ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    รัสเซียส่งเครื่องบินรบMiG-31Eติดมิสไซล์เร็วเหนือเสียง สู่คาลินินกราด จังก้าชายฝั่งบอลติก!ฟินแลนด์ว้าก ล้ำน่านฟ้า #เพโลซีมิได้เยือน

    ซี้ด
    เข้าใจผิดรึเปล่า!!! แนนซี เพโลซี ไม่ได้เยือนฟินแลนด์นะจ๊ะ ส่งเครื่องบินรบมาทำไม!!!
    รัสเซียส่งเครื่องบินรบ MiG-31E จำนวน 3 ลำ ซึ่งติดมิสไซล์ Kinzhal ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ไปประจำการ ณ คาลินินกราด
    เพจเดือดฯ โพสต์ถึงคาลินินกราดอยู่เนืองๆ นะครับ เป็นดินแดนรัสเซียที่ไม่ติดแผ่นดินใหญ่ของรัสเซีย ปักกลางโปแลนด์และลิทิวเนีย (หรือที่จริง ต้องบอกว่าถูกหนีบด้วยโปแลนด์กับลิทัวเนียต่างหาก เพราะล่าสุดก็ฮึดฮัดกันเรื่องลิทัวเนียไม่ยอมให้รัสเซียส่งสินค้าทางรถรางผ่านลิทิวเนียไปให้คาลินินกราด อ้างว่าละเมิดคว่ำบาตร เพราะถือว่าเป็นการส่งออกสินค้าของรัสเซีย!?)
    คาลินินกราดอยู่ตรงข้ามสวีเดนเลยครับ จังก้าจ้องหน้าถมึงทึงอยู่ฝั่งตรงข้าม คั่นด้วยทะเลบอลติก สร้างความเสียววาบ
    วันนี้ กระทรวงกลาโหมฟินแลนด์แถลง เครื่องบินรบ MiG-31E รัสเซีย ต้องสงสัยว่ารุกล้ำน่านฟ้าฟินแลนด์ (คือตอนบินไปคาลินินกราด มันต้องผ่านฟินแลนด์ แต่สงสัยว่าต้องขับแบบแว้นๆ โฉบๆ หน่อย!)
    หมายเหตุ ฟินแลนด์และสวีเดน กำลังอยู่ในกระบวนการสมัครสมาชิกเข้านาโต้นะครับ ซึ่งรัสเซียก็เตือนไว้แล้วว่าเดี๋ยวมีตอบโต้แน่
    ขออย่าให้บานปลายเลยนะครับ ขู่นิดขู่หน่อยพอหอมปากหอมคอละกัน
    https://www.reuters.com/.../russia-says-3-mig-warplanes.../

    เดือดทะลักจุดแตก
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สถานะ “เป็นกลาง” มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ?
    แล้วย้อนถามกลับว่า สถานะ “ไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย” มันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?
    ข้อแรกตอบยาก ข้อหลังตอบง่าย --- ถ้าคุณอยู่ฝั่งตะวันตก แล้วคุณไม่เข้าร่วม “ประณาม” (เป็นอย่างน้อย) และ “คว่ำบาตร” (เป็นอย่างมาก) คุณอยู่ลำบาก … ที่จริง ต่อให้ไม่อยู่ในฝั่งตะวันตก แค่อยู่ในประชาคมโลก มันก็ลำบากแล้ว (เพราะโลกก็ปกครองโดยตะวันตกกลายๆ?)

    เหลือเชื่อ! สวิตเซอร์แลนด์ ยอมกัดฟัน ทิ้งสถานะ “เป็นกลาง” --- เสียประโยชน์โพดผลไม่น้อยนะครับท่าน เพราะไอ้สถานะ “เป็นกลาง” นี่แหละที่ทำให้สวิตฯ ดำรงตำแหน่ง หนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของโลก

    สวิตฯ ผิดแผกแตกต่างจาก ฟินแลนด์และสวีเดน --- สองชาติในสแกนดิเนเวีย อยู่ใกล้ชิดกับรัสเซีย (ชาติแรกอยู่ติด อีกชาติอยู่ถัดมา) จึงไม่แปลก ที่ทั้งคู่จะกุลีกุจอ จ่อเข้า “นาโต้” เพื่อหาอิทธิเดชมา “ค้ำ” รัสเซีย
    สวิตฯ และออสเตรีย อยู่ไกลออกมา
    .
    ออสเตรียอยู่ในสหภาพยุโรป (EU) … แน่นอนว่าต้อง “คว่ำบาตร” ตามมติ EU
    สวิตฯ ไม่ได้อยู่ใน EU … อย่างไรก็ตาม ด้วยสายเลือดยุโรป ก็ต้องรับบาตรมาคว่ำตาม
    ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า สวิตฯ ไล่ “อายัด” สินทรัพย์ของบรรดาเจ้าสัวรัสเซียที่ลงทุนในสวิตฯ --- จุดนี้ “พลิกภาพ” เลยนะครับท่าน … ภาพที่สร้างมานมนาน ถูกลบล้างไปเสียสิ้น

    บริษัท “เทรดดิ้ง” ของรัสเซีย หรือที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย ต้องระเห็จหนีกันถ้วนหน้า (หนีไป “ดูไบ” แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)
    ธุรกิจ “เทรดดิ้ง” เป็นเรื่องเงิน เงิน เงิน --- เรื่องพรรค์นี้ ต้องเป็นสิ่งที่ “ไม่เลือกข้าง” นะครับท่าน … ใครๆ ก็รู้
    .
    ศูนย์กลางทางการเงิน มิใช่ได้มาแค่ด้วยการอำนวยความสะดวกทางการไหลเวียนเคลื่อนย้ายเงินทุน การประกันเสรีภาพสุดสูง ทลายกฎระเบียบหยุมหยิมยุ่บยั่บ หนุนนำด้วยมาตรการจูงใจทางภาษี ฯลฯ … มิใช่แค่นี้ แต่ต้อง “ปลอดโปร่งโล่งสบาย” จากประเด็นการเมืองการทูต

    สังเกตว่า “เจนีวา” ขึ้นชื่อ เป็น “เมืองแห่งสันติภาพ” เท่าๆ กับที่เป็น “ศูนย์กลางการเงินโลก” --- สองประการนี้ มันควบคู่ไปด้วยกัน
    ทว่าศึกรัสเซียรุกรานยูเครน ทำให้ข้อแรกถูกกาทิ้งซะแล้ว … ข้อหลัง ก็พลอย “คลาย” ลงไปหน่อย (ยังไม่ถึงกับใช้คำว่า “เสื่อม” กระมัง)

    (ออสเตรีย ก็ไล่ต้อน “อายัด” เหมือนกัน แต่ก็มิได้เสียหายอะไร ออสเตรียไม่ได้โดดเด่นด้านการเงินอยู่แล้ว)
    .
    สวิตฯ ยังไม่ได้แจ้นจะเข้านาโต้เหมือนอย่างฟินแลนด์และสวีเดน แต่ก็ชักมี “ท่าที” (ซึ่งก็ยังเอาแน่ไม่ได้)
    ออสเตรเลีย ชัดเจน ไม่เข้า!

    กรุงเวียนนา กระเดื่องเลื่องลือ เป็น “เมืองแห่งสันติภาพ” เช่นกัน

    สำนักงานใหญ่ขององค์กรระดับโลกตั้งอยู่ ณ ที่นี้ อาทิ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ซึ่งรับผิดชอบด้านนิวเคลียร์

    และที่คุ้นเคยกันดี “โอเปก” นั่นไง (คิดดูสิ เกือบจะทั้งนั้น สมาชิกเป็นตะวันออกกลาง แต่ถ่อมาตั้งออฟฟิศที่เวียนนา!?)
    .
    จุดยืน อาจจะมาจากอุดมการณ์ส่วนหนึ่ง และอีกส่วน มีจากความหลังฝังใจ …
    ออสเตรีย มีบทบาทในสงครามโลกทั้งสองครั้ง … ครั้งแรกในฐานะผู้แพ้ ครั้งสองถูกเยอรมันยึด แล้วฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ามาแบ่งพื้นที่ดูแล

    ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว … รักษา “ความเป็นกลาง” ดีกว่า
    ออสเตรีย เป็นชาติตะวันชาติแรก ที่ทำสัญญาซื้อก๊าซจากสหภาพโซเวียต เมื่อปี 1968
    และในครานี้ ออสเตรียก็เป็นชาติแรกๆ ที่ยินดีจ่ายค่าก๊าซรัสเซียเป็นรูเบิล ตามที่รัสเซียเรียกร้องอย่างไม่มีบิดพลิ้ว
    เม.ย. ปีนี้ นายกฯ ออสเตรเลีย ก็เป็นผู้นำชาติตะวันตกคนแรกที่เข้าพบประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ณ กรุงมอสโก
    .
    ย้ำอีกครั้ง ออสเตรียมิได้มีความประสงค์จะเข้านาโต้
    ออสเตรียต้องการคง “ความเป็นกลาง”
    แต่มิใช่ไม่น่ากลัว … เพราะในยุคสมัยปัจจุบัน ความเป็นกลางไม่ได้หมายถึง “ไม่เลือกข้าง”
    ความเป็นกลาง อาจแปลความได้ว่าไม่ยอมมาอยู่ข้างตะวันตก
    สักวัน อาจมีราคาต้องจ่าย

    https://www.aljazeera.com/.../austrian-neutrality-in...
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อเมริกาคิด อังกฤษตาม --- ต้องสอดคล้อง
    กระทรวงธุรกิจสหราชอาณาจักร อาศัยอำนาจตาม { พระราชบัญญัติความมั่นคงและการลงทุนแห่งชาติ } สั่งการให้ “ยุติ” ดีลที่บริษัท “ซูเปอร์ ออเรนจ์ เอชเค โฮลดิ้ง” Super Orange HK Holding ของจีน (ฮ่องกง) เข้าฮุบกิจการบริษัท “พัลซิซ” Pulsic ของอังกฤษ (กฎหมายนี้ เพิ่งออก เมื่อ ม.ค. ปีนี้เอง)
    ห้ามได้ไง? ห้ามได้เพราะ พัลซิซ เป็นบริษัท “ออกแบบชิป” ฉะนั้นแล้ว จึงดำริ “พล็อต” ได้ว่า หากดีลซื้อกิจการนี้สำเร็จ สิทธิบัตรและซอฟต์แวร์ต่างๆ ของพัลซิซ อาจถูกเอาไปใช้เสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหารให้กองทัพจีน!
    ไอ้ตรงนี้ บ่อยแล้ว พล็อตซ้ำซากจำเจแล้ว แต่ที่สดใหม่เข้ามาอย่างไฉไลด้วย คือ มันอาจถูกเอาไปใช้พัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีของภาคพลเรือน! --- ภาคพลเรือน ก็คือ เอกชน ประชาชน ชาวบ้านช่องทั่วไปนี่แหละครับท่าน

    เท่ากับว่า ประกาศความเป็นปฏิปักษ์ชัดเจน --- ไม่ต้องอ้างแต่กองทัพพรรคคอมมิวนิสต์ ทว่าอะไรๆ ที่จีนๆ ต้องโดนหมด!
    .
    ยังยาวเป็นหางว่าวให้ล่อนะครับท่าน
    ที่จีนจะตะครุบกิจการ “นิวพอร์ต เวเฟอร์ แฟบ” โรงงานผลิตชิปใหญ่สุดในสหราชอาณาจักร เดี๋ยวรัฐบาลอังกฤษจะออกประกาศิต ก.ย. นี้ --- จะพิพากษาเหมือนกรณี “พัลซิซ” รึไม่ … เดี๋ยวได้รู้กัน

    ที่จะ “แบน” ห้ามขายกล้องวงจรปิด ซีซีทีวี ของบริษัทจีน (Hangzhou Hikvision Digital Technology และ Zhejiang Dahua Technology) ก็กำลังพิจารณา

    นี่ยังไม่นับที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งการขวาง “หัวเว่ย” ออกไปนอกวง ไม่ให้ข้องเกี่ยวกับเครือข่าย 5G ของอังกฤษ

    อีกทั้ง การเขี่ยบริษัทจีน “ไชน่า เจเนอรัล นิวเคลียร์ เพาเวอร์” ออกจากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในอังกฤษ
    ฯลฯ
    .
    อ้อ หมายเหตุหน่อย ในปี 2021 นั้น จีนเป็นประเทศที่อังกฤษนำเข้ามากที่สุด ฟาดไป 6.36 หมื่นล้านปอนด์
    ขณะที่อังกฤษส่งออก ไปจีนเป็นอันดับ 6 … มูลค่า 1.88 หมื่นล้านปอนด์
    ก็ไม่เท่าไหร่ เหรอ???

    https://www.bloomberg.com/.../uk-blocks-takeover-of...
    https://www.ons.gov.uk/.../uktradewithchina2021/2022-06-01
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "...กลัว ว่าจะกลับมาเป็นสโตรคอีกครั้ง"

