เรื่องเด่น ตะลึง!!! ฟ้าผ่าเศียรยักษ์ วัดอรุณ หัก 2 ท่อน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย testewer, 19 ตุลาคม 2012.

  1. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0"><tbody><tr><td align="center" background="/images/linedot_vert.gif" valign="middle" width="1">[​IMG]</td> <td> <table cellpadding="0" cellspacing="5" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert.gif" valign="middle" width="1">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" height="1" valign="top" width="1">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/linedot_hori.gif" height="1" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="1" valign="top" width="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td align="left" height="12" valign="bottom">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td bgcolor="#CCCCCC"> <table cellpadding="0" cellspacing="1" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF" valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="160"> <table cellpadding="0" cellspacing="4" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="center" valign="baseline">คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</td> </tr> </tbody></table> <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" height="1" valign="middle" width="165">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table></td> <td background="/images/linedot_vert3.gif" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> <table cellspacing="7" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> ฟ้าผ่าเศียรยักษ์ วัดอรุณ หัก 2 ท่อน “สุกุมล” รุดตรวจสอบ สั่งกรมศิลป์ เร่งซ่อมให้แล้วเสร็จก่อน 31 ต.ค.นี้ เตรียมของบ 130 ล้าน บูรณะพระปรางค์ครั้งใหญ่ อธิบดีกรมศิลป์ ระบุ เป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่ลางร้าย

    วันนี้ (19 ต.ค.) ที่วัดอรุณราชวราราม นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) พร้อมด้วย นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการบูรณะคอม้า ประกอบพระปรางค์บริวารที่โค่นลงมา ภายในพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม โดย นางสุกุมล กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยม ว่า ตนได้รับรายงานจากทางวัดอรุณ ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดฝนตกหนัก มีเหตุฟ้าผ่าลงมาที่ยอดพระปรางค์องค์เล็กด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เศียรยักษ์ที่ประดับอยู่ด้านบนหักหล่นลงมาเกิดความเสียหาย เบื้องต้นจึงได้สั่งการให้กรมศิลปากรเร่งบูรณะอย่างเร่งด่วน คาดว่า ภายในวันที่ 31 ต.ค.นี้จะแล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการบูรณะคอม้าพระปรางค์องค์เล็กที่เกิดหักหล่นลงมาก่อนหน้านี้นั้น ได้ดำเนินการบูรณะเสร็จแล้ว คาดว่า ในช่วงปลายเดือนตุลาคม นี้ กรมศิลปากร จะนำนั่งร้านออก เพื่อปรับภูมิทัศน์ให้สวยงามเช่นเดิม

    สำหรับแผนการดำเนินการบูรณะวัดอรุณ นั้น ได้ดำเนินการจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะดำเนินการบูรณะตั้งแต่ปี 2556-2558 โดยในปีงบประมาณ 2556 นี้ สำนักโบราณคดี ได้ทำแผนเสนอของบประมาณกลาง 39.7 ล้านบาท เพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ในการบูรณะพระปรางค์องค์เล็ก จำนวน 2 องค์ และมณฑปรายอีก 2 องค์ ซึ่งทรุดโทรมมาก ส่วนของการบูรณะพระปรางค์ประธาน หรือพระปรางค์องค์ใหญ่ และภูมิทัศน์โดยรอบ จะดำเนินการบูรณะตั้งแต่ปี 2557-2558 โดยจะใช้งบประมาณของกรมศิลปากรจำนวน 90.3 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 130 ล้านบาท

    นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า จากการตรวจสอบการดำเนินการบูรณะคอม้าที่โค่นหักลงมาก่อนหน้านี้ พบว่า ได้บูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงนั่งร้าน ซึ่งทางคณะช่างจะดำเนินการถอดออกภายในสัปดาห์หน้า เนื่องจากจะมีพิธีซ้อมใหญ่พระราชพิธีขบวนพยุหยาตราทางชลมารค

    ส่วนที่มีเศียรยักษ์หักลงมา อีก คิดว่า เป็นเรื่องอุบัติเหตุ ไม่อยากให้คิดเป็นเหตุการณ์ไม่ดีหรือลางร้าย ที่สำคัญ ยังถือว่าโชคดีที่อุบัติเหตุดังกล่าวไม่เกิดขึ้นกับประชาชน หรือนักท่องเที่ยว เพราะจะเกิดความสูญเสียถึงชีวิตอย่างแน่นนอน ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการการโยงสายล่อฟ้าให้นำลงดินให้เรียบ ร้อย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์น่าตกใจเช่นนี้ขึ้นอีก

    นายธราพงศ์ ศรีสุชาติ ผอ.สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร กล่าวว่า สาเหตุของการที่เศียรยักษ์หล่นลงมา เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝนตกหนัก จึงทำให้กระแสไฟวิ่งสู่สายล่อฟ้า ซึ่งพาดอยู่ตรงเศียรยักษ์ที่ปรางค์บริวาร และเกิดการระเบิดขึ้นทำให้เศียรยักษ์กระเด็นหล่นลงมา โดยการบูรณะนั้นจะต้องมีการเจาะเดือย ทั้งด้านเศียรและคอยักษ์ เข้าด้วยกัน และเสริมความมั่นคงด้วยการฉาบปูน ประสานให้ติดกลับไปเป็นเหมือนเดิม คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ต.ค.นี้

    นายธราพงศ์ กล่าวว่า คติความ เชื่อ ยักษ์แบกศาสนสถาน องค์เจดีย์ หรือ พระปรางค์ นั้น เป็นความเชื่อมาจากศาสนาพราหมณ์ และ พุทธ ตั้งแต่สมัยทวารวดี ที่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าได้เทศน์สั่งสอนยักษ์ ให้ลดทิฐิ จนกลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา ดังนั้น การสร้างเจดีย์ หรือ องค์พระปรางค์นั้น จึงนำบริบทและ คติความเชื่อดังกล่าวมาสร้างศาสนสถาน ซึ่งหมายถึงผู้ แบกสรวงสวรรค์ ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองสถูปสถาน และอาคารศักดิ์สิทธิ์ ตามคติโบราณเมื่อสองพันปีที่แล้ว เพื่อเป็นการค้ำชูพระพุทธศาสนาให้มั่งคง และเจริญรุ่งเรือง

    Quality of Life - Manager Online - ตะลึง!!! ฟ้าผ่าเศียรยักษ์ วัดอรุณ หัก 2 ท่อน
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  2. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" background="images/bg_comment.gif" width="15">
    </td> <td align="left" background="images/bg_comment.gif"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">ความคิดเห็นที่ 30 </td> <td class="body" background="images/bg_comment.gif" valign="middle" width="30"> +10 [​IMG]</td> <td align="center" background="images/bg_comment.gif" valign="baseline" width="55">[​IMG]</td> <td align="center" background="images/bg_comment.gif" valign="baseline" width="65">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top" width="15">[​IMG]</td> <td class="body" align="left" valign="top"><table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="middle" width="100%">ใครศึกษา ประวัติศาสตร์อยุธยาก่อนกรุงแตกครั้งที่ 2 ซักประมาณ 1 เดือน มีปรากฏการณ์เช่นเดียวกันนี้คือฟ้าผ่ายอดเจดีย์พระที่นั่งสรรเพชรปราสาทหัก ลงมา รูปปั้นพระนเรศวรกระทืบพระบาทดังลั้นไปทั่วพระราชวัง จากนั้นอีกไม่นานก็เสียกรุง ที่เกิดอาเพทตามความเชื่อของคนโบราณนี้ก็มีสาเหตุอีกอย่างหนึ่งคือ ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม โกงกินเล่นพรรคเล่นพวก จนบ้านเมืองใกล้จะฉิบหาย เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นให้เห็นอีกครั้งหนึ่งในสมัยรัตโกสินทร์ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ใครไม่เชื่อก็อย่าเชื่อไม่ได้บังคับ แต่คอยดูต่อไป ว่าเหตุการณ์แบบเสียกรุงจะเกิดขึ้นอีก แต่ไม่ใช้การตกเป็นเมืองขึ้นเขา แต่เป็นเรื่องของการล้มละลายของประเทศ เพราะเป็นหนี้มหาศาล ซึ่งไม่ต่างจากกาเสียกรุง วัดอรุณเป็นวัดที่ศักสิทธิ์เป็นวันที่พระเจ้าตากสินมหาราชเคารพนับถือเป็น อย่างยิ่ง และพระองค์ก็เป็นผู้ที่กู้ชาติบ้านเมืองนี้มา พระองค์คงไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เหตุการณ์ฟ้าผ่าเศียรยักษ์นี้จึงเกิดขึ้น
    เป็นความเชื่อที่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
    Quality of Life - Manager Online - ตะลึง!!! ฟ้าผ่าเศียรยักษ์ วัดอรุณ หัก 2 ท่อน
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  3. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    คำทำนายเขมร

    คำทำนายเขมร

    " ปีนี้กินแล้วนอนไม่ทำงาน ปีหน้าจะต้องกินดิน น้ำท่วมปลายไม้ไผ่ แต่ทำไมปลาไม่มีเกล็ด

    กรุงเทพฯจะล่มสลาย พนมเปญจะล้มละลายเลย  สาเหตุเพราะแตกความสามัคคี แต่ไปสุขสบายที่นครวัด

    มีนครหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นโสน ที่ราบลุ่ม จะล่มสลายด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องมีใครทำลาย

    แต่จะมีคนมีธรรมะมีศีลมีทานชักจูงนำพา สู่ทิศทางที่ถูกต้องดีงาม พาไปสู่ชัยชนะ "
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=zgg288BrB4A"]คำทำนายเขมร - YouTube[/ame]
     
  4. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    <table cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" width="100%"><tbody><tr><td class="icon" width="24">
    [​IMG]</td><td class="cattitle">ช้างเผือกกับคำทำนายของหลวงปู่มั่น</td><td class="itemsubsub"><nobr>Jul 29, '09 1:49 PM</nobr>
    สำหรับ ทุกคน</td></tr></tbody></table> ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านหลังจากว่างจากการส่งงานอันหนักหน่วงในช่วงเดือนที่ผ่าน ผมได้มีโอกาสอ่านประวัติคร่าวๆของพระสุปัฏิปันโนแห่งอุดรธานี(บ้านเกิดของผม เอง ซึ่งผมไม่เคยมีบุญได้กราบท่านเลย จนปัจจุบันนี้ท่านละสังขารไปได้สองปีแล้ว) คือ พระปัญญาพิศาลเถร หรือ หลวงพ่อทูล ขิปฺปปัญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านค้อ


