บทความให้กำลังใจ(ดูหน้า อย่าลืมใจ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    lottery.jpg
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    laughalittlelivelonger.jpg
    หัวเราะวันละนิด...จิตแจ่มใส


    หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส วันนี้คุณหัวเราะหรือยัง เสียงหัวเราะทำให้โลกนี้สดใสส่งผลถึงสภาพจิตใจที่สดชื่นด้วย เมื่อเสียงหัวเราะเกิดขึ้นกับใคร คนๆนั้นก็จะมีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เชื่อก็ลองหัวเราะดูสิ

    นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ถ้าเรานำเสียงหัวเราะมาสังเคราะห์เป็นยาได้ เราคงจะมียาวิเศษที่สามารถรักษาโรคทุกชนิดได้ ตั่งแต่โรคซึมเศร้าไปจนถึงโรคหัวใจเลยที่เดียว

    การหัวเราะทำให้อวัยวะทุกส่วนตั่งแต่ หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ สมองไปจนถึงระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างดี

    อีกทั้งการหัวเราะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของคนเราได้ 2 ทางคือ ทางแรก เพิ่มระดับความเข้มข้นของแอนตี้บอดี้ที่เป็นภูมิคุ้มกัน หมุนเวียนในกระแสเลือด ส่วนที่สอง เป็นการเพิ่มระดับเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นตัวกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามาใน ร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทั้งสองแบบนี้ จะช่วยทำให้เรามีภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ มากขึ้น

    ในอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และอีกหลายประเทศ การรักษาผู้ป่วยด้วยการหัวเราะกำลังเข้ามามีบทบาทแทนที่การบำบัดด้วยการใช้ยาคลายเครียด และยาแก้ปวด เพราะอารมณ์ขันส่งผลเช่นเดียวกนกับการออกกำลังกาย เป็นการเพิ่มระดับฮอร์โมนฝ่ายดี เช่นฮอร์โมน เอ็นดอฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยระงับความเจ็บปวด และ Neurotransmitter เช่น ฮอร์โมนเซโรโทนิน เป็นฮอร์โมนที่ทำให้ เราอารมณ์ดี ขณะเดียวกันก็ทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียดลดลง

    นักวิจัยแสตนฟอร์ดค้นพบอีกเช่นกันว่า หัวเราะเพียง 10 วินาที มีค่าเท่ากับ การออกกำลังกายบนเครื่องกรรเชียงถึง 3 นาที เพราะการหัวเราะทำให้หัวใจและชีพจรเต้นเร็วกว่าปรกติเล้กน้อย เมื่อหยุดหัวเราะร่างกายจะค่อยๆ คืนสู่สภาวะปรกติ จึงรู้สึกผ่อนคลาย

    ดังนั้นคนเราจึงน่าสนุกกับชีวิตให้มากกว่านี้ อย่าเครียดหรือจริงจังกับชีวิตมากเกินไป ปล่อยวางเสียบ้าง เพิ่มอารมณ์ขันให้กับตัวเอง วันละนิด พิชิตความเครียดได้วันละหน่อย ปรกติอาจเป็นคนที่ไม่เคยอ่านการ์ตูน เรื่องขำขัน หรือสนใจทอกล์กโชว์ ก็ลองมาอ่านดู

    การทำตัวเป็นเด็กบ้างก้จะทำให้คุณรู้สึกสนุกกับชีวิต ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูคนขี้เล่น เขามักจะเป็นคนมีเสน่ห์ที่ใครๆหลงใหลชอบพูดคุยด้วยเสมอ

    คนที่หัวเราะเก่ง จะมีความคิดสร้างสรรค์ดีกว่าคนช่างเครียด และคนส่วนใหญ่ที่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็มักจะเป็นคนที่มีอารมณ์ขันด้วยสิ....แล้วอย่างนี้คุณยังไม่อยากหัวเราะอีกเหรอ??????

    :- https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/create-web/10000/generality/10000-11633.html
    SmileRich.jpg
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    mentalpower.jpg
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    gossipadmiresame.jpg
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    fieldandmountain.jpg
    เห็นค่าของทุกข์ ใจก็เป็นสุข

    พระไพศาล วิสาโล
    หญิงวัย ๔๐ ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เธอเป็นชาวคริสต์ ทุกวันเธอจึงสวดวิงวอนพระเจ้าขอให้ช่วยเธอให้พ้นจากโรคร้าย เธอไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังทำเพื่อลูก เธอไม่อยากเห็นลูกซึ่งยังเล็กต้องเห็นเธอในสภาพที่ทุกข์ทรมานด้วยโรคร้าย แต่ไม่ว่าเธอจะวิงวอนพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจเพียงใด อาการของเธอกลับแย่ลงเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้น แม้หมอจะให้มอร์ฟีนเต็มที่แล้วก็ตาม ในที่สุดเธอก็เข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรค เธอรู้ดีว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา ไม่ใช่เป็นปีหรือเป็นเดือน แต่เป็นแค่อาทิตย์เท่านั้น

    เธอทุกข์ทั้งกายและใจ นอกจากปวดกายแล้วยังรู้สึกผิดหวังที่พระเจ้าไม่ช่วยเธอเลย ใครที่มาเยี่ยมเธอ อดสงสารไม่ได้ที่เห็นเธอมีสีหน้าอมทุกข์และกระสับกระส่าย แต่แล้ววันหนึ่งเธอกลับมีอาการนิ่งสงบ เธอพูดกับเพื่อนที่มาเยี่ยมว่า เธอยอมรับความตายได้แล้ว

    เธออธิบายต่อว่า “ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความตายคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความเจ็บปวดสิ้นสุด มันเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ลูกไม่เห็นฉันทุกข์ทรมานอีกต่อไป ฉันยังจะได้สอนลูก ๆ ด้วยว่า จะตายอย่างไรโดยไม่กลัว นี้คือสิ่งที่ฉันจะทำให้แก่ลูกได้ในฐานะที่เป็นแม่”

    นับแต่นั้นเธอก็ไม่มีอาการกระสับกระส่ายอีกเลย แม้ความเจ็บปวดไม่ได้ลดลง สุดท้ายเธอก็จากไปอย่างสงบท่ามกลางลูก ๆ และมิตรสหาย ซึ่งอดแปลกใจไม่ได้ในความเปลี่ยนแปลงของเธอ

    ทั้ง ๆ ที่กำลังจะตาย แต่อะไรทำให้เธอนิ่งสงบได้ คำตอบก็คือ การเห็นชัดถึงคุณค่าของความตาย ความตายไม่เพียงยุติความเจ็บปวดที่รุมเร้าร่างกายของเธอเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่เธอจะได้สอนลูกว่าคนเราควรตายอย่างไร สำหรับเธอ นี้เป็นคำสอนที่สำคัญมาก ซึ่งแม่ควรจะมอบให้แก่ลูก ด้วยการเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็น

    จะว่าไปแล้ว นอกจากการสอนให้ลูกรู้จักการดำเนินชีวิต อะไรจะสำคัญเท่ากับการสอนให้ลูกรู้วิธีตาย อย่างหลังนั้นใช่ว่าจะสอนกันได้ง่าย ๆ และไม่ค่อยมีคนสอนกันเท่าใด แต่ถ้าจะมีใครสักคนเป็นผู้สอน คนนั้นควรเป็นแม่

    เป็นเพราะเห็นชัดถึงคุณค่าของความตาย เธอจึงยอมรับความตาย โดยไม่ผลักไสหรือต่อต้านขัดขืน จะว่าเธอยิ้มรับความตาย ก็คงไม่ผิด และนั่นทำให้ใจเธอไม่เป็นทุกข์แม้กายจะปวดก็ตาม

    อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า เรามองหรือรู้สึกกับมันอย่างไร แม้จะเป็นเหตุร้าย แต่ถ้าเห็นคุณค่าของมัน มองมันในแง่บวก หรือยอมรับมันได้ ใจก็ไม่เป็นทุกข์ แม้สิ่งนั้นได้แก่มะเร็ง ความเจ็บปวด หรือความตายก็ตาม

    ความเจ็บปวดหรือโรคร้าย หากมองว่ามันกำลังสอนธรรมให้แก่เรา เช่น แสดงไตรลักษณ์ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใจเราก็จะเปิดรับ และใคร่ครวญด้วยปัญญามากขึ้น ในทางตรงข้ามหากเห็นมันเป็นสิ่งเลวร้าย ใจก็จะโอดครวญ ก่นด่า หรือผลักไสต่อต้าน ซึ่งมีแต่ทำให้ทุกข์มากขึ้น แม้แต่ความอยากให้มันหายไป ก็ทำให้เราทุกข์ได้

    หลวงปู่ขาว อนาลโย จึงแนะนำว่า “อันความอยากหายจากทุกขเวทนานั้น อย่าอยาก ยิ่งอยากให้หายเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มสมุทัยตัวผลิตทุกข์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ให้อยากรู้อยากเห็นความจริงของทุกขเวทนาที่แสดงอยู่กับกายกับใจเท่านั้น”

    ท่านอาจารย์พุทธทาสก็สอนเช่นกันว่า “ความเจ็บไข้มาเตือนให้เราฉลาด” คือ มาสอนให้เราเห็นสัจธรรมของสังขาร จะได้คลายความยึดติดถือมั่น ซึ่งเป็นต้นตอแห่งความทุกข์ใจ

    แม้จะทำได้ยาก แต่หากเราลองนำคำสอนนี้ไปใช้กับเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เบาบางกว่า เช่น อุปสรรค ความล้มเหลว คำต่อว่าด่าทอ หากเราเห็นคุณค่าของมัน เช่น ฝึกให้เราเข้มแข็ง ฉลาดกว่าเดิม มีประสบการณ์มากขึ้น รวมทั้งรู้ว่ามันเป็นธรรมดาโลก เราก็จะยอมรับมันได้มากขึ้น และเป็นทุกข์เพราะมันน้อยลง

    สุขหรือทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเรารู้สึกหรือมองมันอย่างไรต่างหาก
    :- https://visalo.org/article/secret256102.html
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    หลวงพ่อคำเขียน14.jpg
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    Dhukha.jpg
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    skymountain.png
    ภูมิคุ้มกันความทุกข์
    พระไพศาล วิสาโล
    ครั้งหนึ่งเคยมีความคิดในหมู่นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำว่า มนุษย์สามารถเอาชนะเชื้อโรคทั้งหลายได้ สักวันหนึ่งจะไม่มีใครล้มป่วยเพราะโรคติดเชื้ออีกต่อไป แต่มาถึงทุกวันนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า นั่นเป็นความฝัน เชื้อโรคจะต้องอยู่คู่กับมนุษย์เราไปตลอดกาล มิใช่อยู่รอบตัวเราเท่านั้น หากยังอยู่ในตัวเราด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันมิให้ล้มป่วยก็คือ การสร้างภูมิคุ้มกันโรค

    ภูมิคุ้มกันโรคเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็มาจากการที่ร่างกายของเราได้รับเชื้อโรคจากภายนอก หากเป็นเชื้อโรคที่ไม่แรงถึงกับทำให้ตาย ร่างกายเราจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนั้น ๆ ขึ้นมา ทำให้ไม่ป่วยหากเชื้อโรคนั้นเข้ามาในร่างกายอีก การฉีดวัคซีนมิใช่อะไรอื่น หากเป็นการฉีดเชื้อโรคอ่อน ๆ หรือเชื้อที่ตายแล้ว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายของเรานั่นเอง


    เชื้อโรคฉันใด ความทุกข์ก็ฉันนั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราที่ไม่อาจหนีพ้นได้ ไม่ว่าเราจะมีเทคโนโลยีล้ำหน้า มีความมั่งคั่งและอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ต้องเจอความทุกข์อยู่นั่นเอง ดังนั้นแทนที่จะคิดหนีความทุกข์ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้) เราจึงควรหาทางรับมือกับความทุกข์ วิธีหนึ่งก็คือ สร้างภูมิคุ้มกันความทุกข์ขึ้นมาในจิตใจ

    ชีวิตที่มีแต่ความสะดวกสบาย ได้ทุกอย่างที่ปรารถนา ไม่รู้จักความผิดหวังนั้น ดูเหมือนเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา แต่แท้จริงเป็นชีวิตที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง เพราะขาดภูมิคุ้มกันความทุกข์ หากวันใดพบกับความผิดหวังหนัก ๆ ก็อาจเสียศูนย์ หรือถึงกับฆ่าตัวตาย เคยมีมาแล้วที่คนเรียนดีตั้งแต่เล็กจนโตแต่สุดท้ายกลับฆ่าตัวตายเพราะทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกไม่สำเร็จ หรือลูกที่พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างประคบประหงมกลับฆ่าตัวตายเมื่ออกหัก ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเขาเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรือคอขาดบาดตาย แต่เป็นเพราะไม่มีภูมิคุ้มกันความทุกข์มาก่อน จึงโดนความทุกข์ท่วมทับจนไม่เห็นทางออกอย่างอื่นนอกจากความตาย

    ดังนั้นใครที่ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ มีชีวิตราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ จึงไม่ควรด่วนดีใจว่าเป็นคนมีโชค เพราะนั่นอาจเป็นเคราะห์ที่แฝงมาในรูปของโชคก็ได้ ส่วนคนที่เจออุปสรรคและความยากลำบากเป็นนิจ ก็อย่าน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ลองสำรวจให้ดีก็จะพบว่าความทุกข์ให้สิ่งดี ๆ แก่คุณ อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณอดทนมากขึ้น และไม่กลัวความยากลำบาก

    นักธุรกิจคนหนึ่งเป็นผู้ที่กลัวความล้มเหลวอย่างมาก ไม่ว่าลงทุนอะไร จะเลือกแต่กิจการที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด แม้เป็นกิจการที่ตนไม่ชอบก็ตาม จึงทำงานอย่างไม่ค่อยมีความสุข แล้ววันหนึ่งกิจการของตนก็ประสบปัญหา ขาดทุนอย่างหนัก จนต้องเลิกกิจการ แม้เขาจะเสียใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาพบก็คือ ความล้มเหลวนั้นไม่ได้เลวร้ายน่ากลัวอย่างที่เขาคิด ฟ้ายังไม่ถล่ม แผ่นดินยังไม่ทลาย นับแต่นั้นเขาก็ไม่กลัวความล้มเหลวอีกเลย เขากล้าเสี่ยงกล้าลงทุนมากขึ้น ทำให้มีความสนุกกับการทำงานอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

    ความล้มเหลวนั้นมีประโยชน์อย่างหนึ่ง ก็คือ ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันความล้มเหลว ไม่เสียศูนย์ง่าย ๆ เมื่อเจอมันอีก สามารถปรับใจรับมือกับมันได้ดีขึ้น พูดอีกอย่างก็คือ ทำให้มันมีอิทธิพลในทางลบต่อเราน้อยลง นี้ก็เช่นเดียวกับสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบกับเรา แม้ไม่น่าพึงพอใจ แต่การที่ได้เจอมันบ่อย ๆ หรือเจอมันนาน ๆ ก็ทำให้เราเป็นทุกข์กับมันน้อยลง

    เคยมีการทดลองแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้นั่งอยู่ในห้องซึ่งมีเครื่องดูดฝุ่นส่งเสียงดังนาน ๔๕ วินาที อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในห้องที่ดังก้องด้วยเสียงเครื่องดูดฝุ่นเช่นกัน แต่เสียงดังแค่ ๕ วินาที จากนั้นผู้ทดลองขอให้ทุกคนตอบคำถามว่ารู้สึกรำคาญมากน้อยเพียงใดในช่วง ๕ วินาทีสุดท้าย ปรากฏว่ากลุ่มที่รู้สึกรำคาญมากที่สุดคือ กลุ่มที่สอง ส่วนกลุ่มแรกนั้นไม่รู้สึกรำคาญเท่าใดเพราะหลังจากที่ฟังมาตลอด ๔๕ วินาทีก็รู้สึกทนกับเสียงนั้นได้

    กลุ่มที่สองนั้นดูเผิน ๆ เหมือนโชคดีที่มีเสียงรบกวนแค่ ๕ วินาที แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทุกข์มากกว่า ทั้งนี้เพราะยังไม่คุ้นกับเสียงนั้นนั่นเอง ตรงข้ามกับกลุ่มแรกซึ่งเจอเสียงนั้นมาก่อนแล้วจึงมีภูมิคุ้มกันเสียงนั้น

    ใครที่ไม่เคยเจอน้ำท่วมบ้าน ย่อมเป็นทุกข์อย่างมากเมื่อเจอมันเป็นครั้งแรก แต่ถ้าคุณเจอมันเป็นครั้งที่สอง เชื่อได้ว่าคุณจะรู้สึกเป็นทุกข์น้อยลง นี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ มีการวิจัยพบว่า เมื่อเกิดเหตุร้าย ผู้คนจะมีความรู้สึกเป็นบวกมากขึ้น หรือเป็นลบน้อยลงต่อเหตุการณ์ดังกล่าว หากว่าเคยประสบมันมาแล้วในอดีต ไม่ว่าเหตุร้ายนั้นจะได้แก่ความสูญเสีย ความล้มเหลว หรือความเจ็บป่วยก็ตาม ในทำนองเดียวกันคนที่เคยประสบกับความเจ็บปวดที่รุนแรงมาก่อน (เช่น จากอุบัติเหตุ) จะสามารถทนความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในภายหลังได้มากขึ้น

    ภูมิคุ้มกันความทุกข์นั้น ในเบื้องต้นเกิดจากความเคยชินและความสามารถในการปรับตัวปรับใจของมนุษย์ แต่ยังมีภูมิคุ้มกันความทุกข์อีกระดับหนึ่ง ซึ่งเกิดจากปัญญาที่เข้าใจความทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง จนตระหนักว่ามันเป็นธรรมดา ที่ไม่มีใครหนีพ้น อีกทั้งยังเห็นความจริงต่อไปด้วยว่า ความสูญเสีย ความเจ็บป่วย ความล้มเหลว ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้เลย หากไม่ยึดติดถือมั่นกับสิ่งต่าง ๆ ว่าต้องเป็นไปดั่งใจ เมื่อรู้เช่นนี้ก็ปล่อยวาง ไม่ยึดติดถือมั่น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ตามเหตุปัจจัยมากกว่าตามความอยากของตน

    ภูมิคุ้มกันความทุกข์ประเภทหลังนี้แหละที่คุ้มกันใจให้ปลอดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง แม้มีเหตุร้ายแรงใด ๆ เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่เว้นแม้กระทั่งความตาย

    แต่ภูมิต้านทานประเภทหลังนี้ใช่ว่าจะเกิดได้ง่าย ๆ ไม่อาจได้มาจากการคิดเอา แต่ต้องเกิดจากการเจอความทุกข์บ่อย ๆ จนเกิดปัญญา เพราะมีแต่เจอทุกข์เท่านั้นจึงจะเห็นธรรม
    :- https://visalo.org/article/secret25550501.htm

    .... EndLineMoving.gif
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    TreePink.jpg
    เสียงธรรมที่ซาบซึ้งใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อหลวงปู่ขาว อนาลโย มาปักหลักตั้งสำนักที่ถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี เกือบ ๖๐ ปีที่แล้ว แม่ชีสาเป็นผู้หนึ่งที่ติดตามท่านมาด้วย แม่ชีสาไม่เพียงอุปัฏฐากหลวงปู่และพระเณรอย่างขยันขันแข็ง หากยังใส่ใจในการทำกรรมฐาน จนหลวงปู่ขาวกล่าวยกย่องแม่ชีสาว่าภาวนาดีมาก จนละ “ขี้” ได้สองกอง คือ “ขี้โลภ” และ “ขี้โกรธ”

    วันหนึ่งหลวงปู่ใช้ให้พระสองรูปไปด่าแม่ชีสาเพื่อทดสอบดูว่าละความโกรธได้แค่ไหนแล้ว ทั้งสองรูปจึงพากันไปที่กุฏิของแม่ชีสา สรรหาคำรุนแรงสารพัดมาด่า แม่ชีสาตอนแรกงงงวยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พนมมือนั่งฟังพระอาจารย์ทั้งสองอย่างสงบโดยตลอด