    1f468_1f3fb_200d_2695.png
    ใครเคยเป็นแล้ว ก็มีโอกาสจะเป็นซ้ำได้ ดังนั้น จึงต้อง กินยาควบคุมลดปัจจัยเสี่ยง(ถ้ามี) ครับผม

    คนเราทุกคน วันร้ายคืนร้าย อยู่ดีๆ ก็มีโอกาสเป็นสโตรคกันได้ ทุกคน แต่โอกาสไม่สูง ยิ่งอายุมาก หรือมีโรคประจำตัวหลายโรค หรือ่ว่า เคยเป็นสโตรคมาก่อน อย่างนี้โอกาสก็จะสูงกว่าคนอื่นบ้าง

    อย่างไรก็ตาม การหมกมุ่น กังวล คิดวนเวียนอยู่ทั้งวันทั้งคืน หรือบ่อยๆเกินไป ว่ากลัวจะเป็นสโตรคๆ
    คิดไปเรื่อย ทั้งๆที่คิดแล้วก็ไม่ได้ทำให้เสี่ยงลดลง เท่ากับเป็นการ บั่นทอนคุณภาพชีวิต
    เรียกว่า ตกนรก ในใจ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย

    ทำใจเถอะครับ ความพยายามอยู่ที่มนุษย์ ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า หรือบุญกรรม
    เราทำสิ่งที่เราทำได้ แล้วทำใจให้สงบสบายดีกว่าครับ

    หากป่วยจริง ก็ยังไม่แน่ว่าจะหนักหรือเบา
    ถ้าป่วยมา เราก็รักษาฟื้นฟูให้ดีที่สุด ถ้าไม่ป่วยทุกวันก็ดีใจ ที่ตื่นเช้ามา แข็งแรงได้เป็นปรกติ
    คิดอย่างนี้ทุกวัน สบายใจกว่านะครับ
    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
    นอกจากโพสที่ท่านเพิ่งได้อ่านข้างบนนี้ ที่ เพจ stroke boot camp ยังมีบทความสั้น อ่านง่าย มีประโยชน์สำหรับ การดูแลฟื้นฟู ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และ ผู้สูงอายุ ให้ท่านได้อ่านอีกนับร้อยเรื่อง

    กด likes & follow จะช่วยให้ท่านไม่พลาดได้อ่าน บทความใหม่ที่มีมาทุกวันนะครับ

    สำหรับบทความย้อนหลัง ขอเชิญชวนให้ลองเข้าไปอ่านดูตามลิงก์รวมโพสนี้
    1f5c2.png http://bit.do/StrokeBC-set-articles

    หรือเลือกอ่านเรื่องที่สนใจตามหัวข้อใน All Photos ของเพจ
    1f517.png http://facebook.com/StrokeBC/photos

    แต่หากท่านมีคำถามอื่นๆ เชิญส่งข้อความมาถามที่เพจ หรือที่ แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู รพ สำโรงการแพทย์ ก็ได้นะครับ ผมจะทยอยรีบตอบให้ครับ

    ด้วยความเคารพ
    นพ ภาริส วงศ์แพทย์
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #ทางบ้านขอคำปรึกษา ครับ
    "...คำพูดแบบไหนที่ผมควรพูดกับภรรยา
    เราควรให้กำลังใจเค้าแบบไหน?
    เข้าใจว่าเค้าคงอึดอัดที่ขยับตัวไม่ได้ สื่อสารไม่ได้
    ผมควรใช้คำพูดในแนวทางไหนดีครับ?
    กลัวถ้าปล่อยไว้นาน กลัวเค้าจะมีอาการซึมเศร้าครับ"

    1f468_1f3fb_200d_2695.png
    เชื่อกันว่าคนที่ซึม เศร้าส่วนหนึ่ง เกิดจากการทำงานที่ลดลง ของสมอง ซีกซ้าย
    และบางท่านก็เชื่อว่า สมองซีกขวา ก็มีความสำคัญแม้ว่าอาจไม่ชัดเจนเท่า
    มีรายงานว่า คนไข้ ที่เป็นสโตรค มีโอกาสเกิดภาวะ ซึมเศร้าได้สูงถึง 55%
    Reference:
    1f517.png https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8774216
    1f517.png https://www.ahajournals.org/doi/10.1161/str.0000000000000113

    ดังนั้น ต้องเข้าใจว่า คนไข้บางคน ถ้าเขาจะเป็น ซึมเศร้า ดูแลดียังไงก็ยังอาจมีอาการขึ้นมาได้ ให้รีบรักษา กินยา และจิตบำบัด จะได้ ไม่รุนแรงและบรรเทาหายได้เร็วที่สุด

    อาการที่ควรสังเกตคือ อาการเบื่อเซ็งหงุดหงิดง่าย ทำอะไรก็ไม่สนใจ ไม่อยากทำไปเสียทุกเรื่อง แม้แต่กิจกรรมที่เคยชอบ ก็ตาม บางคน ก็จะมีความคิดอยากตาย หรือเบื่อโลก บางคน อาการก็ออกไม่ชัดเจนนัก

    แต่สำหรับคนไข้ ที่ ยังไม่ตื่น หรือตื่นยังไม่เต็มที่
    หรือตื่นแล้วแต่ไม่จับจ้อง หรือไม่เข้าใจรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน รู้แค่เบลอๆ
    อย่างนี้เขาน่าจะยังไม่ มีความคิดที่ซับซ้อน พอที่จะไป "กลุ้มใจ" ได้

    ยังไม่น่าจะต้องรีบอธิบายอะไร
    1f4cc.png ผมเชื่อว่า "ท่าที" ของผู้ดูแล สำคัญมาก
    หากเราแสดงท่าทาง สบายใจ ไม่ลำบากใจ ไม่แสดงอาการเบื่อรำคาญ ทางสีหน้า น้ำเสียง ท่าทาง
    ไม่แสดงความกลัดกลุ้ม ให้เขาเห็น คนไข้ ก็จะพลอยสบายใจไปด้วยครับ
    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
    นอกจากโพสที่ท่านเพิ่งได้อ่านข้างบนนี้ ที่ เพจ stroke boot camp ยังมีบทความสั้น อ่านง่าย มีประโยชน์สำหรับ การดูแลฟื้นฟู ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และ ผู้สูงอายุ ให้ท่านได้อ่านอีกนับร้อยเรื่อง

    กด likes & follow จะช่วยให้ท่านไม่พลาดได้อ่าน บทความใหม่ที่มีมาทุกวันนะครับ

    สำหรับบทความย้อนหลัง ขอเชิญชวนให้ลองเข้าไปอ่านดูตามลิงก์รวมโพสนี้
    1f5c2.png http://bit.do/StrokeBC-set-articles

    หรือเลือกอ่านเรื่องที่สนใจตามหัวข้อใน All Photos ของเพจ
    1f517.png http://facebook.com/StrokeBC/photos

    แต่หากท่านมีคำถามอื่นๆ เชิญส่งข้อความมาถามที่เพจ หรือที่ แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู รพ สำโรงการแพทย์ ก็ได้นะครับ ผมจะทยอยรีบตอบให้ครับ

    ด้วยความเคารพ
    นพ ภาริส วงศ์แพทย์
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สหรัฐ มึนตึบ! กองทัพอัฟกานิสถาน ซ่อมเครื่องบินสหรัฐ ขับวนเล่นเกร่อทั่วเมือง
    ช่วงปี 2544 - 2564 นานราว 20 ปีสหรัฐ และ NATO รุกรานยึดครองอัฟกานิสถาน เพื่อก่อกวนจีนอ้างละเมิดสิทธิมนุษยชนที่แคว้นซินเจียง ซึ่งมีทรัพยากรน้ำมัน ก๊าซ กว่า 80% ที่จีนขุดเจาะได้ทั้งประเทศ บล็อคจีนกับอิหร่าน ไม่ให้ขายน้ำมันหรือช่วยเหลือกัน พร้อมมีผลพลอยได้จากธุรกิจไร่ฝิ่นมีแลปแปรรูปเป็นยาเสพติดครบวงจร และทำเหมืองแร่แรอิร์ทหายากหลายชนิดวัตถุดิบทำแบตเตอรี่และชิปคอมพิวเตอร์ โดยกองทัพสหรัฐฯ ได้ทุ่มเงินมูลค่ากว่า 28,000 ล้านเหรียญ เป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ ปืนนานาชนิด กระสุนปืน ยานพาหนะ อุปกรณ์มองเห็นตอนกลางคืน เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ ฯลฯ ให้กับรัฐบาลหุ่นเชิดอัฟกานิสถาน สถานการณ์คล้ายทุ่มอาวุธให้ยูเครน ไต้หวัน ในปัจจุบัน
    ต่อมาปี 2564 กองทัพสหรัฐ NATO และกองทัพอัฟกันขณะนั้นหลายแสนคน ถูกนักรบตอลีบันหลักหมื่น บุกกล้อมจู่โจมสายฟ้าแล่บใช้เวลาเพียง 10 วันก็ชนะฝ่ายสหรัฐ อย่างเบ็ดเสร็จ จึงไว้ชีวิตให้เวลา 20 วันอพยพทหาร พลเรือนต่างชาติ และทาสอัฟกันบินหนีออกจากสนามบินคาบูล โดยสหรัฐ เลือกเฉพาะคนรวยชนชั้นสูงไปเท่านั้น ส่วนชาวอัฟกันธรรมดา ก็กราดยิงทิ้งคาสนามบิน และให้วิ่งตามเครื่องบินไปตามรันเวย์ ไม่ยอมให้ขึ้นเครื่องบินขนส่งไปด้วย ส่วนเครื่องบิน เฮลิปคอปเตอร์ทหาร จำนวนมากกว่า 70 ลำ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ ก็ถูกทำลายทิ้งก่อนจะหอบเสื่อผืนหมอนใบจากไปพร้อมยึดเงินฝากธนาคารกระทรวงการคลังอัฟกานิสถาน 7,000 ล้านดอลลาร์ที่ไม่คืนจนบัดนี้
    แม้ว่าล่าสุดจีนจะประนามสหรัฐ ต่อที่ประชุมสหประชาติ (UN) ให้อับอายว่า "ปล้นเงินประเทศยากจน" และขอให้คืนทันที แต่สหรัฐ ก็บ่ายเบี่ยงไม่รู้ไม่ชี้เพราะใช้เงินชาวอัฟกันไปหมดแล้ว แต่ยังคงสั่งกลุ่มก่อการร้าย IS ก่อเหตุวางระเบิดตลาด และแหบ่งชุมชน ในกรุงคาบูล อยู่เป็นระยะ เพราะถ้า "ชาติใดปันใจให้จีน - รัสเซีย" ชาตินั้นจะโดนก่อวินาศกรรมทันที ไม่เว้นแม้แต่ไทยที่เป็นพันธมิตร แค่ร่วมซ้อมรบทางอากาศร่วมกับจีนที่อุดรธานี ต่อเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ ต่อเรือดำน้ำพร้อมอัพเกรดเครื่องยนต์กับจีน ก็โดนมือมืดก่อการร้าย 17 แห่งในวันเดียวที่จังหวัดชายแดนไต้ พร้อมกับสหรัฐ จัดซ้อมรบ 14 ชาติที่อินโดนีเซีย ที่เป็นแหล่งสำคัญกลุ่มก่อการร้ายสาขา IS
    ความพ่ายแพ้ของกองทัพสหรัฐปีที่แล้ว ทำให้กองทัพรัฐบาลตอลีบันอัฟกานิสถาน มีปืนนานาชนิดเหลือใช้เป็นล้านกระบอก ล่าสุดกระทรวงกลาโหมอัฟกานิสถาน ได้ซ่อมแซมเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินเจ็ต เครื่องบินที่ผลิตในอเมริกาอีก 2 ลำ รวมถึงเฮลิคอปเตอร์จู่โจม MI-24 ที่ผลิตในรัสเซีย บินต่ำเหนือท้องฟ้าเมืองหลวงคาบูล พบว่ายังใช้งานได้ดี และยังซ่อมแซมยานเกราะ Navistar 7000 ที่ผลิตในสหรัฐฯ จำนวน 20 คัน , รถหุ้มเกราะ Humvees 15 คัน , และรถถัง 35 คัน Enayatullah Khowarazmi โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุว่ากำลังซ่อมแซม "เครื่องบินทุกประเภททุกลำ" และอยู่ในระหว่างการทดสอบ โดยไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้จัดหาอะไหล่ ให้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคในการซ่อมอาวุธชั้นสูงพวกนี้ ให้นำมาใช้งานป้องกันประเทศได้
    แต่กลาโหมอัฟกานิสถาน ได้รวมเอานักบิน ช่างกล และช่างทักษะอื่นๆ จากอดีตกองทัพอัฟกันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ และคาดว่าจะได้รับอภินันทนาการอะไหล่ที่สามารถประยุกติ์ดัดแปลงเข้ากันได้ และผู้เชี่ยวชาญจากจีน รัสเซีย มาฝึกสอนทหารช่างและอำนวยการซ่อมแซมให้ และยังมีระบบต่อต้านอากาศยาน ที่ทหารช่างจีน รัสเซีย สามารถดัดแปลงฟื้นคืนชีพมันขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งจะสร้างความงุนงงกับสหรัฐ อย่างมากและคงโวยวายพร้อมก่อการร้ายก่อกวนเป็นระยะ..ชาวอัฟกันสู้ต่อไป ชนะโจรใส่สูทแน่นอน 1f6e9.png 1f601.png
    ที่มา : CGTNAmerica , reuters
    #WorldUpdate

