บทความให้กำลังใจ(ยิ้มได้แม้พ่ายแพ้)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,064
    (ต่อ)
    เฮนรี ฟอร์ด เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความฉลาดปราดเปรื่อง เขาเป็นนักประดิษฐ์ที่พลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งโลก จนรถยนต์กลายเป็นสัญลักษ์ของโลกยุคใหม่ อีกทั้งยังก่อให้เกิดการปฏิวัติในวิถีการผลิตแบบอุตสาหกรรมที่ทำให้อุปกรณ์ความสะดวกทั้งหลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนยุคนี้ ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความสำเร็จของเขาในการผลิตรถยนต์ด้วยต้นทุนที่ต่ำและในเวลาที่รวดเร็ว ทำให้รถยนต์ของเขามีราคาถูกมาก (๑ ใน ๓ ของราคารถยี่ห้ออื่น) รถของเขาซึ่งมีชื่อว่า Model T จึงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ในชั่วเวลาเพียง ๑๐ ปี ครึ่งหนึ่งของรถที่ขับในสหรัฐอเมริกาคือรถ Model T ส่วนเขาก็กลายเป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก

    Model T เป็นรถที่มีอุปกรณ์ไม่ซับซ้อน ขับง่ายและดูแลรักษาง่าย เอกลักษณ์ของมันคือสีดำล้วน ฟอร์ดเชื่อมั่นในรถรุ่นนี้มาก เพราะมันไม่เพียงเป็นแม่แบบให้รถยี่ห้ออื่น ๆ ลอกเลียนแบบเท่านั้น หากยังเป็นตัวสร้างความรุ่งเรืองมั่งคั่งให้บริษัทฟอร์ดที่เขาก่อตั้งขึ้น เขาจึงไม่ยอมผลิตรถรุ่นอื่นเลย ยิ่งกว่านั้นยังไม่ยอมให้มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงรถรุ่นนี้เลยแม้แต่น้อย กระทั่งสีรถเขาก็ยืนกรานให้ใช้สีดำสีเดียวเท่านั้น (“จะผลิตรถสีใดก็ได้ตราบใดที่มันยังมีสีดำ”คือคำตอบเมื่อวิศวกรและผู้ค้ารถของเขาขอร้องให้เปลี่ยนสีรถบ้าง)

    เป็นเวลานานนับสิบปีที่ฟอร์ดไม่ยอมผลิตรถรุ่นอื่นหรือปรับปรุงรถ Model T ทั้ง ๆ ที่กำไรและส่วนแบ่งตลาดของบริษัทฟอร์ดหดหายลงไปเรื่อย ๆ เนื่องจากคู่แข่งผลิตรถที่มีคุณภาพดีกว่า ขณะเดียวกันรสนิยมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป หันมาใช้รถที่มีเครื่องเครามากขึ้นและสวยขึ้น แต่ฟอร์ดก็ยังใช้วิธีการเดิมในการสู้กับคู่แข่งนั่นคือ ลดราคารถ Model T ให้ต่ำลงเรื่อย ๆ วิธีการนี้แม้จะได้ผลเมื่อปี ๑๙๐๘ แต่เริ่มใช้ไม่ได้ผล ๑๐ ปีหลังจากนั้นเพราะผู้คนมีเศรษฐกิจดีขึ้น จึงสามารถซื้อรถราคาแพงได้

    ผ่านไปถึง ๑๙ ปีฟอร์ดจึงยอมยุติการผลิตรถ Model T และหันไปผลิตรถรุ่นใหม่ แต่สถานะการเงินของบริษัทก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนักเพราะฟอร์ดยังคงยืนกรานที่จะใช้วิธีการเดิม ๆ ในการบริหารบริษัท เช่น การปฏิบัติต่อคนงานราวเครื่องจักร (“ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่นั้นใหญ่เกินกว่าที่จะมีความเป็นมนุษย์ได้”) ทำให้คนงานเก่ง ๆ หนีไปอยู่บริษัทอื่น นอกจากนั้น เขายังเป็นคนที่รังเกียจงานนั่งโต๊ะอย่างยิ่ง จึงเป็นปฏิปักษ์กับพนักงานบัญชีและไม่ยอมให้บริษัทมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีเลย ทั้ง ๆ ที่บริษัทมีทรัพย์สินหลายร้อยล้านดอลลาร์ เขาเคยบริหารบริษัทเมื่อแรกตั้งอย่างไร ก็ยังบริหารอย่างนั้นแม้สถานการณ์จะแปรเปลี่ยนไปมากแล้ว