    ตัว ท่านหลวงพ่อทูลนี้ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ขาว อนาลาโยแห่งวัดถ้ำกลองเพล (วัดนี้ผมเคยไปตอนเด็กๆ ไปบ่อยมากเพราะเวลาไปหาน้าที่จังหวัดหนองบัวลำภู จะต้องผ่านวัดนี้เป็นประจำ) ซึ่งในอัตโนประวัติที่ท่านเขียนนี้ มีตอนหนึ่งที่ผมอ่านแล้วรู้สึกปลาบปลื้มใจมาก เลยอยากให้เพื่อนๆทุกท่านได้มีโอกาสได้รับรู้ด้วย ซึ่งเป็นการสนทนาระหว่างหลวงปู่ขาว กับ หลวงพ่อทูล เรื่องคำทำนายของหลวงปู่มั่น เกี่ยวกับช้างเผือก ซึ่งมีเนื้อความดังนี้

    _/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__​


    หลวงปู่ขาวเล่าเรื่องช้างเผือกให้ฟัง

    เมื่อ เสร็จธุระจากกฐินวัดป่าหนองแซงแล้ว ก็ได้กลับไปวัดถ้ำกลองเพล ได้พูดคุยธรรมกับหลวงปู่ตามปกติในวันหนึ่งได้อยู่กับหลวงปู่สององค์ หลวงปู่ได้ถามข้าพเจ้าว่า


    "ทูล เคยนิมิตว่าได้ขี่ช้างเผือกไหม"

    ขอโอกาสหลวงปู่ กระผมเคยนิมิตว่าได้ขี่ช้างเผือกครั้งหนึ่ง หลวงปู่พูดว่า

    "ขี่อย่างไร เล่าให้เฮาฟังซิ"

    ก็ ขอโอกาสเล่าให้หลวงปู่ฟังดังนี้ ในคืนหนึ่งเมื่อเข้าสมาธิได้ที่แล้ว ในโลกนี้มีความสว่างเห็นไปหมดทุกที่ มองขึ้นไปบนอากาศก็มีความสว่างไสวเช่นกัน ในขณะนั้นเห็นหลวงปู่มั่นนั่งอยู่บนหลังช้างเผือกขนาดใหญ่ และมีครูอาจารย์องค์อื่นๆนั่งอยู่บนหลังช้างเผือกยืนเรียงแถวกันอยู่หลาย องค์ จากนั้นช้างเผือกที่หลวงปู่มั่นนั่งอยู่ก็ลอยขึ้นสู่อากาศ และช้างเผือกตัวอื่นๆก็พาครูอาจารย์ลอยขึ้นสู่อากาศเช่นกัน จากนั้นก็มาถึงตัวช้างเผือกที่กระผมนั่งอยู่ก็ได้ลอยขึ้นไปตามช้าง เผือกกลุ่มใหญ่ ได้ลอยอยู่บนอากาศเป็นวงกลม ช้างเผือกแต่ละตัวมีการประดับประดา ด้วยเครื่องเพชรนิลจินดา ประดับด้วยผ้าสีทองที่มีความสวยงามมาก ในท้องฟ้าอากาศมีรัศมีระยิบระยับแพรวพราว สว่างเต็มท้องฟ้าไปหมด แล้วมีเสียงประกาศว่า


    "นี้เป็นกลุ่มคณะช้างเผือก ที่หลวงปู่มั่นได้พาหมู่คณะไปสู่พระบรมสุข คือ วิมุตตินิพพานในกาลครั้งนี้"

    จาก นั้นจิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิ ก็ได้พิจรณาว่า เป็นเรื่องปกติี่ที่ผู้ปฏิบัติได้มาถึงจุดนี้แล้ว ถือเป็นความสมบูรณ์ เป็นอุดมมงคล เพราะช้างเผือกเป็นช้างทรงของพระราชา จะตีความว่า ราชาธรรมนี้ก็เป็นได้ หมายถึงผู้จบในภาคการศึกษา คือจบในอาตยนะนั่นเอง หรือจะเรียกว่าเป็นผู้ที่เรียนจบในประโยค ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้แล้วอย่างสมบูรณ์


    จากนั้นหลวงปู่ขาวเพียงแต่ยิ้มแล้วพูดว่า

    "ใน สมัยเฮาอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเคยประกาศให้คณะสงฆ์ทั้งหลาย ได้รับรู้ไว้ว่า เมื่อเราได้ตายไปแล้ว จะมีช้างเผือกหนุ่มตัวหนึ่ง เหาะไปมา แสดงอภินิหาร ให้คนทั้งหลายได้รู้เห็นในความสามารถต่างๆ มากมาย พระเถระทั้งหลายได้ฟังแล้ว ก็มีความเข้าใจความหมายว่า ในยุคต่อไป จะมีพระอรหันต์หนุ่มเกิดขึ้น จะได้แสดงความรู้ึความสามารถ เผยแผ่ธรรมให้คนทั้งหลายได้รับรู้ความจริงในสัจธรรม จะมีผู้ปฏิบัติตามได้รับผลมากทีเดียว"


    ข้าพเจ้าก็ถามหลวงปู่ขาวว่า ขอโอกาสหลวงปู่ ช้างเผือกหนุ่มเชือกนั้นเกิดขึ้นหรือยัง หลวงปู่ก็พูดว่า

    "เกิดขึ้นแล้ว"

    ข้าพเจ้า ก็ถามหลวงปู่ต่อไปว่า ช้างเผือกหนุ่มนั้นอยู่ที่ไหน กระผมอยากรู้ อยากไปกราบท่าน หลวงปู่ยิ้มๆแล้วพูดว่า "ไม่บอก หาเอาเองแล้วกัน" เรื่องช้างเผือกหนุ่มนั้น พระอาจารย์วัน อุตฺตโม และพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ก็เคยพูดในเรื่องช้างเผือกหนุ่มนี้ให้ข้าพเจ้าฟังเช่นกัน เมื่อถามท่านว่าเป็นอาจารย์องค์ใด ท่านก็ไม่บอกเช่นกัน


    หาก มีคำถามข้าพเจ้าว่า ช้างเผือกหนุ่มเชือกนั้นเกิดขึ้นหรือยัง ข้าพเจ้าก็จะตอบว่าเกิดขึ้นแล้วเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าช้างเผือกเชือกนั้นอยู่ที่ไหน หรือท่านอาจจะเห็นอยู่แ่ต่ไม่รู้ว่าเป็นช้างเผือก เพราะช้างเผือกนั้นอาจใช้สีดำทาเพื่ออำพรางตัวเอาไว้จึงไม่มีใครรู้ ขอให้พวกเราค้นหาช้างเผือกหนุ่มนั้นให้พบ เมื่อพบแล้ว กรุณามาบอกข้าพเจ้าก็แล้วกัน เพื่อจะได้ไปกราบคารวะและฟังธรรมจากช้างเผือกหนุ่มเชือกนั้นให้สมใจ การทำนายของหลวงปู่มั่นนั้น หลวงปู่ขาวพูดว่า "มีความแม่นยำมาก พูดคำใดคำนั้น เพราะหลวงปู่มั่นมีความชำนาญด้วยญาณ อตีตังสญาณ ท่านรู้ในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว อนาคตังสญาณ ท่านรู้ในเรื่องอนาคต"



    อภินิหาร ๓ อย่าง
    ที่ หลวงปู่มั่นว่าช้างเผือกหนุ่มมีอภินิหารนั้น หลายคนอาจตีความหมาย ไม่ตรงตามหลวงปู่มั่นก็อาจเป็นได้ เพราะคนส่วนใหญ่ได้อ่านในตำรา หรือได้ฟังจากครูอาจารย์มามากว่า อภินิหารต้องเป็นผู้มีฤทธิ์ สามารถดำดินเหาะเหินไปบนอากาศได้ เช่นได้อ่านเรื่องอภิญญา มีจักขุญาณ มีญาณทางตาที่เรียกว่าตาทิพย์ กำหนดจิตให้เห็นรูปเทวดา นรก และสิ่งอื่นๆได้ โสตญาณ มีญาณทางหู เรียกว่าหูทิพย์ กำหนดจิตฟังเสียงในหมู่เทวดาและสัตว์นรก และกำหนดฟังเสียงอื่นๆได้ เจโตปริยญาณ เป็นญาณรู้ทางใจ กำหนดจิตรู้ในความคิดความเห็นของคนอื่นได้ มโนมอิทธิญาณ เป็นฤทธิ์ทางใจ กำหนดจิตให้เป็นนั่นเป็นนี่ หรือเป็นหลายคนได้ อิืทธิวิธี เป็นอภินิหารทางใจ สามารถเหาะเหินไปมาที่ไหนได้ คนส่วนใหญ่จะมาเข้าใจว่า อภินิหารต้องเป็นอย่างนี้


