ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เป็นเรื่อง แฟนสาวลูกชายคนโต ‘ทรัมป์’ ติดเชื้อโควิด-19 พบปะคนอื้อ
    แฟนสาวของลูกชายคนโตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ระดมทุนคนสำคัญของทีมหาเสียงของประธานาธิบดี ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    คอลัมน์โต๊ะกลม คมความคิด สไตล์ Pat Hemasuk

    “ซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัว”

    ...วันนี้ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเรื่อง Sadako and the Thousand Paper Cranes ที่แต่งโดย Eleanor Coerr หนังสือเล่มนี้ผมอ่านทีไรก็ไม่เคยอ่านได้ครั้งเดียวจบเพราะน้ำตามันเต็มแว่นทุกครั้ง ทำให้ผมต้องค้นเอารูปที่ผมถ่ายเอาไว้เมื่อเคยตั้งใจว่าต้องไปเยี่ยม ซาดาโกะ ขึ้นมาดูอีกครั้งหนึ่ง

    ...ซาดาโกะกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสงครามนิวเคลียร์ และเรียกร้องสันติภาพไปทั่วโลก ความเข้มแข็งไม่ยอมแพ้ต่อโรคร้ายและการต่อสู้ชีวิตของซาดาโกะกลายเป็นแบบอย่างของเด็กผู้หญิงทั้งญี่ปุ่น เรื่องของเธอถูกเล่าขานในวันที่รำลึกถึงระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกที่ฮิโรชิม่าทุกปี และได้ตีพิมพ์ออกไปหลายภาษาทั่วโลก...

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ซาดาโกะ ซาซากิ

    Sadako_Sasaki_Portrait_Age_12.jpg
    ซาดาโกะ เมื่ออายุ 12 ปี
    ซาดาโกะ ซาซากิ (ญี่ปุ่น: 佐々木 禎子 โรมาจิ: Sasaki Sadako; 7 มกราคม 2486 – 25 ตุลาคม 2498) เป็นเด็กหญิงชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ใกล้กับสะพานมิซาสะในจังหวัดฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่ระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงที่ฮิโรชิมะ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เธอมีอายุเพียงสองปีเท่านั้น จากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย แต่ตัวเธอนั้น "รอดชีวิต" ซาดาโกะเป็นเด็กแข็งแรงอีกทั้งเป็นนักกีฬา อย่างไรก็ดีในปี พ.ศ. 2497 เมื่อมีอายุได้ 11 ปี ขณะกำลังซ้อมวิ่ง เธอรู้สึกมึนหัวแล้วล้มลง แพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นหนึ่งในผลสืบเนื่องจากระเบิดนิวเคลียร์

    เพื่อนของซาดาโกะได้เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับตำนานที่ว่า ถ้าใครพับนกกระดาษได้ครบหนึ่งพันตัว จะได้สิ่งที่ตนต้องการ ซาดาโกะหวังว่านี่อาจช่วยให้เธอหายป่วยและกับมาวิ่งได้อีกครั้ง เธอใช้เวลา 14 เดือนในโรงพยาบาล และพับนกมากกว่า 1,300 ตัว ก่อนที่จะเสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 12 ปี (ในเรื่องเล่าที่ค่อนข้างแพร่หลายกล่าวว่าเธอพับนกได้แค่ 644 ตัวก่อนจะเสียชีวิต และเพื่อนของเธอพับนกให้เธอจนครบหนึ่งพันตัว และฝังนกเหล่านั้นพร้อมกับร่างของเธอ) ปัจจุบันที่ฐานอนุสาวรีย์ของเธอในบริเวณอนุสรณ์สถานสันติภาพ ฮิโรชิมะ ผู้คนจากทั่วโลกยังคงแวะเวียน นำพวงมาลัยนกกระเรียนกระดาษมาวางเพื่อระลึกถึงเธอ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงคราม

    https://th.m.wikipedia.org/wiki/ซาดาโกะ_ซาซากิ
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    มหาอำนาจไม่กลัว #โควิด เอกอัครราชทูตสหรัฐ #อเมริกา ประจำประเทศ #ไทย เข้าพบรองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เจรจานาน 45 นาที และเป็นคนเดียวในที่ประชุมที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย

    นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมเบร เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ห้องรับรอง ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 ก.ค. โดยใช้เวลาหารือประมาณ 45 นาที
    .
    ภาพข่าวที่ปรากฏ ในช่วงเริ่มต้นการหารือ เอกอัครราชทูตสหรัฐสวมหน้ากากอนามัยสีดำ แต่ต่อมาได้ถอดออก ในขณะที่คณะของสถานทูตสหรัฐและรัฐบาลไทยทุกคนสวมหน้ากากอนามัยตลอดการหารือ และในช่วงสุดท้ายก่อนลาจากกัน ทูตสหรัฐได้จับมืออำลารองนายกฯ สมคิด โดยก็ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยแต่อย่างใด

    นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมเบร เข้าดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา เขาเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยคนแรกในรอบ 45 ปี ที่ไม่ได้เป็นนักการทูตของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ แต่มาจากการเสนอชื่อของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และได้รับการรับรองจากวุฒิสภา
    .
    เขาเป็นทนายความที่เชี่ยวชาญด้านการควบรวมกิจการ และเคยศึกษาด้านเอเชียตะวันออกที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ใช้ชีวิตอยู่ประเทศต่างๆ ในเอเชียนานกว่า 20 ปี ส่วนใหญ่อยู่ในฮ่องกง และเคยเป็นประธานมูลนิธิพิทักษ์เด็กของฮ่องกง เขาพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว มีภรรยาเชื้อสายเกาหลี และมีลูก 4 คน
    .
    เห็นได้ว่า ประธานาธิบดี #ทรัมป์ เสนอให้นายดีซอมเบร รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย เนื่องจากเขามีความเชี่ยวชาญด้านเอเชีย สามารถจะรับมือการขยายอิทธิพลของจีนได้
    .
    นายดีซอมเบรกล่าวในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งว่า ประเทศไทยเป็นพันธมิตรของสหรัฐในภูมิภาคที่ยาวนานที่สุดกว่า 200 ปี สถานทูตสหรัฐฯในกรุงเทพ เป็นหนึ่งในสถานทูตที่ใหญ่ที่สุดในโลก เขาจะร่วมมือเพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาล ความมั่นคง การค้า การลงทุน ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “อินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์.