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ยุโรป ปวดใจจี๊ด! จีน-รัสเซีย เปิดสะพานรถไฟแห่งแรกส่งสินค้าหนักขายกันรวยเละ
    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคู่หูรัสเซีย - จีน ฝ่ายจัดระเบียบโลกใหม่ เร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้ามพรมแดนเพื่อกระตุ้นการค้า บริษัท Gazprom รัสเซียได้จัดส่งก๊าซให้จีนผ่านท่อส่ง Power of Siberia มากกว่าปริมาณที่ทำสัญญาในแต่ละวัน ในช่วง 7 เดือนแรก ม.ค.- ก.ค.2022 บริษัท Gazprom จัดหาก๊าซให้กับจีนเพิ่มขึ้น 60.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2021 และในช่วง 7 เดือน การค้าของจีนกับรัสเซียเพิ่มขึ้น 29% มากถึง 6.59 แสนล้านหยวน (3.41 ล้านล้านบาท) และตั้งเป้าจะถึง 1.35 ล้านล้านหยวนเมื่อสิ้นปี 2022 รัสเซียยังคงรักษาสถานะส่งออกพลังงานอันดับต้นๆ ให้จีน คิดเป็นสัดส่วน 65.3% ของการนำเข้าทั้งหมด
    ในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมามีการเปิดใช้สะพานทางหลวงแห่งแรกซึ่งทอดยาวจากเมืองเฮยเหอ ไปจนถึงเมืองบลาโกเวชเชนสค์ของรัสเซีย ซึ่งทอดยาวไปตามแม่น้ำเฮยหลงเจียง ให้สัญจรขนส่งสินค้าไปแล้ว การเชื่อมต่อข้ามแม่น้ำที่เพิ่มขึ้นทำให้รัสเซียมองหาโอกาสในการส่งออกสินค้าจากตะวันออกไกล ส่วนจีนก็กำลังมองหาวิธีที่จะนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์หลักที่สำคัญ เช่น แร่เหล็ก ถ่านหิน แร่ธาตุ ปุ๋ย และผลิตภัณฑ์จากไม้ ฯลฯ การเปิดช่องทางค้าขายกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หักหน้าชาติตะวันตก ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติแนบแน่นมากขึ้นทุกวัน ทุกวัน ทางเครื่องบินก็มีเที่ยวบินเชื่อมโยงหากัน
    ล่าสุด 2 ชาติคู่หูสร้างรางบนสะพานรถไฟยาว 7,194 เมตร แห่งแรกข้ามแม่น้ำเฮยหลงเจียง (อามูร์) ที่เชื่อมเมือง Tongjiang ในมณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนกับเมือง Nizhneleninskoye ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย เสร็จสมบูรณ์ จะเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการในไม่เกินหนึ่งเดือน ทางรถไฟนี้จะมีบทบาทสำคัญในการค้าและการขนส่งทางบกข้ามทวีป ในปีนี้ จีนได้เพิ่มสำนักงาน และโกดังที่สร้างขึ้นใหม่สำหรับเจ้าหน้าที่ศุลกากรเพื่อดำเนินการตรวจสอบและกักกัน สะพานรถไฟนี้จะมีบทบาทสำคัญทำให้การเดินทางระหว่างเฮยหลงเจียงและมอสโกสั้นลง 809 กิโลเมตร และประหยัดเวลาเดินทาง 10 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับการเดินทางผ่านจุดผ่านแดนสุยเฟินเหอจุดเดิม
    ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการขนส่งทางรถไฟระหว่างทั้งสองประเทศ เป็นช่องส่งออกใหม่ของรัสเซีย ส่งเสริมการผลิตและการก่อตั้งศูนย์โลจิสติกส์แห่งใหม่ในตะวันออกไกล และปรับปรุงการขนส่งในภูมิภาค จีนและอินเดียมีประชากรรวมกันกว่า 2,800 ล้านคน มากกว่ายุโรป 5 เท่า แค่รัสเซียขายสินค้าโภคภัณฑ์ให้ 2 ชาตินี้ก็ลอยแพยุโรปให้ใช้ฟืนและถ่านได้สบายๆ โดยไม่ต้องสนใจใครจะบาตรคว่ำบาตรหงาย..ยุโรป คว่ำบาตรพลังงานรัสเซียต่ออีกสักนิด สู้ต่อไป ชนะบาตรแตกแน่นอน 1f92d.png 1f602.png

    ที่มา : global times , TassNews , SputnikNews
    #WorldUpdate

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อังกฤษ ใกล้ชนะแล้ว! เงินเฟ้อทะลุโลก ส่วนเยอรมัน ทนอีกนิดตุนใช้ถ่านและฟืน
    สร้างความตกตะลึงกันทั่วโลก เมื่อสำนักงานสถิติแห่งชาติ สหราชอาณาจักร ประกาศอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค.2022 พุ่งขึ้นเร็วกว่าจรวดเป็น 10.1% เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 9.8% ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางอังกฤษคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งถึง 13% ก่อนสิ้นปี 2022 ซึ่งถ้าสถานการณ์ยังคงแบบนี้ในเดือน ต.ค.เข้าสู่ฤดูหนาวอัตราเงินเฟ้อก็คาดว่าจะถึงจุดนี้เร็วกว่ากำหนด และน่าตกใจที่อังกฤษไม่สามารถประคองตัวทางเศรษฐกิจอยู่ได้ แม้จะมีรัฐบาลใหม่ถ้ามีนโยบายเป็นปฏิปักษ์กับจีน และคว่ำบาตรรัสเซีย สภาพเศรษฐกิจอังกฤษ คงจะแหลกพังทลาย ค่าไฟฟ้า สินค้า จะแพงขึ้นคนยากจนจะยากมากที่จะดำรงชีวิตด้วยปัจจัย 4 พื้นฐาน
    ส่วนเยอรมนี นั้นเคยพึ่งพาก๊าซรัสเซีย 50% สุขสบายมากว่า 5 ทศวรรษ แต่ภายหลังคว่ำบาตรรัสเซีย Federal Network Agency ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านพลังงานของประเทศ ระบุว่าขณะนี้มีพลังงานน้ำมันอยู่ได้ราวเกือบ 3 เดือน ส่วนคลังก๊าซหามาเติมได้ 77% โดยมีเป้าหมายเดือน ต.ค. ที่ความจุ 85% และภายใน พ.ย. ที่ 95% สำหรับภาคอุตสาหกรรม และพลังงาน หากรัสเซียตัดก๊าซโดยสิ้นเชิง จะสามารถอยู่ได้ 2.5 เดือน รัฐบาลเยอรมันได้ตัดสินใจที่จะเพิ่มการใช้โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้ามหาศาลของอุตสาหกรรมต่างๆ จัดเป็นวิกฤตพลังงานครั้งเลวร้ายที่สุดของเยอรมนี และยุโรปในรอบหลายทศวรรษ และมีแนวโน้มว่าปีหน้า 2023 จะรุนแรงขึ้นกว่านี้ไปอีก
    รัฐบาลเยอรมนีได้ขอร้องประชาชนให้ลดการบริโภคลงและปันส่วนพลังงาน พร้อมผลักภาระโดยขึ้นภาษีการใช้ก๊าซให้ประชาชน ทำให้บางส่วนต้องช่วยตัวเองตามมีตามเกิดโดยตุน "ถ่านอัดแท่ง" ซึ่งกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในเมืองหลวงของเยอรมนี ที่มีพ่อค้านำถ่านอัดแท่งมาชั่งน้ำหนักและใส่ถุงขายในกรุงเบอร์ลิน โดยมีบ้านราว 6,000 หลัง จาก 1.9 ล้านหลัง เตรียมซื้อถ่านอัดแท่งตุนกันขนานใหญ่ บ้านที่ให้ความร้อนด้วยแก๊ส แต่ยังมีเตาอยู่ที่บ้านตอนนี้ ล้วนสลับมาใช้เตาถ่านจุดไฟ และต้องการถ่านเพิ่มขึ้นเมื่อฤดูหนาวใกล้เข้ามา ส่งผลให้พ่อค้าถ่านจำนวนมากในเมืองหลวงกำลังขาดแคลนวัตถุดิบ ประชาชนอีกจำนวนมากจึงหันไปตุนฟืนแทนถ่านอัดแท่งเพื่อใช้กับเตา..ถ้าพ่อค้าไทยส่งออกเตาประหยัดถ่านไปยุโรปช่วงนี้คงจะขายดี..ยุโรป สู้ต่อไป ชนะดำเป็นถ่านแน่นอน 1f92d.png 1f602.png

