ท่องไปในโลกแห่งวิญญาณ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 14 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    ธรรมชาติ คืนวันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พุทธศักราช 2545 เมื่อข้าพเจ้ามาปรากฏตัวอยู่ที่ใดไม่ทราบ หันไปด้านขวามีอุบาสิกาประไพ ผู้ล่วงลับไปแล้วยืนอยู่ข้างๆ ท่านชวนข้าพเจ้าให้เดินตามไป ท่านบอกว่าอยากพาไปชมวิมานของตนเอง หนทางที่เดินไปนั้นคล้ายขึ้นสู่เนินเขา เป็นการเดินที่ยากมาก แถมรู้สึกว่าเหมือนเดินขึ้นไปเรื่อยๆ
    ขณะที่เดินนั้นจึงถามอุบาสิกาประไพว่า "ทำไมท่านจึงแต่งสีเขียว ไม่แต่งสีขาวเหมือนตอนท่านมีชีวิตอยู่ " ถามท่านอยู่ในใจนั่นเอง ไม่ได้เอ่ยปากหรือเผยอปากแต่อย่างใด แต่กลับมีเสียงปรากฏขึ้นแปลกมากเหลือเกิน ท่านยิ้ม พลางตอบในใจไม่เปล่งเสียงเหมือนข้าพเจ้านั่นแหละ " สถานที่นี้แต่งสีเขียวอย่างนี้แหละ ไม่เหมือนเมืองมนุษย์ที่แต่งสีขาว" แล้วท่านก็พาวก อ้อมมาเชิงเขาแห่งหนึ่ง พอมองเห็นทิวเขาเบื้องล่างสุดลูกหูลูกตา เป็นทิวไม้ดูสลับซับซ้อนทอดยาวสวยงาม มีสีประกายทองทอดยาวเหนือทิวเขานั้น สลับกับรุ้งเจ็ดสีเหมือนคราฝนตกใหม่ๆ ดูสวยจับตาแทบไม่อยากวางสายตาเลย
    อุบาสิกาเห็นข้าพเจ้าจะช้าไปจึงพาเดินต่อ พลางอธิบายไปว่า วิมานข้างหน้านี้คือ ของข้าพเจ้าคล้ายบ้านทรงไทย ด้านข้างมีลำธารไหลรินไปเรื่อยๆ ประดับประดาด้วยพรรณดอกไม้นานาประการพอเดินถัดไป เป็นของอุบาสิกาประไพ ท่านชี้ไปข้างบนเป็นของอุบาสิกาแก่ท่านหนึ่ง ส่วนที่เห็นอยู่บนยอดเขาเป็นคล้ายศาลาแต่เป็นแก้วสุกสว่างใสเปล่งประกายอยู่ ท่ามกลางศาลาแก้วนั้น มีพระภิกษุชราอายุมากกว่าร้อยปี แต่ผิวพรรณเปล่งปลั่งสว่างไสว ท่านกำลังนั่งเจริญสมาธิอยู่ มาเถอะเข้ามาในวิมานของแม่ประไพก่อน" เมื่อท่านพูดจบ พลางจูงมือดิฉันเข้าไปข้างใน ภายในที่พักของท่านนั้นเรียบง่าย คล้ายพื้นไม้ขัดมัน ไม่มีสิ่งใดตั้งไว้ เหมือนดังบ้านในโลกมนุษย์ แต่ดูโปร่งโล่งสบาย
    เมื่ออุบาสิกาประไพเห็นข้าพเจ้า พักพอสบายท่านจึงกล่าวว่า "ที่ชวนมานั้น อยากให้ปฏิบัติให้สูงไปกว่าภพที่เห็นนี้ ในเมื่อมีโอกาส อยากให้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง โดยรอบตัวว่า มันเป็นสักว่า ธรรมชาติ มีอันเป็นธรรมดา อย่ายึดติดกับสิ่งทั้งหลายเลย เพื่อความสูงไปเรื่อยๆ ไม่อยู่เพียงเท่านี้ " ข้าพเจ้าจึงถามว่า นี้หมายความอะไร ข้าพเจ้าจะมีอายุไม่นานหรือ แล้วลูกของข้าพเจ้าล่ะ" ท่านไม่ตอบเรื่องอายุของข้าพเจ้า แต่ตอบว่า "เรื่องลูกนั้น ทุกอย่างก็จะเป็นไปเองตามธรรมดาของมนุษย์ ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ควรตั้งหน้าปฏิบัติ เพื่อความสูงขึ้นไปเถอะ ทางที่ดีในพรรษาควรถือศีลแปด เจริญสมาธิ ดีกว่า เมื่อถึงเวลาแม่จะมารับ"