    ในความหมายของหลวงปู่มั่น ว่าช้างเผือกหนุ่มมีอภินิหารนั้น หมายถึงอภินิหาร ๓ อย่าง


    1. อิทธิปาฏิหารย์ แสดงฤทธิ์ได้นานาประการ
    2. อาเทสนาปาฏิหารย์ มีญาณรู้วาระจิตคนอื่น แล้วพูดดักใจคนอื่นได้
    3. อนุ สาสนีปาฏิหารย์ มีความสามารถแสดงธรรมได้อย่างมีเหตุผล ทำให้คนที่ฟังเข้าใจในความหมายได้อธิบายธรรมหมวดที่คนเข้าใจได้ยาก มาอธิบายให้คนเข้าใจง่าย อธิบายธรรมหมวดยาว สามารถย่นย่อธรรมที่ยาว มาอธิบายโดยย่อให้คนเข้าใจได้
    อภินิหาร ๓ ข้อนี้ ข้อ ๑ ข้อ ๒ ที่ทำให้เกิดขึ้นได้ แต่พระุพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ แต่พระพุทธเจ้ามาสรรเสริญ อนุสาสนีปาฏิหารย์ ในข้อ ๓ เพราะเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและมรรคผลนิพพาน ฉะนั้นหลวงปู่มั่นว่ามีช้างเผือกหนุ่มมีอภินิหารนั้น หมายถึง อนุสาสนีปาฏิหารย์ เป็นผู้มีความสามารถแสดงธรรม ให้เป็นไปในคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้อง ทำให้คนมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ตามแนวทางที่เป็นจริง แสดงธรรมให้คนเข้าใจในอุบายการปฏิบัติ เพื่อเป็นไปในมรรคผลนิพพาน หลวงปู่มั่นมีความหมายเป็นอย่างนี้ ขอให้พวกเราได้เข้าใจ เพื่อจะได้ค้นหาช้างเผือกหนุ่มได้ง่ายขึ้น มิใช่ว่าคอยไปดู เมื่อไรหนอท่านจะเหาะขึ้นสู่อากาศ เมื่ิอไหร่หนอท่านจะดำดินและหายตัวให้ดู ถ้าจะหาในวิธีนี้ รับรองได้ว่า จะไม่พบช้างเผือกหนุ่มอย่างแน่นอน เพราะตีความหมายในอภินิหารผิดไป จึงทำความเข้าใจแก่ท่านดังนี้

    ที่มา Mindfulness of Mind - ช้างเผือกกับคำทำนายของหลวงปู่มั่น
     
  5. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    พ.ศ. 2555 คนเก่งอยู่ในเมืองไทย-โดยหลวงปู่สรวง

    หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน) พูดถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้..


    ต่อไปนี้ พ.ศ. 2555 คนเก่งอยู่ในเมืองไทย อยู่ที่ไหนก็ตามแต่ มุมไหนก็แล้วแต่ พ่อ - แม่ - ญาติพี่น้อง ไม่ต้องสู้ จะตายหมด น้ำทะเลตีข้างล่างได้ครึ่งโลกแล้ว ไม่ใช่ครึ่งประเทศนะ ครึ่งโลกแล้ว มาบอกให้หยุดนะ ไม่ต้องอยากชนะกันให้ออกไป อย่ามีเวร อย่ามีกรรม

    คัดมาจากกระทู้ของคุณ Specialized ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด
    http://palungjit.org/threads/%E0%...89.146804/
     
  6. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    รามะน้อย พูดถึงพระศรีอริยเมตไตร

    <center>[​IMG]</center>
    พระโพธิสัตว์ปาเดนโดรเจ

    เทศนาครั้งแรกของพระโพธิสัตว์ปาเดนโดรเจหลังจากนั่งสมาธิ 6 ปี มีเป็นวิดีโอด้วยนะครับ



    ขอนอบ น้อมแด่พระอวโลกิเตศวร ขอนอบน้อมแด่พระอริยไมตรี ขอให้ศาสนาทุกศาสนามีเมตตา เราจะแนะนำทางที่บริสุทธิ์ เพื่อสันติภาพแก่ชาวโลก เพื่อผู้มีบุญบารมีในชาติก่อน ซึ่ง วันนี้ก็เป็นวันดีที่นั่งสมาธิครบ 6 ปีแล้ว ในยุคแห่งความวุ่นวายและความเปลี่ยนแปลงของโลกนี้ ด้วยอานุภาพของพระอริยไมตรีจะคุ้มครองให้ชาวโลกรอดปลอดภัย ชาวโลกไม่รู้ว่าพระอริยไมตรีเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง และได้ให้คำสอนไว้กับชาวโลก หลังจากที่ข้าพเจ้านั่งสมาธิผ่านไปได้ 10 เดือนโดยไม่ลุกไปไหน รู้สึกได้ถึงความร้อน ความหนาว ฝนตก ซึ่งร่างกายมีเพียงผ้าบางๆ มองไปด้านหลังช้าๆก็เห็นปลวกขึ้นผ้า
     
  7. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    ตำนานละแวก-พญาธรรมมิกราช

    ก่อนที่จะมีพญาธรรมมิกราชจะเกิดขึ้นนั้น ท้องฟ้าจะมืดมิดเป็นเวลา ๗ วัน (ตำนานละแวก)


    [​IMG]

    3269. พระพุทธมหาเศรษฐีแสนล้านมหาลาภทันใจ (พระเจ้าแสนล้าน)
    สร้างในโอกาสที่ พระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) เจริญมงคลอายุ 90 ปี ในปีพุทธศักราช 2550
    ประดิษฐานที่พระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่

    ภาพประกอบ: ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง



    [​IMG]

    3272. พระพุทธมหาเศรษฐีแสนล้านมหาลาภทันใจ (พระเจ้าแสนล้าน)
    ประดิษฐานที่พระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

    ภาพประกอบ: ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง



    ต้นฉบับตำนานละแวกนี้เป็นของวัดศรีพิงค์เมือง (วัดศรีปิงเมือง) ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จำนวน ๑ ผูกความยาว ๖๒ หน้า
    คัดลอกโดยมหาวันภิกขุ เมื่อพ.ศ. ๒๔๒๓ ตรงกับ จ.ศ.๑๒๔๒ ปีกดสะง้า

    เดือน ๑๒ แรม ๙ ค่ำ วัน ๓ สรุปใจความได้ดังนี้

    ใน สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ทรงทำนายเหตุการณ์ในอนาคตไว้ที่เมืองละแวก เมื่อเสด็จมาถึงเมืองแห่งนี้พญานาคได้มาอุปัฏฐาก
    จึงทำนายว่า สถานที่ดังกล่าวนี้จะเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระอานนท์จึงขอเอาพระเกศาธาตุบรรจุไว้ที่นี่ พระพุทธองค์ทรงมอบพระเกศาธาตุ
    ให้ จำนวน ๕ เส้น จากนั้นพระอินทร์ พระพรหม ครุฑ นาค และพญาเจ้าเมืองละแวก จึงก่อเจดีย์ขึ้นเป็นจำนวน ๕ องค์ สำหรับเป็นเครื่องหมายของศาสนา ๕,๐๐๐ ปี

    ครั้น เมื่อพระพุทธองค์นิพพานไปแล้ว ๒๒ ปี พญาอโสกธัมมิกราชได้มาบูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์ดังกล่าวให้เจริญรุ่งเรือง โดยก่อกำแพงแก้วรอบบริเวณพร้อมทั้งติดแผ่นทองจังโกทุกองค์เจดีย์

    ส่วนเมืองละแวกแห่งนั้นมีบริเวณกว้าง ๓ พันวา ยาว ๒ พันวา กำแพงเมืองก่อด้วยหินหนา ๖ วา สูง ๔ วาคูเมือง ลึก ๗ วา

    สำหรับ บริเวณที่สร้างเจดีย์ ๕ องค์กว้าง ๓๐๐ วาฐานเจดีย์องค์หนึ่งกว้าง ๑๔ วา สูง ๒๐ วา แต่ละเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง ๔ ด้านเหมือนกันหมดทุกองค์

    เจดีย์ ทั้ง ๕ องค์ดังกล่าวนี้พระพุทธองค์ให้สร้างไว้ เพื่อเป็นเครื่องหมายทางศาสนา หากเจดีย์จมพื้นดินลงไป ๑ องค์เท่ากับศาสนาพ้นไปแล้ว ๑ พันปี
    จนกว่าจะครบ ๕ พันปีเจดีย์ทั้งหมดจึงจะหายไปในที่สุด เจดีย์ดังกล่าวนี้มีผู้อุปัฏฐากดูแลคือ ภิกษุ ๕๐๐ องค์ สามเณร ๕๐๐ รูป คฤหัสถ์ ๕๐๐ คน
    ในช่วงระยะเวลาระหว่างพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปีนั้น จะมีพญาธัมมิกราชเกิดมาจำนวน ๕ องค์โดยมีช่วงเวลาครั้งละ ๑ พันปื


    [​IMG]

    3171.พระพุทธมหาเศรษฐีแสนล้านมหาลาภทันใจ (พระเจ้าแสนล้าน)
    ประดิษฐานที่พระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

    ภาพประกอบ: ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง



    สำ หรับพญาธัมมิกราชองค์ที่ ๓ ที่จะเกิดมาในระหว่างพุทธศาสนาได้ ๓,๐๐๐ ปีนั้น (ตั้งแต่ พ.ศ.2001-3000 ) จะเกิดมาในขณะที่บ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวาย ผู้คนไม่มีศีลธรรม เกิดมีการรบพุ่งฆ่าฟันกันไปทั่ว

    ก่อนที่จะมีพญา ธัมมิกราชเกิดขึ้นนั้น ท้องฟ้าจะมืดมิดเป็นเวลา ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๘ ท้องฟ้าจึงจะสว่างสดใส เทวบุตรจะนำเอาเครื่องสูง ๕ ประการ
    มาทำพิธี ราชาภิเษก(มุรธาภิเษก) โดยมีเทวดานางฟ้าและพระฤาษีมาร่วมพิธีด้วย รวมทั้งข้าทาสบาทบริจาริกาจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันนางจากอุตรกุรุทวีป

    เมื่อ เสร็จพิธีราชภิเษกแล้ว ปราสาท ๓ หลังจะผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แต่ละหลังทำด้วยทองคำ แก้วและเงิน พญาธัมมิกราชองค์นั้นได้เสวยราชสมบัติในเมืองฝาง

    ในราชสำนักจะมี บุรุษผู้ประเสริฐจำนวน ๖ คน พญาธัมมิกราชจะขุดเอาข้าวของเงินทองจากพื้นดิน มาบูรณะบ้านเมืองและแจกจ่ายเป็นทานแก่คนทั่วไป หลังจากนั้นจึงได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป

    ที่มา
    BlogGang.com : : moonfleet : 006. ͹ վ Ҹ ԡ Ҫ Դ 鹹 ͧ Ҩ ״ Դ ѹ ( ӹҹ ǡ)
     
  8. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    หลักฐานหนังสือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ชื่อ หนังสือลูกศิษย์บันทึกพิเศษ วัดจันทาราม(ท่าซุง)

    พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์ไว้ว่า ...