    หลังจากที่พระอาจารย์ทั้งสองด่าว่าจนพอใจ แม่ชีสาก็ถามว่า “ท่านอาจารย์ดุด่าดิฉันหมดหรือยัง หรือมีคำด่าว่าอยู่อีก ดิฉันได้ยินได้ฟังแล้วมันซาบซึ้งเหลือเกิน เสียงดุด่าเป็นเสียงธรรมทั้งหมดเลยเจ้าข้า”

    แม่ชีสายังปวารณาอีกว่า “ขอให้อาจารย์ทั้งสองมาด่าดิฉันให้บ่อย ๆ ด้วย มันจะได้หมดกิเลสสักที”

    คนทั่วไป เมื่อถูกต่อว่าด่าทอ ไม่เพียงรู้สึกโกรธ เจ็บปวดเหมือนถูกทำร้าย หากยังรู้สึกเสียใจที่ถูกมองในแง่ลบ หรือเสียหน้าเพราะความไม่ดีของตนถูกนำมาประจาน ยิ่งเป็นคนที่เคร่งครัดในศีล มุ่งมั่นทำความดีจนมีคนชื่นชมสรรเสริญ ก็ยิ่งรู้สึกแย่ที่กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของผู้อื่น ยิ่งผู้ที่ตำหนินั้นเป็นถึงครูบาอาจารย์ด้วยแล้ว ก็ย่อมรู้สึกอับอาย หรือถึงกับน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี เหตุใดความดีของเราจึงไม่มีใครมองเห็น และหากคิดต่อไปว่า ถ้าเรื่องนี้แพร่หลาย มีคนอื่นรับรู้มากขึ้น ชื่อเสียงของเราย่อมป่นปี้ ภาพลักษณ์ดี ๆ จะเสียหาย คิดอย่างนี้จิตก็เป็นทุกข์ทันที

    แต่ความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ไม่มีในใจของแม่ชีสาเลย จึงฟังคำด่าว่าของพระอาจารย์ทั้งสองด้วยใจนิ่งสงบ ราวกับไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเลย หรือพูดให้ถูกคือ ไม่รู้สึกว่าตัวตนถูกกระทบกระแทกแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะแม่ชีสามีความยึดติดในตัวตนน้อยมาก แต่เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เป็นเพราะท่านเห็นว่าคำต่อว่าด่าทอนั้นมีประโยชน์ ช่วยขูดเกลากิเลสได้เป็นอย่างดี จึงมีค่าเสมือนธรรมะอย่างหนึ่ง ที่จริงท่านอาจมองด้วยซ้ำว่า คำต่อว่าด่าทอนั้นคือธรรมะในตัวเอง เพราะสอนให้เห็นถึงความจริงของโลกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า โลกธรรม ๘ กล่าวคือ สรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน ถ้ายึดติดคำสรรเสริญ ก็ย่อมเป็นทุกข์เพราะคำติฉินนินทา ซึ่งไม่ว่าเป็นใครทำดีแค่ไหนก็ต้องเจอวันยังค่ำ

    เรื่องของแม่ชีสาเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า คำต่อว่าด่าทอนั้น ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์ก็เพราะวางใจไม่ถูกต่อคำต่อว่าด่าทอต่างหาก เช่น มองเห็นเป็นสิ่งเลวร้าย หรือเพราะยึดติดถือมั่นในคำเหล่านั้น เช่น เอาแต่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงมัน วนเวียนอยู่กับความสำคัญมั่นหมายว่า เขาด่ากู ๆ ๆ พูดอีกอย่างคือชูตัวตนขึ้นเป็นเป้าของคำต่อว่าด่าทอนั้น ยิ่งชูหรือยึดตัวตนมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้น

    ในทางตรงข้ามหากเห็นว่าคำต่อว่าด่าทอมีประโยชน์ ช่วยขูดกิเลส หรือทรมานอัตตาให้หายผยอง ยิ่งได้ฟัง ก็ยิ่งขอบคุณ แม้จะมีความทุกข์เกิดขึ้น ก็เห็นว่าทุกข์นั้นของ “ตัวกู” หรือเป็นความดิ้นพล่านของกิเสลมากกว่า จึงไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด

    ทุกครั้งที่เป็นทุกข์เมื่อถูกต่อว่าด่าทอ อย่ามัวโทษผู้พูดว่าเป็นตัวการ ควรหันมาสำรวจใจของตนและแก้ที่ตรงนั้น จะว่าไปแล้วความก้าวหน้าในการภาวนาวัดกันที่ตรงนี้ หากยังโกรธเคืองเมื่อถูกต่อว่าด่าทอ ก็แสดงว่ายังมีการบ้านให้ต้องทำอีกมาก จะหลงภาคภูมิใจในความเป็นนักปฏิบัติธรรมหรือผู้ทรงศีล หาควรไม่

    :- https://visalo.org/article/secret255903.html
    ....................... RoseUnderline.gif

     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    niceword.jpg
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    selfreminder.jpg
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    the_falls_206721.jpg
    ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์

    พวกเราทุกคนคงไม่มีใครที่เกิดมาแล้วไม่เคยประสบกับความทุกข์เลย และบ่อยครั้งที่เรามีความรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจเมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ เพื่อหนีความทุกข์ที่เกิดขึ้นบางคนคิดฆ่าตัวตาย บางคนก็พึ่งเหล้า พึ่งยาเสพติด แต่ใครเล่าจะหนีความทุกข์เหล่านั้นไปได้

    ความทุกข์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

    1) ทุกข์กายที่เกิดจากร่างกายที่ไม่ปกติ เช่นเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายไม่สมประกอบด้วยเหตุต่างๆ เป็นต้น

    2) ทุกข์ใจอันเนื่องมาจากไม่ได้ตามที่ใจคาดหวัง เช่นทำงาน หรือดำเนินชีวิตไม่ได้ตามใจหวัง รักที่ไม่สมหวัง เป็นต้น

    ในระหว่างทุกข์กายกับทุกข์ใจ ทุกข์ใจนั้นสำคัญกว่าหลายเท่านัก เพราะคนเราหากมีกำลังใจแล้วแม้กายเป็นทุกข์ ใจก็อาจมีสุขได้ แต่ในทางตรงข้ามหากกายสมบูรณ์แต่ใจอ่อนแอเป็นทุกข์คนเราก็มักจะต้องยอมพ่ายแพ้กับชีวิตกันอย่างง่ายๆ ทุกข์ใจนั้นเกิดจาก “ความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู” ยึดให้เป็นทุกข์ ถือด้วยอารมณ์เป็นความคิดที่ขาดสติ …..คิดมากๆ ก็อยากจะหนีทุกข์ คือไม่อยากให้ตนเองอยู่ในสภาวะที่เป็นทุกข์ ที่จริงแล้วถ้ามัวแต่หนีทุกข์หรือปฎิบัติเพื่อหนีทุกข์ด้วยวิธีต่างๆ เช่นดื่มของมึนเมา เสพยาเสพติด การทำตัวประชดคนใกล้ชิด เป็นต้น ก็ไม่มีวันจะพ้นจากทุกข์ได้ การหนีทุกข์ด้วยการกระทำเลี่ยงทุกข์นั้น จะทำให้ทุกข์หายไปจากจิตใจเพียงชั่วคราว แล้วกลับมาเกิดทุกข์ได้ใหม่ซึ่งอาจจะทุกข์มากกว่าเดิมเสียอีก เช่นทะเลาะกับคนรักก็หันไปหาสุรายาเมา ขับรถเกิดอุบัติเหตุเกิดทุกข์มากกว่าเก่า เป็นต้น

    พวกคุณคงคิดว่าผมออกจะเพี้ยนแน่หากผมจะบอกว่า “ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิต” เพราะผมรู้สึกว่าชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้จริง ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการเติบโต ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิดขึ้น ผมกล้าบอกว่าไม่มีใครไม่มีความทุกข์ เพราะนั่นคือ “ชีวิต” การเผชิญหน้ากับทุกข์ เห็นทุกข์ตามความเป็นจริง เห็นความเกิดและดับของความทุกข์ทั้งปวง จนในที่สุดก็จะเข้าใจในประโยคที่ว่า “มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดมา และก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นดับไป” หากเราสามารถมองเห็นความจริงของทุกข์แล้ว จิตจะปล่อยวางความทุกข์ เห็นความเป็นธรรมดาของทุกข์ที่เกิดขึ้น รู้ว่าไม่นานทุกข์นั้นก็จะต้องดับไปเองตามกฏของธรรมชาติ

    ความทุกข์สอนให้แต่ละคนเข้มแข็งในแง่มุมต่างๆ ถ้าไม่มีความทุกข์ เราก็อาจจะไม่รู้จักความสุข ไม่ได้พบมิตรแท้ …..ไม่รู้ว่าความสุขที่แท้เป็นอย่างไร เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคนอ่อนแอหรือเข้มแข็ง ความทุกข์เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ…..ต่างจากความสุข ที่ทําให้เราอ่อนแอ มองโลกง่ายๆ แคบๆ ความสุขเหมือนสายฝนพรํา อ่อนโยน งดงาม เบาบาง แต่ว่างเปล่า ไม่มีการเรียนรู้ใดในความสุขนั้น.. อาหารจะอร่อยได้อย่างไรหากไร้รสชาติจริงไหมครับ…..

    …เมื่อใดที่มีความทุกข์ คุณทั้งหลายควรหันหน้ามาเผชิญกับมันด้วยรอยยิ้ม ยิ้มรับที่ได้ทานอาหารที่อร่อยมีรสชาติ และคิดว่าโชคดีที่ได้เจอความทุกข์ ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้สงบ ได้สติ ได้ความนิ่ง ได้รู้จักโลก ได้รู้จักตัวเอง ได้รู้จักการเติบโตในทุกๆ ย่างก้าวของชีวิต….. เหล็กหากไม่ได้ผ่านการเผาและการตีเหล็กเหล่านั้นก็ด้อยค่า แต่เพราะเหล็กถูกเผาและตี เหล็กเหล่านั้นก็จะมีคุณค่ามากขึ้นฉันใดก็ฉันนั้น จงให้กําลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่า โชคดีที่วันนี้มีความทุกข์ เพราะเมื่อความทุกข์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ความสุขก็จะรออยู่เบื้องหน้า..

