ทำบุญอุทิศส่วนกุศล มีผลถึงผู้ล่วงลับ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย paang, 14 พฤศจิกายน 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    มีปัญหาที่คาใจท่านพุทธศาสนิกส่วนใหญ่อยู่ข้อหนึ่ง ปัญหานั้นก็คือ "การทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย บุญนั้นจะถึงผู้ตายหรือไม่?" ทั้งที่ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ เมื่อถึงคราวที่ญาติพี่น้องหรือผู้ที่เคารพนับถือตายลง ก็เต็มใจปฏิบัติตามประเพณี คือบำเพ็ญทักษิณานุปทาน ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายตามกำลังที่จะพึงทำได้ เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งกตัญญูกตเวทีเป็นครั้งสุดท้าย โดยเชื่อว่าบุญนั้นจะเป็นกำลังส่งให้ผู้ตายไปเกิดในสุคติ การทำบุญทั้งๆที่ยังพิจารณาเห็นผลไม่ชัดเจนด้วยตนเอง จะถือว่าทำบุญโดยไม่มีหลักก็ไม่ได้ เพราะผลบางอย่างเป็นสิ่งพ้นวิสัยที่ปุถุชนเช่นเราท่านจะพิสูจน์ได้ ก็ต้องอาศัยตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ซึ่งก็อยู่ในหลักของศรัทธาความเชื่อ 4 อย่าง คือ

    1. กัมมสัทธา เชื่อในกฏแห่งกรรม คือเชื่อว่าเมื่อทำอะไรลงไปโดยมีเจตนาแล้วย่อมเป็นกรรม

    2. วิปากสัทธา เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วต้องมีผล ถ้าทำดีผลที่เกิดก็ต้องดี ถ้าทำชั่วผลที่เกิดก็ชั่ว

    3. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ ต้องรับผิดชอบต่อผลกรรมที่เกิดขึ้น

    4. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    ศรัทธา 4 อย่างนี้มีมาในพระบาลีเฉพาะข้อ 4 อย่างเดียว (องฺ. 23/4/3) ส่วน 3 ข้อข้างต้นรวมลงในข้อ 4 ทั้งหมด ถ้ามีศรัทธาข้อ 4 ก็ทำให้มีศรัทธาอีก3 ข้อข้างต้นไปในตัวด้วย ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อเชื่อพระปัญญาของพระพุทธองค์ ก็เป็นอันเชื่อเรื่องที่พระองค์ทรงสอนทั้งหมด

    [​IMG]


    เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าพระพุทธองค์ได้ทรงสอนถึงเรื่องการทำบุญอุทิศแก่ผู้ตายว่าย่อมมีผลจริง แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขบางประการ ซึ่งเรื่องนี้ปรากฏหลักฐานในพระสุตตันตปิฎก ทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย (องฺ.ทสก. 24/166/290) จึงขอถอดความมาเล่าดังต่อไปนี้

    มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อชาณุสโสณีเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นกล่าวคำปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
    "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! พวกข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์ มีความเชื่อว่า ทานที่แล้วย่อมมีผลแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วหลังทำทานจึงอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับ ทานนั้นจะถึงแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับหรือไม่ ?"
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พราหมณ์ ! ทานที่ให้จะสำเร็จแก่ผู้ที่ล่วงลับหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้รับถ้าผู้รับอยู่ใน "ฐานะ" (โอกาส) ก็จะได้รับ ถ้าอยู่ใน "อฐานะ" (ที่มิใช่โอกาส) ก็ไม่ได้รับ"

    พราหมณ์ทูลถามต่อว่า "ที่ว่าอยู่ในฐานะและอฐานะนั้นคืออย่างไร"
    พระพุทธเจ้าตรัสสรุปไว้ว่า "ถ้าผู้ตายทำกรรมที่เป็นอกุศลไว้ และไปเกิดในภูมิที่ไม่เจริญ คือนรก เดรัจฉาน เป็นต้น หรือสร้างกุศลไว้แล้วไปเกิดในภูมิที่เจริญ เช่นมนุษย์สวรรค์ เป็นต้น ชื่อว่าเกิดในที่เป็น "อฐานะ" คือมิใช่สถานที่ที่จะได้รับส่วนบุญ เพราะอาหารของผู้ที่เกิดในที่นั้นๆ มิใช่ส่วนบุญที่บุคคลอุทิศไปให้ แต่ถ้าทำอกุศลไว้ แล้วไปเกิดในปิตติวิสัย คือภูมิแห่งเปรต และเฉพาะเปรตที่มีชื่อว่า "ปรทัตตูปชีวี" คือเปรตประเภทที่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้เป็นอาหารเท่านั้นจึงจะได้รับ แต่ต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ด้วยการอนุโมทนาด้วยตนเองของเปรตทั้งหลาย 1 ด้วยการอุทิศของทายกทั้งหลาย 1 ด้วยการถึงพร้อมด้วยทักขิเณยยบุคคล คือผู้รับไทยธรรมต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ 1.
    ส่วนเปรตอีก 3 ประเภทคือ อันตาสิกเปรต (เปรตที่มีอาเจียนเป็นอาหาร) ขุปปิปาสิกเปรต (เปรตที่มีความหิวกระหายเป็นประจำ) และ นิชฌามตัณหิกเปรต (เปรตที่มีไฟเผาตัวตลอดเวลา) ซึ่งแต่ละประเภทมีอาหารที่ไม่ใช่ส่วนบุญที่ญาติสาโลหิตอุทิศไปให้ ก็อยู่ใน "อฐานะ" คือไม่ได้รับส่วนกุศลที่อุทิศไปให้