    เมื่อกล่าวจบท่านก็บอกว่าจะต้องมาคอยรับท่านหนึ่งซึ่งใกล้จะถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าจึงรีบถามท่านว่า หมายถึงแม่ของข้าพเจ้าที่นอนอยู่ที่บ้านหรือเปล่า ท่านรีบตอบทันทีว่า" ไม่เกี่ยวกัน "ข้าพเจ้าจึงได้เวลาจากท่านมา มารู้สึกตัวตอน 6 โมงเช้าครึ่ง
    วิญญาณพระวัดดังตามทวงบน พ.ศ. 2541 หลังจากคุณกนกภรณ์ให้กำเนิดเด็กทารกเพศชาย พร้อมกับเริ่มมีบริวารทางโลกตามมาพร้อมกับเด็กชายนั้น เราได้ย้ายจากกรุงเทพมาอยู่ชานเมืองโดยได้ซื้อบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง ประกอบกับงานด้านก่อสร้างเริ่มมากขึ้น มีช่างที่ยินดีทำงานให้อย่างไม่คิดชีวิต มีอยู่วันหนึ่งคุณกนกภรณ์บอกว่า ขณะตั้งครรภ์เธอวิตกกังวลว่าเด็กในท้องจะพิการจึงได้จุดธูปอธิษฐานหันหน้าไปยังวัดแห่งหนึ่งชื่อดังในจังหวัดฉะเชิงเทรา "ถ้าลูกออกมาแล้ว มีอวัยวะครบ จะขอไปแก้บนด้วยไข่"
    เธอเล่าให้ฟังในภายหลังเมื่อย้ายมาอยู่ชานเมืองแล้ว เราก็ได้แต่ฟังมิได้ตำหนิสิ่งใด จนมาระยะหนึ่งเด็กมีอายุ 2 ขวบกว่ายังไม่ยอมพูด จึงอธิษฐานขอรู้สาเหตุว่าเพราะอะไร คืนวันหนึ่งขณะเจริญอานาปานสติจนกายดับไป ได้ไปปรากฏ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เห็นพระ 2 รูป นำจีวรมาคลุมกายบุตรชายไว้จนเหงื่อกาฬไหลไปหมด เมื่อจากกายหลับจึงได้นึกขึ้นได้ว่าคุณกนกภรณ์เธอบนกับพระไว้ จึงบอกให้เธอเตรียมของในวันรุ่งขึ้นจะพาเธอไป
    พอตกกลางคืนเจริญอานาปานสติ จนกายทิพย์เคลื่อนออกไป แต่ไปปรากฏว่าได้ไปลอยอยู่บนเมฆทิพย์ ลอยอยู่สักพักหนึ่งก็มาหยุดเหนือศาลาหอฉันแบบทรงไทยโบราณ ที่ข้างนอกศาลาหอฉันนั้นมีชานนั่งพัก บริเวณนั้นมีพระนุ่งห่มจีวรสีเหลืองนั่งอยู่เต็มไปหมด มีขรัวตานั่งอยู่ในท่ามกลางมองเห็นแต่ไกล เมื่อเราลอยมาใกล้บริเวณที่พระทั้งหลายนั่งอยู่ จิตได้โพลงรู้ขึ้นว่าที่นี่คือวัดแห่งนั้นที่จะมา ขณะปรารภว่าช่างไม่เหมือนจริงกับที่เป็นอยู่ปัจจุบันเลย ขณะปรารภอยู่นั้นมีพระภิกษุ 2 รูปเหาะลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เราจึงเหาะลอยไปยังที่อื่น ไม่ว่าเราจะลอยไปยังกลุ่มเมฆใดเขายังคงลอยตามอยู่เช่นนั้น ไม่ยอมลดละจนเราได้สติว่า ผู้นิ่งย่อมสยบผู้เคลื่อนไหว เราจึงได้หยุด เขาทั้งสองได้มาขนาบข้างเราพาลอยกลับมายังที่นั้น เรานึกพลางในใจว่า อยากจะรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อเราผู้เพ่งเพียร
    เมื่อลอยมาถึงเหนือหอฉันพระภิกษุทั้งหมดที่นั่งอยู่ในที่นั้น ล้วนนั่งนิ่งไม่ไหวติง จนลอยอยู่เป็นเวลานานเห็นไม่ทำอะไรสักทีจึงอธิษฐานจิตกลับ น่าสังเวชหนอ เมื่อมีชีวิตอยู่ชอบหากินโดยอาศัยพระศาสนาเมื่อตายยังต้องคอยอาศัยการเซ่นสรวงบูชาอยู่มิเว้นวาย เมื่อเราไปทำการให้ทานที่วัดนั้น ต่อมาจน 3 ขวบเธอก็พูดแต่ช้าหน่อยนั่นเอง