    …พวกเราจงใช้ความทุกข์ สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิตกันเถอะครับ…


    By: พี่ชาย
    :- https://www.samaritansthai.com/project/ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศ/
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    คอลัมน์ สาระขัน : ใช้หูให้เป็น
    By : สามสลึง


    จิตแพทย์สองคนมาเจอกันในงานเลี้ยงรุ่นปีที่ ๒๐ คนหนึ่งดูหนุ่มกระชุ่มกระชวย แต่อีกคนหนึ่งสิกลับเหนื่อยอ่อนเหมือนคนอมทุกข์


    “แกมีเคล็ดลับอะไรเหรอ ?” จิตแพทย์หน้าหมองถาม

    “ฟังปัญหาผู้คนตลอดทั้งวัน ทำให้ฉันแก่ไปถนัดใจ”

    จิตแพทย์หน้าละอ่อนตอบ
    “ใครเขาฟังกันล่ะ ?”


    จิตแพทย์คนหลังอาจเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนักสำหรับคนมีอาชีพจิตแพทย์ แต่เคล็ดลับของเขาก็นับว่ามีประโยชน์ไม่น้อยสำหรับผู้ที่ต้องเจอกับคนขี้บ่นอยู่เป็นประจำ คนที่ชอบหงุดหงิดรำคาญใจกับเสียงระคายโสตจะลองเอาวิธีนี้ไปใช้ก็เข้าท่าเหมือนกัน

    มีนักธุรกิจคนหนึ่งเจอเพื่อนร่วมงานจอมนินทา แม้จะอยู่คนละห้องแต่จอมนินทาผู้นี้ชอบโทรศัพท์มาบ่นคนโน้นนินทาคนนี้ให้เธอฟังเป็นประจำจนเธอเบื่อหน่าย สุดท้ายเธอแก้ปัญหาด้วยการรับสายโทรศัพท์แล้ววางหูไว้ที่โต๊ะ ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไปเรื่อย ๆ คนเดียว พอผ่านไปห้านาทีเธอจะยกหูพูดกรอกเข้าไปว่า “ค่ะ” แล้วก็วางหู วิธีนี้ทำให้ไม่เสียงานหรือเสียเพื่อน อีกฝ่ายก็สบายใจที่ได้พูด

    นักธุรกิจผู้นี้บอกว่าได้บทเรียนมาจากเรื่องเล่าของพ่อ เรื่องมีอยู่ว่าเด็กวัดคนหนึ่งบ่นหนวกหูทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหมาเห่า หลวงพ่อเจ้าอาวาสจึงสอนเด็กวัดว่า หูหมากับปากหมามันอยู่ติดกัน หมามันยังไม่หนวกหูเลย แล้วหูเอ็งกับปากหมามันห่างกันเป็นวา เอ็งจะไปทุกข์ร้อนทำไม อย่าไปตั้งใจฟังมันก็หมดเรื่อง พอได้ยินก็ทุกข์ ลองไม่ฟังมันก็จะสุขไปเอง

    การฟังนั้นเป็นเรื่องที่ต้องฝึก ไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็ฟังเป็น อย่างแรกที่ต้องฝึกคือ รู้จักเลือกว่าจะฟังอะไร ไม่ฟังอะไร ไม่ใช่ฟังตะพึด ถ้าไม่รู้จักเลือก หูเราจะกลายเป็นโซน่าร์ที่กวาดทุกเสียงมาใส่ตัวหมดไม่ว่าดีหรือร้าย ประการต่อมาก็คือ เมื่อฟังแล้วต้องรู้จักปล่อย ไม่เก็บเอามาปรุงแต่ง บางอย่างฟังหูซ้ายก็ต้องปล่อยให้ทะลุหูขวาไป ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นหูหาเรื่อง เขาพูดจาห้วน ๆ กับเรา ก็ไปคิดว่าเขาเกลียดขี้หน้าเรา ทั้ง ๆ ที่เขาอาจมีเรื่องไม่สบายใจที่ไม่เกี่ยวกับเราเลย หนักเข้า เพื่อนคุยกันอยู่ไกล ๆ ได้ยินแค่บางคำ ก็ไปคิดปรุงแต่งว่าเขากำลังนินทาเรา ทีนี้แหละระอุขึ้นมาเต็มทรวงเลย

    หูที่ชอบหาเรื่องทำให้ผู้คนเป็นทุกข์มานับไม่ถ้วนแล้ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกหูของเราให้รู้จักฟังและฝึกใจให้รู้จักปล่อยในเวลาเดียวกัน แต่ก็อย่าเผลอฟังแต่เรื่องที่เสนาะหูสบายใจอย่างเดียว เรื่องที่ไม่ถูกใจ แต่ถ้ามีประโยชน์ เช่น คำตักเตือน ก็ควรรู้จักฟังอย่างใส่ใจด้วย

    การฟังอย่างใส่ใจเป็นอีกเรื่องที่น่าจะได้ฝึกกัน เพื่อหยั่งลึกไปถึงความรู้สึกนึกคิดที่อยู่เบื้องหลังคำพูด บางเรื่องถ่ายทอดลำบากหรือยากที่จะพูด แต่ถ้าใส่ใจฟัง ก็จะได้ยินถ้อยคำจากหัวใจได้ไม่ยาก

    คนสมัยนี้พูดเยอะแต่ไม่ค่อยเข้าใจกัน แม้โทรศัพท์มือถือจะช่วยให้คุยได้สะดวกและมากตามต้องการก็ตาม พูดแต่ไม่ได้ยินจึงกลายเป็นปัญหาของคนร่วมสมัย แม้แต่ในบ้านเดียวกัน พ่อพูดอย่าง ลูกเข้าใจไปอีกอย่าง ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว อย่างเรื่องข้างล่างนี้

    พ่อบ่นให้ลูกสาววัย ๑๗ ฟังว่าเด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมียางอายกันแล้ว

    “ตอนที่พ่ออายุเท่าลูก สาว ๆยังรู้จักอายจนหน้าแดง”

    “ตายแล้ว ” ลูกสาวคนสวยอุทาน
    “ พ่อไปพูดมิดีมิร้ายอะไรกับเขาเหรอ?”
    :- https://visalo.org/article/sarakan254702.htm
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    mountainandlake.png
    ขอบคุณที่ด่า
    ภาวัน
    ก่อนที่จะคืนสู่ชนบท ทำนาปลูกผักและใช้ชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติ จนเป็นแรงบันดาลใจให้แก่หนุ่มสาวหลายคนที่ต้องการหันหลังให้กับชีวิตว้าวุ่นในเมือง โจน จันได เคยอยู่แบบปากกัดตีนถีบในกรุง ด้วยความใฝ่ฝันอยากร่ำรวยเหมือนคนทั่วไป

    ช่วงหนึ่งเขาได้งานเป็นพนักงานทำความสะอาดในโรงแรม หัวหน้าของเขาคือแม่บ้าน ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เขาไม่เคยพบมาก่อน คือ เป็นคนปากร้าย เจอกันทีไรเธอก็ชี้หน้าด่าก่อนแล้วก็ไป วันหนึ่งเธอสั่งให้เขาขัดลูกบิดประตูในห้องพักด้วยน้ำยาบรัสโซ ขณะที่เขาทำใกล้จะเสร็จ ผู้จัดการเดินผ่านมา พอเห็นเข้าก็ต่อว่าเขาว่า “ใช้บรัสโซขัดได้ยังไง มันขัดไม่ได้” ได้ยินเช่นนั้นแม่บ้านก็ซ้ำเขาทันทีว่า “เธอขัดได้ยังไง”

    แม้นึกไม่ถึงว่าแม่บ้านจะพูดเช่นนั้นกับเขา แต่แทนที่จะโต้เถียง โจนกลับยิ้มให้ ยกมือไหว้ พร้อมกับพูดว่า “ขอโทษครับ ขอบคุณครับที่เตือนผม”

    นั่นเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เปลี่ยนแปลงเขา โจนเล่าว่า นับแต่นั้นมาเขาฝึกที่จะยิ้มให้แก่คนที่ด่าเขา ทุกครั้งที่แม่บ้านด่าว่าเขา เขาจะยกมือไหว้และกล่าวคำขอบคุณ ใหม่ๆ เขารู้สึกละอายใจที่พูดอย่างนั้นเพราะรู้สึกเหมือนเสแสร้ง แต่ตอนหลังเขาพูดได้อย่างสบายใจเพราะมีความรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ คือขอบคุณที่แม่บ้านเตือนเขาและช่วยให้เขาหันมาจัดการกับความโกรธของตัว

    พนักงานทั้งโรมแรมหาว่าเขาฟั่นเฟือน บางคนก็บอกว่าเขาโง่ที่ยอมให้แม่บ้านจิกหัวใช้ แต่โจนไม่ถือสา จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป แม่บ้านอดรนทนไม่ได้ เรียกเขามาหาด้วยความสงสัยว่าทำไมเขาทำอย่างนั้นทุกครั้งที่เธอด่าเขา

    โจนจึงชี้แจงว่า เขารู้สึกขอบคุณแม่บ้านจริงๆ ที่เตือนให้เขากลับมาดูตัวเอง และเตือนให้เขามาใคร่ครวญว่า ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกรธ ในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนที่แม่บ้านพูดอะไรไปนั้นก็เป็นเรื่องของแม่บ้าน จะเป็นเพราะความคุ้นเคยหรือเป็นความชอบของแม่บ้านก็แล้วแต่

    ผลก็คือนับแต่วันนั้นแม่บ้านก็ไม่เคยต่อว่าด่าทอเขาอีกเลย ส่วนตัวเขาเองก็ได้นิสัยใหม่ ใครจะพูดอย่างไรกับเขา ดุด่าอย่างไร เขาก็ไม่โกรธ สามารถยิ้มให้ได้ ไม่ใช่โจนคนเดิมที่โกรธจนหน้าแดงเวลาเจอคำผรุสวาท

    แม่บ้านเปลี่ยนไปเพราะความสุภาพอ่อนโยนของโจน จะเรียกว่าความดีของโจนชนะใจเธอก็ได้ แต่ที่โจนทำได้เช่นนั้นก็เพราะเขาชนะใจตัวเองเป็นอย่างแรก นั่นคือ ชนะความโกรธในใจตน ไม่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำจนเผลอพูดและทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม

    เวลาถูกด่าว่า เรามักคิดว่าการโต้กลับด้วยถ้อยคำที่แรงกว่า เป็นวิธีที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่บ่อยครั้งมันกลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม และลงเอยด้วยความเสียหายพ่ายแพ้ของทั้งสองฝ่าย น้อยคนที่ตระหนักว่าความอ่อนโยนนั้นสามารถเอาชนะความก้าวร้าว เช่นเดียวกับความเมตตาที่สามารถเอาชนะความโกรธได้

    เรื่องราวของโจนยังบอกให้เรารู้ว่า คำต่อว่าด่าทอ ดูให้ดีก็มีคุณ หากรู้จักใช้ประโยชน์จากมัน สิ่งดีๆ ก็สามารถเกิดขึ้นกับชีวิตของเราได้ ถ้ามองเป็น แม้กระทั่งคนที่ต่อว่าด่าทอเรา ก็สมควรได้รับความขอบคุณจากเราด้วยซ้ำ มองให้กว้างออกไป เมื่อมีสิ่งแย่ๆ เกิดขึ้นกับเรา ใช่ว่าเราจะต้องทุกข์เสมอไป จะทุกข์หรือไม่อยู่ที่ว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร ถ้าวางใจเป็น ก็ยังเป็นสุขหรือยิ้มได้

    ดังนั้นเมื่อใดที่เป็นทุกข์ก็อย่ามัวโทษสิ่งภายนอก แต่ควรกลับมาดูใจของตนก่อนอื่นใด
    :- https://visalo.org/article/Image255804.html
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    craterlakeoregonusa.jpeg
    เหนือเป็นเหนือตาย
    พระไพศาล วิสาโล
    มีเรื่องเล่าว่าครูคนหนึ่งสอนหนังสืออยู่แถววัดสระเกศ วันหนึ่งรู้สึกกลุ้มใจจึงเดินขึ้นไปบนภูเขาทอง พอถึงยอดภูเขาทองแล้วมองออกไปไกล ๆ เห็นโลกกว้างสุดสายตา ก็รู้สึกเบาสบาย ความกลุ้มใจก็คลายไป ทีนี้พอแกเครียดทีไรก็จะขึ้นไปบนภูเขาทอง ขึ้นแล้วก็รู้สึกโปร่งโล่งเบาสบาย บางวันขึ้นสองสามรอบ ทำเช่นนั้นเป็นปี

    เผอิญมีนักข่าวคนหนึ่งไปเที่ยวภูเขาทอง ได้ยินเรื่องเล่าจากเจ้าหน้าที่ที่นั่นว่ามีครูคนหนึ่งขึ้นภูเขาทองวันหนึ่งไม่รู้กี่เที่ยว ก็เลยสนใจไปทำข่าว พอเรื่องราวของเขาตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เขาก็ได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ จึงดังเข้าไปใหญ่ ได้รางวัลหลายรางวัล ได้รับสมญานามว่าเป็นนักขึ้นภูเขาทองที่ไม่มีใครเทียบทาน


    ถึงตอนนี้ก็มีหลายคนอยากเป็นนักขึ้นภูเขาทองบ้าง หลายคนอยากลบสถิติของเขาซึ่งขึ้นภูเขาทองมาเป็นพัน ๆ ครั้ง ครูคนนี้ทีแรกขึ้นภูเขาทองโดยไม่ได้นึกอะไรแต่พอมีคนยกย่องว่าเขาเป็นนักขึ้นภูเขาทอง ความรู้สึกว่าฉันเป็นนักขึ้นภูเขาทองก็เกิดขึ้นกับครูคนนี้ พอรู้ว่ามีคนจะมาลบสถิติ ก็เลยไม่สบายใจ เพราะกลัวว่าความเป็นนักขึ้นภูเขาทองจะถูกแย่งชิงไป เขาจึงต้องขึ้นภูเขาทองให้บ่อยขึ้น แต่เดิมขึ้นแล้วมีความสุข สบายใจ แต่ตอนนี้กลายเป็นหน้าที่ไปแล้ว ต้องขึ้นเพื่อที่จะไม่ให้ใครมาลบสถิติหรือแย่งชิงตำแหน่งนักขึ้นภูเขาทองไป เขาเป็นทุกข์ยิ่งขึ้นเมื่อมีคนหนึ่งขึ้นภูเขาทองมากเกือบเท่าเขา ถึงตอนนี้เขาก็เริ่มนอนไม่หลับ คิดแต่ว่าจะต้องขึ้นให้บ่อยขึ้นแม้งานจะเยอะก็ตาม

    นี่เป็นเรื่องแต่งที่เขียนขึ้นโดยชาติ กอบจิตติ แต่ว่าก็สอดคล้องกับชีวิตจริงของคนเรา คนเราเวลาทำอะไรก็ตามถ้าไม่ได้นึกว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่ก็ไม่ทุกข์นะ แต่พอรู้สึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมาก็เป็นทุกข์ อย่างเช่นครูในเรื่องนี้ ตอนแรก ๆ ขึ้นภูเขาทองโดยไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนักขึ้นภูเขาทอง แต่พอผู้คนเรียกขานว่าเขาเป็นนักขึ้นภูเขาทอง ก็เลยเกิดความรู้สึกขึ้นมาจริง ๆ ว่าฉันเป็นนักขึ้นภูเขาทอง พอคิดแบบนี้แล้วก็ไม่อยากสูญเสียความเป็นนักขึ้นภูเขาทอง ดังนั้นจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาตัวตนอันนี้ไว้

    เพราะเหตุนี้ถึงบอกว่าความมีความเป็นทำให้เราทุกข์ได้ มีก็ทุกข์ เพราะอยากจะรักษาเอาไว้ไม่ให้มันหายไป พอหายไปก็ทุกข์อีก มีอะไรก็ตาม ถ้าไปยึดมั่นกับมัน ก็ทำให้ทุกข์ แม้จะเป็นสุขแต่ก็มีทุกข์เจือปน พราหมณ์คนหนึ่งพูดกับพระพุทธเจ้าว่า มีโคก็เป็นสุข มีลูกก็เป็นสุข มีบ้านก็เป็นสุข พระพุทธเจ้าก็พูดแย้งว่า มีโคก็ทุกข์เพราะโค มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก มีบ้านก็ทุกข์เพราะบ้าน มีอะไรก็ตามก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น โดยเฉพาะเมื่อไปสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นของฉัน บ้านของฉัน ลูกของฉัน ก็เตรียมทุกข์ไว้ได้เลยเพราะว่าสักวันหนึ่งก็จะต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้น ถ้าเราไม่พลัดพรากจากสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็พลัดพรากจากเรา มันก็มีสองอย่างเท่านั้นแหละทันทีรู้สึกเป็นเจ้าของสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้นจะมีหรือจะเป็นอะไรก็ตามต้องมีหรือเป็นให้ถูกต้อง มีให้เป็น เป็นให้เป็น คือมีโดยไม่ยึดมั่นว่าเป็นของฉัน และเป็นโดยไม่ไปยึดมั่นว่าเป็นตัวฉัน เดี๋ยวนี้เรามีกันไม่เป็น และก็เป็นกันอย่างไม่ถูกต้อง คือเป็นด้วยความยึดมั่นถือมั่น มีด้วยความหลงก็เลยทุกข์ ดีที่สุดก็คือไม่มีไม่เป็นอะไรเลย

    เคยมีคนเห็นพระพุทธเจ้ารูปลักษณะดีก็แปลกใจ ถามว่าท่านเป็นเทวดาหรือ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าไม่ใช่ ถามว่าท่านเป็นคนธรรพ์หรือ พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธ งั้นเป็นยักษ์มั้ย พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธอีก เขาถามว่าท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า พระพุทธเจ้าก็บอกไม่ใช่ ชายคนนั้นงงเลยถามว่าแล้วท่านเป็นใคร พระพุทธเจ้าก็ไม่ตอบตรง ๆ ตรัสว่าให้เรียกเราว่า “ พุทธะ” แล้วกัน เพราะกิเลสที่จะทำให้เราเป็นนั่นเป็นนี่นั้นไม่มีอีกแล้ว ก็เลยไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น

    พระพุทธองค์ไม่ถือว่าพระองค์เป็นอะไรเลย แม้แต่ “ พุทธะ” ก็เป็นสมมุติที่มีไว้เพื่อใช้เรียกเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงถือว่าพระองค์เป็นอะไรแม้กระทั่งพุทธะด้วยซ้ำ แต่ว่าเพื่อความสะดวกในการสื่อสารก็ให้เรียกพระองค์ว่าพุทธะ อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าแม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรทั้งสิ้น ถ้าจะเป็นนั่นเป็นนี่ก็เพราะคนอื่นเรียกทั้งนั้น ในจิตใจของพระองค์ก็ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นอะไร เพราะว่าตัณหามานะหมดไปแล้ว กิเลสที่จะทำให้เป็นนั่นเป็นนี่ก็ไม่มีแล้ว

    ดังนั้นเราจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ว่าเราเป็นอะไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น จึงไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น เพราะถ้ายึดมั่นถือมั่นเราก็จะเป็นทุกข์ เพราะตัณหามานะจะแฝงซ่อนอยู่กับความเป็นนั่นเป็นนี่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม เป็นผู้แพ้ก็ทุกข์ เป็นผู้ชนะก็ทุกข์ เป็นคนชั่วก็ทุกข์ เป็นคนดีก็ทุกข์ เป็นนักปฏิบัติธรรมก็ทุกข์ทันทีที่ไปยึดมั่นว่าฉันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ใครที่สำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็น นักปฏิบัติธรรม พอมีคนมาพูดว่า “ เธอไม่มีสติเลย ” จะโกรธและเป็นทุกข์มาก ว่าอย่างอื่นไม่ว่ามาว่าฉันไม่มีสติ นี้แหละเป็นเพราะเราไปยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม เลยถูกตัณหาที่แฝงอยู่ในความเป็นนักปฏิบัติธรรมเล่นงานเอา

    มองให้เห็นว่าความเป็นนั่นเป็นนี่เป็นสิ่งสมมุติที่ถูกปรุงขึ้นมา ไม่ใช่ของจริง แต่ถึงแม้จะยังมองไม่เห็นว่าเป็นสิ่งสมมุติ อย่างน้อยก็ให้เราตระหนักว่าความเป็นนั่นเป็นนี่มันไม่เที่ยง ถ้าไปยึดมั่นให้มันเที่ยงเราเองนั่นแหละจะเป็นทุกข์ ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม มันไม่เที่ยง ต้องแปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นที่จะถูกคุกคามด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ทำให้ต้องแปรเปลี่ยนหรือสูญสลายไป