    "ณ บริเวณแห่งนี้ต่อไป ความเจริญรุ่งเรืองจะมีมาก มีผู้คนเข้ามาถึงมรรคผลเป็นจำนวนหลายล้านคน ส่วนพระโพธิสัตว์ที่ได้รับคำพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าก็จะมารวมอยู่ที่แห่งนี้ด้วย จากนั้นจะมีผู้มีบุญใหญ่ที่ชาวโลกทั้งหลาย รอคอยกันมานานจะมาปรากฏกายให้เห็น...ซึ่งท่านผู้นี้จะเป็นผู้สอนอริย ประเพณี และพุทธประเพณี และท่านจะพาผู้ที่มีใจอยู่ในธรรม ไปเยี่ยมโลกธาตุจักรวาลอื่น ดุจฝูงนกบินขึ้นไปในอากาศ และอีกไม่นาน พระศาสดาทั้งหลายจะถูกรวมเป็นหนึ่งโดยท่านผู้นี้" จบคำพยากรณ์

    จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "พระ โพธิสัตว์ใหญ่ ในขณะที่ท่านบำเพ็ญบารมีสำคัญๆ อยู่ และก็ผ่านอุปสรรคบารมีนั้นไปได้แล้ว ชาวโลกก็เห็นความสำคัญของท่านเป็นพิเศษ ยกย่องท่านเป็น "พระเจ้า" เพราะท่านมีฤทธิ์ มีคุณธรรมประจำใจ มีความบริสุทธิ์ใจต่อสัตว์โลกทั้งหลาย แม้ตถาคตเอง ขณะบำเพ็ญบารมีในปลายศาสนาพระพุทธกัสสป ชางโลกทั้งหลายก็ยกย่องตถาคตให้เป็นพระเจ้า ๕๐๐ ชาติ และพระโพธิสัตว์อีกหลายท่าน ที่เป็นพระทธเจ้าต่อจากตถาคตในกัปนี้ ขณะที่บำเพ็ญบารมีอยู่ในโลกมนุษย์ บริวารก็ยกย่องและเรียกท่านว่า "พระเจ้า"

    ที่มาหนังสือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ชื่อ หนังสือลูกศิษย์บันทึกพิเศษ วัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี พฤษาคม 2540 หน้าที่ 261
     
  9. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    พระยาธรรมิกราช

    พุทธทำนายจากพระโอษฐ์...จากหนังสือผูกอีสาน …บัดนี้จักกล่าวภาคพื้นติดต่อตามประวัติ ตามแต่เฮามองเห็น หากสิจาไปหน้า อันว่าแนวนามเชื้อผิวเหลืองชนะเลิศ พวกพระสังฆเจ้าประจำไว้สู่เมือง จำพวกผิวขาวเผี้ยงสิพากันแพ้พ่าย พญาครุฑราชเจ้าสิบินเข้าสู่สถาน อันนรานอรินเดินจรก็สิได้กลับต่าว สิได้ไหลหลั่งเข้ากรุงกว้างดั่งเดิม

    ยู ท่างบำเพ็ญสร้างศีลทานบ่ได้ขาด ศาสนาของเฮาจังสิฮูงเหลื่อมเสมอแก้วหน่วยพิฑูรย์ ไผผู้มาเพียรสู้ตามพระธรรมเฮาชี้ช่องมานั้น สิบ่ขำเขือกฮ้อนคาถานั้นให้ฮ่ำเฮียน หรือสิเขียนใส่ผ้าพันหัวกันเสนียด หรือเอาไปกราบไหว้แลงเซ้าก่อนเข้านอนอานนท์เอ่ย อานนท์เป็นศิษย์แก้วเพียรเฮาบ่ได้ห่าง เฮาสงสารมากล้นภายหน้าศาสนา ฝูงหมู่อุบาสกอุบาสิกาคณาญาติ ให้พร่ำเพียรต่อสู้อย่าคร้านเศิกยาม เฮาแนะซ่องให้ยากง่ายตามความจริง อันความชั่วให้ละทิ้งเพียรไว้ตั้งแต่ดี ทางไกลก็สิเป็นทางใกล้ คนเฮาไปบ่ได้หย่อน ควรหมั่นสีของหม่นเศร้าให้ใสแจ้งอยู่เฮิ่ง
    ไผผู้บ่เกียจคร้านเพียรหมั่นภาวนา ก็จักมีอายุยืนอยู่เสถียรหายฮ้อน องค์พระยาธรรมเจ้าสิลงมาครองโลก หากสิเห็นเที่ยงแท้ให้เพียรสร้างส่วนบุญ หัวทีนั้นพระองค์ทรงยั้งอยู่เมืองใหญ่สีปาด เป็นปัจจุบันเป็นเมืองลานช้างเฮาแท้เที่ยงจริง เผินจักมาเถิงแท้เดือน ๑๑ ขึ้น ๘ ค่ำ


    ครั้น พ.ศ. ไปเถิงสองพันห้าฮ้อยแล้วปีกุนหน้าเที่ยงจริง ลูกแก่นต้นสิตามพ่อโดยเสด็จ กับทั้งหลานสององค์สิเหล่าเทียมมาพร้อม ตามแต่มาศะเกณฑ์ตั้งในระหว่างปีเถาะ ก็จักมีมหาสองยักษ์ยกพลมาล้นมาแต่ทางหนห้องทางปัจฉิมเอ้าอูด มากินสะมะณะพราหมณ์ทั้งหลายให้ตายประมาณได้เจ็ดล้านสามแสนห้าหมื่น บ่ใส่แต่ทอนั้นทวีเท่าทั่วแดน จนว่ามาเถิงปีมะโรงจังสิได้โค้งอ่วย

    ครั้น ผู้ใดอยากพบหน้าพระธรรมเจ้าให้หมั่นเพียร เต็มใจสู้ทำศีลทานเททอด ให้พากันอุปฐากพ่อแม่เจ้าสองเฒ่าให้อยู่เย็น ลุเถิงเข้าเขตปีมะเสง แม่น้ำมหาสมุทรไหลเซาะออกมาพังม้าง ฝูงหมู่สังโฆเจ้ามัวหมองปองหาลาภ ธุดงคะคุณมีแต่ละน้อยเพียรสู้ก็บ่หลาย

    พอมาเถิงห้องปีมะเมียแถมถ่าย คนจักละถิ่นบ้านเดินดั้นเทียวขอ ฝูงลูกเต้าสิพรากแม่มารดา กับทั้งบิดาพลัดพรากกันคนก้ำในระหว่างคราวนั้น มันจักเกิดเป็นหนามเสี้ยนคันคายอยู่ในบ่อน เพราะว่าผีป่าในบ้านอืดเสียงผีเมืองดั้นหนีภัยเข้าป่า เมืองกรุงศรีอยุธยาก็จักเกิดเดือดร้อนการเขี้ยวขุ่นมัว อันว่านารีสร้อยฝูงผู้หญิงสิลำบาก จักเกิดเข็ญยากยุ่งเสมอด้ามดั่งกัน วันคืนมื้อกังวนไหวหวั่น

    อานนท์เอ๋ยหากสิเน เที่ยงแท้ภายสร้อยศาสนา พอมาเถิงห้องพระยาลิงปีวอก คนสิออกจากบ้านเดินเข้าสู่ทะเล ถัดจากนั้นมาจวบปีระกา กรรมของพวกชาวมนุษย์มันสิบันดาลให้มีมืดควันคุงฟ้า ดูประมาณได้เจ็ดวันเป็นเขต ในเวลามืดนั้นเทวดาเฮียกเอิ้นเอาผีเสื้อยักษ์หลวง นับอ่านได้เถิงโกฏิเป็นประมาณมากินฝูงหญิงชายหมู่กรรมเหลือล้น กับทั้งฝูงผีเสื้ออีกแสนตัวแข็งขนาด ฝูงคนบุญอย่าได้ประมาทแท้คุณแก้วให้ฮำเพิง ให้พากันบำเพ็ญสร้างบำเพ็ญบำเพ็ญบุญอย่าได้หย่อน ลางเทื่อบุญช่วยยู้เวรฮ้ายสิแล่นหนีแท้แล้ว

    จำจากนี้สิเข้าเขตปีจอ พระยาอินทร์เผิ่นสิแปลงสารทิพย์หว่านโปรยลงพื้น สาส์นนั้นอินตาใช้ตัวทองเขียนขีด เพราะว่าบอกล่วงหน้าพระธรรมเจ้าสิล่วงลง บ่นานแท้ปีเดียวเสด็จด่วน ลงมาเที่ยวตรวจค้นตามบ้านหมู่คน ถ้าบ่ได้พบพ้อคำแห่งพระคาถา อันพระสงฆ์ทำนายคำสอนสั่งมาจริงแจ้ง กับทั้งเป็นคนฮ้ายประมาทธรรมหีนะโหด บอกว่าโทษผู้นั้นเห็นแท้สิเกิดกรรม เลยสิบรรดาลให้ตายโหงลงเลือด เพราะว่าเขาบ่ฮู้จำข้อแห่งพระธรรม ในคราวนั้นคนสิเกิดเหลือหลาย ทั้งหญิงชายบ่คัณนาได้ ฝูงหมู่อาหารเข้าบ่พอกินสิเขินขาด ความอดอยากก็จะบังเกิดขึ้นทั้งเฝ้าฮบเฮ็วแท้แล้ว

    ครั้น ผู้ใดได้ฟังแล้วให้เว้าต่อกันฟังแด่เดอ ก็จักมีอานิสงส์อายุยืนยาวมั่น กับทั้งหวังเห็นหน้าพระยาธรรมิกราช เผินสิขึ้นผ่านแผ้วครองคุ้มให้อยู่เย็น ครั้นไผบ่บอกเล่าจาต่อกันไปมัวแต่ปิดบังเสียสิเกิดโภยภายซ้อย ทั้งบ่หวังเห็นห้องความเจริญดั่งเฮาบอก พระยาธรรมิกราชเจ้าเลยจ้อยแม่นบ่เห็น