    ภาพและข่าว https://www.thairath.co.th/news/politic/1880924

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "ชิงหลัก" กีฬาแห่งความสามัคคีของวัยรุ่นญี่ปุ่น

    โบ-ตาโอชิ (棒倒し"pole toppling") เป็นเกมชิงธง ชิงหลัก ซึ่งมักเล่นกันในวันกีฬาโรงเรียนญี่ปุ่น และยังเล่นในโรงเรียนนายร้อยป้องกันราชอาณาจักรของญี่ปุ่น โดยจะมีผู้เล่น150 คน แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม เป็นกลุ่มโจมตี 75 คน และกลุ่มผู้พิทักษ์ 75 คน กลุ่มที่เข้าโจมตีจะชนะเมื่อสามารถชิงยอด และต้องกดเสาของทีมพิทักษ์ ที่ตั้งฉากให้ล้มลงเป็นมุม 30 องศาได้ ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงกฎในปี 1973 กำหนดที่ 45 องศา (แต่ในคลิป เกมนี้ตัดสินเพียงเมื่อชิงยอดเสาได้)

    ตำแหน่งที่ยืนอยู่บนยอดเสา เรียกว่า "นินจา" จะเป็นผู้ที่มีทักษะการทรงตัวที่ดี ขณะที่ผู้พิทักษ์อื่น ๆ จะแบ่งหน้าที่ล้อมวงกันเป็นหน่วยตั้งแต่ หน่วยปักหลักเสาให้ตั้งฉาก หน่วยตรึงกำแพง และหน่วยป้องกันการบุก

    โบ-ตาโอชิ เป็นกีฬาที่ใช้พื้นที่น้อย เทียบกับผู้เล่นจำนวนมากข้างละ 75 คน (น่าจะมากที่สุด) มีความรุนแรงด้วยจำลองสถานการณ์เหมือนการต่อสู้ทำสงคราม จึงจะจัดแข่งขันกันเพียงปีละครั้ง เพื่อฝึกความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว มุ่งเป้าหมายเดียว

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    หมอและนักเขียนMalcolm Kendrick บอกว่ายารักษามาลาเรียสามารถรักษาโควิดได้ และมีราคาเพียง7ปอนด์แต่ถูกโจมตีว่ารักษาไม่ได้ เพราะว่าอะไร? คำตอบคือเพราะว่าบริษัทยายักษ์ใหญ่ต้องการให้เรารักษาด้วยยาที่มีราคา2,000ปอนด์ นี่คือการฆาตกรรม!!!!
    ที่สำคัญ วารสารทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก New England Journal of Medicine และThe Lancetไม่สามารถตั้งคำถาม หรือตีพิมพ์บทความของงานวิจัยทางการแพทย์ที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของบริษัทยาได้ เพราะว่าอิทธิพลทางการเงินของบริษัทยาสูงมากจนไม่มีใครต้านทานได้
    Evidence that a cheap, over-the-counter anti-malarial drug costing £7 combats Covid-19 gets trashed. Why? Because the pharmaceutical giants want to sell you a treatment costing nearly £2,000. It’s criminal.
    https://www.rt.com/op-ed/493732-big-pharma-pandemic-covid/

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเศรษฐีฮ่องกงหอบเงินหนีไปอยู่ต่างประเทศ?
    ถ้าเศรษฐีฮ่องกง500,000คน หอบเงินคนละ$1ล้านหนีออกไปอยู่ต่างประเทศ ระบบค่าเงินคงที่ของฮ่องกง (Currency Peg) จะยืนหยัดอยู่ไม่ได้ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2020 ธนาคารกลางของฮ่องกงมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ$437,000ล้าน ที่ผ่านมาระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงขนาดนี้ ซึ่งมากกว่าสารขัณฑ์หนึ่งเท่าตัว ทำให้ทางการฮ่องกงสามารถรักษาเสถียรภาพของค่าเงินฮ่องกงดอลล่าร์ได้ผ่านระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่นี้ ค่าเงินฮ่องกงจะผันผวนน้อยมากเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ เพราะว่าถ้ามีการโจมตีเงินฮ่องกง ทางการฮ่องกงสามารถใช้เงินทุนสำรองมาต้านทานได้ ด้วยการขายดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อซื้อฮ่องกงดอลล่าร์ทำให้ค่าเงินฮ่องกงไม่ตก หรือผันผวน แต่ถ้าหากว่าเศรษฐีฮ่องกง500,000คนขนเงินคนละ$1ล้านหนีไปอยู่อังกฤษ เท่ากับว่าฮ่องกงจะเจอเงินไหลออก$500,000ล้านเกือบทันที เหมือนเขื่อนแตก เงินที่ไหลออกนี้มากกว่าเงินหน้าตัก หรือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางฮ่องกง (Hong Kong Monetary Authority) เสียอีก เท่ากับว่าฮ่องกงจะเจอต้มยำกุ้งเหมือนสารขัณฑ์ประสบมาในปี 1997 ค่าเงินฮ่องกงจะร่วงหนักนับร้อย%ถ้าหากว่าไม่มียูเอสดอลล่าร์ใหม่เข้ามาเสริมในคลังอาวุธการเงิน อังกฤษส่งสัญญานว่าจะให้สัญชาติชาวฮ่องกง3ล้านคน ถ้าหากว่าไม่ต้องการอยู่ภายใต้กฎหมายความมั่นคงที่จีนกำลังบังคับใช้กับฮ่องกง โดยนัยแล้ว อังกฤษขู่ที่จะทำลายค่าเงินฮ่องกงหรือไม่ เข้าทำนองเมื่อไม่ให้อยู่บ้านก็เผาบ้านไปเลย เมื่อบ้านถูกเผา จีนจะโอนเงินมาช่วยธนาคารกลางของฮ่องกงหรือไม่ หรือว่าปล่อยให้ล้มไปเลย จะได้ผนวกฮ่องกงเข้ามณฑลกวางตุ้งได้อย่างสบายใจ สุดท้ายแล้วใครซวย? เรียกร้องอิสระภาพ หรือรัฐอิสระกันดีนัก

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #ฮ่องกง กต.จีนระบุ การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติสำหรับฮ่องกงเป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของนักลงทุนในฮ่องกง
    นายเจ้า ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติสำหรับฮ่องกงนั้น จะช่วยปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของนักลงทุนจากต่างประเทศในฮ่องกง โดยวิสาหกิจทุนต่างชาติจะมีอนาคตที่ดียิ่งขึ้น
    รายงานข่าวระบุว่า หอการค้าสหรัฐฯ ในฮ่องกง ออกแถลงการณ์เมื่อไม่นานมานี้ชี้ว่า ในช่วงกว่า 50 ปีมานี้ หอการค้าฯ ได้อุทิศกำลังรักษาสถานะของฮ่องกงซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้าระหว่างประเทศ และได้ร่วมมือกับรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงสนับสนุนการสร้างฮ่องกงเป็นศูนย์กลางธุรกิจโลก โดยยังคงถือฮ่องกงเป็นฐานที่มั่นของโลกต่อไป
    นายเจ้า ลี่เจียง ชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ฮ่องกงกลับคืนสู่มาตุภูมิได้ใช้ประโยชน์จากการพึ่งพาแผ่นดินใหญ่และหันหน้าไปยังโลกอย่างเต็มที่ สถานะการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การขนส่ง และการค้าระหว่างประเทศ มีความมั่นคงยิ่งขึ้น ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่เสรี เปิดกว้าง เจริญรุ่งเรือง และมีชีวิตชีวามากที่สุด