    อย่าให้เกิดการปรุงแต่งจนไปสู่ความทุกข์ ควรเริ่มต้นด้วยการมีสติตั้งแต่ตอนเกิดผัสสะ แต่ถึงแม้สติตามไม่ทันในผัสสะ ก็ขอให้มีสติรู้ทันในเวทนา และในอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เห็นความโกรธเกิดขึ้น ความอยากเกิดขึ้น แต่ไม่เข้าไปเป็นผู้โกรธผู้อยาก

    แม้กระทั่งความทุกข์เมื่อเกิดขึ้นก็เห็นความทุกข์ แต่ไม่ใช่เป็นผู้ทุกข์ เมื่อตากระทบรูป การเห็นเกิดขึ้น แต่อย่าให้มีฉันเป็นผู้เห็น เมื่อหูได้ยินเสียง การได้ยินเกิดขึ้น แต่อย่าให้มีฉันเป็นผู้ได้ยิน เพราะถ้ามีตัวฉันเป็นผู้ได้ยิน เดี๋ยวก็มีตัวฉันเป็นผู้ทุกข์เพราะได้ยินเสียงดัง หรือคำตำหนิ เวลาร่างกายมีแผล ก็รู้ว่ามีแผลเกิดขึ้นกับร่างกาย อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าฉันมีแผล มีดบาดนิ้วก็ให้รู้ว่ามีดบาดนิ้วไม่ใช่ไปปรุงแต่งว่ามีดบาดฉัน อย่าปล่อยให้มีตัวฉันหรือตัวกู เพราะถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว ก็จะมีตัวฉันเป็นผู้ทุกข์ในที่สุด หรือมีตัวฉันเป็นผู้รับแรงกระทบกระแทกต่าง ๆ ถ้าไม่มีตัวฉันเกิดข้นแล้ว เราจะมีชีวิตที่โปร่งเบา เป็นอิสระ ความทุกข์ไม่มีที่ตั้ง เพราะไม่มีตัวฉันมาเป็นเจ้าของความทุกข์ ใหม่ ๆ เรายังไม่สามารถที่จะมองเห็นตรงนี้ได้ แต่ว่าเมื่อเราดูและเห็นอยู่เรื่อย ๆ ปัญญาหรือความประจักษ์ในความจริงเหล่านี้ก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ชัดเจนขึ้น แล้วเราก็จะรู้ว่า เราทุกข์เพราะปล่อยให้ตัวกูของกูเกิดขึ้นโดยแท้ นี่แหละคือต้นแห่งความทุกข์ทั้งปวง

    (ตัดทอนจากคำบรรยาย ณ วัดป่ามหาวัน วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๙)
    :-
    https://visalo.org/article/D_NerPenNerTay.htm
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    Lotusinwavingwater.gif
    ทุกข์เพราะแบก สุขเพราะวาง
    พระไพศาล วิสาโล
    มีพุทธภาษิตบทหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสเป็นอุปมาอุปมัยว่า “เมื่อมือไม่มีแผล บุคคลจะจับต้องยาพิษก็ได้ ยาพิษนั้นไม่สามารถทำอันตรายได้” ความหมายของพุทธภาษิตนี้ใกล้เคียงกับสำนวนไทยสำนวนหนึ่งคือ “ตบมือข้างเดียวไม่ดัง” ตบมือข้างเดียวไม่ดังหมายความว่า ทำฝ่ายเดียวย่อมไม่เกิดผล เช่นเมื่อมีการทะเลาะวิวาทกัน ถ้ามีแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต่อว่าด่าทอ อีกฝ่ายหนึ่งเงียบ การทะเลาะวิวาทก็เกิดขึ้นไม่ได้ การทะเลาะวิวาทจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างตอบโต้กัน เหมือนกับยาพิษจะก่อให้เกิดผลเสียถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อจับต้องด้วยมือที่มีแผล

    พุทธภาษิตนี้มีความหมายว่า อะไรก็ตามจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัยสองประการ เรียกว่าปัจจัยไกลกับปัจจัยใกล้ หรือปัจจัยภายนอก กับปัจจัยภายใน ปัจจัยไกลคือยาพิษ ปัจจัยใกล้คือมือที่มีแผล ถ้าปัจจัยใกล้ไม่เกื้อกูล ปัจจัยไกลหรือปัจจัยภายนอก คือยาพิษก็ทำอะไรไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้จะงอกขึ้นมาได้ นอกจากอาศัยน้ำ อากาศ ความชื้น และอุณหภูมิที่เหมาะสมแล้ว ยังต้องอาศัยเมล็ดพันธุ์ที่มีเชื้อหรือมียางด้วย ถ้าอากาศ อุณหภูมิ และความชื้นพอเหมาะ แต่เมล็ดนั้นแห้งตายไปแล้วหรือไม่มีเชื้อไม่มียาง ก็ไม่สามารถเติบโตเป็นต้นกล้าหรือต้นไม้ใหญ่ได้

    ความสุขและความทุกข์ก็เช่นเดียวกัน ต้องอาศัยทั้งปัจจัยไกลและปัจจัยใกล้ อาศัยทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน เช่น อาหารที่อร่อย เพลงที่ไพเราะ หรือเสื้อผ้าที่สวยงาม มันจะให้ความสุขแก่เราได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความอยาก คือไม่เพียงแค่ได้เสพหรือได้เป็นเจ้าของเท่านั้น อาหารอร่อยแต่ไม่ได้กินก็เท่านั้น ครั้นได้กิน ได้เสพ หรือได้สวมใส่ก็ใช่ว่าจะมีความสุขโดยอัตโนนัติ จะมีความสุขได้ต้องมีปัจจัยภายในด้วย นั่นคือความอยาก

    อาหารอร่อยถ้าไม่มีความอยาก กินไปก็ไม่มีความสุข ที่ไม่มีความอยากอาจเป็นเพราะอิ่มแล้ว หรือไม่ก็กำลังครุ่นคิดเรื่องการงาน หรือเศร้าโศกถึงคนรักที่เพิ่งตายจาก ต่อเมื่อมีความอยาก จึงจะมีความสุขเมื่อได้กิน ด้วยเหตุนี้ภัตตาคารใหญ่ ๆ หรู ๆ จึงมีการกระตุ้นความอยาก หรือเรียกน้ำย่อย ด้วยอาหารเบา ๆ ก่อน เพลงที่ไพเราะก็เช่นกัน แม้บรรเลงด้วยนักดนตรีฝีมือดี แต่คนฟังไม่อยากฟัง เพราะกำลังครุ่นคิดกับงาน ฟังอย่างไรก็ไม่มีความสุข

    แม้กระทั่งความสัมพันธ์ทางเพศที่ใครๆ คิดว่าเป็นยอดของความสุข ยิ่งกว่าได้ฟังเพลงไพเราะ กินอาหารอร่อย แต่ถ้าไม่มีความอยาก ไม่มีอารมณ์เสียแล้ว เสพไปก็ไม่มีความสุข อาจรู้สึกเบื่อด้วยซ้ำ คู่สมรสบางคนมีเพศสัมพันธ์เพียงเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ บางคนชอบเพศเดียวกัน แต่ต้องหลับนอนกับคู่ครองที่เป็นเพศตรงข้าม เขาย่อมไม่รู้สึกมีความสุขเพราะไม่มีความอยาก

    ความทุกข์ใจก็เช่นเดียวกัน ต้องอาศัยทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน นั่นหมายความว่า คำต่อว่าด่าทอ เสียงดัง แดดร้อน ทำให้ทุกข์ใจไม่ได้ ถ้าใจเราไม่ไปร่วมมือด้วย หากว่ามีคนตะโกนด่า แต่เราไม่สนใจ ไม่นำพา เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จะเกิดความโกรธได้ไหม ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าใจเราไม่เอาคำเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ หรือหวนระลึกนึกถึงคำเหล่านั้น การกระทำก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีคนมากลั่นแกล้ง เอาเปรียบ รบกวน รังควาน แต่ถ้าเราไม่เก็บเอามาคิด ไม่นำพาไม่สนใจ ความทุกข์ใจก็เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เรามีความทุกข์ใจ จะโทษรูปที่เห็น โทษเสียงที่ได้ยิน โทษใครต่อใครที่รู้จักอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องโทษที่ใจเราด้วย เป็นเพราะใจเรามีส่วนร่วม ไปสมยอมเปิดทางอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาสร้างความทุกข์ใจให้กับเรา

    ก้อนหินใหญ่แค่ไหนก็ตาม ถ้าเราไม่แบกจะเป็นทุกข์ไหม จะเหนื่อยไหม จะรู้สึกหนักไหม หนามแหลมเพียงใด ถ้าเราไม่เผลอเดินเตะ เราจะปวดไหม หินก้อนหนัก ๆ ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ ถ้าเราไม่ไปแบกมัน หนามแหลม ๆ ทำให้เราปวดไม่ได้ถ้าเราไม่เดินเตะมัน เมื่อรู้สึกหนักหรือรู้สึกปวด เราจะโทษก้อนหินหรือหนามแหลมอย่างเดียวไม่ได้ ต้องกลับมาดูว่าเป็นเพราะเรามีส่วนด้วย พูดอีกอย่างก็คือไม่มีใครยัดเยียดความทุกข์ให้เราได้ ถ้าเราไม่ยินยอม ไม่มีใครขโมยความสุขไปจากเราได้ ถ้าหากเราไม่เออออห่อหมกด้วย

    เคยมีนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งไปปรึกษาปัญหาชีวิตกับหลวงพ่อชา สุภัทโท สมัยนั้นราว ๔๐ ปีก่อนท่านยังไม่อาพาธ นายตำรวจคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์มาก แต่ถูกกลั่นแกล้ง เจ้านายไม่ส่งเสริม เพื่อนร่วมงานขัดแข้งขัดขา นอกจากเลื่อยขาเก้าอี้ ยังเล่นงานข้างหลังเพราะไม่กินตามน้ำเหมือนคนอื่นเขา เขากลุ้มใจมากก็มาระบายกับหลวงพ่อชา หลวงพ่อก็ฟังโดยไม่ได้ว่าอะไร ท่านปล่อยให้เขาพูดจนจบ เสร็จแล้วท่านก็ชี้ไปที่หินก้อนใหญ่ที่อยู่ในลานหน้ากุฏิท่าน แล้วถามว่า “เห็นหินก้อนนั้นไหม” “เห็นครับ” “หินก้อนนั้นหนักไหม” “หนักครับ” “คุณแบกไหวไหม” “แบกไม่ไหวครับ” แล้วท่านก็บอกว่า “ถ้าไม่ไหวก็อย่าแบกมัน”