    ที่มา : bloonberg , reuters , bangkokpost
    #WorldUpdate

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สหรัฐ เคลิ้มฝัน! จะส่งมนุษย์อวกาศไปดวงจันทร์ตามหลังจีนทันในชั่วอายุคน
    เมื่อกว่า 50 ปีก่อนโลกของเรายังไม่มีอินเตอร์เน็ต ระบบคอมพิวเตอร์ยังเป็นอนาล็อก ยังไม่มีการสื่อสารทางโทรศัพท์มือถือ มีแต่การติดหล่มสงครามเวียดนามของสหรัฐ ที่มาใช้ดินแดนไทยเป็นฐานบัญชาการ ฐานทัพเครื่องบินทิ้งระเบิดและส่งกำลังบำรุงที่สงครามกินเวลายาวนานกว่า 18 ปี สภาพเศรษฐกิจสหรัฐ ตกต่ำสุดขั้ว อัตราเงินเฟ้อสูง คนตกงานมหาศาล เงินคงคลังรัฐบาลสหรัฐไม่เหลือเลย จนต้องพิมพ์เงินขนานใหญ่มาใช้โดยไร้ทองคำค้ำประกัน มีเพียงอุตสาหกรรมหนังฮอลีวู๊ดที่เฟื่องฟูและสร้างโฆษณาชวนเชื่อประกาศชัยชนะรายวันในสงครามเวียดนามที่สหภาพโซเวียติหนุนหลังฝ่ายเวียดกง
    ทำให้รัฐบาลสหรัฐ กดดันมากเพราะทุกอย่างพังทลายไปหมด ทำให้ต้องเบี่ยงเบนความสนใจผู้คนไปยัง "ดวงจันทร์" โดยคุยโวว่าส่งนักบินอวกาศ 24 คน บรรทุกจรวดบินไปยังดวงจันทร์แล้วลงจอดด้านสว่างด้วยยาน Apollo มีทีมนักบิน 12 คนลงจอดบนดวงจันทร์ จากนั้นกระโดด เดิน ฝากรอยเท้า ปักธงชาติสหรัฐ ที่พริ้วด้วยแรงลมไม่พัดบนผิวดวงจันทร์ แล้วคุยว่าเก็บหินดวงจันทร์กลับมาเป็นที่ระลึกให้ชาวโลก จากนั้นหนังสารคดีก็ถูกเผยแพร่ฉายไปทั่วโลก พร้อมสร้างตำรา และการถอนทหารกลับบ้านเพราะแพ้สงครามเวียดนาม ลอยแพไทยให้ขัดแย้งกับเพื่อนบ้านตามสโลแกน "เข้าแก๊งค์ไหนลูกน้องตายหมด"
    จากนั้นมาอีกหลายปีจนถึงปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก พยายามขอดูหินดวงจันทร์ก้อนเขื่องดังกล่าว พร้อมขอตรวจสอบฟิล์มต้นฉบับที่ถ่ายทำบนดวงจันทร์ครั้งนั้น แต่องค์การ NASA ให้คำตอบชวนช็อคคือ "หายไปหมดแล้ว" หาหลักฐานไม่เจอไม่รู้อยู่ที่ไหน สร้างความงุนงงให้ชาวโลกว่าหินดวงจันทร์ก้อนใหญ่นั้นใครเอาไป ก็เลยตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ว่าหินดวงจันทร์นั้นมีธาตุอะไรบ้างเป็นองค์ประกอบ และคล้ายหินอุกกาบาต หรือ หินบนโลกหรือไม่ จากนั้นมาอีก 50 ปี NASA ก็ไม่เคยพูดถึงการส่งยานไปสำรวจดวงจันทร์อีกเลย แต่แล้วปี 2018 จีนกลับส่ง "มนุษย์อวกาศ" ไปลงดวงจันทร์ด้านมืดตรงข้ามโลก ทดลองปลูกพืช ในแลปขนาดเล็ก แต่พืชงอกและโตได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ตายเพราะอุณหภูมิผันผวนเย็น ร้อนสุดขั้วในรอบวัน
    ดวงจันทร์ด้านมืดตรึงตรงข้ามโลกมานานกว่า 4,000 ล้านปี จึงไม่มีมนุษย์คนใดส่องกล้องไปเห็น และเป็นด้านที่รับอุกกาบาต รังสีจากดวงอาทิตย์ และห้วงอวกาศมาตลอดอายุหลายพันล้านปีก่อนดวงจันทร์ยังคงมีภูเขาไฟระเบิดรุนแรง มีลาวาไหลไปบนพื้นผิวดาว หินหลอมละลายด้านบนได้เย็นลงและจับตัวแข็ง เกิดการสะสมแร่ธาตุพลังงานที่โลกแทบไม่มี มนุษยอวกาศจีนได้นำดินและหินดวงจันทร์เหล่านั้นกลับมาวิเคราะห์ จนองค์การอวกาศจีนออกรายงานว่าพบ "ธาตุฮีเลียม-3 ที่ด้านมืดดวงจันทร์" น้ำหนักเพียง 3 ช้อนโต๊ะ จะให้พลังงานเทียบเท่าถ่านหิน 5,000 ตัน และมีมากมายพอให้มนุษย์ใช้เป็นพลังงานไปอีก 20,000 ปี แหล่งพลังงานบนดวงจันทร์ คือ "อ่าวเปอร์เซียระบบสุริยะ"
    สามารถใช้แทนธาตุยูเรเนียมในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่มีจุดเด่นกว่าคือไม่ก่อให้เกิดกัมมันตภาพรังสีเหมือนยูเรเนียม แถมมีแร่ Rare earth ต่างๆ เช่น ไทเทเนียม อลูมิเนียม ไฮโดรเจน ซิลิคอน ฯลฯ อีกมากล้น ทำให้จีนสร้างแผนที่แร่ธาตุดวงจันทร์ สร้างสถานีอวกาศของตนเอง และชวนรัสเซีย สร้างสถานีวิจัยถาวรบนดวงจันทร์ด้านตรงข้ามโลกเสร็จภายในปี 2030 สกัดหินแร่ ปลูกพืช ฯลฯ โดยรัสเซียจะถอนตัวจากสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ที่ใช้ร่วมกับสหรัฐ ยุโรป มากว่า 24 ปี และจะสร้างสถานีอวกาศส่วนตัวแบบจีนและเพิ่งเปิดตัวรูปแบบไปเช่นกัน ส่งผลให้อนาคตสถานีอวกาศนานาชาติ จะไม่มีรัสเซียควบคุมระบบทิศทางและความสูงที่เป็นอุปกรณ์รัสเซียเพียงผู้เดียว และจะตกลงสู่โลกในที่สุด
    องค์การ NASA สหรัฐ และองค์การอวกาศยุโรป จึงนั่งไม่ติด เพราะตอนนี้ทำได้แค่ส่งดาวเทียมขนาดเล็กต่างๆ ไปประจำนอกโลก แต่การสร้างสถานีอวกาศใหม่ส่วนตัวนั้นความเป็นไปได้คือ "ศูนย์" NASA แค่หวังว่ารัสเซียจะเมตตา ให้นักบินอยู่ในสถานีอากาศนานาชาติ จนถึงปี 2030 ค่อยมาว่ากันใหม่ แต่สถานการณ์ขัดแย้งยามนี้ดับความฝันของสหรัฐไปแล้ว สิ่งที่สหรัฐ จะทำได้ยามนี้คือ "กู้หน้า" ด้านอวกาศคืนมาบ้างโดยมีโครงการ Artemis จะส่งจรวดขนาดใหญ่ไปสำรวจดวงจันทร์กับเขาบ้างแต่ NASA ไม่เคยมีประสบการณ์ส่งมนุษย์ไปลงบนผิวดวงจันทร์มาก่อน จึงจะไม่มีนักบินอวกาศคนไหนกล้าเสี่ยงกับจรวดขับดันขนาดใหญ่ตัวใหม่ที่ไม่ใช่ของรัสเซีย เพราะเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาทดสอบแล้วเกิดปัญหาจากการรั่วไหลของเชื้อเพลิงและปัญหาอื่นๆ ของอุปกรณ์ ทำให้ NASA ต้องส่งจรวดกลับไปที่โรงเก็บเครื่องบินเพื่อทำการซ่อมแซม
    และทดสอบซ้อมซ้ำครั้งที่ 2 ในเดือน มิ.ย. ก็มีผลการทดสอบดีขึ้นเล็กน้อย และครั้งที่ 3 กำหนดในวันที่ 29 ส.ค.2022 ภายในแคปซูลลูกเรือบนจรวด จึงมีเพียง "มนุษย์เทียม" เป็นหุ่นจำลองคล้ายคน 3 ตัว ที่แปะล้อมด้วยเซ็นเซอร์เพื่อวัดการแผ่รังสีและการสั่นสะเทือนเท่านั้นทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ จากนั้น NASA ฝันว่าจะส่งจรวดขนาดใหญ่ 98 เมตรนี้ออกนอกโลก โดยไม่มีการระเบิดเหมือนครั้งที่ผ่านมา ไปบินวนรอบดวงจันทร์ส่องกล้องมอง วัดแสง วัดความสั่นสะเทือนตามอีเว้นท์ราว 3 สัปดาห์ แล้วให้มุ่งหน้ากลับโลกตกในมหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อให้สหรัฐ ประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ สร้างเป็นตำราเรียน ประโคมสื่อตะวันตกไปอีกหลายปี
    ขณะนี้จรวดของ NASA เคลื่อนตัวไปที่แท่นปล่อยที่ศูนย์อวกาศเคนเนดี สำหรับการบินทดสอบครั้งแรกแล้ว NASA ฝันว่าจะส่งนักบินอวกาศโคจรรอบดวงจันทร์ใน 2 ปี และลงจอดบนดวงจันทร์โดยมนุษย์อย่างเร็วที่สุดในปี 2025 โดยสหรัฐ ยุโรป ฝันว่าจะไปขีดเส้นแบ่งเขตสำรวจแร่ธาตุกับจีน ไม่ให้จีน กับรัสเซีย ล้ำเส้นเขตสำรวจแร่ของสหรัฐ และพวก..ฝันต่อไปอีกสักนิด ทดสอบต่ออีกสักหน่อย อีกไม่กี่ทศวรรษก็ทันจีน และรัสเซียแล้ว..สู้ต่อไป ชนะฝันค้างแน่นอน 1f680.png 1f92d.png 1f602.png
    ที่มา : abcnews , RTnews
    #WorldUpdate