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    “ไทย” ตายจากอุบัติเหตุบนถนน
    อันดับ 1 ของเอเชีย
    ปัญหาโลกแตก ที่ไม่อาจแก้ง่าย
    .
    .
    ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ แต่ละปี ไทยยังมีอุบัติเหตุบนท้องถนน มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ณ ปี 2561 ไทย มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอยู่ที่ 32.7 คน ต่อประชากร 1 แสนคน คิดเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตบนถนนมากกว่า 2 หมื่นคนต่อปี เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก และเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์กว่า 500 ล้านบาท
    .
    เท่านั้นยังไม่พอ ไทย ยังถือเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของอาเซียน แซงเวียดนาม ที่มีอัตราตาย 26.7 คน มาเลเซีย ซึ่งอยู่ที่ 23.6 คน ต่อประชากรแสนคน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการตายก่อนวัยอันควร ในแรงงานวัยหนุ่มสาว วัยทำงาน ที่ควรเป็นกำลังสำคัญของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ
    .
    ขณะเดียวกัน ตัวเลขที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ อุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นเรื่อง “แปรผกผัน” ตามรายได้ ประเทศที่มีรายได้ต่ำ มีจำนวนยานพาหนะ แค่ 1% ของยานพาหนะทั่วโลก จะมีอัตราการเสียชีวิตบนถนน มากกว่า 13% และประเทศที่มีรายได้สูง แม้จะมียานพาหนะมากกว่า 40% ของทั่วโลก แต่อัตราการเสียชีวิตบนถนน มีเพียง 7% เท่านั้น
    .
    ที่ผ่านมา ไทยร่วมลงนามในปฏิญญามอสโคว์ ของสหประชาชาติ ตั้งแต่ปี 2554 ตามเป้าหมายสำคัญ คือการลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ให้เหลือต่ำกว่า 10 คน ต่อประชากร 1 แสนคน ใน 10 ปี ซึ่งครบกำหนดพอดีในปีนี้ ปี 2563
    .
    แล้วไทยไปถึงไหนแล้ว? หากพิจารณาจากสถิติล่าสุด ซึ่งเสียชีวิต 2.2 หมื่นคน และอัตราตาย 32.67 ต่อแสน ก็ต้องบอกว่า ยังห่างไกลจากเป้าหมายถึง 3 เท่า
    .
    ว่ากันตามตรง เหตุที่อุบัติเหตุยังสูง และยังปลดล็อคจากตัวเลขนี้ไม่ได้ ส่วนหนึ่งมาจากอุบัติเหตุในมอเตอร์ไซค์ ประเทศไทย มีอัตราการเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์สูงสุด กว่า 74% ทิ้งห่างรถยนต์ที่อยู่ที่ 12.7% ไปหลายเท่าตัว
    .
    นอกจากนี้ ตัวเลขการเสียชีวิตจากมอเตอร์ไซค์นั้น ทำให้ไทยมีผู้เสียชีวิตจากมอเตอร์ไซค์สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก และยังมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นเรื่อยๆ จากจำนวนมอเตอร์ไซค์ที่จดทะเบียนมากขึ้น จาก 19 ล้านคัน เป็น 20 ล้านคัน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
    .
    ปัญหาสำคัญของการใช้มอเตอร์ไซค์ในไทย ก็คือการใช้ถนนหลัก ที่มีความเร็วสูงร่วมกับรถยนต์ การใช้มอเตอร์ไซค์ เป็นยานพาหนะหลัก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เดินทางในระยะไกล ซึ่งมีความเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
    .
    และระบบขนส่งมวลชนที่ล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถประจำทาง ทำให้คนในพื้นที่ที่ระบบขนส่งมวลชนเข้าไม่ถึง หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องซื้อมอเตอร์ไซค์ใช้เอง หรือซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ลูกหลานใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะรถยนต์นั้น มีราคาสูงเกินไป ขณะที่มอเตอร์ไซค์ ดาวน์ในหลักพันบาท ก็สามารถออกรถได้แล้ว
    .
    เพราะฉะนั้น การรณรงค์ในไทย ซึ่งมีลักษณะเป็น “เบี้ยหัวแตก” ทั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข หรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง จึงไม่อาจเปลี่ยนโครงสร้างหลักได้ แม้จะลงทุนต่อปีมากน้อยแค่ไหนก็ตาม
    .
    แต่ถามว่าต้องลงทุนในการรณรงค์หรือไม่ คำตอบก็คือใช่ รายงานประจำปีของ สสส. ในปี 2561 สรุปว่าการรณรงค์ มีผลสัมฤทธิ์ ทำให้คนสวมหมวกกันน็อกมากขึ้น จาก 44% ในปีแรก เป็น 46% และทำให้อุบัติเหตุภาพรวม แม้จะไปไม่ถึงดวงดาวที่ 10 คน ต่อประชากรแสนคน อย่างที่วางไว้ แต่ก็กดตัวเลขผู้เสียชีวิต จาก 2.2 หมื่นคน ให้เหลือประมาณ 2 หมื่นคน ทั้งที่รถเยอะขึ้น การจราจรเยอะขึ้น
    .
    ข้อมูลจาก สสส. ยังระบุว่า องค์กรนี้ มีบทบาทในการตั้งองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางท้องถนน กว่า 530 องค์กร 53 จังหวัด และสนับสนุนตำรวจ สนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข ในการ “ตรวจแอลกอฮอล์ในเลือด” ของผู้ใช้รถใช้ถนน ซึ่งไม่สามารถตรวจแอลกอฮอล์จากการเป่าได้ ซึ่งมีส่วนสำคัญ ทำให้คัดกรองผู้ใช้รถที่เมาสุรา ออกไปจากถนน ลดอุบัติเหตุได้
    .
    บทบาทสำคัญอีกอย่างก็คือการเป็นหนึ่งในแกนกลางของ “ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางท้องถนน” ทำหน้าที่วิจัย หาสาเหตุ รวบรวมตัวเลข และข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นข้อมูลให้ทั้ง กระทรวงคมนาคม ตำรวจ และกระทรวงสาธารณสุข นำไปใช้ลดอุบัติเหตุ ทำให้ถนน และผู้ใช้รถปลอดภัยขึ้น เป็นต้นว่า การสำรวจถนนอันตราย การปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับความเร็ว หรือการร่วมกับ “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ซึ่งขาหนึ่งก็กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน “ขนส่งมวลชนสาธารณะ” โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยรถตู้โดยสาร และรถโดยสาร
    .
    แน่นอน เรื่องพวกนี้ ไม่ได้ใช้เงินเยอะถึงปีละ 4,000 ล้าน อย่างที่ใครเขียนบทความพาดพิง แต่ก็สามารถเป็น “คลังสมอง” ให้หน่วยงานรัฐอื่นๆ ปรับปรุงถนน ปรับปรุงกฎหมาย ให้เกิดความปลอดภัยได้มากขึ้น ซึ่งการลดคนตาย ลดคนบาดเจ็บ และลดคนทุพพลภาพ ได้หนึ่งคน หรือสิบคน ก็คุ้มมากแล้ว...
    .
    แต่ถามว่ายังมีอะไรให้ทำอีกหรือไม่ คำตอบก็คือยังมีอีกมาก ว่ากันเฉพาะเรื่องผู้ใช้รถ กฎหมายบังคับให้คาดเข็มขัดนิรภัย สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กฎหมายเรื่อง “คาร์ซีท” สำหรับเด็กที่นั่งในรถยนต์ ยังไม่ได้ถูกบังคับใช้เหมือนในหลายประเทศที่เจริญแล้ว เช่นเดียวกับการตรวจสอบมาตรฐานรถโดยสารสาธารณะ ก็ยังไม่ได้มีมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยเคร่งครัดเช่นกัน เราจึงยังได้เห็นรถตู้ รถประจำทาง เกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก เพราะยังมี “ช่องโหว่” ให้มุด
    .
    ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ที่มีอุบัติเหตุสำหรับรถมอเตอร์ไซค์บ่อยครั้ง ก็ควรกำหนด “เลน” มอเตอร์ไซค์ให้ชัด หรือถนนสายหลักที่อันตรายจริง ก็อาจห้ามมอเตอร์ไซค์เข้า และตัดถนนทดแทนสำหรับมอเตอร์ไซค์เท่านั้น โดยมีการควบคุมความเร็ว ควบคุมกฎจราจรอย่างใกล้ชิด เพื่อกดตัวเลขผู้เสียชีวิตจากมอเตอร์ไซค์ให้ได้
    .
    แต่ทั้งหมดนี้ ยังต้องการการ “ใส่ใจ” อย่างใกล้ชิด ที่ไม่ใช่แค่รณรงค์ในช่วงสงกรานต์ หรือรณรงค์ในเทศกาลปีใหม่โดยเข้มงวดกวดขันเท่านั้น แต่ต้องทำทั้งปี และต้องทำในระยะยาว เพื่อลดอุบัติเหตุให้ได้จริง ขณะเดียวกัน ก็ต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน การลดอัตราการใช้มอเตอร์ไซค์ เพิ่มทางเลือกอื่นให้ประชาชนได้สัญจรมากขึ้น ซึ่งจะลดอัตราอุบัติเหตุ จาก “เนื้อหุ้มเหล็ก” เหล่านี้
    .
    แน่นอน ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี หรือหลายสิบปี หากไม่ตั้งเป้าทำอะไรจริงจัง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป..