    [​IMG]

    พราหมณ์ทูลถามต่อไปว่า "ถ้าญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครจะได้บริโภคส่วนบุญนั้นเล่า ?"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พราหมณ์ ! ถ้าญาติสาโลหิตที่ล่วงลับไปไม่เข้าถึงฐานะนั้น ญาติสาโลหิตแม้เหล่าอื่นของทายกที่เข้าถึงฐานะนั้นมีอยู่ญาติเหล่านั้นย่อมบริโภคทานนั้น"

    พราหมณ์ทูลถามต่อว่า "ถ้าญาติสาโลหิตที่ล่วงลับไม่เข้าถึงฐานะนั้น ทั้งญาติเหล่าอื่นก็ไม่เข้าถึงฐานะนั้น ทั้งญาติเหล่าอื่นก็ไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครเล่าจะบริโภคทานนั้น ?"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พราหมณ์ ! เวลาสังสารวัฏล่วงมาช้านาน โอกาสที่ญาติสาโลหิตของแต่ละคนไม่ตกอยู่ในฐานนั้นบ้าง เป็นไปได้ยาก แต่ถึงอย่างไร ผู้ให้ก็ย่อมไม่ไร้ผล"

    พราหมณ์ค้านว่า "ถ้าเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงตรัสแม้ในอฐานะหรือ ?"
    พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า "ใช่ เรากล่าวกำหนดแม้ใน "อฐานะ" คือบุคคลบางคนในโลกประพฤติในอกุศลกรรมบถมีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น แต่ได้ทำบุญ ให้ข้าว น้ำ ยามาลา และของหอมเป็นต้น เมื่อตายไปเกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เช่น ช้าง ม้า เป็นต้น เขาย่อมได้ข้าว น้ำ และเครื่องประดับในกำเนิดที่เกิดนั้นๆ
    อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกเว้นจากอกุศลกรรมบถ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ทั้งทำทานด้วยข้าว น้ำ ของหอม ที่นอน ที่พัก เป็นต้น เมื่อตายไปแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เขาย่อมได้กามคุณอันเป็นของมนุษย์ในมนุษยโลกด้วยกรรมนั้น แต่ถ้าด้วยอำนาจบุญที่ทำไว้ในโลกมนุษย์มีผลให้เกิดเป็นเทวดา เขาย่อมได้รับเบญจกามคุณ อันเป็นทิพย์ในเทวโลกนั้นด้วยกรรมนั้น

    พราหมณ์ ! แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผลด้วยประการฉะนี้"
    ข้อความข้างต้นนี้ถอดความมาจาก "ชาณุโสณีสูตร" ท่านที่มีความประสงค์จะอ่านโดยความพิสดาร โปรดหาอ่านได้ในพระไตรปิฎกที่อ้างถึง พระสูตรนี้น่าจะช่วยแก้ปัญหาคาใจดังกล่าวข้างต้นและทำให้มั่นใจในการทำบุญอุทิศแด่ผู้ล่วงลับได้ว่า เป็นสิ่งไม่ไร้ผลอย่างแน่นอน



    <CENTER></CENTER><CENTER>ที่มา http://mahamakuta.inet.co.th/</CENTER><CENTER></CENTER>
     
  2. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
  3. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    มีท่านผู้รู้ บอกว่า มีญาติที่ล่วงลับ มาอยู่ด้วย ...ซึ่งเป็นย่าที่เสียชีวิตนานแล้ว
    อยากทราบว่า ...คนที่ล่วงลับแล้ว..จะไปอยู่กับลูกหลานคนไหนก็ได้หรือคะ...ซึ่งถ้าท่านมีกรรมหนักมาด้วย กรรมนั้นลูกหลานก็ต้อง...รับด้วย ใช่มั๊ยคะ
     
  4. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width=600 border=0><TBODY><TR><TD align=middle>คนตายแล้วไปเป็นอะไร</TD></TR><TR><TD><TABLE width=590 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ความเชื่อว่าคนตายไปแล้วเป็นวิญญาณล่องลอยดูเหมือนว่ายังฝังแนบแน่นกันอยู่มาก ซึ่งในตำราพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า "คนตายแล้วเกิดทันที" ส่วนจะเกิดเป็นอะไรนั้นขึ้นอยู่กับผลของกรรมที่แต่ละคนทำไว้ และแสดงผลในช่วงที่กำลังตายนำไปเกิด โดยมากจะไปเกิดในทุขคติมากกว่าสุขคติ นั่นคือไปเกิดเป็น เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นส่วนมาก ดังนั้น การที่หลายๆคนพบว่าคนในครอบครัวตายแล้วมาหา โดยมีสิ่งบอกเหตุหลายๆ อย่าง แล้วมักนิยมเรียกว่าวิญญาณ ความจริงคือเขาเกิดแล้วและส่วนใหญ่ก็เกิดเป็นสิ่งที่กล่าวข้างต้น มิใช่เป็นวิญญาณล่องลอยตามที่เข้าใจกัน วิญญาณในทางพุทธศาสนาหมายถึงการรับรู้ทางทั้ง 6 ทาง ได้แก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>http://www.watkoh.com/too/note/view.php?No=283
     
  5. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772
    - เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง
    เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
    ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน
    ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา

    ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ
    ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
    เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา
    เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง

    ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า
    ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
    เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง
    แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

    คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก
    จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
    ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย
    ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอยฯ
     
  6. สุวรรณา รัตนกิจเกษม

    สุวรรณา รัตนกิจเกษม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +772

แชร์หน้านี้

Loading...