    ฟอร์ดเชื่อมั่นในตัวเองมาก แม้เมื่อโอนตำแหน่งประธานบริษัทให้แก่ลูกชาย เขาก็ยังแทรกแซงการบริหารงานของลูกไม่เลิกรา (เช่นเดียวกับจักรพรรดิเฉียนหลง ที่แม้สละราชบัลลังก์แล้วก็ยังบงการอยู่เบื้องหลังจักรพรรดิองค์ใหม่ซึ่งเป็นพระโอรส) โดยขัดขวางการริเริ่มใหม่ ๆ ทั้งในด้านการบริหารและการผลิต ผลก็คือบริษัทฟอร์ดตกต่ำเป็นเวลายาวนานถึง ๒๐ ปี ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ๑ ปี บริษัทขาดทุนเดือนละ ๑๐ ล้านเหรียญ จนแทบจะอยู่ไม่ได้ การจากไปของเขามีส่วนช่วยให้บริษัทฟอร์ดพ้นจากวิกฤต เฮนรี ฟอร์ดจึงเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายบริษัทของเขา

    ความสำเร็จกับความล้มเหลวนั้นแยกจากกันไม่ออก จะเรียกว่าความสำเร็จคือจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวก็ได้ ทั้งนี้ก็เพราะในความสำเร็จนั้นมีเชื้อแห่งความล้มเหลวซุกซ่อนอยู่ซึ่งพร้อมจะเติบใหญ่ในวันหน้า หาไม่ก็เปิดช่องให้ปัจจัยแห่งความล้มเหลวแฝงตัวเข้ามา (เช่น ความประมาท ความหลงตัวลืมตน การยึดติดกับความคิดเดิมจนไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง) ซึ่งหากไม่รู้เท่าทัน มันก็จะลุกลามขยายตัวจนก่อปัญหาและกลายเป็นความล้มเหลวในที่สุด

    แต่กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ความสำเร็จไม่ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่เที่ยง (อนิจจัง) อีกทั้งไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะเดิมไปได้นาน ๆ ไม่นานก็ต้องเสื่อมสภาพไป (ทุกขัง) ความฉลาดปราดเปรื่องหรือความเก่งกล้าสามารถก็เช่นกัน ไม่สามารถหนีกฎอนิจจังไปได้ ยิ่งยึดติดกับวิธีการเดิม ๆโดยไม่เข้าใจถึงความแปรเปลี่ยนของเหตุปัจจัยรอบตัว วิธีการที่เคยสร้างความสำเร็จนั้นแหละกลับจะกลายเป็นปัญหาและพาไปสู่ความล้มเหลวไม่ช้าก็เร็ว

    ผู้ที่รู้เท่าทันธรรมดา จึงไม่หลงเพลินกับความสำเร็จ ขณะเดียวกันก็ไม่ยึดติดถือมั่นกับความคิดและวิธีการเดิม ๆ หากเปิดใจเรียนรู้อยู่เสมอ และตระหนักดีถึงข้อจำกัดของตนเอง เมื่อถึงเวลาก็รู้ว่าควรจะวางมือและเปิดทางให้ผู้อื่นได้แล้ว ไม่สำคัญผิดว่าตนเองเท่านั้นที่เก่งหรือคิดผูกขาดความสำเร็จไว้กับตัวเองคนเดียว หากหลงคิดเช่นนั้นก็จะต้องแพ้ภัยตนเอง และถูกความล้มเหลวทำร้ายจิตใจในที่สุด

    :- https://visalo.org/article/sarakadee255210.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,064
    ยิ้มได้แม้พ่ายแพ้
    รินใจ

    “ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” หรือวัฒนา ภู่โอบอ้อม เป็นนักสนุกเกอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยวัยเพียง ๑๒ ปีก็สามารถเอาชนะสตีฟ เดวิด ซึ่งเป็นแชมป์โลกในเวลานั้นได้ ต๋องได้เป็นแชมป์สนุกเกอร์สมัครเล่นโลกตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี และเมื่อเล่นเป็นอาชีพ ก็ไต่อันดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนได้รับการขนานนามว่า “ไทย ทอร์นาโด” ด้วยลีลาการเล่นที่รวดเร็วและแม่นยำ ในเวลาไม่กี่ปีเขา ได้แชมป์การแข่งขันระดับโลก ๓ รายการ เขาทะยานขึ้นสู่อันดับ ๓ ของโลกก่อนถึงวัยเบญจเพสนับเป็นนักสนุกเกอร์คนที่ ๘ ของโลกที่สามารถทำเงินรางวัลได้มากกว่า ๑ ล้านปอนด์