    #อุบัติเหตุ #อุบัติเหตุทางถนน #ขนส่งมวลชน

    อ้างอิงข้อมูลจาก

    https://apps.who.int/iris/bitstream/handle/10665/277370/WHO-NMH-NVI-18.20-eng.pdf?ua=1

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ศาลอังกฤษอายัดทองคำสำรองเวเนซุเอลา ไม่อนุญาตรบ.มาดูโรนำออกขาย
    : อังกฤษปฏิเสธรัฐบาลเวเนฯนำทอง 1,800 ล้านดอลลาร์ ออกขาย บอก"นิโคลัส มาดูโร" ไม่ใช่ผู้นำชอบธรรมตามกฎหมาย

    ผู้พิพากษาศาลในกรุงลอนดอนได้มีคำตัดสินเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ไม่อนุญาตให้รัฐบาลเวเนซุเอลา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร เบิกทองคำสำรองประเทศมูลค่ามากถึง 1,800 ล้านดอลลาร์ (หรือราว 56,034 ล้านบาท) ซึ่งถูกฝากไว้ในธนาคารอังกฤษนำออกขาย

    ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีมาดูโร ซึ่งเป็นผู้นำเวเนฯมายาวนาน ต้องการใช้ทองคำสำรองประเทศที่ฝากไว้ในธนาคารกลางอังกฤษออกขายเพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศที่เผชิญกับสภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก ประกอบกับถูกวิกฤตไวรัสโควิดระบาดซ้ำเติม

    ศาลอังกฤษให้เหตุผลที่ไม่อนุญาตให้รัฐบาลมาดูโรเบิกถอนทองคำเนื่องจากว่า รัฐบาลอังกฤษไม่ยอมรับสถานะประธานาธิบดีที่ถูกต้องตามกฎหมายของนายนิโคลัส มาดูโร

    แบงก์ชาติอังกฤษ และรัฐบาลอังกฤษต่างมีจุดยืนเดียวกันคือยอมรับสถานะของนาย ฮวน กุยโด ผู้นำฝ่ายค้านของเวเนซุเอลา เป็นผู้นำที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่นเดียวกับรัฐบาลยุโรปและในอเมริกาอีกหลายประเทศที่ยอมรับสถานะของนายกุยโด ซึ่งเขาต้องการเก็บทองคำสำรองประเทศให้พ้นมือของรัฐบาลมาดูโร เนื่องจากหวั่นว่ารัฐบาลมาดูโรอาจใช้ทองดังกล่าวไปในทางประโยชน์ส่วนตัว

    ทั้งนี้ ด้านทนายของรัฐบาลมาดูโร แถลงว่าเตรียมจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป โดยบอกว่าศาลอังกฤษปฏิเสธต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในเวเนซุเอลาในขณะนี้ ว่าใครเป็นผู้บริหารประเทศที่แท้จริง และสถานการณ์ของเวเนซุเอลาขณะนี้เป็นเช่นกัน ซึ่งการอายัดทองดังกล่าวจะยิ่งส่งผลเสียหายต่อประชาชนชาวเวเนซุเอลา

    Source: Posttoday
    https://edition.cnn.com

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ⚠️ Ray Dalio เตือนว่า #ตลาดหุ้นโลกไม่ใช่ตลาดเสรีอีกต่อไป แต่กำลังโดนกำหนดทิศทางโดยธนาคารกลางและรัฐบาลของประเทศต่างๆ

    เจ้าของกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ออกมาให้มุมมองต่อเศรษฐกิจโลกในยุดไวรัสโควิดอีกครั้ง ผ่านการสัมภาษณ์ของ Bloomberg (ลิ้งค์ในคอมเม้นท์) โดยทาง Ray ยังยืนยันว่าเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นใน 10 ปีข้างหน้านี้อาจไม่เติบโตขึ้นเท่าที่คิดและอาจจะเป็น #LostDecade สำหรับนักลงทุน

    แต่มีจุดนึงที่น่าสนใจคือทาง Ray ได้กล่าวเสริมถึงวิกฤตในครั้งนี้ว่าทำให้ตลาดหุ้นโลกไม่ใช่ตลาดเสรีอีกต่อไป และราคาสินทรัพย์ต่างๆนั้นกำลังโดนกำหนดโดยทางธนาคารกลางและรัฐบาลของประเทศต่างๆแทน

    1️⃣ ตลาดหุ้นและระบบการเงินในสมัยก่อน

    Ray ได้ยกตัวอย่างระบบการเงินปกติว่า ธนาคารกลางจะเป็นคนกลางที่วางเงินออกมาให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆกู้ยืม และธนาคารพาณิชย์เหล่านั้นก็จะเลือกนำเงินไปให้บริษัทหรือกลุ่มคนที่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่างๆนั้นกู้ยืมต่อไป และเงินต่างๆเหล่านั้นที่ไหลออกไปในตลาดก็จะเป็น #เงินที่ทำให้เกิดการลงทุนแบบเสรี

    ราคาของแต่ละสินทรัพย์นั้นจะต้องแข่งกันเองว่า #ใครมีความต้องการมากกว่ากัน ? ตลาดใครกำลังเติบโตกว่ากัน ?