    ...ข้อหนึ่งนั้นยังมีสามพี่น้องประสงค์แข่งแดงฤทธิ์ กำหนดกาลเวลาแข่งดีให้เห็นแจ้ง เจ้าผู้พี่ขานไขตามใจเฮารบสิบห้าวันจิงเซายั้ง องค์กลางนั้นเจ็ดวันหักเที่ยง พระองค์น้อยผู้หลังว่าสามมื้อบ่ให้กลายไผสิดีก็ดีหั้น ไผสิตายก็ตามช่าง บ่ให้๙กว่านั้นสิฮามมื้อเศิกคราว แต่นั้นมีมหาเถรเฒ่ากายงามเฮืองฮุ่ง ท่านนั้นเสด็จออกมาจากสามทวีปซ้ำมากั้นบ่ให้เฮ็ว ท่านนั้นโฉมสีเหลื่อมปุนเปรียบพระอาทิตย์ ฮองๆ ใสดั่งมณีโชติแก้ว ยังจักมาแถมซ้ำหกสิบองค์โดยด่วน เผิ่นประสงค์สิมาบอกห้ามภัยฮ้ายแห่งพระยา

    …เวลา เข้าเถิงปีกุลจำจือเอาเนอเดือนสิบเอ็ดข้างขึ้นจำไว้อย่าสิลืม ให้พวกท่านทั้งหลายพร้อมหญิงชายชาวโลกเฮาเฮ๋ย ฮีบหากันก่อสร้างกุศลไว้ฮับพระองค์ ครั้นผู้ใดโมโหฮ้ายโลภาโลภมาก ศีลบ่เข้าพระธรรมเจ้าบ่เหลียว มีแต่เมาทางได้บ่ตรึกตรองทางชอบ เห็นแต่ทางหม่อตื้นตัวได้แม่นเอา อันว่าในหนห้วงศีลธรรมพระเจ้าเทศน์มานี้ เขาบ่ตั้งต่อสร้างให้เห็นแจ้งแก่ใจ คนผู้นั้นสิบ่ได้พบพ้อองค์เอกพระยาธรรม สิเกิดมีโภยภัยเบียดเบียนให้ตายเมี้ยน เพราะว่ายุคกุลีขึ้นนำภัยนับบ่ข่วย เมตตานับมื้อน้อยโมโหหุ้มห่อใจ

    ตามกระบิลเบื้ององค์พุทโธเผิ่นกล่าวมานั้น เผิ่นว่า พ.ศ. ๒๕๐๐ กลางปีมาแถมถ่ายมานั้น อุบาทฮ้ายโฮมฮ้อนสิเกิดเป็น มีแต่กุมกันวุ้นถกเถียงหาเหตุ เหลียวเห็นกันมีแต่คิดอยากฆ่าก็ทำได้ดั่งใจ บ่ว่าแต่ไกลและใกล้จีนจามแขกฝรั่ง เกิดรบเร็วอยู่บ่มั้วยั้งเขี้ยวเขาใส่กัน จนว่าโลหิตห้งเสมอธารแม่น้ำใหญ่ เลือดสิท่วมเล็บช้างหนูน้อยได้ล่องลอยพุ้นแล้ว เผิ่นจึ่งซ้ำแล้วซ้ำให้เฮาหน่ำทำบุญ ใ ห้พากันบำเพ็ญจิตใจให้อ่อนโอนหายกระด้าง ลางเทือพอไขได้กันคะดีให้เบาห่าง หรือเพื่อตัดขาดเว้นให้หายเสี้ยงหมู่เวร องค์ก็จึ่งตรัสเผือไว้เสมือนตืมเต็มปัญญา เถิงคราวหน้าปัญญาเฮานับมื้ออ่อน อวิชาตัณหานับมื้อแก่กล้า ธรรมสิเศร้าหม่นหมอง ความจริงธรรมหากรักษาไว้โลกาจิงบ่แตก โลกของเฮานี้หากจักยังอยู่ได้พระธรรมเจ้าจ่องดึง

    …อัน คราวไปหน้า ความโมหังนับมื้อแผ่ ความมืดใจนั้นนับมื้อห่อหุ้มขังไว้บ่ให้เห็น พอปานเอาฟืนมาอ่อยไว้ทางเย็นนั้นแม่นบ่มี ความดีเผิ่นว่าได้ขันตีธรรมให้เพียรฮำเอาท่อญ หากสิเห็นทางดับมอดเชื้อไฟได้บ่หล่ายความ องค์นั้นมาเป็นกำแพงแก้วกันไฟกองใหญ่เอาความอีดู เมตตากรุณานั้นเป็นน้ำบ่แก้วเทเข้ามอดไฟโลกของเฮา จังสิเย็นอยู่ได้หายกังวลแสนแสบ หัวทีนั้นหัดให้ฮักใกล้ๆ คือพ่อแม่เป็นประถม หักให้สงสารกันตลอดทั้งลุงป้า หัดให้ดีไปเรื่อยๆ ญาติกาชั้นใกล้ก่อน ต่อ

    จากหั้นขอให้รักเพื่อนบ้านบ่มี ขั้นต่อไป จนตลอดสัตว์สองเท้าทุบบาทพระหุบท ทั้งอยู่ในดินแดนหมู่ปลาในน้ำ ครั้นว่าเฮาฮักกันแล้ว ความชังก็เลยผ่าย ครั้นความชังหนีจากแล้วความอยากฆ่าแม่นบ่มี ความอยากหักง้าวปืนกระสุนก็อิ๊ดอ่อน มีแต่ฮักฮ่วมห้องเสมอน้องพี่กัน ยู่ถ่างทำการสร้างหากินโดยทางชอบ ประกอบอาชีพล้นชาวเผี้ยงโทษบ่ดี อินทรีพรหมฟ้าเทวดาก็ยินม่วนนำแล้ว เหตุว่าอานิสงส์เมตตานั้น เป็นเสน่หาจ่องน้าวจิตใจนั้นให้ชื่นชม ก็จิงบรรดาลให้ชลธาไหลหลั่ง ข้าวในนาและหมากไม้หวานส้มก็มากมูล ครั้นแม่นมันแข็งกล้าหมดโลกาบ่มีอ่อน ดั่งนั้นก็จักเกิดเดือดร้อนคุงฟ้าดั่งกัน อินตาเจ้าจึ่งหลิงโลกโลกา เผิ่นก็ยินระอาเมืองมนุษย์บาปหนาเหลือล้น อันว่าธรณีเจ้าพระสุธาก็อกแตก เกิดระแหงแผ่ม้างดังขึ้นทั่วไป ฝูงหมู่คนกลัวย้านขวัญหายอกสั่น ย้านแต่ภัยห่อหุ้มสิตายเมี้ยนบ่นาน มันหากบรรดาลขึ้นเพราะเข็ญกรรมที่สัตว์ก่อ พร้อมทั้งฝนขาดฟ้าน้ำขาดห้วยอึดล้นยิ่งทวี ตามทีเผิ่นกล่าวไว้ในปีจอคนสิเข้ามามาก แต่ว่ามันสิลดน้อยเพราะฝนฟ้าบ่ซุ่มเลิ่งแท้แล้ว แต่ว่าราคาข้าวเกวียนเดียวหกร้อยชั่งพุ้นแล้ว นับเงินใส่เม็ดข้าวเสมอเท่าพอกันนั่นแล้ว แต่นั้นอานนท์ต้านขานตอบองค์พุทโธ ครั้นแม่นเป็นจั่งซั้นไผหนอสิค้างโลกพระองค์เอ๋ย แต่นั้นพระองค์แย้มไขวาจาแล้วตรัสบอก

    อานนท์ เอ๋ยโชคไผมีจิงสิได้พ้นคือความดั่งกล่าวมานั้น อันนี้เผิ่นกล่าวไว้ตามแห่งสรญาณ ตามความมีแต่ประถมประเหียนได้ ครั้นบ่เป็นจริงแท้สาธุการเป็นจังโชค ขอให้มนุสสาโลกกว้างเจริญขึ้นอย่าเสื่อมถอย อันนี้องค์พุทโธเจ้าหลิงโลกาสอดส่อง เผิ่นก็รู้เหตุฮ้อนดีแล้วจิงเผย เผิ่นเทศนาเอาไว้อาจารย์เฮาจำจื่อจึงดาย เผิ่นได้จารึกไว้เสาหินหน้าวัดใหญ่ เผิ่นบอกให้ฮอดห้องคราวนี้ให้ฮินตรองนั่นท่อญ ไผผู้ได้ฟังแล้วให้พยายามเพียรเอาแน่อีเฮียมเอ๋ย.

    (คัดจาก “พุทธทำนายจากพระโอษฐ์ และพระปฐมสมโพธิ์ ภาคอีสานฉบับสมบูรณ์” พิมพ์ที่โรงพิมพ์ ลูก ส.ธรรมภักดี พ.ศ. ๒๕๒๙)
     
  10. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    พุทธทำนาย (ถอดความจากศิลาจารึกเขตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย)

    [​IMG]
    สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระสัพพัญญู รู้แจ้งโลก ทั้งในอดีตและอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้น เมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนม์อยู่ ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
    "ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาขอตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลกที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยภิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้นจะมีนิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวยไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจะเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น"

    เริ่มแต่ พุทธศาสนาล่วงเลย 2,500 ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมณะ ชี พราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจากทั่วทิศจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัวมาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาปเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ

    ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่อยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพรักธรรมนิยม คนประจบ สอพลอได้รับความเชื่อถือในสังคม ผู้ที่มีศีลธรรมประพฤติดีประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง

    พระ ธรรม จะเริ่มเปล่งรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้นอยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระ ผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้ง 2 พระองค์สถิต ณ เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง 5000 พระวัสสา

    ดู ก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติให้รักษาศีล 5 ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ ร้จักพอ ไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายใน " ยุคกึ่งพุทธกาล "

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ เล่ม 16
    โดย หลวงพ่อ จรัล ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
     
  11. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    คิริมานนทสูตร (พระยาธรรมมิกราชสูตร)

    คิริมานนทสูตร (พระยาธรรมมิกราชสูตร)

    อานนฺท ดูกาอานนท์ ธรรมนี้ชื่อว่าพระยาธรรมิกราช เพราะเป็นใหญ่กว่าธรรมทั้งหลาย ข้อที่เราตถาคตได้ตรัสไว้แล้วในธรรมหมวดนี้คือได้ชี้นรก สวรรค์ พระนิพพาน กิเลสตัณหา โดยจะแจ้งสิ้นเชิง เมื่อผู้ใดได้ฟังแล้วปรารถนาสุขทุกข์ประการใด ก็จงเลือกประพฤติตามความปรารถนา"
    ที่มา : หนังสือคิริมานนทสูตร (อุบายรักษาโรค)