    แต่หลังจากนั้นแค่ ๓ ปีฝีมือของเขาก็ถดถอยลงอย่างผิดรูป ทำให้ตกอันดับอย่างรวดเร็วจนหลุดแม้กระทั่งอันดับที่ ๖๔ ของโลก ชื่อเสียงของเขาค่อย ๆ เลือนหายไปจากวงการสนุกเกอร์ของเมืองไทย จากคนที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นเสมือนเทพเจ้าแห่งวงการสนุกเกอร์ไทยที่แม้แต่หลับตาก็ยังแทงลง ต๋องกลับถูกมองว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ไม่มีใครอยากเชียร์อีกแล้ว


    ชีวิตของเขาดูไม่ต่างจากนักกีฬาฝีมือดีของไทยหลายคนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งและโด่งดังถึงขีดสุด แต่แล้วก็พุ่งดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วจนหายไปจากความทรงจำของผู้คน จะปรากฏเป็นข่าวอีกทีก็เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น เช่น ประสบอุบัติเหตุ ล้มป่วย หย่ากับภรรยา หรือถูกตำรวจจับกุม ฯลฯ

    การปีนไต่ให้ถึงความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องยาก ใคร ๆ ก็รู้ แต่ที่ยากกว่านั้นก็คือการรักษาความสำเร็จเอาไว้ให้ได้ ข้อนี้ก็มีคนเตือนเอาไว้แล้ว แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรยากเท่ากับการลงจากความสำเร็จได้โดยไม่เจ็บปวด นี้ใช่ไหมที่เป็นบทเรียนสำคัญจากชีวิตจริงของนักกีฬาระดับซูเปอร์สตาร์และคนดังอีกมากมายที่ผ่านมาให้เราเห็นคนแล้วคนเล่า

    ต๋องเป็นคนหนึ่งที่พบว่าเมื่อพลัดตกจากความสำเร็จแล้ว สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ก็ตามมาอีกมากมาย เงินยืมถูกเพื่อนโกงนับสิบล้าน ธุรกิจที่ลงทุนเอาไว้ล้มระเนนระนาด เสียเพื่อนไปมากมาย ฯลฯ แต่เขาต่างจากอีกหลายคนตรงที่ สามารถทำใจยอมรับเหตุการณ์เหล่านี้ได้ การบวชและปฏิบัติธรรมหลังจากถอนตัวจากวงการสนุกเกอร์ ทำให้เขาตระหนักว่า “ทุกอย่างมันไม่แน่นอน....คุณอาจจะรวยเป็นพันล้านวันนี้ แต่พรุ่งนี้คุณอาจจะตายก็ได้” เขามาได้คิดอีกว่าเงินนับร้อยล้านที่เคยมีนั้น เขาไม่เคยเห็นเป็นเงินสดเลย เพราะเป็นแค่ตัวเลขในสมุดบัญชี มันก็แค่ให้ความสุขทางใจในยามที่ได้เห็นตัวเลขเท่านั้น ดูเหมือนเขาจะบอกกับเราว่าเงินนับสิบล้านที่ถูกโกงไปนั้นเป็นแค่ตัวเลขในบัญชีเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตจริง ๆ ของเขาเลย

    เป็นเพราะตระหนักชัดถึงความไม่แน่นอนของโลก เขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้ในฐานะนักสนุกเกอร์ได้ ไม่หวนหาอาลัยความสำเร็จอันหอมหวานในวันวานได้ เมื่อได้ไตร่ตรองชีวิตหลังบวชเรียน เขาพบว่ากีฬาสอนหลายอย่างให้แก่เขา นั่นคือ รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้จักอภัย ความพ่ายแพ้จึงมิใช่สิ่งเลวร้ายสำหรับเขาอีกต่อไป ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นแค่ความพ่ายแพ้ในเกมกีฬาหรือความล้มเหลวในหน้าที่การงาน ไม่ใช่ความล้มเหลวของชีวิต แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือเขามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่มีแง่ดีอยู่ไม่น้อย “(สนุกเกอร์)สร้างเรามาได้ มันก็ทำให้เราลงได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปติดยึดอะไรมากนัก มองให้มันธรรมดา นี่แหละชีวิตมันเป็นอย่างนี้เอง ทุกอย่างมันไม่เที่ยง เมื่อก่อนเคยแทงกี่ลูกก็ลง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ลง อ้าว ก็อายุมึงมากแล้วนี่ ก็เป็นธรรมดา จะไปออกคิวเหมือนเดิมได้ไง ถ้าทำได้ แล้วเด็กรุ่นใหม่มันจะไปรุ่งได้ไง ถ้ามึงยังอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้”