    ยกตัวอย่างเช่น หากความต้องการของที่พักอาศัยมีสูง เงินก็จะไหลเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์และราคาบ้านต่างๆก็จะสูงขึ้น หรือในทางกลับกันถ้าความต้องการใช้น้ำมันกลับโตสูงกว่าความต้องการของที่อยู่อาศัย หากเงินไหลเข้าตลาดน้ำมันเยอะกว่า ราคาของสินทรัพย์น้ำมันก็จะโตเร็วกว่าราคาบ้าน #มันคือการแข่งขันของตลาดเสรี

    [ ทางเราเคยเขียนบทความอธิบายเรื่องกลไกของวัฏจักรการกู้ยืมเงินหรือ "#เครดิต" ไว้แล้ว ซึ่งอาจจะอธิบายให้หลายท่านเข้าใจได้อย่างง่ายๆว่า ทำไมราคาสินทรัพย์ถึงแพงเร็วขึ้นด้วยการกู้ยืม และทำไมราคาของตลาดหุ้นอาจอยู่สูงกว่าราคาปัจจัยพื้นฐาน เดี๋ยวเราแนบบทความไว้ให้ในคอมเม้นท์อีกทีนะครับ ]

    และบนโลกโดยปกตินั้น ธนาคารกลางก็จะทำหน้าที่ควบคุมการไหลเข้าออกของเงินในตลาดด้วยการขึ้นลงอัตราดอกเบี้ย หากเงินล้นตลาดเกินไปจนทำให้เกิดเงินเฟ้อ ทางธนาคารกลางก็จะขึ้นดอกเบี้ย และในทางกลับกันก็จะลดดอกเบี้ยลงหากเงินฝืด #แต่ธนาคารกลางจะไม่เข้ามาอยู่เกี่ยวกับราคาสินทรัพย์ และปล่อยให้เป็นตลาดเสรี

    2️⃣ เราเคยเห็นราคาสินทรัพย์ไม่ใช่ตลาดเสรีมาก่อนแล้ว ในช่วงวิกฤตปี 2008

    ในช่วงวิกฤต Subprime ในปี 2008 นั้น ธนาคารต่างๆในสหรัฐกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้เสียมหาศาลที่เกิดมาจากอนุพันธ์การเงินในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ และเพื่อกันไม่ให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจลูกโซ่ไปทั่วโลก ทางธนาคารกลางสหรัฐจึงมีความจำเป็นทีต้องเข้าไปอุ้มกลุ่มธนาคารต่างๆเหล่านี้ไว้ ผ่านการทำ QE ที่หลายๆท่านคงคุ้นเคยนั้นเอง

    แต่ปัญหาเมื่อปี 2008 นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา ธนาคารเป็นภาคธุรกิจแรกที่โดนผลกระทบโดยตรงและโดนหนักที่สุด จึงไม่แปลกที่ FED จะต้องเข้ามาอุ้มภาคธุรกิจนี้ไว้โดยการเข้ามาช่วยถือหนี้ธนาคารเป็นจำนวนมาก... แต่...

    3️⃣ ปัญหาในวิกฤตนี้กำลังซับซ้อนกว่าในปี 2008 อยู่มาก

    โดยวิกฤตไวรัสโควิดในครั้งนี้นั้นกำลัง #กระทบกับเกือบทุกภาคธุรกิจ แม้จะมีบางธุรกิจโดนกระทบหนักกว่าบ้างแต่โดยรวมแล้วทุกฝ่ายกำลังเจอปัญหากันเกือบหมด ทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศต้องเลือกแล้วว่าจะช่วยเหลือภาคธุรกิจไหน เพราะถ้าไม่ช่วยเข้าไปช่วยอุ้มบริษัทต่างๆเหล่านี้ จะทำให้เกิดหนี้เสียแน่ๆและเศรษฐกิจโลกก็จะพังลงอย่างแน่นอน

    แต่... #การเลือกที่จะเข้าไปอุ้มภาคธุรกิจไหนนี่แหละที่จะทำให้ตลาดหมดความเป็นเสรีไป

    เงินต่างๆที่กำลังไหลเข้าตลาดนั้นไม่ได้ไหลเข้าไปในภาคธุรกิจที่กำลังโตอย่างเสรีอีกต่อไปเหมือนตลาดปกติในสมัยก่อน แต่ธนาคารกลางแต่ละประเทศอาจเลือกเข้าอุ้มกลุ่มธุรกิจที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศก่อน (Political Agenda) ไม่ใช่ตามความสำคัญของเศรษฐกิจโดยรวม (Economy Agenda)

    ธนาคารกลางทั่วโลกได้ร่วมกันอัดฉีดเงินและสภาพคล่องรวมกันเกินหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐเข้าไปในตลาดแล้วนับตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยในหลายๆที่นั้นกำลังให้กู้ยืมเงินได้ในอัตราดอกเบี้ยติดลบด้วยซ้ำ (หรือกู้เงินและได้รับเงินดอกเบี้ยเพิ่มไปด้วย) โดยแจกไปตามความสำคัญของธุรกิจต่างๆที่มีต่อประเทศ โดยทุกๆภาคธุรกิจก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือในอัตราส่วนที่เท่าๆกัน #ทำให้เราอาจเห็นราคาสินทรัพย์บางอย่างสูงขึ้นกว่าสิ่งอื่นโดยไม่มีนัยสำคัญ

    4️⃣ Ray กล่าวปิดท้ายว่า

    เขาเข้าใจดีว่าธนาคารกลางต่างๆมีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนี้ การเข้าไปอุ้มนั้นมีความจำเป็นต่อการอยู่รอดของเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ #เป็นห่วงหนี้ของธนาคารกลางทั่วโลก ที่กำลังพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติกาลและไม่แน่ใจว่าทุกประเทศจะสามารถรับมือมันได้ไหม ? และนี่ก็อาจจะเป็น #ระเบิดเวลา ของตลาดในอนาคตที่กำลังก่อตัวใหญ่ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ....
    บทสัมภาษณ์ Dalio แบบเต็มๆ


