรักแม้กระทั่งคนที่เห็นต่างจากเรา แม้กระทั่งคนที่ทำร้ายเราด้วยซ้ำ

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “หากพวกโจรผู้ประพฤติต่ำทราม จะพึงใช้เลื่อยที่มีที่จับ ๒ ข้างเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ ผู้มีจิตคิดร้ายแม้ในโจรพวกนั้น ก็ไม่ชื่อว่าทำตามคำสั่งสอนของเรา” พระองค์ยังตรัสอีกว่า เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ควรสำเหนียกว่า “จิตของเราจักไม่แปรผัน เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ จักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะ เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้น”

    นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ประเสริฐมาก พระองค์เตือนเราว่า พึงมีเมตตา อย่าโกรธเกลียดแม้กระทั่งผู้ที่ทำร้ายเรา นี่เป็นจุดยืนของชาวพุทธ แม้จะทำได้ยาก แต่นี้คือวิธีที่จะเอาชนะความรุนแรง เอาชนะความโกรธ ความเกลียดได้

    คานธีกล่าวไว้น่าสนใจมาก “มันเป็นการง่ายที่จะมีไมตรีกับเพื่อนของเรา แต่การมีไมตรีกับคนที่เป็นศัตรูกับเรา คือหัวใจของศาสนาที่แท้จริง หากเป็นอื่นไปจากนี้ก็เป็นแค่การทำธุรกิจเท่านั้น"

    ในทางธุรกิจนั้น ใครดีกับเรา เราก็ดีตอบ แต่ศาสนาที่แท้จริง ไม่ได้สอนให้ทำดีกับคนที่ดีกับเราเท่านั้น แม้กระทั่งคนที่เป็นศัตรูกับเรา เราก็ควรดีด้วย แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะแม้แต่การบรรลุนิพพานซึ่งยากกว่านี้เยอะ ชาวพุทธเราก็ยังเอาพระนิพพานเป็นเป้าหมายของชีวิตได้ ทำไมเราจะทำดีกับคนที่คิดร้ายกับเราไม่ได้

    อาตมาคิดว่า ในยุคที่เต็มไปด้วยความรุนแรง เต็มไปด้วยความโกรธ ความเกลียด การพยายามรักษาใจของเรา ไม่ให้ความโกรธความเกลียดเข้ามาครอบงำ ด้วยการมีสติ ด้วยการมีใจกว้าง รู้เท่าทันความยึดติดถือมั่นในความคิดของเรา พยายามพัฒนาจิตให้มีเมตตาแม้กระทั่งกับคนที่คิดเห็นต่างจากเรา หรือคนที่คิดร้ายเรา รวมทั้งพยายามใช้สันติวิธีเท่าที่เราจะทำได้ เหล่านี้เป็นวิธีการที่ทรงพลังมากในการนำศีลธรรมกลับมาในสังคม ช่วยทำให้ความโกรธ ความเกลียดมลายหายไป หรือลดน้อยถอยลง นี้เป็นวิธีการที่จะช่วยให้สันติสุขกลับคืนมาในสังคม และในขณะที่สังคมยังไม่สงบสุข อย่างน้อยสันติสุขก็กลับมาสู่ใจของเรา

    ปุจฉา : ถ้าเราต้องอยู่ในสถานการณ์บทบาทสมมุติ ในการฝึกอบรมสันติวิธี ซึ่งมีการลบหลู่และล่วงเกิน ถ้าทุกคนที่ถูกทดสอบมีสติ ไม่ไปทำร้ายผู้ที่เข้ามาลบหลู่ แต่ถ้าบุคคลที่เข้ามาในลักษณะที่ไม่ใช่เป็นการทดสอบ แล้วบุคคลนั้นตั้งใจที่จะลบหลู่ และต้องการแสดงออกอย่างนั้นจริงๆ เราควรจะมีขีดจำกัดแค่ไหน และเราจะรักษาสถานการณ์เช่นนั้นไว้ได้อย่างไร เราจะหยุดเขาได้อย่างไร และถ้าเขาไม่ฟังจะทำอย่างไร ถ้าเขาทำต่อไปมากขึ้นๆ เราจะปฏิบัติอย่างไรได้ต่อจากนั้น

    วิสัชนา : เรื่องนี้ ท่านอาจารย์พรหมวังโส ท่านเคยเล่าไว้ในหนังสือ ‘ชวนม่วนชื่น’ เล่ม ๒ มีฝรั่งมาถามท่านว่า "ถ้าหากมีคนเอาพระไตรปิฎกมาฉีกแล้วทิ้งลงส้วมท่านจะทำอย่างไร" ท่านตอบโดยไม่ลังเลว่า "อย่างแรกที่อาตมาจะทำก็คือเรียกช่างประปามา"

    อาตมาว่านี้เป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลมาก เพราะถ้ามีคนเอาพระไตรปิฎกทิ้งลงส้วม ท่อก็ตันแน่ ต้องไปเรียกช่างประปามา

    ท่านให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า ถึงแม้จะมีคนทำลายพระพุทธรูป เผาวัด หรือฆ่าพระ ก็ไม่สามารถทำลายพุทธศาสนา ท่านยังบอกอีกว่า การฉีกพระไตรปิฎกทิ้งลงส้วม ไม่ร้ายเท่ากับการทิ้งเมตตาและการให้อภัยลงส้วม อันหลังนั้นท่านยอมไม่ได้