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เจอเป ยอดขุนพลของเจงกีสข่าน อาจารย์ก๊วยเจ๋ง
    ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน
    โดย : วิภู เอี่ยมน้อย
    ท่านที่เคยอ่านหรือชมภาพยนตร์เรื่องมังกรหยก จากบทประพันธ์ของ “กิมย้ง” คงจำได้ดีถึงอาจารย์คนแรกที่สอนวิชายิงธนูให้เด็กน้อยก๊วยเจ๋ง ผู้เป็นตัวเอกของเรื่อง
    เจอเปผู้นี้มีตัวตนอยู่จริง และประกอบวีรกรรมไว้มากมาย เรื่องของจอมธนูผู้นี้จะเป็นอย่างไรวันนี้ คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน จะเล่าให้ฟังกันครับ
    ดินแดนมองโกเลีย ในปี ค.ศ.1201 สงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจในสมาพันธ์ชนเผ่าคามัคมองโกล (Khamag Mongols) ที่ดำเนินมานานนับสิบปี ใกล้จะถึงจุดชี้ขาด
    การรบที่แม่น้ำคัลคา.
    เตมูจิน หัวหน้าเผ่าคียัต ซึ่งเป็นหนึ่งในเผ่าย่อยของสมาพันธ์ ได้รับเลือกจากบรรดาหัวหน้าเผ่าย่อยที่อยู่ในอาณาเขตทางตะวันออก ให้ขึ้นเป็นข่านแห่งมองโกล ขณะที่สหายร่วมสาบานในวัยเด็ก ที่บัดนี้กลายมาเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา จามูฮา หัวหน้าเผ่าจาดารัน ก็ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาหัวหน้าเผ่าย่อยทางตะวันตก รวมถึงตาร์กูได หัวหน้าเผ่าไทชีอู หนึ่งในสามเผ่าใหญ่ของชนเผ่ามองโกลและเป็นศัตรูตัวฉกาจของ
    เตมูจิน ให้เป็นเกอร์ข่าน (Gur Khan) หรือผู้นำสูงสุดเช่นกัน
    ฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ.1201 ข่านเตมูจินนำทหารม้าคียัตและชนเผ่าตะวันออก รวมกว่าสองหมื่นนาย พร้อมด้วยทหารม้าเผ่าเคอเรอิทที่เป็นพันธมิตรอีกหลายพันนาย เข้าเผชิญหน้ากับจามูฮา ที่มีทหารม้ากว่าสามหมื่น โดยนอกจากเผ่าจาดารัน เผ่าไทชีอูและชนเผ่าตะวันตกแล้ว จามูฮายังได้กำลังเสริมจากศัตรูเก่าของเตมูจินที่เหลือรอดจากการถูกพวกมองโกลกวาดล้างไปก่อนหน้านั้น คือชนเผ่าตาร์ตาและชนเผ่าเมอร์คิทด้วย
    สองฝ่ายเปิดศึกใหญ่ในการรบที่เรียกว่า ศึกสิบสามปีก ซึ่งถือเป็นศึกที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชนเผ่ามองโกล โดยหลังการรบนองเลือดจบลง เตมูจินก็ได้รับชัยชนะ สามารถทำลายล้างศัตรูจนย่อยยับ จามูฮาหนีรอดไปได้พร้อมกับทหารไม่กี่คน ส่วนตาร์-กูไดถูกฆ่าระหว่างหลบหนี ซึ่งชัยชนะครั้งนี้ทำให้เตมูจินได้เป็นข่านของสมาพันธ์มองโกลอย่างสมบูรณ์
    ระหว่างการรบในศึกสิบสามปีก เตมูจินถูกธนูยิงเฉี่ยวซอกคอจนบาดเจ็บสาหัส หลังชนะศึก เขาจึงสั่งให้สอบสวนเหล่าเชลย โดยประกาศว่าจะหาตัวคนที่ใช้ธนูยิงม้าของเขาตายระหว่างทำการรบ ซึ่งสาเหตุที่เตมูจินไม่ให้ประกาศไปตามความจริง เพราะเกรงศัตรูจะรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ
    หลังออกประกาศไป นักรบหนุ่มชื่อ เซอการ์ได จากตระกูลเบซุดแห่งเผ่าไทชีอู ได้ออกมาแสดงตัวว่าเขาเป็นคนยิงธนู และตั้งใจยิงธนูดอกนั้นใส่เตมูจิน ไม่ใช่ม้า
    เตมูจินได้ถามเซอการ์ไดว่าจะให้ลงโทษเช่นไรสำหรับความผิดร้ายแรงครั้งนี้ นักรบหนุ่มได้ตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “หากท่านปรารถนาให้ข้าตาย วันนี้ก็คือวันสุดท้ายของข้า แต่หากวันนี้ ชีวิตข้าไม่ได้สิ้นสุด ข้าขอสาบานว่าจะรับใช้ท่านด้วยความภักดีไปตลอดชีวิต”
    ท่าทีที่อาจหาญของอีกฝ่าย ทำให้เตมูจินที่ประเมินคุณค่าของคนจากความกล้าหาญและความสามารถ รู้สึกชื่นชมความกล้าและฝีมือการยิงธนูของเซอการ์ได จึงยกโทษให้และรับนักรบหนุ่มเป็นนายทหาร โดยเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า เจอเป ซึ่งในภาษามองโกลแปลว่า ลูกธนู
    หลังสวามิภักดิ์ต่อเตมูจินเจอเปได้แสดงฝีมือในการศึกจนเป็นที่ประจักษ์หลายครั้ง โดยหลังจากมาอยู่กับเตมูจินได้เพียงสามปี เขาก็ได้เป็นหนึ่งในสามยอดขุนพลแห่งมองโกล ร่วมกับมูวาลีและสุโบไต
    หลังชัยชนะในศึกสิบสามปีก อำนาจของเตมูจินก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและภายในไม่กี่ปี ทั้งศัตรูและผู้ที่ต่อต้านเขาก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น รวมทั้งจามูฮา อดีตเพื่อนร่วมสาบาน
    ปี ค.ศ.1206 เตมูจินสามารถผนวกรวมสมาพันธ์ชนเผ่าทั้งห้าแห่งท้องทุ่ง คือ มองโกล เคอเรอิท เมอร์คิท ตาร์ตา ไนมาน ได้สำเร็จและสถาปนาอาณาจักรมองโกล พร้อมกับขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด และใช้ชื่อว่า ชินกีสข่าน (หรือ เจงกีสข่าน)
    เจงกีสข่าน.
    หลังสถาปนาอาณาจักร เจงกีสข่านยกทัพไปทำศึกกับอาณาจักรซีเซี่ยของชาวตันกุตและบีบให้ซีเซี่ยยอมเป็นประเทศราชได้ในปี ค.ศ.1209 ต่อมาในปี ค.ศ.1211 เจงกีสข่านก็เปิดศึกกับอาณาจักรต้าจินของชนชาติหนี่เจิน ซึ่งเวลานั้นได้ปกครองภาคเหนือของจีน
    ในช่วงแรกของสงครามมองโกล-ต้าจินเจอเปได้ร่วมกับสุโบไต รับหน้าที่คุมทัพปีกซ้ายและเข้ายึดเมืองของต้าจินได้สองเมือง ก่อนทำลายกองทัพต้าจินที่เมืองหวู่ซา จากนั้นจึงไปรวมพลกับกองทัพใหญ่ของเจงกีสข่านเพื่อเข้าทำศึกที่เขาเย่หู่หลิน โดยทหารมองโกลหนึ่งแสนนาย สามารถทำลายล้างทัพใหญ่ของต้าจินซึ่งมีรี้พลถึงสี่แสนได้ที่นั่น
    หลังการรบที่เย่หู่หลิน เจอเปได้รับคำสั่งให้เข้าตีเมืองเหลียวหยาง ขณะที่ทัพใหญ่ของมองโกลบุกยึดพื้นที่รอบนครจงตู เมืองหลวงของต้าจินในการรบที่เหลียวหยางนั้น แม้ว่ากองทัพหนี่เจินจะมีกำลังมากกว่า แต่พวกเขากลับเลือกที่จะขังตัวเองอยู่ในเมือง โดยไม่ยอมออกรบเพื่อหมายรอให้ฝ่ายมองโกลอ่อนแรงแล้วจึงเข้าโจมตี เจอเปรู้ทันความคิดข้าศึก จึงทำอุบายลวงอีกฝ่ายออกนอกเมือง โดยแกล้งทำเป็นถอยทัพ เมื่อพวกหนี่เจินเห็นดังนั้น จึงยกพลออกไล่ตามหมายโจมตี ทว่าฝ่ายมองโกลได้ทิ้งทรัพย์สินมีค่าไว้กลาดเกลื่อน ทำให้พวกหนี่เจินที่ตามมามัวเก็บสมบัติจนเกิดความวุ่นวาย เปิดโอกาสให้กองทัพมองโกลย้อนกลับมาโอบล้อมและเข้ากวาดล้างทหารหนี่เจินจนราบคาบ ก่อนจะยกทัพกลับไปยึดเมืองเหลียวหยางได้สำเร็จ
    จากนั้นในปี ค.ศ.1213 เจงกีสข่านส่งเจอเปนำทัพไปตีด่านจูหยง โดยหลังจากตีได้ เจอเปได้นำทัพไปรวมกับมูวาลีและสุโบไต เข้าโจมตีและยึดเมืองต่างๆทางตะวันออกและบีบให้อาณาจักรต้าจินยอมจำนนในปี ค.ศ.1214 และทำสัญญาสงบศึกพร้อมกับถวายเครื่องบรรณาการเพื่อให้มองโกลยกทัพกลับ (ทว่าไม่กี่ปีต่อมา กองทัพมองโกลก็กลับมาอีกครั้ง หลังเจงกีสข่านทรงทราบข่าว จักรพรรดิองค์ใหม่ของหนี่เจิน ย้ายเมืองหลวงหนีข้ามแม่น้ำหวงเหอลงไปทางใต้และมีท่าทีจะรวมพลทำศึกอีกครั้ง โดยทัพมองโกลได้เข้าปิดล้อมและทำลายเมืองจงตู (ปักกิ่งในปัจจุบัน) ในปี ค.ศ.1218)
    ปี ค.ศ.1216 คุชลัก โอรสของตาร์ยังข่าน อดีตผู้นำสมาพันธ์ชนเผ่าไนมานที่หนีไป หลังตาร์ยังข่านถูกสังหารและชนเผ่าไนมานถูกกองทัพมองโกลพิชิต เมื่อปี ค.ศ.1204 ได้ไปลี้ภัยอยู่ที่อาณาจักรคาราคีไต หรือซีเหลียว
    เยลู่จื่อลู่กู กษัตริย์แห่งคาราคีไตทรงโปรดปรานคุชลักมาก จนยกพระธิดาให้ ทว่าหลังเป็นราชบุตรเขยได้ไม่นาน คุชลักก็ยึดอำนาจและจับเยลู่จื่อลู่กูคุมขังจนสิ้นพระชนม์ ซึ่งการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ ทำให้เกิดแรงสะเทือนในคาราคีไต นอกจากนี้ คุชลักซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ ยังมีนโยบายกดขี่ชาวมุสลิมในอาณาจักรจนทำให้เกิดการต่อต้าน ซึ่งคุชลักก็ได้สั่งให้จับอิหม่ามแห่งโฮตัน ตรึงไว้กับประตูโรงเรียนสอนศาสนาจนตาย เพื่อข่มขวัญพวกที่ต่อต้าน แต่กลับทำให้ความไม่พอใจแผ่ขยายมากขึ้น
    ต่อมาในปีเดียวกัน คุชลักได้ส่งกองทัพเข้าตีอัลมาลิค ซึ่งเป็นแคว้นของชาวอุยกูร์ ที่ยอมสยบให้เจงกีสข่าน พวกอุยกูร์จึงส่งสารมาขอความช่วยเหลือ โดยเมื่อเจงกีสข่านได้รับสาร จึงมีบัญชาให้เจอเปนำทหารม้าสองหมื่นไปจัดการกับคุชลัก
    เจอเปนำทัพเผชิญหน้ากับทัพม้าสามหมื่นของคุชลักและบดขยี้อีกฝ่ายจนยับเยิน ก่อนบุกถึงกรุงบาลาซากัน เมืองหลวงของคาราคีไต หลังพ่ายศึก คุชลักได้นำทหารที่เหลือหนีออกจากเมืองไปทางใต้ ก่อนไปตั้งมั่นที่เมืองคาชการ์ ทว่าเมืองนี้มีพลเมืองส่วนใหญ่เป็นมุสลิมที่ไม่พอใจคุชลัก จึงเกิดการกระด้างกระเดื่อง
    เมื่อเจอเปทราบถึงความขัดแย้งในคาราคีไต จึงปล่อยข่าวไปว่า ทัพมองโกลมาเพื่อช่วยชาวมุสลิมกำจัดคุชลักและยังให้ประกาศด้วยว่า เจงกีสข่านทรงให้เสรีภาพแก่ทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน (ความข้อนี้เป็นเรื่องจริง) ซึ่งไม่นานข่าวนี้ก็ไปถึงเมืองคาชการ์ และเมื่อเจอเปนำทัพเข้าใกล้คาชการ์ พวกชาวเมืองก็ลุกฮือขึ้นก่อกบฏรุมฆ่ากองทหารของคุชลัก ขณะที่คุชลักได้ตัดสินใจขี่ม้าหนีออกจากเมืองตามลำพัง แต่ถูกพวกนายพรานจับตัวได้แถบเทือกเขาปาร์มีและถูกส่งตัวให้พวกมองโกล คุชลักถูกตัดหัวและอาณาจักรคาราคีไตก็สวามิภักดิ์ต่อกองทัพมองโกล
    เมื่อเจงกีสข่านทรงทราบว่าเจอเปได้สังหารคุชลักและพิชิตคาราคีไตแล้ว แม้จะทรงยินดีมาก แต่พระองค์ก็ได้ตรัสว่า เจอเปเก่งกาจยิ่งนัก จนพระองค์ไม่แน่ใจว่า วันหนึ่งเขาจะมีความทะเยอทะยาน จนคิดกบฏต่อพระองค์หรือไม่
    เมื่อเจอเปได้ทราบเรื่อง ก็รีบนำทัพกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับนำม้าสีขาวล้วน ซึ่งเป็นม้าแบบเดียวกันกับเจงกีสข่านขี่ในวันที่พบกับเจอเปครั้งแรก จำนวน 100 ตัว มาถวายเจงกีสข่าน และเมื่อเจงกีสข่านได้เห็นเช่นนั้น ก็ไม่ทรงสงสัยในความภักดีของเขาอีก
    ในปี ค.ศ.1219 หลังจากโมฮัมเหม็ด ชาห์ สุลต่านแห่งอาณาจักรควาเรซ ในเอเชียกลาง สังหารทูตของเจงกีสข่านที่ไปทวงความยุติธรรม กรณีเจ้าเมืองโอตราของควาเรซ ได้สั่งประหารคาราวานพ่อค้าชาวมองโกล 500 คน ด้วยข้อหาเป็นสายลับ เจงกีสข่านจึงนำทหาร 120,000 นาย บุกควาเรซซึ่งมีกำลังทหารอยู่ทั่วทั้งอาณาจักรกว่าสามแสนคน
    เจอเปได้รับคำสั่งให้คุมทัพข้ามเทือกเขาเทียนชานเข้าโจมตีหุบเขาเฟอร์กานา โดยเขาได้นำทัพบุกข้ามเทือกเขาในฤดูหนาวซึ่งมีหิมะหนาถึงห้าฟุตและเอาชนะกองทัพทหารม้าห้าหมื่นคนของควาเรซ ก่อนจะบุกลงใต้และตัดอาณาจักรเป็นสองส่วน ก่อนย้อนกลับไปสมทบกับทัพใหญ่ของเจงกีสข่านที่กรุงซามาร์คันด์ เมืองหลวงของควาเรซ
    การบุกโจมตีของทัพเจอเป ทำให้โมฮัมเหม็ด ชาห์ ไม่สามารถรวมกำลังจากเมืองต่างๆได้ จากนั้นเจงกีสข่านก็มีบัญชาให้เจอเปและสุโบไตนำทหารสองหมื่นออกไล่ล่าโมฮัมเหม็ด ชาห์
    เจอเปและสุโบไตนำทัพไล่ล่าโมฮัมเหม็ด ชาห์ ที่หนีไปทั่วอาณาจักร จนท้ายที่สุดพระองค์ก็หนีข้ามไปอยู่บนเกาะเล็กๆกลางทะเลสาบแคสเปียนและป่วยตายที่นั่น
    แม้จะจับตัวโมฮัมเหม็ด ชาห์ ไม่ได้ แต่การไล่ล่าของสองแม่ทัพ ก็ทำให้โมฮัมเหม็ด ชาห์ ไม่สามารถตั้งฐานเพื่อรวบรวมกองทัพมาสู้กับมองโกลได้
    ในปี ค.ศ.1223 ขณะที่เจอเปและสุโบไตไล่ล่าชาห์แห่งควาเรซมาถึงริมทะเลสาบแคสเปียน และไม่อาจตามจับชาห์ได้ แม่ทัพทั้งสองจึงตัดสินใจเคลื่อนทัพสำรวจพื้นที่รอบทะเลสาบก่อนกลับไปมองโกล
    เจอเปและสุโบไตนำทหารม้าสองหมื่นเคลื่อนทัพเป็นระยะทางถึง 12,300 กิโลเมตร และเอาชนะทุกกองทัพตามเส้นทางที่ผ่าน ทั้งสองได้พิชิตกองทัพชาวจอร์เจีย ชาวคูมานและชนเผ่าต่างๆแถบคอเคซัส สร้างตำนานการรบที่ยากจะมีใครเทียบได้
    ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่คือ การรบกับกองทัพเคียฟและรัสเซีย ที่แม่น้ำคัลคา ในวันที่ 31 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1223 ซึ่งกองทหารม้ามองโกลสองหมื่นนาย ที่นำโดยเจอเปและสุโบไตพิชิตทหารหกหมื่นนาย ที่นำโดยเจ้าชาย 11 พระองค์ โดยสามพระองค์สิ้นพระชนม์ในสนามรบพร้อมทหารเกือบห้าหมื่น ขณะที่อีกหกพระองค์ถูกจับ และถูกประหารด้วยการใช้แผ่นไม้กดทับจนสิ้นพระชนม์ ตามธรรมเนียมมองโกลที่จะสังหารชนชั้นสูงโดยไม่ให้เลือดตกถึงพื้น
    หลังการรบที่แม่น้ำคัลคา เจอเปและสุโบไตได้เคลื่อนทัพกลับมองโกล พร้อมเชลยศึกและทรัพย์สินจำนวนมาก ทว่าระหว่างยกทัพกลับ แม่ทัพเจอเปได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ โดยเอกสารมองโกลได้บันทึกไว้ว่า เจอเปเสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับมองโกเลีย แต่ไม่มีการบอกสาเหตุที่แน่ชัด เดิมเชื่อกันว่า เขาอาจเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย แต่ต่อมาได้มีนักประวัติศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า เจอเปอาจเสียชีวิตจากการซุ่มโจมตีของพวกคิปชัค อย่างไรก็ตาม สาเหตุการตายที่แท้จริงของเจอเป ยังคงเป็นเรื่องลึกลับ
    ในฐานะของแม่ทัพผู้หนึ่ง เจอเปได้สร้างตำนานของขุนพลผู้พิชิต ทั้งในสมรภูมิที่จีน ที่เอเชียกลาง และที่ยุโรป โดยเปรียบเสมือนลูกธนูที่พุ่งทะลวงไป โดยไม่มีสิ่งใดขวางได้.
    ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน
    โดย : วิภู เอี่ยมน้อย
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ขี้จิ้งจก ทำไมมีสองสี