    Cr : ทันโลกกับTraderKP
    https://markets.businessinsider.com

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    นักลงทุนเริ่มปรับคาดการณ์ต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลายปีนี้ โดยคาดว่านาย Joe Biden อาจชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้
    : ผลคำนวณจากเว็บไซต์การพนันขนาดใหญ่ 8 แห่งพบว่าโอกาสชนะการเลือกตั้งของนาย Biden เพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยละ 59 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด และสูงกว่าประธานาธิบดี Trump ซึ่งมีโอกาสชนะการเลือกตั้งที่ร้อยละ 36 สอดคล้องกับผลสำรวจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่แสดงให้เห็นถึงคะแนนนิยมต่อนาย Biden ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงกว่าประธานาธิบดี Trump เรื่อยมาหลังการแพร่ระบาด COVID-19 และการเรียกร้องต่อประเด็น Black Lives Matter ขณะที่คาดการณ์ของนักลงทุนก็ปรับเปลี่ยนสอดคล้องกัน

    ด้านผลการสำรวจผู้บริหารกองทุนกว่า 140 แห่งซึ่งจัดทำโดย Citigroup สะท้อนว่ากว่าร้อยละ 62 มองว่านาย Biden จะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ และสวนทางจากผลการสำรวจเมื่อเดือน ธ.ค. ที่กว่าร้อยละ 70 คาดว่าประธานาธิบดี Trump จะชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ขณะที่การวิเคราะห์ของบางแห่งเริ่มมองว่าพรรค Democrat มีโอกาสได้ครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภา

    ทั้งนี้ ปัจจัยที่นักลงทุนจะให้น้ำหนักในระยะข้างหน้าจะอยู่ที่แนวทางนโยบายของนาย Biden ซึ่งคาดว่าจะเปลี่ยนแนวทางการบริหารประเทศไปจากปัจจุบัน อาทิ การยกเลิกมาตรการลดภาษีรายได้นิติบุคคลบางส่วน จากเดิมที่ประธานาธิบดี Trump ปรับลดลงอัตราภาษีรายได้นิติบุคคลลงมาสู่ร้อยละ 21 จากร้อยละ 35 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประมาณการผลกำไรจากการดำเนินงานในบริษัทจดทะเบียนโดยรวม และทำให้ประมาณการราคาหลักทรัพย์โดยรวมปรับลดลงได้ ทั้งยังอาจทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ในสหรัฐฯ ปรับลดลง หลังจากที่ผ่านมาค่อนข้าง outperform ดัชนีหลักทรัพย์ในประเทศอื่นๆ

    นอกจากนี้ แนวนโยบายบางประการยังอาจส่งผลลบต่อราคาหลักทรัพย์ในบางกลุ่ม เช่น กลุ่ม Healthcare เนื่องจากนาย Biden ต้องการขยายขอบเขตของระบบประกันสุขภาพในประเทศ หรือ Medicare และตั้งเป้าลดราคายาที่รัฐจ่ายภายใต้โครงการดังกล่าว นอกจากนี้ การผลักดันนโยบายด้านพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมอาจกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ในกลุ่ม Energy, Transportation, Logistic อีกด้วย

    ทางด้านกลุ่ม Big Tech ยังต้องจับตามองแนวนโยบายของนาย Biden ต่อประเด็นเรื่อง data protection, freedom of speech และ anti-trust เป็นสำคัญ หลังจากที่ผ่านมาผู้สมัครจากพรรค Democrat รายอื่นมีท่าทีค่อนข้าง liberal ในประเด็นดังกล่าว ทั้งนี้ คาดว่าแนวนโยบายของนาย Biden จะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงก่อนหน้า Democrat National Convention ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 17-20 ส.ค. ขณะที่คาดว่าจะมีการประกาศ running mate ในต้นเดือน ส.ค.

    Source: BoTSS
    www.ft.com

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    นักวิเคราะห์เตือน ปี 2021 ยุโรปอาจตกงาน 9 ล้านคน เพราะการจ้างงานระยะสั้นคือ “Zombie Jobs”
    : Ludovic Subran นักวิเคราะห์จาก Allianz (บริษัทจัดการทรัพย์สิน) ระบุ ในปีหน้า ปี 2021 คนยุโรปเสี่ยงตกงานราว 9 ล้านคน หลังจากที่บริษัทหลายแห่ง ธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกถูกสั่งให้ปิดทำการ หยุดกิจการ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้นำยุโรปหลายชาติหันมาใช้โครงการจ้างงานระยะสั้นเพื่อแก้ปัญหาและรักษาระดับไม่ให้คนตกงานเป็นจำนวนมากในช่วงที่เกิดโรคระบาด

    ขณะที่บริษัทหลายแห่งทั่วโลกปิดกิจการ ยุโรปก็พยายามรักษาตำแหน่งงานด้วยการจ้างงานระยะสั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปลดพนักงานจำนวนมาก

    แต่นักวิเคราะห์คาดว่า 5 ประเทศที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และอังกฤษจะมีคนทำงานราว 9 ล้านคน หรือประมาณ 20% จาก 45 ล้านคนที่สมัครทำงานในโครงการระยะสั้น อาจจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะไม่ถูกจ้างเข้าทำงานต่อไปในปีหน้าหรือปี 2021 เพราะยังไม่พบสัญญาณการฟื้นตัว

    ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของชื่อ “zombie jobs” คือ การให้ทำงานชั่วคราวระยะสั้น เช่น การจ้างงานภายใต้โครงการ Kurzarbeit ไปก่อน เพื่อป้องกันการตกงานจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่า zombie jobs คือการยืดเวลาไม่ให้คนอยู่ในสภาวะตกงานจำนวนมากนั่นเอง

    ทั้งนี้ Allianz คาดว่า zombie jobs นี้ จะพบมากในประเทศอังกฤษ อิตาลี และสเปน แต่ก็อาจพบในเยอรมนีบ้างเล็กน้อย โดยภาคแรงงานที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้าเพราะได้รับผลกระทบหนักสุดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “late bloomer”

    ประกอบด้วย 6 ภาคส่วนคือ ภาคขนส่งและคลังสินค้า, ภาคการให้บริการที่พักและอาหาร, ภาคความบันเทิงและกิจกรรมที่เกี่ยวกับสันทนาการ, ภาคค้าปลีกและค้าส่ง และอุตสาหกรรม การก่อสร้าง เหล่านี้เป็น sector ต้องให้ความสำคัญ หรือรัฐจะต้องเข้าไปช่วยประคับประคองก่อนจนกว่าจะหมดปี 2021 ด้วยเหตุผล ดังนี้