    "พระสูตรที่ชื่อ พระยาธรรมิกราช" นี้ แปลว่า ธรรมที่เป็นใหญ่กว่าธรรมทั้งหลาย หรือราชาแห่งธรรมทั้งปวง

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ช้างเผือก-ที่โลกรอ.342917/page-2
     
  12. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    พระยาธรรมมิกราช คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมมหาจักรพรรดิ์

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมมหาจักรพรรดิ์ ผู้เกิดจากการตรัสรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ์ที่เกิดจากผลบุญอานิสงค์ไม่

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมมหาจักรพรรดิ์จึงมิใช่พระเจ้าจักรพรรดิ์ทั่วไป และไม่สามารถเทียบกันได้เลย หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เคยสอนลูกศิษย์ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมมหาจักรพรรดิ์ คือ ผู้ที่มีบุญบารมีมากกว่าองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นผู้คุ้มครองปกป้องพระศาสนาและองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า


    องค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมมหาจักรพรรดิ์ เกิดจากฆราวาสผู้ตรัสรู้ธรรมด้วยตนเอง จึงเป็นการยากยิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในโลกนี้ เป็นผู้คุ้มครองปกป้องพระศาสนา และคุ้มครองโลกนี้


    องค์สมเด็จ พระ อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่พบเจอได้ยากแล้ว แต่การจะหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมมหาจักรพรรดิ์ พบเจอได้ยากยิ่งกว่า

    จากที่ได้หา ข้อมูล มาทั้งหมด ในอดีตองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงเครื่องพระบรมมหาจักรพรรดิ์ มีพระองค์เดียว คือ องค์พระปฐม(องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรก) และองค์ที่ทรงเครื่องพระบรมมหาจักรพรรดิ์ในอนาคต คือ พระศรีอารย์

    ในกึ่งพุทธกาลนี้จะเกิดพระยาธรรมิกราช ขึ้นซึ่งจะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญถึงขีดสุด คล้ายกับองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีพระชนน์ชีพอยู่

    ในกัปนี้แก้วพระจำองค์ขององค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์เป็นดังนี้


    1. พระกกุสันธพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์
    เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์
    หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์

    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)
    พระแก้วประจำองค์ พระแก้วขาว หน้าตักกว้าง 20 วา

    2. พระโกนาคมพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์

    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
    พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเหลือง หน้าตักกว้าง 15 วา

    3. พระกัสสปพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
    พระแก้วประจำองค์ พระแก้วน้ำเงิน หน้าตักกว้าง 10 วา

    4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 องไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
    เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
    พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
    พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ
    พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเขียว(เขียวมรกต) หน้าตักกว้าง 5 วา

    5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์
    เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้
    พระแก้วประจำองค์ พระแก้วแดง และทรงเครื่องบรมมหาจักรพรรดิ
    หน้าตักกว้าง 20 วา

    พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์
    และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้น
    ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง
    ยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง
    ปัจจุบันนี้ประดิษฐานเตรียมไว้แล้ว ณ ภูมิทิพย์
    ซึ่งซ้อนอยู่กับ สถานที่แห่งหนึง
    และพระแก้วแดงจะปรากฎออกมา เมื่อถึงยุคพระศรี
    พระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันก็คือพระแก้วมรกต
    ส่วนพระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
    เป็นพุทธนิมิตอยู่ที่พระนิพพานคู่วิมานพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ช้างเผือก-ที่โลกรอ.342917/page-2
     
  13. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    พระไตรปิฏกกัณฐ์ที่ ๓/๒๐ พระศรีอารย์ คือพระจักรพรรดิกึ่งพระศาสนานี้

    ใบลาน : พระศรีอารย์เทศนา ๒๐กัณฐ์
    โดย : ธวัช เฟื่องประภัสสร์ ป.๙ สำนักวัดเบญจมบพิตร
    ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา : นายรวล รุ่งเรืองธรรม พ.ศ.๒๔๙๘ (สงวนลิขสิทธิ์)
    สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์อักษรเจริญทัศน์
    ๑๙๕ เสาชิงช้า ถ.บำรุงเมือง พระนคร กรุงเทพฯ

    พระศรีอารย์กัณฐ์ที่๓
    มิตตกถา การคบเพื่อน
    สตฺโถ ปสวโต มิตฺตํ มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร
    สหาโย อตฺถชาตสฺส โหติ มิตฺตํ ปุนปฺปุนํ
    สยํ กตานิ ปุญฺญานิ ตํ มิตฺตํ สมฺปรายิกนฺติ
    บัด นี้ จะแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องพระศรีอารย์ ต่อจากกัณฐ์ก่อน เพื่อเป็นเครื่องเจริญศรัทธาประดับปัญญาแห่งท่านทั้งหลาย ก็การที่ท่านมาประชุมกันฟังธรรมในวันนี้ ก็ได้ชื่อว่าได้กระทำคุณงามความดีหรือที่เรียกว่าบุญกุศล อันนับว่าเป็นเพื่อนที่ดี สามารถติดตามท่านไปในภพหน้า
    ธรรมดา คนเราจะอยู่แต่โดยลำพังในโลกไม่ได้ เพราะต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นอันว่า จะต้องช่วยกันทำการงาน ซึ่งคนๆเดียวไม่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ หรืองานบางอย่างต้องอาศัยกำลังคนหลายคนช่วยกันทำ เช่นการปลูกบ้านสร้างเรือนเป็นต้น ต้องอาศัยความช่วยเหลือของคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง จึงจะสำเร็จได้



    อนึ่ง ตามธรรมดาของคน ย่อมมีการขาดตกบกพร่องด้วยวัสดุสิ่งของเครื่องใช้ ในบางครั้งบางคราวต้องมีการหยิบยืมกันใช้สอย หรือบางคราวก็บกพร่องด้วยสติปัญญาวิชาความรู้ ซึ่งอาจจะทำงานพลั้งพลาดบ้างในบางกาลบางขณะ ต้องอาศัยผู้อื่นคอยเตือนสติบ้าง เหตุเหล่านี้แล เป็นปัจจัยให้คนทั้งหลายต้องคบหาสมาคม เอื้อเฟื้อเจือจาน ผูกไมตรีจิตในกันและกัน เพื่อได้อาศัยกันในคราวที่ต้องการ



    แต่ บุคคลทุกๆคนย่อมมีอัธยาศัยและนิสสัยใจคอแตกต่างกัน มีความคิดและปัญญาความประพฤติไม่เหมือนกัน บางคนก็มีใจหนักแน่นอดทน บางคนก็โกรธง่าย แต่คงแบ่งได้สั้นๆเป็น๒ประเภท คือ ที่เป็นพาลสันดานชั่วร้ายที่เรียกว่า ปาปชนประเภทหนึ่ง เป็นคนดีมีสันดานสงบเรียบร้อย ประพฤติกาย วาจา ใจ ตามทำนองคลองธรรม ที่เรียกว่า กัลยาณชนประเภทหนึ่ง


    ก็ แหละ การคบหาสมาคมซึ่งกันและกันนั้น ย่อมเป็นปัจจัยให้นิสสัยสืบเนื่องติดต่อกันได้ ถ้าคบคนชั่ว ย่อมมีคนชั่วเป็นคติ ดังนัยเทศนาว่า ยํ เว สวติ ตาทิโส คบคนเช่นไรย่อมเป็นเหมือนคนนั้น ดังนี้ การคบคนชั่วย่อมเป็นมลทิน พาตัวให้มัวหมอง ปราศจากประโยชน์ที่จะพึงได้พึงถึง มักจะชักชวนในสิ่งที่ผิด ประกอบการทุจริตต่างๆ หรือแม้ไม่ถึงเช่นนั้น อันบุคคลผู้สมาคมหรือดำเนินตามรอยคนพาล ย่อมได้รับการครหานินทา เช่นว่า เราจะไม่เป็นคนเสพสุรายาเมาเป็นความจริง แต่ไปเดินตามคนเสพสุรายาเมาเข้า ย่อมมีอาการให้มหาชนลงสันนิษฐานว่า เราเป็นคนเช่นนั้นด้วย ยากที่จะพิสูจน์ตัวให้บริสุทธิ์ได้ ท่านจึงมีอุปมาไว้ว่า เหมือนด้วยใบไม้ที่ห่อของเน่า มีปลาร้าเป็นต้น แม้จะไม่ติดเปื้อนเปรอะก็คงมีกลิ่นเหม็นติดอยู่ เพราะฉะนั้น บุคคลจึงไม่ควรคบหาคนพาล ดังคำว่า อเสวนา จ พาลานํ ความไม่คบหาซึ่งคนพาลเป็นมงคลอันสูงสุด ดังนี้



    ส่วน การคบหาสมาคมกับด้วยกัลยาณชนคนดี มีความประพฤติสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนั้นย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ เพราะบุคคลผู้เป็นสัตบุรุษเช่นนั้น อาจสามารถจะแนะนำสั่งสอนชักชวนให้ปฏิบัติดำเนินไปในปฏิปทาอันเป็นทางมาแห่ง ความดีความชอบเป็นลำดับไป หรือว่าบางคาบบางสมัย เราจะพลั้งเผลอปราศจากสติ ทำความชั่วอย่างใดอย่างหนึ่ง สัตบุรุษนั้นอาจตักเตือนให้รู้สึกและละเว้นเสีย กลับดำเนินในทางที่ถูกได้ โดยที่สุดแม้จะทำดีให้เสมอเหมือนเขาไม่ได้ ก็ยังได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นผู้คบสัตบุรุษ ซึ่งท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนใบไม้หรือกระดาษที่ห่อกฤษณาหรือกะลำพัก แม้จะไม่มีเนื้อไม้ของหอมติดมาเลย ก็คงมีกลิ่นหอมติดมาบ้าง เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะเลือกคบหาสมาคมด้วยธีรชนบัณฑิตชาติ แม้นักปรารชญ์ก็สรรเสริญไว้ว่า ความคบหาสมาคมซึ่งบัณฑิต เป็นอุดมมงคลอีกประการหนึ่ง