    ธรรมชาติ คืนวันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พุทธศักราช 2545 เมื่อข้าพเจ้ามาปรากฏตัวอยู่ที่ใดไม่ทราบ หันไปด้านขวามีอุบาสิกาประไพ ผู้ล่วงลับไปแล้วยืนอยู่ข้างๆ ท่านชวนข้าพเจ้าให้เดินตามไป ท่านบอกว่าอยากพาไปชมวิมานของตนเอง หนทางที่เดินไปนั้นคล้ายขึ้นสู่เนินเขา เป็นการเดินที่ยากมาก แถมรู้สึกว่าเหมือนเดินขึ้นไปเรื่อยๆ
    ขณะที่เดินนั้นจึงถามอุบาสิกาประไพว่า "ทำไมท่านจึงแต่งสีเขียว ไม่แต่งสีขาวเหมือนตอนท่านมีชีวิตอยู่ " ถามท่านอยู่ในใจนั่นเอง ไม่ได้เอ่ยปากหรือเผยอปากแต่อย่างใด แต่กลับมีเสียงปรากฏขึ้นแปลกมากเหลือเกิน ท่านยิ้ม พลางตอบในใจไม่เปล่งเสียงเหมือนข้าพเจ้านั่นแหละ " สถานที่นี้แต่งสีเขียวอย่างนี้แหละ ไม่เหมือนเมืองมนุษย์ที่แต่งสีขาว" แล้วท่านก็พาวก อ้อมมาเชิงเขาแห่งหนึ่ง พอมองเห็นทิวเขาเบื้องล่างสุดลูกหูลูกตา เป็นทิวไม้ดูสลับซับซ้อนทอดยาวสวยงาม มีสีประกายทองทอดยาวเหนือทิวเขานั้น สลับกับรุ้งเจ็ดสีเหมือนคราฝนตกใหม่ๆ ดูสวยจับตาแทบไม่อยากวางสายตาเลย
    อุบาสิกาเห็นข้าพเจ้าจะช้าไปจึงพาเดินต่อ พลางอธิบายไปว่า วิมานข้างหน้านี้คือ ของข้าพเจ้าคล้ายบ้านทรงไทย ด้านข้างมีลำธารไหลรินไปเรื่อยๆ ประดับประดาด้วยพรรณดอกไม้นานาประการพอเดินถัดไป เป็นของอุบาสิกาประไพ ท่านชี้ไปข้างบนเป็นของอุบาสิกาแก่ท่านหนึ่ง ส่วนที่เห็นอยู่บนยอดเขาเป็นคล้ายศาลาแต่เป็นแก้วสุกสว่างใสเปล่งประกายอยู่ ท่ามกลางศาลาแก้วนั้น มีพระภิกษุชราอายุมากกว่าร้อยปี แต่ผิวพรรณเปล่งปลั่งสว่างไสว ท่านกำลังนั่งเจริญสมาธิอยู่ มาเถอะเข้ามาในวิมานของแม่ประไพก่อน" เมื่อท่านพูดจบ พลางจูงมือดิฉันเข้าไปข้างใน ภายในที่พักของท่านนั้นเรียบง่าย คล้ายพื้นไม้ขัดมัน ไม่มีสิ่งใดตั้งไว้ เหมือนดังบ้านในโลกมนุษย์ แต่ดูโปร่งโล่งสบาย
    เมื่ออุบาสิกาประไพเห็นข้าพเจ้า พักพอสบายท่านจึงกล่าวว่า "ที่ชวนมานั้น อยากให้ปฏิบัติให้สูงไปกว่าภพที่เห็นนี้ ในเมื่อมีโอกาส อยากให้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง โดยรอบตัวว่า มันเป็นสักว่า ธรรมชาติ มีอันเป็นธรรมดา อย่ายึดติดกับสิ่งทั้งหลายเลย เพื่อความสูงไปเรื่อยๆ ไม่อยู่เพียงเท่านี้ " ข้าพเจ้าจึงถามว่า นี้หมายความอะไร ข้าพเจ้าจะมีอายุไม่นานหรือ แล้วลูกของข้าพเจ้าล่ะ" ท่านไม่ตอบเรื่องอายุของข้าพเจ้า แต่ตอบว่า "เรื่องลูกนั้น ทุกอย่างก็จะเป็นไปเองตามธรรมดาของมนุษย์ ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ควรตั้งหน้าปฏิบัติ เพื่อความสูงขึ้นไปเถอะ ทางที่ดีในพรรษาควรถือศีลแปด เจริญสมาธิ ดีกว่า เมื่อถึงเวลาแม่จะมารับ"