    ศาสนา คือความรัก ความเมตตา การให้อภัย แม้มีวัดเยอะ มีคัมภีร์มากมาย มีคนบวชเป็นเรือนแสน แต่ถ้าเมื่อไรก็ตาม ไม่มีความรัก ไม่มีความเมตตา ไม่มีการให้อภัย ไม่มีการเคารพผู้อื่น มีแต่ความรุนแรง เมื่อนั้นก็เท่ากับว่าศาสนาถูกทิ้งลงส้วมไปแล้ว

    ที่ท่านพูดน่าคิดมาก อาจจะแรงในความรู้สึกของใครหลายคน แต่อาตมาอยากให้คิดต่อว่า เขาฉีกพระไตรปิฎกลงส้วม เพราะอะไร เขาต้องการยั่วยุให้เราโกรธ เราก็ต้องรู้ทันเขา และไม่ยอมที่จะเข้าไปในเกมเขา การที่เราไม่โกรธก็เท่ากับว่า เราชนะเขาแล้ว ใช่ไหม เพราะถ้าเราโกรธ เราก็แพ้เขา อย่างไรก็ตามอาตมาว่า ในกรณีนี้เราต้องทำมากกว่านี้ คือต้องทั้ง ‘ทำจิต’ และ ‘ทำกิจ’

    ทำจิตคือไม่โกรธ ไม่เกลียดเขา ทำกิจก็คือ ต้องคุย ต้องเจรจากับเขาว่า เขาทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ต้องการอะไร ที่สำคัญคือไม่ใช้ความรุนแรงกับเขา

    มีเหตุการณ์หนึ่ง น่าประทับใจมาก ในเกาหลีเมื่อประมาณสองสามร้อยปีก่อน มีกองทัพบุกเข้ายึดเมืองๆ หนึ่งซึ่งเป็นเมืองพุทธ กองทัพนี้นับถือลัทธิขงจื๊อและเป็นปฏิปักษ์กับพุทธศาสนา ไม่ว่าไปถึงไหนก็เผาทำลายวัดและฆ่าพระ ดังนั้นเมื่อพระในเมืองนี้รู้ว่าเมืองถูกยึดแล้วจึงพากันแตกตื่นทิ้งวัด มีเจ้าอาวาสคนเดียวที่ไม่หนี

    เมื่อแม่ทัพมาถึง เห็นเจ้าอาวาสยืนอยู่ในวัด ไม่มีทีท่าหวาดกลัว ก็ชักดาบแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านรู้ไหมว่า ท่านกำลังยืนอยู่หน้าคนที่สามารถฟันท่านให้ขาดสองท่อนได้โดยไม่กะพริบตา"

    เจ้าอาวาสหาได้หวั่นไหวไม่ กลับตอบว่า
    “ท่านรู้ไหมว่า ท่านกำลังยืนอยู่หน้าคนที่พร้อมถูกฟันขาดสองท่อนโดยไม่กะพริบตา”
    แม่ทัพได้ยินเจ้าอาวาสพูดเช่นนั้น ก็ยอมแพ้ แพ้ใจเจ้าอาวาส เพราะรู้ว่ากำลังเจอคนที่กล้ากว่าเขา ใจถึงกว่าเขา

    อาตมาคิดว่า สิ่งที่เจ้าอาวาสทำนั้นสะท้อนถึงหัวใจของพุทธศาสนาเลยทีเดียว นั่นคือไม่โกรธเกลียดคนที่คิดจะทำร้ายตน ยอมให้เขาทำร้ายดีกว่าที่จะโกรธเกลียดเขาหรือตอบโต้เขาด้วยความรุนแรง

    มีพระธิเบตองค์หนึ่ง ชื่อลาเซ ริมโปเช เมื่อจีนเข้าไปยึดธิเบตเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว ท่านไม่ได้หนี เนื่องจากท่านเป็นพระผู้ใหญ่ เมื่อไม่ยอมทำตามพรรคคอมมิวนิสต์ก็ถูกทรมาน ท่านถูกขังถูกทรมานนานนับสิบปี จนกระทั่งท่านได้รับอิสรภาพ ก็ลี้ภัยมาอยู่อินเดีย ตอนนั้นท่านชรามากแล้ว มีนักข่าวไปถามท่านว่า ตอนที่ถูกคุมขังในธิเบตนั้นท่านกลัวอะไรมากที่สุด

    แทนที่ท่านจะพูดถึงการทรมานของทหารจีน ท่านกลับตอบว่า ท่านกลัวว่าจะโกรธคนที่ทำร้ายท่าน

    ทำไมท่านจึงพูดเช่นนั้น คงเพราะท่านเห็นว่าหากท่านโกรธเขา ท่านก็อาจจะทำร้ายเขาซึ่งเป็นการผิดศีล เป็นบาป แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลเดียว อีกเหตุผลหนึ่งที่อาตมาเข้าใจก็คือ เมื่อท่านถูกทหารจีนทรมาน ตราบใดที่จิตใจท่านเป็นปกติ ไม่โกรธเกลียดเขา ท่านก็แค่ทุกข์กาย ใจไม่ทุกข์ด้วย แต่ทันทีที่ท่านโกรธเกลียดเขา ท่านจะไม่ทุกข์กายเท่านั้น แต่ทุกข์ใจด้วย ซึ่งอย่างหลังนั้นเลวร้ายกว่าความทุกข์กายมาก

