ถ้าหากว่าใจของเราหยุดอยู่กับปัจจุบัน กิเลสอะไรก็เกิดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 กรกฎาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,652
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,256
    ค่าพลัง:
    +25,973
    BBA21563-3D39-4347-BD06-8B26DFBA4207.jpeg

    ถ้าหากว่าใจของเราหยุดอยู่กับปัจจุบัน กิเลสอะไรก็เกิดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว แล้วอยู่กับปัจจุบันอย่างไร ? ก็อยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า หายใจเข้า...ตามรู้เข้าไปจนสุด หายใจออก...ตามรู้ออกมาจนสุด อยู่แค่นี้

    รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับฟืน เหมือนกับถ่าน พร้อมที่จะติดไฟอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่เอาไฟไปแหย่ ฟืนกับถ่านจะติดไฟเองได้ไหม ? ก็ติดไม่ได้ เพราะฉะนั้น...วิธีที่ดีที่สุดก็คือหยุดกำลังใจของเราอยู่กับปัจจุบัน ก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก เมื่อกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็ตั้งสติประคับประคองเอาไว้ อย่าให้หลุดไปไหน

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า การปฏิบัติธรรมเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ เราต้องสู้กับกระแสของ รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่พยายามจ้วงเอาไว้ ก็แปลว่าต้องไหลตามน้ำไป

    บางคนตอนกลางวันสติสมาธิพร้อมสมบูรณ์ กิเลสกินไม่ได้เลย เผลอหลับเมื่อไรก็ฝันว่าไปปล้ำลูกสาวชาวบ้านเขาแล้ว..! นั่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่ากิเลสย่อมดิ้นรนชักจูงเราไปตามทางของตน ไม่อย่างนั้นก็ตายแน่..!

    คราวนี้ของเรา ถ้าหากว่าสติ สมาธิเพียงพอก็ยังสู้กิเลสไม่ได้ ได้แต่ระงับอยู่ชั่วคราว เผลอเมื่อไรก็โดนกิเลสตีปางตายอีก ก็ต้องใช้ปัญญาเข้าสู้ ทำอย่างไรที่เราจะแยกให้ออกว่าตัวเราคือจิตที่มาอาศัยร่างกายนี้อยู่เท่านั้น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นคุณสมบัติของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของเรา เอ็งอยากจะมีก็มีไป ข้าไม่ไปยุ่งด้วย ฟังดูเหมือนกับง่าย แต่ก็ค่อนข้างที่จะยาก

    ดังนั้น...ของพวกเรา อันดับแรกเลยก็คือ ทำอย่างไรที่จะหยุดอยู่กับการภาวนา แล้วรักษาอารมณ์ใจเอาไว้ไม่ให้หลุดไปไหน ?

    กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็เป็นแบบนี้มาก่อน นักปฏิบัติทุกคนจะเป็นพระ เป็นเณร เป็นแม่ชี เป็นฆราวาส เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครดีกว่ากันหรอก เพียงแต่ใครจะสามารถจัดการกับ รัก โลภ โกรธ หลง ได้เร็วกว่ากันเท่านั้น คราวนี้การที่เราจะจัดการ ถ้าหากว่าสามารถกดคอกิเลสอยู่ได้ ก็เป็นอันว่าสุขชั่วคราว ต้องระมัดระวังไว้อย่าให้หลุดจากการภาวนา

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงเล่าให้ฟังว่า ท่านเองขนาดทรงสมาธิทุกวินาที ไม่ยอมเผลอ ปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่ง ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลุดไปตอนไหน จากสมาบัติ ๘ เหลือแค่อุปจารสมาธิ ท่านบอกว่า "ถ้าบ้านหลังหนึ่งมีเสา ๘ ต้น อยู่ ๆ เหลือไม่ถึงครึ่งต้น บ้านจะทับเราตายไหม ?"

    กระผม/อาตมภาพเองก็เป็นแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ท่านทั้งหลายก็เป็นมานับครั้งไม่ถ้วน สำคัญตรงที่ว่าเราเข็ดไหม ? ทุกข์ทรมานอยู่กับการโดน รัก โลภ โกรธ หลง ตีเราอยู่ทั้งวันทั้งคืน ถ้าเข็ด..เราก็ต้องหาทางหลีก หาทางหนี

    เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าท่านดูในวิปัสสนาญาณ ๙ บางทีก็สงสัย มุญจิตุกัมยตาญาณเป็นอย่างไร ? ปฏิสังขานุปัสสนาญาณเป็นอย่างไร ? ก็คือความเข็ดจากการโดนกิเลสตี แล้วเสาะแสวงหาทางหนี เมื่อเห็นทางแล้วก็ไปสุดชีวิต ไม่ใช่นอนสบายใจ แบบที่หลวงตาบัวท่านเปรียบเทียบว่า "เหมือนหมูนอนพาดเขียง" สบายมาก อยู่ ๆ ใครเอาเขียงมาให้หนุนนอนก็ไม่รู้ ? หารู้ไม่ว่าเขาจะเชือดตอนไหนก็ได้ เพราะว่าตัวเองเอาหัวไปนอนพาดเขียงเอง

    ถ้าตราบใดที่เรายังไม่เข็ด เราก็จะไม่ทุ่มเท สติ สมาธิ ปัญญาทั้งหมดในการหนีกิเลส ก็คือประเภทเบื่อ ๆ อยาก ๆ บางคนก็อยู่ในประเภท "ดีชั่วรู้หมด แต่อดไม่ได้"

    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕
    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8758

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...