    อนึ่ง คำว่ามิตรและสหายเป็นคำมาคู่กัน แต่ท่านมุ่งอัตถะต่างกัน กล่าวโดยสาธารณนัย ชนผู้ประพฤติร่วมกัน เช่นทำหน้าที่การงานและอยู่ร่วมกัน ไม่ถึงแก่การรักใคร่กัน ท่านเรียกว่าสหายบ้าง อมาตย์บ้าง ชนผู้รักใคร่สนิทสนม ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน จะอยู่ร่วมกันหรือไม่ก็ตาม ท่านเรียกว่ามิตร


    มิตรมีหลายประเภท ที่เป็นภายในก็มี ภายนอกก็มี ดังพระพุทธภาษิตคาถา ซึ่งยกไว้ ณ เบื้องต้นว่า
    สตฺโถ ปสวโต มิตฺตํ มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร
    สหาโย อตฺถชาตสฺส โหติ มิตฺตํ ปุนปฺปุนํ
    สยํ กตานิ ปุญฺญานิ ตํ มิตฺตํ สมฺปรายิกนฺติ
    ความ ว่า หมู่เกวียนเป็นมิตรของคนเดินทาง มารดาเป็นมิตรในเรือนของตน สหายเป็นมิตรของคนมีธุระเกิดขึ้นเนืองๆ บุญทั้งหลายที่ทำไว้แล้วด้วยตนเป็นมิตรติดเนื่องในภพเบื้องหน้า ดังนี้



    คน ผู้เดินทางเมื่อขาดมิตรย่อมรู้สึกอ้างว้างเปลี่ยวใจ เมื่อได้พบหมู่เกวียนในระหว่างทางย่อมยินดี หรือผู้เดินทางไกลจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหมดกำลัง เมื่อได้นั่งเกวียนบรรเทาความกรากกรำและทำให้ปลอดภัยอันตราย ก็จัดได้ว่าหมู่เกวียนเป็นมิตร เพราะยังประโยชน์กิจให้สำเร็จได้


    บรรดา อันโตชนผู้ร่วมกิจการอันสนิท ท่านยกเอามารดาเป็นมิตรอย่างสำคัญ เมื่อมารดาอยู่ด้วย ช่วยทำกิจตามส่วนที่ควรจัดทำ ทั้งเป็นผู้อุปถัมภ์บุตรธิดาในกรณียทุกอย่าง เหตุนั้น ท่านจึงขนานนามมารดาว่าเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ และเป็นอาหุเนยยบุคคล แต่มิตรประเภทนี้ มีกำลังช่วยเหลือเพียงภายใน



    ชน ผู้เป็นเพื่อนร่วมการงาน ท่านเรียกเพียงสหาย ต่อเป็นผู้มีเมตตาสนิทสนมไว้วางใจกันได้ ในสมัยที่มีธุระเกิดขึ้นก็ช่วยขวนขวายในกิจนั้นๆจนสำเร็จลุล่วงไปอย่างนี้ จึงสมควรเรียกว่ามิตร แต่ก็เป็นมิตรภายนอก



    บุญ ทั้งส่วนเหตุและส่วนผลอันสำเร็จด้วยทาน ศีล ภาวนา ที่บุคคลบำเพ็ญอยู่แล้ว ย่อมติดตามไปเป็นอุปถัมภกปัจจัย ให้ได้รับความสำราญชื่นบานในสุคติภพยิ่งๆขึ้นไป จัดเป็นมิตรภายในที่ให้ผลยั่งยืนถึงภายหน้า



    บรรดา มิตรเหล่านั้น มิตรภายนอกทั่วไปอาจเป็นมิตรได้ทั้งชั่วและดี เพราะยังขึ้นอยู่แก่คน ถ้ามิตรชั่วก็เรียกว่าปาปมิตร ถ้ามิตรดีก็เรียกว่ากัลยาณมิตร ความเป็นผู้มีปาปมิตรย่อมเป็นไปเพื่อความเสียหายอย่างใหญ่ ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตรย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างมหันต์ เหตุนั้น บัณฑิตท่านจึงสอนไว้ให้เว้นมิตรชั่วเสียให้ห่างไกล เหมือนคนเดินทางเว้นทางที่มีภัยอันตราย และพึงเข้าหามิตรดี เหมือนมารดาไม่ทิ้งบุตร ฉะนั้น


    ก็ แหละ บุคคลแม้จะได้กัลยาณมิตรแล้วก็ตาม แต่ถ้ามีจิตปฏิพัทธ์ มุ่งมั่นอนุเคราะห์จนเกินไป กล่าวคือพะวงแต่ในกิจธุระของมิตรสหายส่วนเดียว ไม่แลเหลียวถึงการจะบำเพ็ญประโยชน์ตน ก็เป็นผลทำตนให้เสื่อมจากคุณที่จะพึงได้พึงถึง มิหนำ ถ้ามุ่งอนุเคราะห์มิตรสหายในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก็อาจยังประโยชน์ส่วนน้อยและประโยชน์ส่วนรวมให้เสียได้ อันเป็นภัยแก่ส่วนย่อยและส่วนรวม เพราะฉะนั้น ทางที่ดีจึงสมควรที่บุคคลจะพึงทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งแก่ตน และทั้งแก่คนเป็นมิตรสหายตลอดถึงส่วนรวมร่วมกันไป จึงจะเป็นความดีงามในข้อนี้ ทั้งนี้ ก็เพราะเห็นในสันถวไมตรีนั้นว่าเป็นภัย จึงไม่มุ่งแต่จะสงเคราะห์มิตรสหายโดยฆ่าประโยชน์เสีย


    ก็แหละ คำที่ว่า ยังประโยชน์ให้เสื่อมนั้น ท่านหมายถึงประโยชน์ทั้ง๓ คือ
    ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในปัจจุบัน๑ สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในภายหน้า๑ และปรมัตถประโยชน์ คือประโยชน์อย่างยิ่ง๑


    ทิฏฐธัม มิกัตถประโยชน์นั้น อันผู้ศึกษาพึงทราบว่าท่านไม่ได้หมายเอาธรรม๔ประการ มีอุฏฐานสัมปทาเป็นต้น ว่าเป็นตัวประโยชน์ แท้จริงธรรม๔ประการนั้น เป็นปฏิปทาทางดำเนินให้บรรลุทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ต่างหาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อะไรเล่าเป็นตัวทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์
    ทิฏฐธัม มิกัตถประโยชน์นั้น ได้แก่ทรัพย์ ยศ ไมตรีซึ่งเป็นอิฏฐผล อันสามัญชนพึงปรารถนา ชนใดทำตนให้ได้บรรลุผลเหล่านี้ครบทั้ง๓เช่นนั้น จัดว่าตั้งตนได้ และได้ชื่อว่า ยึดไว้ได้ซึ่งทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ก็บุคคลที่จะได้บรรลุผลเช่นนั้น ต้องประกอบด้วยธรรม๔ประการ มีอุฏฐานสัมปทาเป็นต้น
    ส่วน สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในภายหน้านั้นได้แก่สมบัติ๒ประการ คือ มนุษย์สมบัติ๑ สวรรค์สมบัติ๑ สมบัติทั้ง๒ประการนี้ อันบุคคลจะพึงถึงก็เพราะประกอบด้วยธรรม๔ประการ มีสัทธาสัมปทาเป็นต้น

    ปรมัต ถประโยชน์ ประโยชน์อย่างยิ่งคือนิพพานสมบัติ ข้อปฏิบัติอันจะพึงเป็นไปเพื่อปรมัตถประโยชน์คือวิมุติมรรคผล สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้เป็นอเนกประการ มีนัยวิจิตรพิสดารต่างๆ แต่เมื่อจะย่นลงกล่าวแล้ว ได้แก่ข้อปฏิบัติ๓ประการคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    ข้อ ที่ยกเอาวิมติ ความหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงเป็นปรมัตถประโยชน์นั้น เพราะวิมุติเป็นคุณที่สุดแห่งพรหมจรรย์ จึงนับว่าเป็นประโยชน์อย่างสูง บุคคลหวังต่อประโยชน์คือวิมุตินั้น ต้องชำระกิเลสอย่างหยาบ ด้วยการศึกษาปฏิบัติในกองศีล, ต้องชำระกิเลสอย่างกลาง ด้วยการศึกษาปฏิบัติในกองสมาธิ, ต้องชำระกิเลสอย่างละเอียดที่เป็นอนุสัยเสีย ด้วยการศึกษาปฏิบัติในกองปัญญา
    เมื่อ ชำระจิตของตนให้ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง เช่นนั้นแล้ว ย่อมมีจิตผ่องใสไม่ขุ่นมัว ดุจน้ำอันใสสะอาดปราศจากมลทินฉะนั้น เมื่อปฏิบัติและหยั่งทราบชัดลงเช่นนั้น จิตย่อมหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เป็นสมุจเฉทประหาร บรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุข โดยเหตุนี้ สีล สมาธิ ปัญญา จึงนับว่าเป็นข้อปฏิบัติส่วนปรมัตถปฏิปทา ด้วยประการฉะนี้.
    บัด นี้จะได้แสดงเรื่องพระศรีอารย์สืบต่อไป ดำเนินความว่า เมื่อมหายักษ์ได้สมาทานศีลอยู่ตราบเท่าอายุขัยแล้วก็กระทำกาลกิริยา ตายไปบังเกิดเป็นบุรุษคนหนึ่ง มีกำลังร่างกายแข็งแรง อาศัยอยู่ ณ เชิงเขาแห่งหนึ่ง หาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกผักพืชพรรณต่างๆ เขาที่บุรุษอาศัยอยู่นั้นก็เป็นเขาลูกเดียวกันกับเขาที่สมเด็จพระพุทธองค์ เคยเสด็จไปสรงน้ำ และได้ทรงตากผ้าชุบสรงไว้ และได้มีฝูงลิงพากันมาถ่ายมูตรคูถ ทำให้เปรอะเปื้อนนั่นเอง