    ทำนองเดียวกับคนป่วย ป่วยกายนั้นไม่เท่าไร แต่ป่วยใจนั้นหนักมาก พระพุทธเจ้าสอนว่า ป่วยกาย แต่อย่าให้ป่วยใจ ท่านลาเซก็คงเห็นอย่างนี้เหมือนกันว่า ปวดกาย ไม่เท่ากับปวดใจ การถูกทำร้ายหรือถูกทรมานไม่ถือว่าเลวร้าย เมื่อเทียบกับตอนที่ถูกความโกรธครอบงำ เพราะถ้าเมื่อไรที่โกรธ นั่นแปลว่าแย่แล้ว แย่เพราะว่า จิตย่อมคิดร้าย ซึ่งเป็นบาป ขณะเดียวกัน เมื่อจิตโกรธ ก็เป็นทุกข์ ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ

    สรุปก็คือ เมื่อเจอเหตุการณ์อย่างที่คุณถามมา เราควรทำทั้งสองอย่างร่วมกัน คือทำกิจและทำจิต การทำกิจก็เป็นเรื่องสำคัญ คือต้องเจรจา ต้องพูด ต้องคุย ต้องใช้สันติวิธียับยั้งการกระทำที่มิชอบของเขา ในขณะเดียวกันไม่ว่าผลของการเจรจา พูดคุย หรือสันติวิธีจะออกมาเช่นไร เราก็ต้องทำจิตด้วย คือไม่โกรธเกลียดเขา เพราะว่า ศาสนาที่แท้ อย่างที่ท่านอาจารย์พรหมวังโสพูด อยู่ที่ความเมตตากรุณา ไม่ใช่อยู่ที่วัตถุ ไม่ใช่อยู่ที่สิ่งของ ถึงแม้เรารักษาสิ่งของไว้ได้ เช่น รักษาพระพุทธรูปหรือคัมภีร์ไว้ได้ แต่ถ้าเราทำร้ายเขา ฆ่าเขา ก็เท่ากับว่าศาสนาหายไปแล้ว อย่างน้อยๆ ก็หายไปจากใจของเรา
    :-https://visalo.org/article/KomChadLuek590131.html
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    SatiDhukha.jpg
    สติรักษาใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    มีชายชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งถูกจับโดยไม่เป็นธรรม เขาถูกกล่าวหาว่าฆ่าเมียและถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ถูกส่งไปกักขังบนเกาะที่ไกลโพ้นคล้ายๆ ตะรุเตา อยู่อย่างทุกข์ทรมานมาก เขาพยายามหนีเกือบจะสำเร็จแต่ก็ถูกจับทุกครั้ง ตอนหลังโดนลงโทษขังเดี่ยวในคุกมืดเป็นเวลา ๕ ปี ส่วนใหญ่ไม่มีใครรอด ที่ไม่รอดไม่ใช่เพราะว่าขาดอาหารหรือว่าป่วยกาย แต่ว่าคลุ้มคลั่งเป็นบ้าจนตาย

    ชายคนนั้นรู้กิตติศัพท์ของคุกมืดนี้ดี ดังนั้นเมื่อเข้าอยู่ไปอยู่ในคุกซึ่งแคบขนาดราว ๒ เมตรคูณ ๒ เมตร สิ่งแรก ๆ ที่เขาทำ คือ เดินนับก้าวกลับไปมา เหมือนการเดินจงกรม แต่เขาเป็นฝรั่งไม่รู้จักการเดินจงกรม เขารู้แค่ว่าจะต้องกำกับจิตให้เป็นสมาธิ ไม่เช่นนั้นจิตก็จะดฟุ้งซ่าน สะเปะสะปะ ว้าวุ่น เกิดความกลัว ความวิตกกังวล ความตื่นตระหนก คิดถึงอดีต คิดถึงอนาคต ความคิดนั่นเองที่จะทำร้ายเขา เพราะฉะนั้นเขารู้ว่าวิธีที่จะอยู่รอดได้ก็คือรักษาใจให้สงบ ไม่ว้าวุ่น จึงใช้วิธีเดินนับก้าวอยู่ในคุกแคบๆ เดินกลับไปกลับมา ทำอย่างนี้ไม่ใช่เป็นอาทิตย์ แต่ทำเป็นเดือนเป็นปี อันที่จริงความเป็นอยู่ทางกายก็ลำบากอยู่แล้ว อาหารก็ไม่ค่อยพอเพียง บางทีหิวถึงขั้นต้องกินแมลงสาป แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือจิตใจที่ว้าวุ่นที่สามารถทำให้เป็นบ้าและตายได้

    เขารู้ว่านี้คืออันตรายที่สามารถเกิดขึ้นกับเขาได้ เขาจึงเดินจงกรมอย่างนี้ตลอดเวลาที่อยู่ในคุก สุดท้ายเมื่อครบ ๕ ปีเขาก็เอาชีวิตรอดมาได้ ร่างกายผ่ายผอม ฟันฟางหักเกือบหมดเพราะไม่เจอแสงแดดที่จะให้วิตามินดี ผมขาวโพลน จิตใจก็เกือบจะเป็นบ้า แต่ไม่ถึงกับคลุ้มคลั่ง พัศดีก็ประหลาดใจเพราะไม่เคยมีใครรอดจากคุกมืดนี้ได้เลย