    ทำไมมีสองสี เพื่อนๆเคยสังเกตุกันบ้างหรือเปล่า ถ้าสังเกตุจะเห็นว่ามีสีดำและสีขาวแยกกัน

    ขี้จิ้งจกที่มีสองสีคือสีดำ กับสีขาวนั้น สีดำคืออุจจาระ ส่วนสีขาวคือปัสสาวะ โดยเวลามันถ่ายจะ

    ถ่ายออกมาพร้อมกัน ทางช่องทวารเดียวกัน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ปีกจะขับถ่ายเช่นนี้
    ซึ่งแตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ขงเบ้ง ผู้สั่งให้ทำหมั่นโถว

    "หัวของชาวหนานหมาน สู่อาหารจานโปรด"

    ย้อนหลังไปประมาณปี พ.ศ.768 เมื่อพระเจ้าเล่าเสี้ยน (โอรสพระเจ้าเล่าปี่) เสวยราชย์ ณ อาณาจักรจ๊กก๊ก (ก๊กหนึ่งในสามก๊ก) หรืออาณาจักรเสฉวน ยงคี,จูโพ และ โกเตง ผู้ครองสามเมืองทางใต้ของอาณาจักรจ๊กก๊ก เป็นกบฏ ไปคบคิดกับ "เบ้งเฮ๊ก" เจ้าเมืองมันอ๋อง ยกทัพมาตีชายแดนทางใต้ของอาณาจักรเสฉวน ดังนั้น "ขงเบ้ง" จึงต้องยกทัพไปปราบปราม

    ในการไปทำศึกครั้งนี้ ขงเบ้งต้องการทรมาน ให้ "เบ้งเฮ็ก" ยอมศิโรราบแต่โดยดี ไม่คิดกลับใจมารุกรานอาณาจักรเสฉวนอีก เมื่อจับเบ้งเฮ็กได้จึงปล่อยไปถึง 6 ครั้ง พอครั้งที่ 7 เมื่อจับเบ้งเฮ็กได้อีก เบ้งเฮ็กก็ยอมศิโรราบให้กับขงเบ้ง

    เมื่อได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดแล้ว ขงเบ้งก็ยกทัพกลับเสฉวน เบ้งเฮ็กและชาวเมืองก็ตามมาส่ง พอถึงแม่น้ำลกซุย (หลูซุ่ยหรือแม่น้ำจินซาเจียงในปัจจุบัน) ก็เกิดอาเพศ สำนวนสามก๊กเขียนว่า "ในแม่น้ำนั้นมืดเป็นหมอกจะข้ามไปนั้นขัดสน"

    ขงเบ้งจึงถามเบ้งเฮ็กว่า "เหตุผลทั้งนี้เป็นประการใด"

    เบ้งเฮ็กจึงตอบว่า "อันแม่น้ำนี้มีปีศาจสำแดงฤทธิ์ แต่ก่อนมาก็เคยเป็นอยู่ ขอให้ท่านเอาศีรษะคนสี่สิบเก้าศีรษะ กับม้าเผือกกระบือดำมาเซ่นบวงสรวงจึงจะหาย"

    ขงเบ้งจึงว่า "เราทำศึกกับท่านจนสำเร็จการ แผ่นดินราบคาบถึงเพียงนี้ คนแก่คนหนึ่งก็มิตายเพราะมือเรา บัดนี้กลับมาถึงแม่น้ำลกซุยจะเข้าแดนเมืองอยู่แล้ว จะมาฆ่าคนเสียนั้นไม่ชอบ"

    ขงเบ้งจึงให้หาชาวบ้านมาสืบถามได้ความว่า เมื่อตนเองยกทัพข้ามแม่น้ำนี้ไป ก็เกิดเหตุทุกวัน คือเวลาพลบค่ำไปจนสว่าง จะมีเสียงปีศาจร้องอื้ออึงไป มีหมอกควันเป็นอันมาก

    ขงเบ้งจึงว่า "เหตุทั้งนี้เพราะโทษของตัวเราเอง เมื่อครั้งเราให้ม้าต้ายคุมทหารพันหนึ่งยกมานั้น ทหารทั้งปวงก็ตายอยู่ในแม่น้ำนี้สิ้น แล้วเมื่อทำศึกอยู่นั้น ทหารเบ้งเฮ็กก็ล้มตายอยู่ในที่นี้เป็นอันมาก ปีศาจทั้งปวงผูกเวรเราจึงบันดาลให้เป็นเหตุต่างๆ เราจะคิดอ่านทำการคำนับให้หายเป็นปรกติจงได้"

    ขงเบ้งจึงสั่งให้ทหารฆ่าม้าเผือกกระบือดำ แล้วเอาแป้งมาปั้นเป็นศีรษะคนสี่สิบเก้าศีรษะ พอเวลากลางคืนก็ยกออกไปตั้งไว้ริมน้ำ จุดธูปเทียนและประทีปสี่สิบเก้า แล้วแต่งหนังสืออ่านบวงสรวงเป็นใจความว่า

    "บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนครองราชสมบัติได้สามปี มีรับสั่งใช้เราผู้เป็นมหาอุปราชให้ยกทหารมาปราบปรามข้าศึกต่างประเทศ เราก็ตั้งใจสนองพระคุณความสัตย์ตั้งใจมา กับเราหวังจะทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยน ยังไม่ทันสำเร็จท่านตายเสียก็มีบ้าง ท่านทั้งปวงจงกลับไปเมืองกับเราเถิด ลูกหลานจะได้เซ่นคำนับตามธรรมเนียม เราจะกราบทูลพระจ้าเล่าเสี้ยน ให้พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่สมัครพรรคพวกพี่น้องท่านให้ถึงขนาด ฝ่ายทหารเบ้งเฮ็กซึ่งตายอยู่ในที่นี้ก็ดี ให้เร่งหาความชอบอย่ามาวนเวียนทำให้เราลำบากเลย จงคิดถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนซึ่งครองราชสมบัติเป็นธรรมประเพณีกษัตริย์แต่ก่อน แลเห็นแก่เราผู้มีความสัตย์ จงรับเครื่องเซ่นเราแล้วกลับไปอยู่ถิ่นฐานเถิด"

    เมื่ออ่านหนังสือเสร็จแล้ว ขงเบ้งก็จุดประทัดตีม้าล่อแล้วร้องไห้รักทหารซึ่งตายนั้นเป็นอันมาก แลพายุและคลื่นละลอกซึ่งเกิดนั้นก็สงบเป็นปรกติ ขงเบ้งจึงยกทัพกลับไปเมืองเสฉวนได้

    สมัยนั้นชนพื้นเมืองทางใต้ของอาณาจักรเสฉวน เรียกพวกของตนเองว่า พวก "หนานหมาน หรือหนันหมัน (南蛮)"

    แป้งปั้นแทนศีรษะคนแล้วนำไปนึ่ง ถูกเรียกว่า "หม่านโถว (蛮头)" แปลว่า "หัวของชาวหนานหมาน" และเนื่องจากคำเรียกในภาษาจีนดั้งเดิมฟังดูโหดร้ายเกินไป ภายหลังจึงได้มีการเปลี่ยนมาใช้ตัวอักษรที่บ่งชี้ว่าเป็นอาหาร (馒) แทนตัวอักษรที่หมายถึงพวกหนานหมัน (蛮) อย่างเช่นในอดีต

    คำว่า "หม่านโถว" นานเข้าก็แผลงเป็น "หมั่นโถว " และทำตกทอดกันมาจนแพร่หลายไปทั่ว โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ได้กลายมาเป็นอาหารที่ชาวจีนเหนือนิยมรับประทานกันเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่าง ( คนจีนทางภาคเหนือนิยมเรียก ‘เปาจึ’ -包子 หรือซาลาเปา )

    หมั่นโถวที่เราทาน ทำจากแป้งหมี่นึ่งให้ร้อน ส่วนซาลาเปาก็คือ หมั่นโถวที่มีใส้นั่นเอง

    ขอบคุณข้อมูลจาก
    https://www.gotoknow.org/posts/27241
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ตำนานวังแม่ลูกอ่อน

    1 ท่านเศรษฐี มีลูกสาว ขาวหมดจด
    ใบหน้านั้น งามงด สง่าศรี
    วัยของนาง ย่างเข้า ดรุณี
    ก็เริ่มมี ความรัก สลักใจ

    2 หนุ่มชาวนา หน้ามน แสนยากจน
    ทุกข์ระกำ ลำบาก แบกคันไถ
    เศรษฐีเตือน สอนลูก ไม่ถูกใจ
    แอบหนีตาม กันไป คิดดื้อดึง

    3 เศรษฐีต้อง ร้องไห้ ช้ำใจนัก
    ใยลูกรัก ทำได้ ไม่นึกถึง
    วันใดลูก ตกยาก ให้คำนึง
    พ่อแม่คือ ที่พึ่ง จงกลับมา

    4 ผัวชาวนา พาเมียสาว ลูกเศรษฐี
    สร้างครอบครัว เลี้ยงชีวี ตามประสา
    เมียเริ่มท้อง ตั้งครรภ์ เป็นมารดา
    ลูกคนแรก เกิดมา ช่างซุกซน

    5 ความจนยาก แสนเข็ญ มองเห็นทุกข์
    งานที่ทำ ขลักขลุก สุดขัดสน
    เผาถ่านขาย รายได้ น้อยเหลือทน
    เกิดกังวล เมียตั้งท้อง คนสองแล้ว

    6 นั่งหันหน้า ปรึกษา ว่าชีวิต
    ต้องทบทวน หวนคิด ให้แน่แน่ว
    ลูกอีกคน จะเกิด มาเป็นแนว
    ตัดสินใจ กันแล้ว กลับบ้านตน

    7 เก็บข้าวของ ขึ้นบ่า สามีแบก
    เมียอุ้มลูก คนแรก เดินกรำฝน
    สุริยา บ่ายคล้อย พยับยล
    ถึงโคนต้น ไทรใหญ่ ได้พักพิง

    8 ฝนยังพรำ กรำอยู่ ไม่ยอมหยุด
    ลูกร้องหิว มากที่สุด แล้วแม่จ๋า
    พ่อได้ยิน ควานมือไป หยิบกล้วยมา
    ในตะกร้า มีเตรียมไว้ ให้ลูกกิน

    9 ทันใดนั้น เมียร้องโอย โอ๊ยปวดท้อง
    พี่จ๋าพี่ คราวนี้ต้อง ดับแดดิ้น
    ผัวหน้าตื่น บอกว่า มียากิน
    จะไปหา ให้หมดสิ้น ในพงไพร

    10 สายฝนยัง กระหน่ำ ค่ำยันดึก
    ลูกเศรษฐี ใจระทึก ทนไม่ไหว
    ฝ่ายผัวฝ่า ความมืด วิ่งเร็วไว
    เหยียบงูใหญ่ ฉกกัด สะบัดแรง

    11 เจ็บเสียวแปลบ เข้าหัวใจ ไถลลื่น
    ล้มทั้งยืน ชีวาสิ้น ลิ้นคางแข็ง
    อรุณเรื่อ สุริยา ทาบฟ้าแดง
    เมียเห็นร้อง สุดแรง คลอดลูกยา

    12 อนิจจา น่าสงสาร ลูกเศรษฐี
    หมดสิ้นแล้ว สามี ร่วมเคหา
    อุ้มลูกน้อย เกิดใหม่ เดินทางมา
    พบคงคา กว้างใหญ่ ในทางเดิน

    13 บอกลูกชาย รอแม่ อยู่ที่นี่
    น้ำในนี้ ลึกมาก ไม่ตื้นเขิน
    แม่จะพา น้องเจ้า ทูนหัวเทิน
    ถ้าแม่เดิน ถึงแล้ว จะรับไป

    14 ทูนลูกน้อย ถึงฝั่ง วางไว้ก่อน
    แล้วลุยย้อน กลับมา รับลูกใหญ่
    ถึงกลางน้ำ มีเหยี่ยว โฉบลูกไป
    นางตกใจ โบกมือว่อน อ่อนสิ้นแรง
    ลูกชายใหญ่ เห็นแม่ โบกมือว่อน
    คิดว่าแม่ เรียกวอน ให้แถลง
    ก้าวลงน้ำ หาแม่ ไม่ระแวง
    ร่างจมหาย นางเห็นแจ้ง กระจ่างตา

    15 นางปวดร้าว เศร้าใจ อาลัยยิ่ง
    หมดสิ้นแล้ว ทุกสิ่ง สุดโหยหา
    ขอจมลับ ร่างไป ในคงคา
    กับลูกยา เฝ้าวังวน ให้คนลือ
    จวบวันนี้ ที่ริมฝั่ง ยังสถิต
    ฝากแนวคิด สะเทือนใจ ให้ยึดถือ
    ชีวิตคน เดินทางผิด คิดฝึกปรือ
    มีปัญหา ผู้ใหญ่คือ ผู้แนะนำ
    ท่านผู้อ่าน ทั้งหลาย ให้พินิจ
    เลี้ยงลูกจง ใกล้ชิด อย่าถลำ
    ถ้าลูกพลาด ให้อภัย สอนให้จำ
    คงไม่ช้ำ เสียใจ ใช่ไหมเอย.
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    แกะความหมาย 13 หลัก เลขรหัสบัตรประชาชน