    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา แย่แค่ไหน ก็ยังมีข้อดีอยู่เสมอ สำหรับต๋อง ความพ่ายแพ้ของเขาหมายถึงชัยชนะของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี “ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าตลอดไปหรอก มันก็ต้องมีคลื่นลูกใหม่ ไล่คลื่นลูกเก่า ไม่อย่างนั้นโลกเราจะเจริญเหรอ ถูกไหมครับ” คนที่คิดอย่างนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง หากยังคิดถึงแต่คนอื่นหรือส่วนรวมด้วย เป็นเพราะคิดอย่างนี้ได้ จึงสามารถเล่นกีฬาได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าตัวเองจะชนะหรือแพ้ก็ตาม ตรงกันข้ามคนที่คิดถึงแต่ตัวเอง ย่อมเป็นทุกข์ทุกขณะที่เล่นกีฬา ต่อเมื่อเล่นจบแล้วได้ชัยชนะถึงจะมีความสุข แต่ก็สุขชั่วคราว เพราะเมื่อถึงคราวที่จะต้องลงแข่งใหม่ จิตใจก็หวั่นไหวเพราะกลัวความพ่ายแพ้

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    50,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,064
    (ต่อ)

    จะว่าไปแล้วมุมมองของต๋องยังสามารถนำไปใช้กับการทำงานเพื่อให้มีความสุขได้ด้วย ทุกวันนี้ผู้คนเคร่งเครียดกับการทำงานเพราะกลัวล้มเหลว ยิ่งคนที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ ยิ่งทำใจยอมรับความล้มเหลวไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ความล้มเหลวเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่ว่าประสบความสำเร็จมามากแค่ไหน ไม่ช้าก็เร็วความล้มเหลวก็ต้องมาเยือนจนได้ การเพียรพยายามเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการรู้จักทำใจเพื่อรับมือกับความล้มเหลวที่จะมาถึง

    การทำใจมิได้หมายความแค่ยอมรับความจริงเมื่อความล้มเหลวเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังรู้จักหาประโยชน์จากความล้มเหลวหรือมองเห็นแง่ดีของความล้มเหลว สำหรับต๋อง ความพ่ายแพ้ทำให้เขาตระหนักชัดถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ซึ่งรวมถึงโลกธรรม อาทิ ลาภ ยศ สรรเสริญ หากยังเป็นแชมป์ไม่รู้จักความพ่ายแพ้ เขาก็อาจหลงในโลกธรรมเหล่านี้อีกต่อไป ความพ่ายแพ้ยังสอนให้เขารู้จักชื่นชมยินดีในความสำเร็จของคู่ต่อสู้แม้จะอ่อนวัยกว่า เพราะนั่นหมายถึงความเจริญของโลก แต่ถึงจะไม่ใช่คู่แข่งที่อ่อนวัย เขาก็ยังยิ้มให้ได้เช่นกัน “ทุกวันนี้พอแทงลูกไม่ลงเหรอ ผมยิ้มให้กับลูกที่ผมแทงไม่ลงด้วย แล้วก็ดีใจชื่นชมคู่ต่อสู้เป็นด้วย เล่นแบบนี้เราแฮปปี้กว่า”