    สุดท้ายเขาก็ดิ้นรนจนเป็นอิสระ มีคนเอาเรื่องราวของเขามาทำเป็นหนังชื่อ “ปาปิญอง” อาตมาได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนที่ยังเป็นนักเรียน อดนึกไม่ได้ว่าถ้าตัวเองอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นจะทำอย่างไร แค่นึกใจก็กระเพื่อมแล้ว เพราะเป็นคนกลัวที่แคบ เคยนึกว่าตัวเองถูกขังอยู่ในกระโปรงรถที่ปิดมืดสนิท แล้วรถก็แล่นไปไหนไม่รู้ แค่คิดก็กระสับกระส่ายแล้ว แต่เพราะคิดนั่นเองจึงทำให้กระสับกระส่าย ต้องพาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบันจึงจะเป็นปกติ ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้รู้สึกว่า การเจริญสติหรือการทำสมาธิเป็นเรื่องความเป็นความตายเลยทีเดียว จะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับว่าจิตนี้มีสติและสมาธิหรือไม่

    จริงอยู่มีน้อยคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่การตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันสามารถเกิดกับเราได้ตลอดเวลา บางกรณีก็กินเวลาไม่นาน แต่สามารถตัดสินชี้ขาดได้ว่าจะอยู่หรือไป เช่น เกิดไฟไหม้ในอาคาร ผู้คนต้องวิ่งหนีหาทางออกจากอาคาร ใครที่ไม่มีสติก็มักวิ่งตามผู้คนไป การวิ่งตามฝูงชนไปนั้นอันตรายมาก เพราะถ้าวิ่งไปเจอทางตันฝูงชนก็จะหันกลับมา พอฝูงชนหันกลับ คนที่ตามมาข้างหลังก็กลายเป็นอยู่ข้างหน้า ถ้าหนีไม่ทันก็อาจโดนเหยียบตายได้ มีคำแนะนำสำหรับคนที่เจอเหตุการณ์อย่างนี้ว่า อย่าวิ่งตามฝูงชนไป ให้เขาวิ่งไปก่อน ถ้าเขาวิ่งแล้วไม่กลับมาแสดงว่าเขาเจอทางออกแล้ว เราค่อยวิ่งไปทางนั้น แต่ถ้าเขาไม่เจอทางออกเขาก็จะวิ่งกลับมา ระหว่างที่รอก็ต้องยืนชิดกำแพงเอาไว้ อย่าไปยืนกลางทางอาจโดนเหยียบได้

    หลายคนแม้มีความรู้เรื่องนี้ แต่พอไฟไหม้จริงๆ ก็ตกใจ ผู้คนเฮไปไหนก็ตามไปด้วย แล้วก็ถูกเหยียบตาย หรือบางคนอาจเคยรู้มาว่าเวลาไฟไหม้อาคารขณะที่อยู่ในห้อง อย่าจับลูกบิดประตูด้วยมือเปล่า เพราะลูกบิดจะร้อนมาก แต่เมื่อเผชิญเหตุการณ์จริงหากไม่มีสติก็อาจเผลอจับลูกปิดเอาได้เพราะความกลัว อยากจะรีบหนีไฟให้เร็ว ๆ

    ที่จริงยังมีสถานการณ์ที่ดูน่ากลัวน้อยกว่านี้ แต่ก็สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ถ้าหากไม่มีสติ อย่างเช่นเมื่อสองสามปีก่อนมีนักศึกษาไปกินเหล้าแถวรามอินทราจนเมามาย ขณะขับรถกลับบ้านปรากฏว่าปวดฉี่ ก็ออกจากรถไปฉี่ตรงคูน้ำริมทาง พอดีเกิดอาเจียนขึ้นมา ขณะที่ก้มตัวอาเจียนพระสมเด็จฯที่ห้อยคออยู่เกิดตกลงไปในคู ด้วยความเสียดายเขากระโดดลงไปในคูเพื่องมหาพระสมเด็จ ฯ เพื่อนห้ามแต่เขาไม่ฟัง ปรากฏว่าจมน้ำตาย ถ้านักศึกษาคนนั้นมีสติ ก็อาจจะยับยั้งชั่งใจไม่ลงไป แต่เพราะความเมาและความเสียดายพระเครื่อง จึงไม่ทันยั้งคิด กรณีนี้ถ้าเขามีสติก็รอดตาย อาจจะเสียพระเครื่องไปหรืออาจจะไม่เสียก็ได้ถ้างมดีๆ แต่เพราะไม่มีสติจึงเสียหนักกว่านั้น คือ เสียชีวิต

    คงจะเห็นแล้วว่าสติเป็นเรื่องสำคัญมากถึงขั้นชี้เป็นชี้ตายได้ทีเดียว ที่จริงเพียงแค่อยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน เวลาใช้เครื่องไฟฟ้า ถ้าไม่มีสติเอามือเปียกๆ ไปเสียบปลั๊ก ก็อาจถูกไฟดูดตายได้ หรือเดินลงบันไดถ้าไม่มีสติก็อาจตกลงมาหัวฟาดพื้นตายได้ สติจึงสำคัญต่อความอยู่รอดของเราทุกคน มันไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยหรือเกินจำเป็น ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตรอดได้ แต่ถ้าอยู่ด้วยความทุกข์ ด้วยความเศร้าเสียใจ ทุกข์เพราะรู้สึกผิด เพราะความโกรธ ความพยาบาท หรือเพราะความอาลัยอาวรณ์ อารมณ์เหล่านี้สามารถจะทำร้ายจิตใจ ทำให้อยู่ร้อนนอนทุกข์ บางคนถึงกับทนไม่ไหว ตัดสินใจฆ่าตัวตาย