    สำหรับฝรั่งนั้น เขาจะถือว่าเลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล โดยเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13 คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย อย่างไรก็ดี แม้ว่าเลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยโดยทั่วไป ไม่ได้ถือกับตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่าคงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้

    สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้

    หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่

    ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี

    ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า

    ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527)หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9

    ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง

    การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ

    ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9

    ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12

    ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133

    ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7

    คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้

    ต่อไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น

    สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น

    หลักที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ

    หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที

    สำหรับเลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ

    เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548

    ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น อันเป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้

    ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เรื่องรักต้องห้ามของพระสุริยภักดี

    หนังสือโครงกระดูกในตู้ ของมรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีใจความว่า
    "เหตุเกิดเมื่อร้อยยี่สิบห้าปีมาแล้ว อ้ายพลายอีทรัพย์ทาสคุณสุริยภักดี ทำเรื่องราวยื่นต่อเจ้าพระยาธรรมาว่าคุณสุริยภักดีรักใคร่กับเจ้าจอมอิ่มในรัชกาลที่ ๓

    คุณสุริยภักดีกับเจ้าจอมอิ่มติดต่อให้ข้าวของกัน และเจ้าจอมอิ่มสั่งให้มาบอกกับคุณสุริยภักดีว่าจะลาออกจากราชการมาอยู่บ้านพ่อแม่เสียชั่วคราวก่อน แล้วจึงให้คุณสุริยภักดีส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอ

    พระสำราญราชหฤทัย (อ้าว) รู้เห็นเป็นใจด้วย จะช่วยสู่ขอเจ้าจอมอิ่มต่อพระยามหาเทพ ผู้เป็นบิดาเจ้าจอมอิ่มให้

    เมื่อเจ้าพระยาธรรมานำความกราบบังคมทูล ก็โปรดฯ ให้ กรมหลวงรักษ์รณเรศร์ (หม่อมไกรสร ต้นตระกูลพึ่งบุญ) เป็นตุลาการ ชำระได้ความว่า คุณสุริยภักดีและเจ้าจอมอิ่ม เป็นแต่ให้หนังสือเพลงยาวและข้าวของกันเท่านั้น ไม่เคย พบปะพูดจากันที่ใด

    การชำระความได้เกี่ยวข้องไปถึงคนอื่นอีกถึง ๗ คน คือ ผู้ที่รู้เห็น เช่น พระสำราญราชหฤทัย เป็นกรมวัง รู้แล้วก็นิ่งเสีย ตลอดจนคนอื่นที่เกี่ยวข้องกันทั้งสองฝ่าย หมอดูหมอเสน่ห์ที่รู้เรื่อง เมื่อตุลาการนำความกราบบังคมทูลแล้ว

    ผู้ใหญ่เล่ากันว่า พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าฯ มีพระกระแสรับสั่งให้สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย ซึ่งขณะนั้นเป็นพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดีขึ้นไปเฝ้าฯ แล้วมีพระราชดำรัสว่า

    คุณสุริยภักดีนั้นยังเป็นหนุ่มคะนอง ย่อมจะทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่รู้ผิดรู้ชอบ ตุลาการก็ได้กราบบังคมทูลขึ้นมาแล้วว่า คุณสุริยภักดีมิได้พบปะกับเจ้าจอมอิ่มเลย จึงมีพระกรุณาจะยกโทษให้

    แต่เมื่อเรื่องราวอื้อฉาวมีโจทก์ฟ้องขึ้นมาเช่นนี้ จะทรงพระกรุณานิ่งเสียก็ไม่ได้ จึงทรงพระราชดำริเห็นว่า สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยควรจะขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นมา และทำทัณฑ์บนไว้ให้แก่คุณสุริยภักดี ก็จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษให้

    แต่สมเด็จ เจ้าพระยาองค์น้อย ท่านกราบบังคมทูลว่า ท่านเองเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย เมื่อบุตรของท่านเองทำผิดบทพระอัยการร้ายแรงถึงเพียงนั้น หากไม่ลงพระราชอาญาไปตามโทษานุโทษแล้ว ก็จะเสียหาย แก่แผ่นดินยิ่งนัก เหมือนกับว่าถ้าเป็นบุตรของท่านแล้วย่อมจะทำอะไรทำได้ไม่เป็นผิด

    จึงขอพระราชทานให้ลงพระอาญาตามแต่ลูกขุนจะปรึกษาโทษเถิด พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดฯ ให้ลูกขุนปรึกษาโทษตามที่ท่านกราบบังคมทูล ลูกขุนเชิญบทพระกฤษฎีกาออกมาดูแล้ว ปรากฎในบทพระกฤษฎีกาว่า

    ชายใดบังอาจสมรักด้วยนางใน ก็ให้ประหารชีวิตเสียทั้งชายหญิง ส่วนผู้ที่รู้เห็นเป็นใจ ก็ให้ประหารชีวิตเสียด้วย

    ลูกขุนที่กล่าวนี้คือ ลูกขุนศาลา เมื่อในขณะนั้นสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย ท่านเป็นถึงตำแหน่งพระยาศรีพิพัฒน์ฯ ท่านก็ต้องอยู่ในคณะลูกขุนนั้นด้วย และเมื่อลูกขุนนำความกราบบังคมทูลแล้ว ก็โปรดฯ ให้เป็นไปตามคำลูกขุนปรึกษา

    คุณสุริยภักดี เจ้าจอมอิ่ม และคนที่เกี่ยวข้องอีก ๗ คน ก็ถูกประหารชีวิตที่ตำบลสำเหร่

    การที่สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยมิได้ยอมรับพระมหากรุณาธิคุณ ถึงแม้ว่าผู้ผิดจะเป็นบุตรคนใหญ่ของท่านเอง ซึ่งเกิดแต่ท่านผู้หญิง จึงเป็นการกระทำเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย เป็นเยี่ยงอย่างอันดีแก่คนในแผ่นดิน และเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลของท่านสืบมา คุณสุริยภักดีนั้นถึงจะตายด้วยโทษประหาร และตายแต่ยังเยาว์ก่อนอายุขัย ก็มิได้ตายเปล่า"

    ที่มา https://www.facebook.com/thailandhistory
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    (ต่อ)
    Zoon Politikon
    Raids Will Reveal the Return of the Constitution
    Jim Willie Aug 16, 2022
    *โปรดใช้วิจารณญาณครับ*
    27:45.....Jim.....
    ทีนี้มาถึงเรื่องของทรัมพ์ ...มันยังไม่เคลียร์ว่าเมื่อก่อนเดือนมกราคม 2021 ก่อนส่งมอบตำแหน่ง ทรัมพ์มีอำนาจหรือไม่..ในการเปิดเผยเอกสารลับบางอย่าง ..แต่เท่าที่ผมศึกษาในรัฐธรรมนูญ ปธน.มีสิทธิ์ที่จะทำได้แต่ต้องได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการข่าวกรองของวุฒิสภาซะก่อน
    แต่กลายเป็นว่าทรัมพ์ไม่อาจเสนอเข้าไปได้ กลายเป็นว่าอำนาจ ปธน. ถูกช่วงชิงไป (usurp) โดยฝ่ายสำนักข่าวกรองเอง และโดยกรรมาธิการชุดที่ตกทอดมาในเครือข่ายที่เบบี้บุชตั้งขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
    ในอดีต ปธน.สามารถจะปิดหรือเปิดเผยเอกสารลับบางอย่างได้ตามที่เห็นควร แต่ครั้งนี้ทรัมพ์ถูกถอนอำนาจนั้นไปแล้ว
    ทรัมพ์พยายามจะเปิดเผยเอกสารลับที่แสดงถึงการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่โดยพวกดีปสเตท ที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง ...เจ้าหน้าที่พวกนี้มีอำนาจตัดสินใจและสั่งการในงานข่าวกรองที่ตั้งขึ้นแบบผิด ๆ เอกสารมีทั้งอีเมล์ ไฟล์ pdf ที่ติดต่อกันไปมาระหว่างสถานทูต ทั้งที่เป็นและไม่เป็นทางการ ....ที่เราจะได้เห็นในอีกไม่นานคือทรัมพ์จะต้องถูกตั้งข้อหา ไม่ใช่เรื่องโค้ดนิวเคลียร์หรอก แต่เป็นเรื่องขโมยเอกสารลับราชการ ซึ่งที่จริงตามรัฐธรรมนูญเขามีสิทธิ์เปิดเผยได้เลยถ้าเห็นควรเมื่อครั้งยังอยู่ในตำแหน่ง
    แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่หลายคนที่ทรัมพ์แต่งตั้งกลับถูกกรรมธิการวุฒิสภาคัดค้านโดยอ้างถึง security criterion ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันเป็น political criterion
    ไคลแมกซ์ของเรื่องนี้อยู่ที่ ตอนนี้ความสำคัญของความมั่นคง ..สามารถทำให้ออกกฏหมายมาลบล้างอำนาจ นิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการได้แล้ว .....นั่นคือการที่ผมบอกว่า Patriot Act Manifesto มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของสหรัฐไปแล้ว
    ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทรัมพ์กำลังจะทำ ก่อนเดือนพฤศจิกายนนี้ คือการเปลี่ยนโครงสร้างของคองเกรสเลย แต่เขาก็ต้องแน่ใจว่าศาลสูงจะเอากับเขาด้วย
    นี่ไม่ใช่อเมริกาที่พวกเรารู้จักอีกต่อไป มันเป็น fascist state ...พวกเอฟบีไอกำลังต้องการเอกสารที่อยู่ในมือทรัมพ์ที่จะเอาผิดคนของดีฟสเตทคืนให้ได้ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องของ Russia dossier หรือแม้แต่เรื่องชั่วร้ายของเอฟบีไอนั่นด้วย ...ทรัมพ์กำลังท้าทายกับอำนาจ โดยถือตามรัฐธรรมนูญ
    เราคงได้เห็นอะไรบ้างที่ดูเหมือนจะเป็น fireworks ในอีกไม่กี่เดือนจากนี้
    ***วิจารณญาณนะครับ..อย่าลืม***
    สายัณห์ รุจิรโมรา

    https://www.facebook.com/profile.php?id=100063620406722
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    18.08.22

    1f4b8.png เป็นไปตามความคาดหมาย...

    Norges Bank ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่สำคัญอีก 0.5% ทำให้ ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.75% เป็นการขึ้นดอกเบี้ยในเวลาอันสั้นสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011

    การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ จะส่งผลให้ลูกค้าที่มีหนี้จำนอง มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกหลายพันโครนต่อเดือน

    ในงานแถลงข่าวของ ผู้ว่าการธนาคาร Norges Bank กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะมีการนำมาตรการทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นมาใช้เพิ่มอีกในอนาคต ขณะเดียวกันก็กล่าวว่า ดอกเบี้ยนโยบาย อาจปรับขึ้นอีกในเดือน กันยายน นี้ (โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ 1f605.png )

    ทางด้าน สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งนอร์เวย์ (Norges Eiendomsmeglerforbund) ให้ความเห็นว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิด เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มภาระทางการเงินให้กับครอบครัวที่มีหนี้สินมากมายอยู่แล้ว อีกทั้ง ยอดขายบ้านได้ชะลอตัวลงมากมูลค่าการซื้อขายโดยรวมในตลาดบ้านมือสองลดลงถึงร้อยละ 11.5 จนไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้
    .

    1f534.png #เกร็ดน่ารู้

    .