    เมื่องานล้มเหลว ควรหรือไม่ที่จะปล่อยให้ใจล้มเหลวด้วย งานล้มแต่อย่าให้ใจล้ม ระหว่างคนที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่องานล้มเหลว กับคนที่ยิ้มได้เมื่อพบกับความล้มเหลว คนไหนที่เป็นสุขและฉลาดกว่ากัน สาเหตุลึก ๆ ที่ทำให้เรายอมรับความล้มเหลวไม่ได้ก็เพราะมันกระทบอัตตาข้างใน อัตตาหรือตัวตนนั้นต้องการประกาศตนว่ากูเก่งกว่า ดีกว่า รวยกว่า สวยกว่า ฯลฯ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำเต็มที่เพียงใด เมื่อประสบกับความล้มเหลวหรือไม่สำเร็จอย่างที่หวัง ตัวที่ทุกข์จริง ๆ คืออัตตา แต่เพราะเราไปหลงเชื่ออัตตา ก็เลยไปเอาความทุกข์ของอัตตามาเป็นของเรา ผลก็คือกินไม่ได้ นอนไม่หลับ และทะเลาะกับผู้คน รวมทั้งเห็นเพื่อนร่วมงานที่เก่งกว่าเป็นคู่แข่งที่จะเก่งเกินหน้าเกินตาเราไม่ได้

    การยินดีและยิ้มให้คู่แข่งที่เก่งกว่าเราหรือชนะเราได้นั้น เป็นวิธีกำราบอัตตาไม่ให้ผยอง และปิดกั้นมิให้ความอิจฉาริษยาเข้ามาครองใจ จึงทำให้เราห่างไกลจากความทุกข์ และมีเวลาให้กับสติปัญญาได้ใคร่ครวญเพื่อปรับปรุงแก้ไขตนเอง รวมทั้งพร้อมรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ อาทิ คำวิพากษ์วิจารณ์

    ต๋องเป็นผู้หนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับคำสรรเสริญล้นหลาม แต่ระยะหลังถูกวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง โดยเฉพาะจากผู้ที่ผิดหวังในตัวเขา แต่เขากลับมองเหตุการณ์เหล่านั้นในแง่ดี “บางคนโดนด่า โดนสบประมาท แล้วไปโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ผมกลับมองว่าเราต้องเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นอาจารย์เลย เราต้องผ่านเขาให้ได้ เพราะถ้าเราผ่านไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์ประสบความสำเร็จหรอก”

    ฟังดูทั้งหมดเหมือนเป็นข้อคิดสำหรับผู้แพ้เพื่ออยู่กับความพ่ายแพ้ได้อย่างไม่ทุกข์ แต่ที่จริงแล้วยังเหมาะกับผู้ชนะในวันนี้ที่จะต้องก้าวลงจากความสำเร็จในวันพรุ่งด้วย อย่าลืมว่าการได้ชัยชนะในวันนี้ไม่ยากลำบากเท่ากับการลงจากแท่นผู้ชนะในวันพรุ่ง ทุกวันนี้ตำราว่าด้วย how to สู่ความสำเร็จมีมากมายเต็มแผงหนังสือ แต่แทบไม่มีตำราว่าด้วย how to สำหรับการก้าวลงจากความสำเร็จเลย ผลก็คือโลกนี้เต็มไปด้วยคนที่พลัดตกลงมาจากจุดสูงสุดของชีวิตอย่างเจ็บปวด

    อย่างไรก็ตามต๋อง ศิษย์ฉ่อยวันนี้ไม่ได้เป็นคนที่พร้อมอยู่กับความพ่ายแพ้และทิ้งชัยชนะไว้เบื้องหลัง แต่เขาได้หวนคืนสู่วงการสนุกเกอร์อีกครั้ง และกลับมาเป็นแชมป์ทั้งระดับชาติและระดับทวีป พร้อมกับเตรียมเข้าสู่วงการระดับโลก แต่ครั้งนี้เขามาด้วยลีลาการเล่นที่สุขุม ผ่อนคลายและไม่ขาดรอยยิ้ม จากคนที่ใจร้อน บัดนี้เขาใจเย็นและปล่อยวางมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่เขาบอกตัวเองยามที่เข้าแข่งขันก็คือ “นี่คือแมตช์ที่สำคัญที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเล่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีผลกับเรา”

    เมื่อถึงจุดสูงสุดก็ต้องพร้อมคืนสู่สามัญ เมื่อประสบความสำเร็จถึงขีดสุดก็ต้องพร้อมวางมือเมื่อถึงเวลา หรือไม่ก็ต้องพร้อมยอมรับความล้มเหลวเมื่อมันมาเยือน แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือขณะที่ยังโลดแล่นอยู่ในวงการ ก็ต้องพร้อมลืมความสำเร็จที่ผ่านมาและทำตนเสมือนคนธรรมดา ที่อยู่กับปัจจุบันอย่างดีที่สุด จนเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255209.htm

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: วันนี้เมื่อ 00:17

แชร์หน้านี้

Loading...