    ชีวิตในยุคปัจจุบันนี้ การมีสติสำคัญมาก เพราะทุกวันนี้ผู้คนทุกข์เพราะความคิดมากกว่าเรื่องอื่น ไม่ใช่ทุกข์เพราะไม่มีอาหารกิน ไม่ใช่ทุกข์เพราะขาดปัจจัยสี่ ไม่ใช่ทุกข์เพราะทำงานเหนื่อยยาก ส่วนใหญ่ทุกข์ทั้งๆ ที่มีชีวิตสะดวกสบาย แต่ก็ยังกลุ้มใจ วิตกกังวล กินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นเป็นเพราะความคิดที่ปรุงแต่งไปต่างๆ นานา หรือเพราะเสียใจในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว หรือวิตกในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เช่นพอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ก็ทำใจไม่ได้ มีพยาบาลคนหนึ่งไปตรวจร่างกาย หมอก็อ้ำอึ้งที่จะบอกผล พยาบาลจึงบอกหมอว่า บอกมาเลยๆ ฉันรับได้ หมอจึงบอกว่าคุณเป็นมะเร็งตับ จะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน พยาบาลคนนั้นช็อกเลย ทั้งที่ดูแลคนป่วยมาสามสิบปี แต่พอมันเกิดขึ้นกับตัวเองก็ทำใจไม่ได้ หายหน้าไปเลย ไม่มาทำงาน ซึมอยู่กับบ้าน อยู่ได้ประมาณยี่สิบกว่าวันก็ตาย ที่ตายไม่ใช่เพราะก้อนมะเร็งในตับมันลุกลามรวดเร็วกว่าที่หมอพยากรณ์ แต่เป็นเพราะใจที่ตื่นตระหนกวิตกกังวลนั่นเอง

    สติที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ไม่เพียงพอที่จะรับมือกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน คนธรรมดามักคิดว่าฉันมีสติอยู่แล้ว ทำไมต้องฝึกสติอีก สติที่มีนั้นพอเพียงสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันที่ไม่มีเหตุร้าย ไม่มีเรื่องมากระทบมาก ถ้าชีวิตราบรื่นความสัมพันธ์กลมเกลียว ไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น สติเท่าที่มีอยู่ของคนทั่วไปก็เพียงพอในการดำเนินชีวิตให้เป็นสุขตามอัตภาพ แต่ชีวิตคนเราใช่ว่าจะราบรื่นเหมือนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ บางช่วงก็ขรุขระ มีเหตุร้ายเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่ถ้าเราฝึกสติอยู่เสมอ เจอเหตุการณ์ย่ำแย่เกิดขึ้น เช่น เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย อาจเสียศูนย์อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็จะตั้งสติได้ และแทนที่จะปล่อยใจให้จมอยู่กับความทุกข์ ความเศร้าโศก ก็จะดึงจิตออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น และพิจารณาว่าเราจะรักษาร่างกายอย่างไรดี

    ป่วยกายแต่ใจไม่ป่วยก็ได้ เสียทรัพย์แต่ใจไม่เสียก็ได้ แม้มีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่ใจไม่ทุกข์ก็ได้ เป็นเพราะมีสติรักษาใจนั่นเอง

    :- https://visalo.org/article/suksala27.html
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    e2097.jpg
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    1.jpg
    หน้าตาพาทุกข์

    By : สามสลึง
    สุพจน์ซื้อเสื้อยี่ห้อดังมาตัวหนึ่งราคานับหมื่น เช้านี้ได้ฤกษ์สวมใส่เป็นครั้งแรก แต่เกรงว่าคนจะไม่สังเกต เวลาเดินจึงอกผายไหล่ผึ่งและนวยนาดเป็นพิเศษ สักพักก็ถามลูกน้องว่า

    “มีคนกำลังมองฉันไหม ?”

    “ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย” ลูกน้องตอบ

    สุพจน์จึงผ่อนคลายลง เดินตามสบาย แล้วพูดว่า

    “ตอนนี้ไม่มีคนมอง พักผ่อนสักนิดดีกว่า”

    เสียเงินนับหมื่นซื้อเสื้อแล้วยังไม่พอ ต้องเสียแรงอวดมันให้คนเห็นด้วย แทนที่สุพจน์จะเป็น “นาย” ของเสื้อ เสื้อกลับมาเป็น “นาย”ของเขาแทน นี่ถ้าเสื้อเกิดมีรอยขีดข่วนหรือเกี่ยวตะปูจนขาด เขาคงเสียใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

    แต่จะว่าไปแล้วตัวการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือ “หน้าตา” สมัยนี้ถ้าอยากให้คนชมว่าเท่ ทันสมัย สะสวย หล่อเหลา มีเทสต์ ก็ต้องไปหาซื้ออะไรต่ออะไรมาใส่ตัว ไม่ว่าเสื้อ กางเกง รองเท้า กระเป๋า นาฬิกา ล้วนแล้วแต่ราคาแพง ๆ ทั้งนั้น ซื้อมาแล้วไม่พอ ต้องหาทางอวดให้คนเห็นชัด ๆ ด้วย