    ท้าวความกลับไป ตั้งแต่ก่อนที่นอร์เวย์จะเข้าสู่ยุคโคโรนา ดอกเบี้ยจำนองบ้าน ขั้นต่ำอยู่ที่ 2.75% ขึ้นไป แต่แล้ว ประเทศนอร์เวย์ ก็เข้าสู่ยุคโคโรนา ธนาคารกลางแห่งนอร์เวย์ หรือ Norges Bank ก็ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยจำนอง และ ดอกเบี้ยเงินฝาก ลง จนเหลือ 0% เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบกับปัญหาทางการเงินเนื่องจาก สถานการณ์โคโรนา เป็นเวลานานเกือบ 2 ปี

    ต่อมา เมื่อประเทศนอร์เวย์ ผ่านยุคโคโรนา ไปแล้ว เริ่มเข้าสู่สภาวะฟื้นตัว ธนาคารกลาง จึงประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงไปนี้ ทีละ 0.25% มาตั้งแต่เดือน มิถุนายน ที่ผ่านมา

    อัตราดอกเบี้ย 1.75% นี้ยังต่ำกว่า อัตตราเดิมเมื่อก่อนยุคโคโรนา พอสมควรค่ะ

    .
    ....
    1f4bb.png 2728.png E-book 12 ข่าวที่มีผู้อ่านมากที่สุดประจำปี 2020
    https://www.flipsnack.com/norwaynewsth/2020.html

    1f4ac.png อ่านรวมข่าว & มาตรการโคโรนา ของ ประเทศนอร์เวย์
    http://norgetiltak.blogspot.com

    1f4ac.png อ่าน นอร์เวย์สไตล์วาไรตี้
    https://www.blockdit.com/norwaystyle

    1f4ac.png อ่าน คำคมข่าวนอร์เวย์
    https://www.facebook.com/norgeutrykk

    #norway #รายงานข่าวประจำวัน #นอร์เวย์ #ข่าว #วัคซีน #โคโรนา #โควิด19 #Coronavirus #ไวรัส #ความเคลื่อนไหวในนอร์เวย์
    .
    1f4c4.png แปลภาษาไทยโดย Facebook ข่าวนอร์เวย์
    ข่าวต้นฉบับ E24 :
    https://e24.no/.../ny-dobbel-renteheving-fra-norges-bank
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    UPDATE: ‘จีน’ ผนึก ‘รัสเซีย’ ดันสกุลเงินกลุ่ม BRICS เป็นทางเลือกชำระเงิน หวังคานอำนาจดอลลาร์สหรัฐ
    .
    หลังจากความขัดแย้งในยูเครน ทำให้รัสเซียและจีนพยายามที่จะหลีกหนีจากสกุลเงินดอลลาร์ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการชำระเงินทั่วโลก
    .
    วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย มีแผนที่จะสร้างสกุลเงินเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ด้วยสกุลเงินต่างๆ ที่มีอยู่ในตะกร้าของกลุ่ม BRICS ได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้
    .
    การสร้างทางเลือกในการชำระเงินที่นอกเหนือไปจากดอลลาร์ จะช่วยให้รัสเซียและจีนหลีกเลี่ยงจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ชาติตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตรมาเป็นเครื่องมือในการโจมตีรัสเซียและจีนก่อนหน้านี้
    .
    ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ของรัสเซียหลายแห่งต่างถูกถอดออกจาก SWIFT ซึ่งเป็นระบบชำระเงินระหว่างประเทศ ฉะนั้นแล้ว ทุนสำรองระหว่างประเทศในตะกร้าเงินของ BRICS จะเป็นเครื่องมือในการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินอื่นนอกเหนือจากเงินดอลลาร์
    .
    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ด้านนโยบายเกี่ยวกับสกุลเงินของญี่ปุ่น กล่าวว่า สกุลเงินภายใต้ BRICS ค่อนข้างอ่อนแอในมุมของความมีเสถียรภาพ สภาพคล่อง และความสามารถในการรักษามูลค่า คล้ายกับกรณีของสกุลเงิน Libra ของ Facebook ก่อนหน้านี้ที่ล้มเหลวลงไป
    .
    แต่รัสเซียและจีนได้เริ่มมองหาทางเลือกเกี่ยวกับระบบการชำระเงินอื่นๆ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ อย่างในปี 2015 จีนได้สร้างระบบชำระเงินระหว่างธนาคารแบบข้ามประเทศ หรือ CIPS เพื่อเป็นทางเลือกในการโอนเงินแทนที่ระบบ SWIFT โดยมีธนาคารที่เข้ามามีส่วนร่วม 1,341 แห่ง ซึ่งรวมถึงธนาคารในญี่ปุ่น และธนาคารขนาดใหญ่อย่าง Deutsche Bank และ JPMorgan Chase
    .
    ข้อมูลจาก SWIFT ในปัจจุบันระบุว่า เงินหยวนของจีนมีสัดส่วนต่อการชำระเงินระหว่างประเทศคิดเป็น 2.17% ณ เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 2.13% เมื่อ 2 ปีก่อน ถือเป็นสัดส่วนที่ยังต่ำมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ 41.16% และยูโร 35.55%
    .
    Rei Nakada แห่งสถาบันวิจัย Daiwa Institute of Research กล่าวว่า การคว่ำบาตรต่อรัสเซียทำให้จีนมองหาแนวทางในการปกป้องตัวเองจากการถูกคว่ำบาตรทางการเงินในอนาคต
    .
    ขณะที่ Masaya Sakuragawa อาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคโอ กล่าวว่า หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ จะเห็นว่าบทบาทของสกุลเงินมักจะเปลี่ยนไปหลังสงครามครั้งสำคัญ อย่างดอลลาร์กลายเป็นสกุลเงินหลักของโลกหลังจากสหรัฐฯ เข้าไปช่วยฟื้นฟูยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านแผนมาร์แชลล์ ขณะที่เงินหยวนของจีนอาจจะมีบทบาทมากขึ้นจากการเข้าช่วยเหลือรัสเซียหลังจากสงครามจบลง
    .
    #TheStandardWealth
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนโควิดแล้วเผลอไปติดเชื้อมา ถ้าหายแล้วและไม่มีอาการ Long COVID จะถือว่าเป็นผู้ที่โชคดีครับ เพราะภูมิคุ้มกันบริเวณที่ภูมิจากวัคซีนไปไม่ถึงที่ในระบบทางเดินหายใจส่วนบน หรือ ในจมูกของเราจะได้รับภูมิที่ธรรมชาติให้มา และเนื่องจากจมูกเป็นส่วนของร่างกายที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการติดเชื้อและเพิ่มจำนวนของไวรัสการที่มีภูมิคุ้มกันที่พร้อมรบ ภูมิดังกล่าวที่ได้มาก็จะช่วยเรารบในการติดเชื้อซ้ำครั้งต่อไป ถึงแม้จะเกิดขึ้นได้อีก การเพิ่มจำนวนของไวรัสก็จะไม่มากเท่าเดิม
    หลังติดเชื้อนอกจากในจมูกของเราจะมีแอนติบอดีชนิด IgA รอจับไวรัสในจมูกแล้ว งานวิจัยชิ้นล่าสุดของทีมสิงคโปร์นำเซลล์ในเยื่อจมูกของผู้ที่ได้รับวัคซีน กับ ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วติดเชื้อไปเปรียบเทียบดูพบว่า ผู้ที่เคยสัมผัสกับไวรัสตัวจริงในบริเวณจมูกมีเม็ดเลือดขาว T cell ที่จำโปรตีนของไวรัสได้หลายชนิด ที่ไม่จำกัดแค่โปรตีนสไปค์เท่านั้น เม็ดเลือดขาวเหล่านี้ถ้าไปเจอเซลล์ที่มีโปรตีนที่จำได้อีกครั้งก็จะเข้าทำลายไม่ให้ไวรัสมีเวลาเพิ่มจำนวนได้มากมายเหมือนก่อนที่ตำแหน่งในจมูกนั้นเอง ทีมวิจัยพบว่าในบรรดาโปรตีนที่ T cell ในจมูกจำได้แม่น และจำนวนเยอะที่สุดคือ โปรตีนชื่อว่า Nsp12 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ไม่ได้อยู่ในวัคซีนสูตรใดๆ ถ้าไม่เคยติดเชื้อเราไม่มีทางมี T cell ที่รู้จักโปรตีนตัวนี้ ที่สำคัญคือ ไม่ว่าไวรัสจะกลายพันธุ์หนีภูมิอย่างไร Nsp12 ดูเหมือนจะอยู่นิ่งมาก ไม่เปลี่ยนแปลงไปเหมือนสไปค์ ดังนั้นสิ่งที่ T cell จำได้ก็จะใช้งานได้อยู่
    แต่น่าเสียดายที่ T cell ในจมูกหลังติดเชื้อลดลงไปตามกาลเวลาเหมือนแอนติบอดี ทีมวิจัยพบว่า ระดับของ T cell ยังไม่เปลี่ยนแปลง 3 เดือนหลังติดเชื้อแต่พอดูอีกทีที่ 6 เดือนพบว่า ระดับลดลงไปมากกว่าครึ่ง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่เห็นคนติดเชื้อซ้ำแล้วมีอาการได้หลังจากติดเชื้อไปนานๆแล้วนั่นเอง
    https://rupress.org/.../SARS-CoV-2-breakthrough-infection...

    CsyNNq_hu5IlRjqotsL8-f8&_nc_ohc=_jpCMVElWhgAX_Cy2LC&tn=rqqlkBsDnVv7W7FQ&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg

    ax1FkrWJWh1r2i902VHLDqHKBmORs-RLjer-5oV3vbf&_nc_ohc=JHZ2ERUVnUQAX9L8T7_&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg

    XhXlnxEFsBSpR9gkfLWBkXFKuiNLuRf66to_gHhP-NR&_nc_ohc=KFcrpPnTwx8AX8HxSaf&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg

    Anan Jongkaewwattana
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    วิถีชีวิตใหม่จาก 'ความจำใจ' หนุ่มเซี่ยงไฮ้เลิกเช่าคอนโด ซื้อ #รถบ้าน อยู่กับแฟน-ใช้ห้องน้ำสาธารณะ
    .
    บ้านในเมืองไม่ต้องพูดถึง ทำงานทั้งชีวิตยังผ่อนไม่ไหว เช่าเขาอยู่ก็แทบไม่มีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ จะหันหลังกลับบ้านเกิดทิ้งค่าแรงและโอกาสที่ดีกว่าในเมืองใหญ่ก็ทำไม่ได้... “รถบ้าน” จึงอาจกลายเป็นคำตอบที่น่าสนใจสำหรับหนุ่มสาวชาวจีนวัยสร้างตัว ผู้ซึ่งมีฝันแต่ไม่ได้มีทางเลือกมากนักอย่างเช่นชายจีนคนนี้
    .
    ช่าวที่แอดมินหยิบมาแชร์วันนี้เป็นสตอรี่ของ "ซิ่นเผิงคุน" พนักงานบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่จากบ้านเกิดมาทำงานที่เซี่ยงไฮ้นาน 5 ปี และตัดสินใจซื้อรถบ้านมือสองราคา 150,000 (7.81 แสนบาท) เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยแทนบ้าน การตัดสินใจของซิ่นเป็นอีกภาพสะท้อนของแรงกดดันด้านราคาที่พักอาศัยในมหานครเซี่ยงไฮ้ที่หนุ่มสาวจีนจำนวนมากกำลังเผชิญ
    .
    ก่อนที่จะซื้อรถบ้านคันนี้ ซิ่นเช่าห้องพักมาโดยตลอด เงินเก็บที่มีก็จ่ายไปกับค่าเช่าบ้านไม่น้อย ส่วนเวลาหลังเลิกงานก็มักเสียไปกับการเดินทางไป-กลับออฟฟิศ
    .
    ด้วยอาชีพนายหน้าอสังหาฯ ซิ่นรู้ราคาค่าเช่าและราคาขายของบ้านในเซี่ยงไฮ้เป็นอย่างดี หากต้องการซื้อห้องขนาด 47.86 ตารางเมตรในเซี่ยงไฮ้ ราคาจะอยู่ที่มากกว่า 80,000 หยวน (ราว 4.18 แสนบาท) ต่อตารางเมตร ค่าเช่ารายเดือนสำหรับห้องขนาด 46 ตารางเมตร คือ 6,200 หยวน และสำหรับห้อง 39 ตารางเมตรอยู่ที่ 4,300 หยวนต่อเดือน
    .
    ปีที่แล้ว ซิ่นหันมองทางเลือกใหม่ของการอยู่อาศัย เขาย้ายออกมาใช้ชีวิตในรถบ้านแทนการเช่าบ้าน ซิ่นเก็บเงินนาน 5 ปี จนได้เงิน 1.5 แสนหยวน (ราว 7.84 แสนบาท) ก่อนจะเอาไปซื้อรถบ้านแบรนด์จีนมือสอง โดยคำนวณมาอย่างดีว่าถ้าอยู่สักสองปีก็เท่ากับค่าเช่าบ้านแล้ว แถมเขายังได้สมบัติเป็นรถบ้านมาหนึ่งคันด้วย
    .
    ภายในรถบ้านคันนี้ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องรับแขก 1 ห้องครัว 1 ห้องน้ำ เรียกได้ว่าเล็กแต่ก็มีครบ รถของเขาจอดอยู่บริเวณลานจอดรถใกล้กับสถานีรีไซเคิลขยะ แม้จะสภาพแวดล้อมจะไม่น่าอยู่มากนัก แต่เพื่อความสะดวกหลายด้านทั้งการเชื่อมต่อระบบน้ำ ไฟฟ้า และการกำจัดขยะ
    .
    ซิ่นเล่าว่าเขากับแฟนสาวที่มาอยู่ด้วยกัน จะไม่ใช้ห้องน้ำในรถในการขับถ่าย แต่จะไปเข้าห้องน้ำสาธารณะข้างนอก ซึ่งห่างจากรถไปเพียง 200 เมตร ส่วนน้ำเสียจากครัวและการอาบน้ำเขาต่อลงท่อน้ำทิ้งโดยตรง...

    อ่านต่อและชมภาพเพิ่มเติม : https://www.jeenthainews.com/china-news/48087_20220817

     

แชร์หน้านี้

Loading...