    ประการแรก เรื่องการรักษาสุขอนามัยให้ถูกสุขลักษณะยังคงต้องทำต่อไป ดังนั้น ข้อจำกัดด้านต่างๆ จะส่งผลกระทบต่อกิจการต่างๆ ที่ต้องใช้มาตรการเว้นระยะห่างจากสังคม (social distancing) อาทิ การจำกัดจำนวนผู้คนเข้าทานอาหารในร้านอาหาร ในร้านค้า รวมถึงการแบนการเดินทางระหว่างประเทศด้วย

    ประการที่สอง แม้ข้อจำกัดต่างๆ อาจถูกยกเลิก แต่คนยังบังคับตัวเองให้เว้นระยะห่างจากสังคมอยู่ ดังนั้น จะเกิดผลกระทบในส่วนของการบริโภคสินค้าและบริการ ที่ลูกค้าต้องมีปฏิสัมพันธ์โดยตรง อาทิ การเดินทาง การท่องเที่ยว การค้าปลีก และกิจกรรมผ่อนคลายต่างๆ

    ประการที่สาม เศรษฐกิจภายในประเทศไม่แน่นอนสูง นำไปสู่การความกลัวที่จะมีหนี้สินล้นพ้นตัวได้ จึงต้องมีแผนจ้างงานและลงทุนต่อไป

    ประการที่สี่ อุตสาหกรรมบางภาคส่วนพึ่งพาความต้องการจากภายนอกสูง เช่น ด้านการขนส่ง คมนาคม การท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ต้องประคับประคองสถานการณ์ต่อไป อย่างน้อยจนถึงปี 2022

    ด้วยเหตุนี้ Allianz จึงประเมินว่า น่าจะมีคนยุโรปตกงานมากถึง 9 ล้านคน โดยกลุ่มคนที่ถูกจ้างอยู่ใน sector ที่เรียกว่า “late bloomer” นี้ คาดว่าจะอยู่ในยุโรปโดยรวมประมาณ 115 ล้านคน ในฝรั่งเศสประมาณ 42% ในอิตาลี 50%

    อย่างไรก็ดี ผู้กำหนดนโยบายต้องประเมินความเสี่ยงงานที่อยู่ใน sector ของ late bloomer และ fast bloomer ให้ดี (งานด้านไอที เทคโนโลยี และงานด้านสุขภาพ: ฟื้นตัวเร็ว) จะต้องมีการผสมผสานนโยบายที่ทำให้คนทำงานอยู่รอดต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายส่งเสริมทักษะคนทำงาน

    การสนับสนุนค่าจ้างในส่วนที่สำคัญและจำเป็น ตลอดจนการจ้างงานใหม่กับคนหางานหนุ่มสาวเพื่อให้ได้รับผลกระทบต่อความเสี่ยงในการเลื่อนการจ้างงานออกไปให้น้อยที่สุด ในส่วนของการเลื่อนการจ้างงาน เช่น การที่บริษัทได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจนต้องมีนโยบายไม่จ้างงานเพิ่ม เป็นต้น

    โดย Parichat Chk

    Source: Brandinside.asia
    https://brandinside.asia/9-million-workers-in-europe-risk-unemployed-in-2021/

    www.cnbc.com
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Michael DiFato

    (อย่างรุนแรง) สนามแม่เหล็กที่สับสนอยู่ด้านหลังโลก
    FB_IMG_1593920301041.jpg
    (Wildly) Confused magnetic field behind the Earth.

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เหตุผลที่คิมไม่คุยทรัมป์ : หลอกลวง สร้างภาพ ยืมมือก่อนเลือกตั้ง!!

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    งานเข้า! สหพันธ์โฆษณาโลกคาด แบรนด์ใหญ่ไม่เปลี่ยนใจถ้า Social Media ไม่เปลี่ยนแปลง

    Stephan Loerke CEO แห่งสหพันธ์โฆษณาโลก (World Federation of Advertisers: WFA) คาด วงการโฆษณาถึงจุดเปลี่ยน บิ๊กแบรนด์จะไม่เปลี่ยนใจจนกว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

    ใครจะไปคิดว่า แบรนด์ใหญ่เหล่านี้จะเอาจริงเอาจังกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงเรื่องการต่อต้าน Hate Speech จนถึงขั้นอาจไม่กลับมาโฆษณาในโซเชียลมีเดียแล้ว ถ้าไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจริงๆ โดย Loerke ซีอีโอสหพันธ์โฆษณาโลกให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า เขาไม่คิดว่าบิ๊กแบรนด์เหล่านี้จะกลับมา ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง

    Loerke ระบุว่า สมาชิกกลุ่มการค้า 120 แห่ง ซึ่งรวมไปด้วย PepsiCo, P&G และ Diageo ใช้จ่ายเกี่ยวกับการสื่อสารด้านการตลาดมากถึง 90% โดย WFA ได้ทำผลสำรวจ 58 บริษัท พบว่า มี 31% ที่ตัดสินใจระงับโฆษณาในโซเชียลมีเดีย โดย 41% ระบุว่า พวกเขายังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ ขณะที่ 29% ยังไม่มีแผนการที่จะระงับการโฆษณา

    ทั้งนี้ ผลสำรวเกิดขึ้นหลังจากบรรดาสื่อโฆษณาระดับโลกอย่าง Unilever, Starbucks ประกาศจุดยืนระงับโฆษณาบนโซเชียลมีเดียหลากหลายระดับ มีทั้งหยุดโฆษณาไปเลยจนหมดปีนี้ หรืออาจจะเป็นเพียง 1 เดือน หรือ 2 เดือนบ้าง แม้ว่า Mark Zuckerberg จะพยายามอธิบายว่าได้มีการรับมือกับข้อความที่มี hate speech ในแพลตฟอร์ม ไปจนถึงพยายามเรียกความมั่นใจและศรัทธาจากเหล่าพนักงาน Facebook ว่า สื่อโฆษณาทั้งหลายจะกลับมาใช้บริการเร็วๆ นี้ แน่นอน

    ทั้งนี้ WFA ระบุว่า การระงับโฆษณาชั่วคราวอาจไม่ได้ส่งผลกระทบทางการเงินแก่โซเชียลมีเดียมากนัก แต่เป็นการพยายามส่งสัญญาณว่าแบรนด์ใหญ่เหล่านี้กำลังคิดทบทวนการโฆษณาบนแพลตฟอร์มดังกล่าว เป็นไปได้ว่าแบรนด์ต่างๆ เริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างความปลอดภัยในสังคม นี่อาจเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่สร้างจุดเปลี่ยนให้กับสื่อต่างๆ ได้

    โดย Parichat ChkBy

    Source: Brandinside.asia

    https://brandinside.asia/wfa-analys...ctural-change-on-hate-speech-of-social-media/

    เพิ่มเติม

    -The CEO of a major advertising trade group says the Facebook boycott is a turning point: https://www.cnbc.com/2020/07/03/facebook-boycott-is-a-turning-point-ad-trade-group-ceo-says.html