    ในทำนองเดียวกันเวลาจะกินหรือดื่มอะไร ก็ต้องเลือกแบรนด์ดัง ๆ หรือร้านเด่น ๆ เช่น อยู่ติดถนนใหญ่ คนข้างนอกมองเข้ามาเห็นทุกคำที่ดื่มกิน เวลาดื่มกินจึงต้องวางมาด ยิ่งถ้าเป็นกาแฟ ก็ต้องทำท่าครุ่นคิดนิดหน่อยราวกับกำลังคิดโปรเจ็คต์ร้อยล้าน หรือไม่ก็ทำทีว่ามีความสุขเต็มที่กับชีวิตอย่างที่เห็นในโฆษณา

    ปัญหาก็คือใคร ๆ เขาก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เด่นกว่าใคร ก็ต้องมีอย่างที่คนอื่นไม่มี หรือทำก่อนที่คนอื่นจะทำ เพราะฉะนั้นก็ต้องขวนขวายไล่ล่าหาของแพงยี่ห้อดังที่ไม่ซ้ำรุ่นกับใคร และทำตัวให้ “เดิ้น” ล้ำหน้าคนอื่นอยู่เสมอ ชีวิตที่มีหน้าตาเป็นแรงขับจึงวิ่งไม่หยุด เป็นชีวิตที่ไม่น่าจะมีความสุข

    สำหรับคนที่มีเงิน หน้าตาหมายถึงการใช้ของแพง ๆ ส่วนคนที่มีอำนาจหรือมีชื่อเสียง หน้าตาหมายถึงการเป็นที่รู้จักและเคารพนบนอบ คนประเภทหลังนี้เวลาไปไหน จะคอยชำเลืองว่ามีใครรู้จัก
    ถ้าเป็นดาราแต่ไม่มีใครมาทักทายหรือขอลายเซ็นก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ ถ้าเป็นรัฐมนตรีหรือนายพล เข้าไปในร้านอาหารแต่พนักงานเสิร์ฟไม่รู้จัก ก็อาจคำรามในใจว่า “รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ?” คนที่รู้สึกแบบนี้ กินอาหารจะอร่อยได้อย่างไร อยู่ที่ไหนก็ไม่เป็นสุข เพราะแบกเอาตำแหน่งหรือชื่อเสียงไปตลอดเวลา

    หน้าตานั้นแม้จับต้องไม่ได้ แต่ไปอยู่กับใคร ก็ทำให้ชีวิตหนักอึ้งและไม่เป็นสุข เพราะต้องคอยปรนเปรอมันอยู่ตลอดเวลา ถ้าปล่อยให้มันครองใจเมื่อใด ก็เท่ากับยอมให้มันมาชักใยทุกอิริยาบถ จะยืน จะนอน จะนั่งก็เพื่อมันสถานเดียว

    ลำพูนซื้อเตียงประดับเพชรมาราคานับล้าน แต่อยู่ในห้องไม่มีใครมองเห็น เขาจึงแกล้งป่วยเพื่อให้ญาติมิตรเข้าไปเยี่ยมถึงเตียง

    พุแคเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปเยี่ยม เขามีถุงเท้าใหม่คู่หนึ่ง อยากให้คนอื่นได้ดู จึงนั่งไขว่ห้างดึงชายกางเกงขึ้นสูง

    ลำพูนจึงถามพุแคว่า “เป็นโรคอะไรเหรอ ?”

    “เป็นโรคเดียวกับแกไงล่ะ” พุแคตอบ
    :-
    https://visalo.org/article/sarakan254801.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2023
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    be patient.jpg
    ขยายใจให้ใหญ่ขึ้น

    พระไพศาล วิสาโล
    มีพระหนุ่มรูปหนึ่ง อารมณ์ไม่ค่อยเบิกบานสักเท่าไร แต่ละวันมีเรื่องขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจอยู่เสมอ เวลานั่งสมาธิ ถ้ายินเสียงคนพูดคุยกันก็ไม่พอใจ บางครั้งตบะแตกก็ไปต่อว่าคนที่พูดคุยกัน เวลากวาดใบไม้ก็บ่นว่าใบไม้ร่วงเยอะ กวาดไปก็หงุดหงิดไป เวลาทำงานก็มักรู้สึกว่าถูกเพื่อนกินแรงอยู่เสมอ บางทีเขียนหนังสือแล้วปากกาฝืด ก็โมโหขว้างปากกาทิ้ง ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของหลวงพ่อมาตลอด

    วันหนึ่งหลวงพ่อบอกให้พระหนุ่มไปเอาเกลือจากในครัวมาหนึ่งห่อ เอาน้ำมาหนึ่งแก้ว แล้วก็ให้เทเกลือครึ่งหนึ่งลงไปในแก้ว จากนั้นก็ให้พระหนุ่มชิมน้ำนั้นดู แล้วถามว่าเป็นอย่างไร พระหนุ่มก็ตอบว่า เค็มมากครับหลวงพ่อ ทีนี้หลวงพ่อก็พาไปที่ลำธาร เอาเกลือที่เหลือโรยลงไปในลำธาร แล้วให้พระหนุ่มชิมน้ำในลำธาร

    หลวงพ่อถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง พระหนุ่มตอบว่าจืดครับหลวงพ่อ ในใจก็สงสัยว่าหลวงพ่อตั้งใจจะสอนอะไรหรือ หลวงพ่อให้พระหนุ่มคิดสักพัก พระหนุ่มก็คิดไม่ออก หลวงพ่อจึงบอกพระหนุ่มว่า ความทุกข์ก็เหมือนกับเกลือ มันจะเค็มหรือไม่ขึ้นอยู่กับใจเราว่าเป็นแค่น้ำแก้วหนึ่ง หรือเป็นลำธารหนึ่งสาย

    ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรามันเป็นอย่างนั้น มันจะหนักหรือเบา ก็ขึ้นอยู่กับใจของเรา ว่าใจเราเปรียบเหมือนกับน้ำแก้วเล็ก ๆ หรือลำน้ำอันกว้างใหญ่ เวลาเราเจออะไรที่ไม่พอใจ ถ้าหากว่าเรามีความขุ่นเคือง มีความทุกข์มาก แสดงว่าใจของเรานั้นเล็กและแคบเหมือนกับแก้วน้ำ สิ่งที่มากระทบเรา สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา จะทำให้เราเจ็บปวดหรือขุ่นเคืองหรือไม่ อยู่ที่ใจเรา

    ถึงแม้ใบไม้จะเยอะ เพื่อนร่วมงานจะไม่น่ารัก ดินฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจ แต่มันทำให้เราทุกข์ไม่ได้ ถ้าหากว่าใจเราใหญ่เหมือนแม่น้ำ จะสุขหรือทุกข์นั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพจิตของเรา คนที่ใจแคบ ใจเล็ก คิดถึงแต่ตัวเอง เจออะไรมากระทบก็ทุกข์ โกรธ ไม่พอใจไปหมด แต่คนที่ใจกว้างใหญ่ แม้จะมีเรื่องใหญ่ ๆ เกิดขึ้น เขาก็สามารถรักษาใจให้เป็นปกติได้
    มีผู้หญิงคนหนึ่งบ้านอยู่ในซอยกลางกรุงเทพ ฯ เธอเล่าว่า บ่ายวันหนึ่งเห็นรถแท็กซี่มาจอดที่หน้าบ้าน เธอก็รู้สึกไม่พอใจทันที เพราะว่าจอดขวางแบบนี้ถ้ารถเข้ารถออกก็ลำบากแน่ แล้วนั่นก็เป็นต้นไม้ที่พ่อปลูกเพื่อให้ร่มเงาหน้าบ้าน ไม่ใช่ให้ใครมาจอดรถซักหน่อย แต่สักพักเธอได้สติ มองอีกมุมว่าที่เขาจอดตรงนี้เพราะมันร่มรื่น น่าพักผ่อน ตอนนี้อากาศร้อนอบอ้าว เขาได้มาอาศัยร่มเงาหน้าบ้านเป็นที่ดับร้อน อีกอย่างนี่ก็เป็นถนนสาธารณะ และกว้างพอที่เราจะถอยรถออกมาได้ ตอนนี้เรายังไม่มีธุระออกจากบ้านเลยนี่นา พอคิดได้เช่นนี้ก็หายขุ่นเคือง สักพักเธอเห็นคนขับเอาข้าวมากิน ก็รู้สึกดีขึ้น ดีใจที่ต้นไม้ที่พ่อปลูกให้ร่มเงาเป็นประโยชน์แก่ผู้คน ให้คนได้พักผ่อน คนขับแท็กซี่คงจะเหนื่อย อาจจะไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เช้า ได้มาอาศัยร่มเงาจากต้นไม้ที่พ่อปลูก เธอก็ดีใจ

    ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไปเพียงแค่เปลี่ยนมุมมอง ทีแรกเธอไม่พอใจเพราะมีความรู้สึกว่า บ้านของฉัน หน้าบ้านของฉัน ทั้งที่จริงแล้วถนนหน้าบ้านไม่ใช่ของเธอด้วยซ้ำ เป็นของสาธารณะ แต่พอไปนึกว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของฉัน เป็นถนนหน้าบ้านของฉัน ก็ไม่พอใจทันทีที่คนขับแท็กซี่มาจอดรถ แล้วก็ยิ่งไม่พอใจเมื่อเห็นเขามาอาศัยร่มเงาของต้นไม้ที่พ่อฉันปลูก แต่พอเธอคิดอีกมุมหนึ่ง มองถึงความรู้สึกของคนขับแท็กซี่ว่าเขาคงร้อน เหนื่อย ความรู้สึกโกรธก็เปลี่ยนไป มีความเห็นใจ มีความเมตตาเกิดขึ้น และสิ่งที่ตามมาก็คือ ความสุข ความดีใจที่เขาได้ดับทุกข์ โดยอาศัยร่มเงาที่หน้าบ้านของเธอ

    คนบางคนเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดความโมโห และไม่พอใจ แต่คนบางคนกลับรู้สึกดีใจ ที่แตกต่างกันอย่างนี้เป็นเพราะคุณภาพจิตหรือมุมมอง คนเราจะทุกข์หรือสุข ขึ้นอยู่กับมุมมองมากทีเดียว และมุมมองก็มีส่วนทำให้เราใจแคบ ใจเล็ก หรือว่าทำให้ใจกว้าง ใจใหญ่ ถ้าเราคิดถึงแต่ตัวเอง ใจเราก็คับแคบ คิดถึงแต่บ้านของฉัน ถนนของฉัน ต้นไม้ของพ่อฉัน แต่ถ้าคิดถึงคนอื่น ใจเราก็กว้างขึ้น ลองพิจารณาดูว่าเวลาทุกข์เมื่อมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าเราคิดถึงแต่ตัวเอง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือเปล่า