    เมื่อกล่าวจบท่านก็บอกว่าจะต้องมาคอยรับท่านหนึ่งซึ่งใกล้จะถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าจึงรีบถามท่านว่า หมายถึงแม่ของข้าพเจ้าที่นอนอยู่ที่บ้านหรือเปล่า ท่านรีบตอบทันทีว่า" ไม่เกี่ยวกัน "ข้าพเจ้าจึงได้เวลาจากท่านมา มารู้สึกตัวตอน 6 โมงเช้าครึ่ง

    วิญญาณพระวัดดังตามทวงบน พ.ศ. 2541 หลังจากคุณกนกภรณ์ให้กำเนิดเด็กทารกเพศชาย พร้อมกับเริ่มมีบริวารทางโลกตามมาพร้อมกับเด็กชายนั้น เราได้ย้ายจากกรุงเทพมาอยู่ชานเมืองโดยได้ซื้อบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง ประกอบกับงานด้านก่อสร้างเริ่มมากขึ้น มีช่างที่ยินดีทำงานให้อย่างไม่คิดชีวิต มีอยู่วันหนึ่งคุณกนกภรณ์บอกว่า ขณะตั้งครรภ์เธอวิตกกังวลว่าเด็กในท้องจะพิการจึงได้จุดธูปอธิษฐานหันหน้าไปยังวัดแห่งหนึ่งชื่อดังในจังหวัดฉะเชิงเทรา "ถ้าลูกออกมาแล้ว มีอวัยวะครบ จะขอไปแก้บนด้วยไข่"
    เธอเล่าให้ฟังในภายหลังเมื่อย้ายมาอยู่ชานเมืองแล้ว เราก็ได้แต่ฟังมิได้ตำหนิสิ่งใด จนมาระยะหนึ่งเด็กมีอายุ 2 ขวบกว่ายังไม่ยอมพูด จึงอธิษฐานขอรู้สาเหตุว่าเพราะอะไร คืนวันหนึ่งขณะเจริญอานาปานสติจนกายดับไป ได้ไปปรากฏ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เห็นพระ 2 รูป นำจีวรมาคลุมกายบุตรชายไว้จนเหงื่อกาฬไหลไปหมด เมื่อจากกายหลับจึงได้นึกขึ้นได้ว่าคุณกนกภรณ์เธอบนกับพระไว้ จึงบอกให้เธอเตรียมของในวันรุ่งขึ้นจะพาเธอไป
    พอตกกลางคืนเจริญอานาปานสติ จนกายทิพย์เคลื่อนออกไป แต่ไปปรากฏว่าได้ไปลอยอยู่บนเมฆทิพย์ ลอยอยู่สักพักหนึ่งก็มาหยุดเหนือศาลาหอฉันแบบทรงไทยโบราณ ที่ข้างนอกศาลาหอฉันนั้นมีชานนั่งพัก บริเวณนั้นมีพระนุ่งห่มจีวรสีเหลืองนั่งอยู่เต็มไปหมด มีขรัวตานั่งอยู่ในท่ามกลางมองเห็นแต่ไกล เมื่อเราลอยมาใกล้บริเวณที่พระทั้งหลายนั่งอยู่ จิตได้โพลงรู้ขึ้นว่าที่นี่คือวัดแห่งนั้นที่จะมา ขณะปรารภว่าช่างไม่เหมือนจริงกับที่เป็นอยู่ปัจจุบันเลย ขณะปรารภอยู่นั้นมีพระภิกษุ 2 รูปเหาะลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เราจึงเหาะลอยไปยังที่อื่น ไม่ว่าเราจะลอยไปยังกลุ่มเมฆใดเขายังคงลอยตามอยู่เช่นนั้น ไม่ยอมลดละจนเราได้สติว่า ผู้นิ่งย่อมสยบผู้เคลื่อนไหว เราจึงได้หยุด เขาทั้งสองได้มาขนาบข้างเราพาลอยกลับมายังที่นั้น เรานึกพลางในใจว่า อยากจะรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อเราผู้เพ่งเพียร
    เมื่อลอยมาถึงเหนือหอฉันพระภิกษุทั้งหมดที่นั่งอยู่ในที่นั้น ล้วนนั่งนิ่งไม่ไหวติง จนลอยอยู่เป็นเวลานานเห็นไม่ทำอะไรสักทีจึงอธิษฐานจิตกลับ น่าสังเวชหนอ เมื่อมีชีวิตอยู่ชอบหากินโดยอาศัยพระศาสนาเมื่อตายยังต้องคอยอาศัยการเซ่นสรวงบูชาอยู่มิเว้นวาย เมื่อเราไปทำการให้ทานที่วัดนั้น ต่อมาจน 3 ขวบเธอก็พูดแต่ช้าหน่อยนั่นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...