    ได้ยินเพียงเท่านี้นายตำรวจคนนั้นก็ได้คิดเลยว่า ที่ตัวเองทุกข์ก็เพราะแบกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้นั่นเอง เรื่องราวเหล่านี้ไม่สามารถทำให้ตนเองเป็นทุกข์ได้หากไม่ไปแบกเอาไว้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็รู้สึกโปร่งโล่งขึ้นมาก ทำให้มีแรงทำงานต่อไป ปัญหาในที่ทำงานยังคงมีอยู่ แต่ใจไม่ทุกข์แล้ว เพราะไม่ไปแบกมัน นายตำรวจคนนี้จึงรับราชการต่อจนเกษียณ

    เห็นไหมว่าเมื่อมีความทุกข์ใจเกิดขึ้น มันไม่ใช่เป็นเพราะคนนั้นคนนี้ทำอะไรไม่ถูกใจหรือกลั่นแกล้งเราอย่างเดียว แต่เป็นเพราะใจเราให้ความร่วมมือด้วยการแบกมันเอาไว้ เลยกลายเป็นการซ้ำเติมตนเอง

    เสียงดัง ถ้าเราไม่จดจ่อใส่ใจ ความรำคาญก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อหลายสิบปีก่อนหลวงปู่บุดดา ถาวโรได้รับนิมนต์ให้ไปฉันเพลที่กรุงเทพฯ เมื่อฉันเสร็จญาติโยมก็นิมนต์ให้หลวงพ่อจำวัดพักผ่อนก่อน เพราะสมัยนั้นการเดินทางไปสิงห์บุรีใช้เวลาหลายชั่วโมง หลวงปู่ก็ชรามากแล้ว เจ้าภาพจึงจัดห้องให้ท่านพัก มีลูกศิษย์หลายคนนั่งอยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนท่าน

    บังเอิญห้องที่ติดกันเป็นร้านขายของชำ เจ้าของร้านเป็นอาซิ้ม คนจีนสมัยก่อนจะสวมเกี๊ยะไม้ ไม่ได้สวมรองเท้าแตะเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นเวลาเดินเสียงก็ดังเข้ามาถึงห้องที่หลวงปู่จำวัดอยู่ ลูกศิษย์ได้ยินก็รำคาญ จึงพูดขึ้นมาว่า “เดินเสียงดังจัง ไม่เกรงใจกันเลย” หลวงปู่แม้จะเอนกายแต่ท่านไม่หลับ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “เขาเดินของเขาอยู่ดี ๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง”

    หลวงปู่บุดดาบอกเป็นนัยว่า เสียงเกี๊ยะจะดังอย่างไร ถ้าไม่เอาหูไปรองเกี๊ยะ ก็ไม่รู้สึกรำคาญ ดังนั้นเวลารู้สึกรำคาญขึ้นมา อย่าไปโทษเสียงอย่างเดียว ต้องโทษตัวเองด้วยว่าเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาทำไม

    ทีนี้ก็น่าคิดว่าทำไมถึงเอาหูไปรองเกี๊ยะ คำตอบก็คือไม่มีสติ เมื่อไม่มีสติ หูก็จะหาเรื่อง ตาก็จะหาเรื่อง เพราะว่าเมื่อไม่มีสติ ก็จะลืมตัว เมื่อลืมตัว หูและตา รวมทั้งใจด้วย ก็จะไปหาความทุกข์มาใส่ตัวทันที ได้ยินเสียงอะไร ไม่ว่าเสียงเกี๊ยะ เสียงรถยนต์ เสียงต่อว่าด่าทอ ใจก็จะไปเอาคว้าเสียงเหล่านั้นมาเล่นงานตัวเอง หรือเปิดทางให้สิ่งเหล่านั้นมาทำร้ายจิตใจได้

    ทีนี้พอทุกข์แล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีก ยังทำร้ายตัวเองต่อไป เหมือนคนที่แบกหิน ตอนแรกแบกเพราะลืมตัว พอแบกแล้วรู้สึกหนัก แต่ทั้ง ๆ ที่รู้สึกหนักก็ยังไม่ยอมปล่อย ยังแบกต่อเพราะอะไร เพราะลืมตัว เหมือนเวลาได้ยินใครพูดตำหนิติเตียน ทั้ง ๆ ที่คำพูดของเขาหายไปกับสายลมแล้ว ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ใจเราก็ยังเก็บเอามาคิด พอคิดแล้วก็ทุกข์ โกรธ ใจร้อนผ่าว แต่ก็ยังไม่ยอมเลิกคิด ยังคิดอยู่นั่นแหละ คิดซ้ำไปซ้ำมา

    เวลามีคนเขียนด่าเราทางเฟสบุ๊คหรือทางไลน์ ทั้ง ๆ ที่ไม่พอใจ แต่ก็ยังกลับมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นแหละ เมื่อวานอ่านแล้ว วันนี้ก็ยังอ่านอีก อ่านเช้าอ่านบ่าย อ่านแต่ละครั้งก็ขุ่นเคืองแต่ก็ยังไม่เลิกอ่าน นั่นเป็นเพราะลืมตัว เวลามีคนเขียนชมเรา เราอาจอ่านแค่ไม่กี่ครั้ง แต่พอมีคนเขียนด่า เรากลับอ่านแล้วอ่านอีกอยู่นั่นแหละ นี่เรียกว่า ยิ่งเกลียด ยิ่งผลักไส ก็ยิ่งยึดติด ตอนที่เผลออ่านครั้งแรกแล้วขุ่นเคืองใจขึ้นมาอันนี้เข้าใจได้เพราะไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้วยังอ่านแล้วอ่านอีก อย่างนี้เรียกว่าลืมตัวไม่มีสติ

    ความทุกข์ใจเกิดขึ้นเพราะเราเปิดทางให้ความทุกข์มาเล่นงานใจเรา แล้วก็ยังทำอย่างนั้นซ้ำซากเพราะความไม่รู้ตัวไม่มีสติ ยิ่งลืมตัวก็ยิ่งทำร้ายตัวเอง หรือยิ่งลืมตัวก็ยิ่งเปิดทางให้สิ่งต่าง ๆ เข้ามาทำร้ายตัวเราเอง อาจารย์ชยสาโรเคยพูดไว้ว่า “โลกนี้ไม่มีสิ่งใด ไม่มีคนใด จะบังคับให้เราทุกข์ได้ มีแต่สิ่งที่ชวนให้เราทุกข์ ชวนให้เราไม่พอใจเมื่อเขามาชวนให้เราทุกข์ ชวนให้เราไม่พอใจ อยู่ที่เราจะรับคำชวนหรือเปล่า เราเลือกได้ที่จะไม่รับคำเชิญชวนจากเขา ในเมื่อเราเลือกได้แต่เราไม่เลือก เราเลือกที่จะปฏิเสธได้แต่เราไม่ปฏิเสธ เรารับคำเชิญชวนของเขาเอง ทีนี้จะโทษใครดี ต้องโทษตัวเองด้วย เพราะไปรับคำเชิญชวนของเขาทำไม

    ดังนั้นทุกครั้งที่เราทุกข์ใจอย่าเพิ่งโทษสิ่งภายนอกตะพึดตะพือ ให้กลับมาดูใจเราด้วยว่าใจเราไปเปิดทางยินยอมหรือผสมโรงให้ความทุกข์ต่าง ๆ จากภายนอกเข้ามาเล่นงานใจเราหรือเปล่า ถ้าจะตอบอย่างฟันธงก็คือ ใช่ ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์ใจ ก็อย่ามัวเรียกร้องคนโน้นคนนี้ให้พูดดี ๆ กับเรา อย่าทำสิ่งที่ไม่ดีกับเรา อันนั้นมันเป็นไปได้ยาก เราควบคุมบังคับบัญชาคนอื่นไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือดูแลใจเราให้ดี อย่าเปิดช่องให้ความทุกข์หรือสิ่งเลวร้ายเข้ามาเล่นงานจิตใจเราได้ คนอื่นเขาทำได้อย่างมากก็แค่ต่อว่าด่าทอเรา ขโมยเงินเรา โกงเงินเรา เอาทรัพย์สินของเราไป หรือแม้กระทั่งทำร้ายร่างกายเรา แต่ว่าเขาไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจได้ แต่ที่เราทุกข์ใจก็เพราะเราทำตัวเอง หรือใจเรานั่นแหละเข้าไปปรุงแต่งผสมโรง

    เงินหายก็หายแต่ของ ใจไม่เสีย เราทำได้ หรือว่าถูกทำร้ายร่างกายแต่ใจไม่ทุกข์ เราก็ทำได้เช่นกัน ขอเพียงแต่ดูแลรักษาใจให้ดีเท่านั้น
    :- https://visalo.org/article/5000s09.html
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    flowingwaterfall.gif
    คอลัมน์ สาระขัน : ของดีที่ถูกมองข้าม
    By : สามสลึง
    ภรรยาพูดกับสามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า
    “ได้ยินคุณพูดกับเพื่อน ๆ คุณเมื่อวันก่อนว่า หลังจากแต่งงานกับฉันแล้ว คุณถึงรู้ว่าความสุขมีค่ามาก จริงไหมคะ ?”
    สามีพูดเรียบ ๆ ว่า

    “ใช่ ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละเธอ อะไรที่สูญเสียไปแล้ว เราถึงได้รู้ว่ามันมีคุณค่ามากมายมหาศาลเพียงใด”

    สามีสูญเสียความสุขไปหลังจากแต่งงานจริงหรือไม่ ขอให้หาคำตอบเอาเอง แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เรามักจะเห็นคุณค่าของสิ่งใดก็ตาม ต่อเมื่อสิ่งนั้นจากเราไปแล้ว แต่ตอนที่สิ่งนั้นยังอยู่กับเรา เรากลับไม่ค่อยเห็นคุณค่าเท่าไหร่ เพราะเห็นว่าเป็น “ของตาย” จะทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อย่างไรก็ได้

    ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น อากาศที่เราหายใจ มีใครบ้างที่นึกถึงลมหายใจที่เข้าออกร่างกายเราตลอดเวลา เวลาให้นึกถึงของสามสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต กี่คนที่นึกถึงอากาศ ต่อเมื่ออากาศเป็นพิษ หรือเกิดพลัดมาอยู่ในที่อุดอู้ หรือถูกฝังอยู่ในตึกที่ถล่มลงมา มีอากาศเหลือน้อยลงทุกที เราถึงจะเห็นคุณค่าของสิ่งบางเบาเหล่านี้

    สุขภาพของเราก็เช่นกัน เวลามีสุขภาพดี เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของสุขภาพเท่าไหร่ มีไม่กี่คนที่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุขภาพเป็นปกติ หลายคนบ่นว่าตัวเองโชคร้ายอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ยังกินได้ ถ่ายคล่อง ร่างกายทำงานได้ตามปกติ แต่พอปวดฟัน ปวดหัว หรือเป็นโรคกระเพาะเข้า ยังไม่ต้องถึงกับเป็นมะเร็งดอก เราถึงจะตระหนักว่าตอนที่เราปลอดโรคนั้น เป็นสุขเป็นโชคอย่างยิ่งแล้ว

    มีอะไรต่ออะไรมากมายที่เรามองข้ามไปในชีวิต ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นมีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตของเรามาก อาทิ อาหารที่ธรรมดาสามัญ ความไม่เป็นหนี้ เมื่อใดที่ข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองเกิดสงคราม หรือเกิดเป็นหนี้ท่วมหัวขึ้นมา เราถึงจะเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้

    คนรักที่ยังอยู่กับเรา เช่นพ่อแม่ ก็อยู่ในข่ายนี้ ตอนที่ท่านยังอยู่กับเรา เรามักไม่ค่อยสนใจท่านเท่าไหร่ นาน ๆ ถึงไปเยี่ยม บางครั้งเราเลือกไปเที่ยวกับเพื่อนมากกว่าจะไปเยี่ยมท่าน ต่อเมื่อท่านจากไปไม่มีวันกลับ เราถึงมานึกเสียดายและเสียใจที่ไม่ได้เฉลียวใจว่า ตอนที่ท่านยังอยู่กับเรานั้น เป็นช่วงที่มีคุณค่าอย่างยิ่งของชีวิต ถึงตอนนั้นจึงตระหนักว่าคนที่ยังมีพ่อแม่อยู่ให้พบปะกราบไหว้นั้น เป็นคนที่มีโชคอย่างยิ่ง

    อย่าคอยชะเง้อหาความสุขจากสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรืออยู่ไกลตัว ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์คันงาม บ้านหลังใหม่ หรือตำแหน่งผู้จัดการ ขณะเดียวกันก็อย่าปล่อยให้ความสุขของเราถูกฝังกลบหรือจมดิ่งไปกับสิ่งที่สูญไปแล้ว มาชื่นชมดื่มด่ำกับสิ่งที่มีอยู่กับเราตอนนี้ ขณะนี้ ไม่ดีกว่าหรือ อย่ามองข้ามสิ่งนั้นไป เพราะอาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตเราก็ได้ ใครจะไปรู้ ที่แน่ ๆ ก็คือ นั่นคือสิ่งจริงแท้ มิใช่ความฝันจากอนาคต หรือเศษซากจากอดีต

    เมื่อนักพรตผู้เฒ่ากลับมาถึงกระท่อมยามค่ำ ก็พบว่า ข้าวของถูกขโมยไปหมด ไม่เว้นแม้แต่หมอน เสื่อ หม้อ ชาม และอาหาร
    คืนนั้น เขาเอาน้ำลูบท้องต่างข้าว ออกมานั่งที่ระเบียงบ้าน จ้องมองดวงจันทร์ แล้วรำพึงคนเดียวว่า
    “ยังดีนะ ที่เขาไม่ได้เอาพระจันทร์ดวงงามไปด้วย”
    :- https://visalo.org/article/sarakan254606.htm
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    LineLikeLike.jpg
    ขอคุยด้วยหน่อย
    By : สามสลึง
    สมศักดิ์นั่งรออยู่หน้าห้องนานเป็นชั่วโมงกว่าจะได้พบหมอ แต่พอเข้าไปในห้องตรวจ เล่าอาการได้เพียงเล็กน้อย โทรศัพท์ของหมอก็ดัง หมอออกไปรับเสร็จกลับเข้ามา สมศักดิ์ก็ต้องเล่าใหม่ แล้วโทรศัพท์ของหมอก็ดังอีก พอหมอกลับมา สมศักดิ์ก็ต้องเล่าอาการใหม่อีก

    [​IMG]

    เป็นอย่างนี้ถึงห้าครั้ง ในที่สุดสมศักดิ์ก็เดินออกจากห้องตรวจ

    “คุณจะไปไหน คุณยังเล่าอาการไม่เสร็จเลย” หมอถามด้วยความประหลาดใจ

    “ผมจะออกไปโทรศัพท์มาเล่าอาการให้หมอฟังครับ” สมศักดิ์ตอบ

    มักพูดกันว่าเทคโนโลยีช่วยทำให้มนุษย์ใกล้ชิดกันมากขึ้น ติดต่อกันได้สะดวกฉับไวขึ้น นั่นเป็นความจริงแค่ส่วนเดียว เพราะในอีกด้านหนึ่งมันกลับทำให้เรามีเวลาให้แก่คนรอบตัวเราได้น้อยลง

    ไม่มีใครเถียงว่าโทรทัศน์ โทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตเป็นตัวกลางเชื่อมคนที่อยู่ไกลให้เขยิบเข้ามาใกล้กับเราได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน บ่อยครั้งมันกลับเป็นตัวกลางขวางกั้นระหว่างเรากับคนใกล้ตัว จนทำให้ดูเหมือนอยู่ห่างไกลกันมากขึ้น ใช่หรือไม่ว่าขณะที่เราพูดคุยติดต่อกับผู้คนข้ามประเทศหรือข้ามทวีปบ่อยขึ้น เรากลับมีเวลาสนทนากับคนในบ้านน้อยลง

    ขณะที่พ่อง่วนกับการตอบอีเมล์ แม่จ่อมจมอยู่หน้าจอโทรทัศน์ ลูกชายก็กำลัง “แช็ต” กับเพื่อนต่างชาติทางอินเตอร์เน็ต ส่วนลูกสาวนั้นเพิ่งโทรศัพท์คุยกับเพื่อนได้แค่สองชั่วโมง ทุกคนในครอบครัวมีเวลาให้แก่คนอื่น (ผ่านเทคโนโลยี) แต่กลับไม่มีเวลาให้แก่กันและกัน

    ทุกวันนี้ผู้คนพากันให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากกว่าคนที่อยู่ใกล้ตัว ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรกันอยู่ หากเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นต้องพักการคุยไว้ก่อนเพื่อไปรับโทรศัพท์ ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่สมศักดิ์ถูกหมอ “ทิ้ง” กลางคัน ถ้าคุณเป็นสมศักดิ์ ก็คงไม่มีทางเลือกอะไรดีไปกว่าโทรศัพท์มาหาหมอแทนที่จะมาพบด้วยตัวเอง

    เคยมีการ์ตูนหนึ่งช่องจบ เป็นภาพสามีกับภรรยากำลังเอกเขนกอยู่บนเตียง เดาออกหรือไม่ว่าทั้งสองกำลังทำอะไรอยู่? คำตอบคือ กำลังโทรศัพท์ทั้งคู่ โทรศัพท์ถึงใคร ? ถูกต้องแล้วคร้าบ! ทั้งคู่กำลังโทรศัพท์คุยกันเอง

    สามีภรรยาคู่นี้ติดโทรศัพท์งอมแงมจนกระทั่งว่าถ้าจะพูดคุยกัน ก็ต้องคุยกันผ่านโทรศัพท์ ทั้ง ๆ ที่นอนอยู่ติด ๆ กัน โชคดีที่เรื่องนี้เป็นแค่จินตนาการ แต่ก็สะท้อนพฤติกรรมของคนในยุคปัจจุบันได้ตรงกับความเป็นจริงมิใช่น้อย เพราะทุกวันนี้เราก็มาถึงขั้นเลี้ยงลูกทางโทรศัพท์กันแล้ว

    ความเชื่อว่าโทรศัพท์ทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น มีส่วนไม่น้อยในการทำให้เราพึ่งพาโทรศัพท์อย่างมากจนละเลยการติดต่อสัมพันธ์กันแบบตัวต่อตัว ใคร ๆ ก็คิดว่าถึงแม้จะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกัน ก็ยังสามารถโทรศัพท์คุยกันได้ หรือถึงแม้จะไม่มีเวลาดูแลลูก ก็สามารถเลี้ยงลูกทางโทรศัพท์ได้ ความคิดเช่นนี้ทำให้ไม่พยายามที่จะหาเวลาอยู่ด้วยกัน ผลก็คือความสัมพันธ์ก็ยิ่งห่างเหิน จนโทรศัพท์อาจไม่มีความหมายไปเลยในที่สุด ถึงตอนนั้นแม้แต่การหันมาคุยกันตัวต่อตัว ก็อาจไม่ช่วยเลยก็ได้

    ถ้าอยากให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น ก็ไม่ควรให้เทคโนโลยีมาเป็นใหญ่ จนไม่มีเวลาให้แก่การติดต่อสนทนากันแบบตัวต่อตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีเวลาให้แก่การสนทนาตัวต่อตัวแล้ว ความสัมพันธ์จะแน่นแฟ้นสนิทสนมโดยอัตโนมัติ สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือ การเปิดใจรับฟังกันและกัน มิใช่เอาแต่พูดให้คนอื่นฟังอย่างเรื่องข้างล่าง

    “เลิกหาวเสียทีได้ไหม ฉันชักรำคาญแล้วนะ” ภรรยาหงุดหงิดกับสามี

    “ผมไม่ได้หาว” สามีชี้แจง

    “ไม่ได้หาว แล้วอ้าปากทำไม ?”

    “ที่อ้าปากก็เพราะรอว่าเมื่อไหร่จะได้พูดสักที ”

    :- https://visalo.org/article/sarakan254804.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...