    คนที่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูมาก จะเป็นคนที่ทุกข์ง่าย หากว่าเรามีตัวกูของกูสูง หรือว่ามีอัตตาสูง เวลาใครแนะนำอะไรเรา เราก็ไม่พอใจแล้ว บ่นในใจทันทีว่า มาแนะนำฉันได้อย่างไร แล้วเธอล่ะ ทำดีแค่ไหน เราทุกข์เมื่อได้ยินคำแนะนำของเพื่อนก็เพราะเราปล่อยให้มันมากระทบกระแทกอัตตา จึงรู้สึกเสียหน้า หรือรู้สึกว่าฉันยังดีไม่พอ ยังมีข้อบกพร่อง ตัวอัตตามันจะไม่ชอบเลย ถ้าหากว่ามีคนมาเตือน มาบอกว่าฉันยังมีข้อบกพร่อง ฉันยังไม่ดีพอ

    แต่สำหรับคนที่รู้ทันอัตตา หรือคนที่มีอัตตาน้อย เขาจะขอบคุณคนที่มาทักท้วงหรือแนะนำ เพราะชี้ช่องทางให้เขาปรับปรุงงานหรือปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น เขาจะไม่คิดว่าเขาว่ากู ทำให้กูเสียหน้า แต่จะมองว่าที่เขาพูดมามันถูกไหม จริงไหม มันมีประโยชน์หรือเปล่า การมองแบบนี้ทำให้ใจไม่ทุกข์ และได้ประโยชน์ด้วย การมองแบบนี้พุทธศาสนาเรียกว่า ธรรมาธิปไตย คือการเอาธรรมะหรือความถูกต้องเป็นใหญ่

    อธิปไตยแปลว่าความเป็นใหญ่ ในกรณีนี้หมายความว่า เราเอาอะไรเป็นใหญ่ เอาอะไรเป็นหลักในการตัดสินใจ ธรรมาธิปไตย หมายถึงการตัดสินหรือคิดโดยเอาธรรมะเป็นใหญ่ ธรรมะในที่นี้หมายถึงความจริง ความถูกต้อง ความดี เช่น เวลามีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ เขาก็จะดูว่าที่พูดมานั้นจริงไหม ถูกไหม มีประโยชน์ไหม เรียกว่าเอาธรรมะเป็นใหญ่ แต่คนที่เมื่อถูกแนะนำหรือต่อว่า เอาแต่คิดว่าเขาว่ากู เขาหักหน้ากู อย่างนี้เรียกว่าเอาตัวตนเป็นใหญ่ คือ อัตตาธิปไตย อัตตาเป็นเหมือนกรงที่ขังจิตเอาไว้ ทำให้ใจคับแคบ ไม่สามารถมองอะไรให้พ้นจมูกของตัวเองได้ แต่ถ้าหากว่ามีธรรมาธิปไตย หรือเอาธรรมะเป็นใหญ่ ใจก็จะแผ่กว้าง จะมีมุมมองที่กว้างขึ้น มีใจนึกถึงคนอื่น และสามารถมองจากมุมของคนอื่นได้

    เมื่อเรามองจากมุมของคนอื่น หรือนึกถึงคนอื่น เราจะมีความสุขได้ง่าย และยิ่งมองแบบนี้บ่อย ๆ ก็ยิ่งช่วยทำให้อัตตาตัวตนเล็กลง นอกจากนี้ยังสามารถฝึกฝนได้ด้วยการให้ เช่น การให้ทาน ทำให้เห็นแก่ตัวน้อยลง ทำให้นึกถึงผู้อื่นมากขึ้น เพราะว่าเวลาให้ทาน ถ้าเราน้อมใจนึกถึงประโยชน์ของผู้อื่น เช่น ให้เพราะอยากให้เขามีความสุข คลายจากความทุกข์ พอเราคิดแบบนี้บ่อย ๆ จิตใจเราก็จะมีเมตตากรุณามากขึ้น

    ทานจึงเป็นเครื่องฝึกอย่างหนึ่ง ทำให้ความเห็นแก่ตัวน้อยลง ตรงนี้แหละที่เป็นบุญ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าถ้าให้ทานบ่อย ๆ จะได้บุญ ในความหมายที่ว่าจะได้โชคลาภ ความร่ำรวย อันนั้นไม่ใช่บุญที่สำคัญในพุทธศาสนา ถ้าให้ทานแล้วสามารถลดอัตตาตัวตน ลดความเห็นแก่ตัว ลดความยึดมั่นถือมั่นลงได้นั้นถือว่าเป็นบุญที่ประเสริฐกว่า เพราะถ้ามีบุญแบบนี้ เวลามีอะไรมากระทบก็ไม่โกรธง่าย ไม่ขัดเคืองง่าย

    หลายคนเมื่อได้โชคลาภแล้ว กลับมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น มีความยึดติดถือมั่นมากขึ้น มีความทุกข์ง่ายขึ้น เพราะได้ลาภแล้วก็อยากได้อีก หรือเมื่อได้น้อยกว่าคนอื่นก็เป็นทุกข์ ขัดเคืองใจ ตรงข้ามกับคนที่มีความยึดมั่นถือมั่นน้อย เขาจะพอใจในสิ่งที่เขาได้มา ไม่ว่าได้มากหรือน้อย ก็มีความสุข หรือถึงจะไม่ได้เลย ใจก็ไม่ทุกข์
    :- https://visalo.org/article/5000s20.html
     
  21. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033

แชร์หน้านี้

Loading...