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "คุยกับบัญชา" รู้ทั้งรู้ว่าฝากเงินแบงก์ได้แต่ดอกต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่ยังแห่ฝากเงินพุ่งกว่า 2 หลัก คนทำธุรกิจยังติดกับดักสายป่านขาด
    .
    #ฝากเงิน #หมุนเงิน #ไวรัสโคโรนา2019 #โควิด19 #btimes #คุยกับบัญชา

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อินเดีย : เมือง Pune ปูเน่
    Shankar Kurhade นักธุรกิจชาวอินเดียสั่งทำหน้ากากทองคำ ใส่ป้องกันไวรัสโควิด
    ราคา 125,000 บาท น้ำหนัก 60 กรัม ( 2ออนซ์) ช่างใช้เวลาทำ 8 วัน รีดทองเป็นแผ่นบาง สาน และเจาะรูเล็กๆ Shankar Kurhade เขาเป็นคนชอบใส่ทอง เขาก็ไม่แน่ใจว่าหน้ากากจะป้องกันเชื้อได้แค่ไหน แต่เขาใช้การระวังจากทางอื่นด้วย
    ขณะเดียวกันตัวเลขผู้ติดเชื้อของอินเดียอันดับ4 ของโลก 673,904 ราย
    cr : india times

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    นี่คือฝีมือมนุษย์!!
    .
    พบเต่าตายเกยตื้นที่หาดบางแสน จังหวัดชลบุรี จากการผ่าผลการผ่าพิสูจน์ จากพบว่ามีเบ็ดตกปลาปักลำคอ และเศษถุงพลาสติก-เชือกพันเป็นก้อนอุดตันในลำไส้ และที่เน่าศร้าใจคือ แม่เต่ามีไข่ในท้องกว่า200 ฟอง
    .
    Cr : ณรงค์ชัย (ตุ้ย) คุณปลื้ม
    .
    #infographic #บางแสน #เต่าตายเกยตื้น

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,980
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ฝ่ายค้านสุดปลื้มปชช.ยกให้A+ ด้านรบ.ติดF หลังชี้แจงงบ 64 เหตุทำงบแบบ “ไม่ตรงปก”

    อภิปรายงบประมาณ 2564 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยและ ส.ส.กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการอภิปรายงบประมาณ 2564 ที่ผ่านมาว่า ถ้าประชาชนสังเกตุการลงมติเมื่อคืนวันศุกร์ จะเห็นว่าเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการทำงานของพรรคฝ่ายค้าน

    โดยเฉพาะการอภิปรายเตือนสติ ทักท้วง ไม่ให้นายกรัฐมนตรี นำพาประเทศเข้าสู่กลียุคได้ เพราะการชี้แจงของครม.ตลอด 3 วันไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้เลย เป็นการจัดทำงบประมาณแบบ “ไม่ตรงปก” เนื้อในมีลักษณะคล้ายกับแผนงบ 63 แต่อวดสรรพคุณว่าเป็นยาผีบอก ดีแน่ทั้งๆ ที่ปีหน้าปัจจัยลบบานตะเกียง ที่สำคัญสภาพปัญหาขณะนี้และปีหน้าไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ทำงบ 64 แบบนี้มีโอกาสสูงที่จะนำพาประเทศไปสู่กลียุค ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนและความเป็นความตายของประเทศ

    “การชี้แจงของคณะรัฐมนตรีในแต่ละประเด็นยิ่งทำให้เห็นว่าเป็นการรักษากระทรวงของแต่ละพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้นไม่ได้สร้างความมั่นใจใดๆให้กับประชาชนนอกจากผลประโยชน์ของแต่ละพรรคที่มีรัฐมนตรีเท่านั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกันเพื่อประคองรัฐนาวาที่เจอพายุทอนาโด”

    นายจิรายุ กล่าวอีกว่า ฝ่ายค้านทนฟังชี้แจงมา 3 วัน ก็ยิ่งไม่เห็นอนาคตของประเทศหลังสถานการณ์โควิดจึงนำไปสู่การลงมติ “ไม่เห็นชอบ” เป็นครั้งแรก ซึ่งวาระแรกส่วนใหญ่สมาชิกรัฐสภาที่ไม่เห็นด้วยหรืออยู่ในฝ่ายค้านก็จะลงมติด้วยการโหวต “งดออกเสียง” แต่ครั้งนี้ ถือว่ารัฐบาลชี้แจงได้ไม่เอาอ่าวจริงๆ

    และที่รับไม่ได้ มาแย่งแอร์ แย่งอากาศฝ่ายค้านหายใจ เห็นจะเป็นซีกรัฐบาลอภิปรายด่าพลเอกประยุทธ์ เละเทะเป็นวรรคเป็นเวรนึกว่าจะใจถึงประชาชนจะพึ่งได้สุดท้ายก็โหวต “เห็นด้วย” หน้าตาเฉย

    นายจิรายุ กล่าวอีกว่า ตนขอขอบคุณแทน ส.ส.ซีกฝ่ายค้านทุกคนที่หลังจากอภิปรายมีการสำรวจความคิดเห็นหลายสำนัก และในโซเชี่ยล ต่างให้คะแนนพรรคร่วมฝ่ายค้านในการทำหน้าที่อภิปรายเพื่อตักเตือนรัฐบาลที่ลุอำนาจ โดยให้ข้อมูลและยับยั้งอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการจัดทำงบประมาณแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ถึงA+ และให้คะแนนรัฐบาล ติด F ชนิดต้องไล่ออกสถานเดียว
    โดยเฉพาะประเด็นทำงบฯ ที่ไม่สอดรับกับปัญหาสถานการณ์โควิด ที่ประเทศจะได้รับสึนามิทางเศรษฐกิจอย่างแน่นอน แต่ยังใช้เงินไปในการซื้ออาวุธ และทำถนน อีกทั้งยังจัดสรรงบประมาณ แบบเอื้อพรรคของพวก ในลักษณะประคองรัฐนาวา ในพรรคร่วมรัฐบาล โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติจะเป็นอย่างไรหลังสถานการณ์โควิด

    นอกจากนี้ การกู้เงินจำนวนมากที่มากกว่านายกรวมกัน 28 คน ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ไม่มีแผนหรือนโยบายที่ชัดเจนว่าจะหาเงินเข้าประเทศได้อย่างไรและจะใช้หนี้กว่า 100 ปีได้แบบไหน เห็นมีแต่แจกๆๆๆเงิน

    ไม่เห็นมีอะไรที่ประชาชนฟังแล้วจะมั่นใจได้ว่าปีหน้าหรือปีต่อๆ ไป ประเทศไทยจะไม่ล้มละลาย เพราะสุดท้ายอาจต้องเกิดภาวะดุลข้าราชการ เหมือนในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศไม่มีเงินเดือนจะจ่าย ต้องให้ข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก

    The post ฝ่ายค้านสุดปลื้มปชช.ยกให้A+ ด้านรบ.ติดF หลังชี้แจงงบ 64 เหตุทำงบแบบ “ไม่ตรงปก” appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     

แชร์หน้านี้

Loading...