    อเถ ก ทิวสํ อยู่มากาละวันหนึ่ง บุรุษอริยเมตไตรยนั้นได้ออกมาตรวจตราดูไร่แตงโมของตนซึ่งกำลังมีผลดกอยู่ เต็มไร่ ขณะที่ออกมายืนดูอยู่นั้นก็ได้เห็นฝูงลิงพากันมาลักแตงโมกินเป็นอาหาร บุรุษหนุ่มจึงวิ่งไล่กวดฝูงลิงเพื่อให้หนีไป
    บังเอิญ วันนั้น สมเด็จพระบรมศาสดามาถึงไร่แตงโมของบุรุษอริยเมตไตรย ประทับยืนอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง บุรุษหนุ่มได้วิ่งไล่ลิงไปถึงสถานที่ที่พระพุทธองค์ประทับยืนอยู่นั้น และได้เหยียบเอาพระฉายา เงาขององค์พระบรมศาสดาโดยมิทันได้สังเกต
    ครั้น บุรุษหนุ่มเหลียวไปเห็นพระพุทธองค์ก็เกิดมีความเลื่อมใสเป็นกำลัง ตรงเข้าไปถวายอภิวาทแล้วจึงนำแตงโมจากไร่ของตน๗ผลด้วยกัน น้อมนำเข้าไปถวายพระองค์ แต่ว่าแตงโมผลหนึ่งนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะมีรอยหนูเจาะกัดกินเสียก่อน
    เมื่อ พระพุทธเจ้าทรงรับผลแตงโมจากบุรุษหนุ่มอริยเมตไตรยแล้ว จึงได้ตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนบุรุษ กุศลผลทานที่ท่านได้นำเอาแตงโม๗ผลมาถวายแก่ตถาคตนี้ จะเป็นปัจจัยให้ท่านได้บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชอันประเสริฐในระหว่าง กลางแห่งศาสนาของตถาคต และท่านจะได้ช่วยยกย่องศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไป ก็แต่ว่า ผลกรรมที่ท่านได้เหยียบเงาของตถาคตนั้นก็ดี ผลกรรมที่ท่านนำแตงโมไม่บริสุทธิ์ มีรอยหนูเจาะมาถวายตถาคตนั้นก็ดี ผลกรรมนั้นจะส่งให้ท่านบังเกิดเป็นมนุษย์มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ที่ศีรษะของท่านจะมีรอยแผลเป็น ดุจรอยหนูเจาะแตงโม ครั้นต่อมา ท่านจึงจะกลับมีผิวพรรณผ่องใส มีร่างกายงามผุดผ่องดุจสีทอง
    เมื่อ พระพุทธองค์ได้ตรัสพยากรณ์จบลงแล้ว ฝ่ายบุรุษหนุ่มศรีอริยเมตไตรยก็ได้สมาทานศีล อำนวนทานจนตราบเท่าอายุขัย ครั้นสิ้นชีพแล้วก็ได้ไปบังเกิดเป็นโอรสของพระราชา มีพระนามว่า อชิตกุมารเมื่อ เจริญวัยก็ได้เล่าเรียนศิลปวิทยา แล้วได้ออกบรรพชาในสำนักของพระพุทธเจ้า ได้เรียนพระไตรปิฎกจนแตกฉานเชี่ยวชาญ และได้บำเพ็ญสมณธรรมอยู่จนตราบเท่าอายุขัย เมื่อแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ได้จุติไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเทวพิภพ
    ใน คัมภีร์อนาคตวงศ์ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อใกล้ศาสนาของพระบรมศาสดาของเราจะเสื่อมโทรม พระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์จะได้จุติจากสวรรค์ลงมาเสวยพระชาติเป็นสมเด็จพระ จักรพรรดิ ช่วยยกย่องพระศาสนาให้รุ่งเรืองสืบต่อไป


    ใน พระคัมภีร์ได้กล่าวต่อไปว่า ในกาลเมื่อพระศรีอารย์จะได้จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดเป็นสมเด็จพระเจ้า จักรพรรดิราชนั้น ท้าวเธอจะมาประทับอยู่ในปราสาทราชวังอันใหญ่โต ณ ปราสาทที่ท้าวเธอประทับอยู่นั้น จะมีเทวดา๕หมื่นองค์มาคอยพิทักษ์รักษา นอกจากพวกเทวดาแล้ว ยังมียักษ์อีก๕หมื่นตน พร้อมทั้งพระยานาคและพระยาครุฑ รวมทั้งบริวารอีกมากมาย ต่างก็จะพากันมาเฝ้าปราสาท
    พระราชวัง ของพระศรีอารย์นั้น จะมีประตู๘๐ประตู แต่ละประตูจะมีฝูงเทพยดาและยักษ์คอยเฝ้าอยู่ทุกๆประตู ประชาชนที่จะผ่านเข้าประตูพระราชวังของท้าวเธอได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ประพฤติแต่การสุจริต ส่วนผู้ที่ประพฤติทุจริตจะไม่สามารถผ่านเข้าไปภายในได้

    ใน บริเวณปราสาทนั้นเล่า ก็จะสว่างไสวไปด้วยดวงประทีป รุ่งเรืองด้วยแสงแก้ว๙ประการ กลางคืนกับกลางวันนั้นก็จะแลดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่างกันแต่ว่าตอนกลางวันสว่างด้วยแสงอาทิตย์ ส่วนกลางคืนจะสว่างด้วยแสงจันทร์และแสงแก้วมณี เป็นที่น่าดูน่าชมยิ่งนัก
    เมื่อ พระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์ประทับอยู่ในพระราชวังนั้น จะมีเทพบุตรนำเอาผลไม้ทิพย์มีรสอันโอชานำมาถวายพระองค์ ผลไม้นี้ ถ้าใครได้บริโภคแล้ว คนแก่ก็จะกลายเป็นหนุ่ม มีกำลังแข็งแรง แม้มีอายุมากแล้วก็จะดูประดุจมีอายุเพียง๒๐ปี และจะมีพระมหาเถระ๒๔รูป เดินทางมาจากทิศต่างๆ เพื่อเฝ้าถวายพรแด่สมเด็จพระศรีอารย์บรมจักรพรรดิ ท้าวเธอจะได้นำผลไม้ทิพย์ที่เทวดานำมาถวายพระองค์นั้น น้อมนำไปถวายแก่พระมหาเถระผู้เฒ่าที่มาเฝ้าพระองค์ พระเถระเหล่านั้น เมื่อฉันผลไม้แล้วก็จะรู้สึกง่วงนอนและนอนหลับไป ครั้นตื่นขึ้นก็จะรู้สึกว่าร่างกายของตนกลับแข็งแรงและมีผิวพรรณผุดผ่อง ประหนึ่งว่าเป็นพระภิกษุเมื่อแรกอุปสมบทได้เพียง๑พรรษาเท่านั้น เมื่อพระศรีอารย์นำผลไม้ถวายพระเถระแล้ว ก็จะได้นำเมล็ดผลไม้นั้นไปปลูกไว้ ณ ที่ดินริมปราสาท แล้วก็จะทรงรดน้ำที่เมล็ดนั้น

    ตสฺ มิ ง ขเณ ในขณะนั้น เมล็ดผลไม้ทิพย์นั้นก็จะงอกงามเจริญขึ้น แตกกิ่งก้านสาขา ออกดอกออกช่อ และผลเต็มไปทั้งต้น ฝูงประชาชนทั้งหลาย ก็จะพากันมาจากทิศต่างๆ แล้วเก็บผลไม้นั้นบริโภค คนแก่ก็จะกลับกลายเป็นคนหนุ่ม ผู้ที่มีผิวพรรณไม่งดงาม ก็จะกลับมีผิวพรรณงดงามผ่องใส คนที่เป็นโรคต่างๆหรือร่างกายอ่อนแอ ก็จะหายจากโรค กลับมีร่างกายแข็งแรง


    รอบปราสาทของพระองค์ จะมีต้นกัลปพฤกษ์ ๑,๖๐๐๐ ต้น อาณาเขตของปราสาทนั้นจะกว้างขวางหลายโยชน์ จะเป็นที่อยู่ของประชาชนพลเมือง ซึ่งล้วนแต่มีจิตใจเป็นกุศลทั้งหมด บ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุขด้วยประการฉะนี้

    พระไตรปิฏกกัณฐ์ที่ ๓/๒๐ พระศรีอารย์ ของจริง ดูที่นี่นะครับ เพราะว่า upload ไม่ผ่านนะครับ

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%8F%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%90%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B9%93-%E0%B9%92%E0%B9%90-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.194845/

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ช้างเผือก-ที่โลกรอ.342917/page-2
     
  14. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    คำทำนายสมเด็จพระพุทธาจารย์ (โต พรหมรังสี)

    คำทำนายสมเด็จพระพุทธาจารย์ (โต พรหมรังสี)
    รัชกาลที่ 1 ทำนายว่า มหากาฬ (ทำลายเพื่อน-พี่น้อง)
    รัชกาลที่ 2 ทำนายว่า ฌานยักษ์ (ชำนาญเวทย์มนต์)
    รัชกาลที่ 3 ทำนายว่า รักมิตร (มีการค้าขายกับต่างชาติมากมาย)
    รัชกาลที่ 4 ทำนายว่า สนิทคำ (ออกบวช)
    ในปีจอนี้ ในเมืองจันทร์จะมีฤาองค์ทองคำ สิกขาเพศออกมาเป็นพ่อค้า ในปีจอขึ้น 8 ค่ำ ห้ามบ่(ไม่)ให้ตักน้ำอาบ น้ำกิน ตามห้วยหนองคลองบึง หลังพระอาทิตย์ตกดิน(ก่อนค่ำ) พระยายมราชจะนำเอายาพิษพ่นใส่โลกมนุษย์
    รัชกาลที่ 5 ทำนายว่า จำแขนขาด (คือ ต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเขมร เพื่อป้องกันอธิปไตย)
    รัชกาลที่ 6 ทำนายว่า ราชโจร (เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดกลุ่มโจรมากมาย มีการก่อตั้งกองลุกเสือป่าครั้งแรกของไทย)
    รัชกาลที่ 7 ทำนายว่า ชนร้องทุกข์ (เกิดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย)
    รัชกาลที่ 8 ทำนายว่า ยุคทมิฬ (พระเจ้าแผ่นดินถูกลอบปลงพระชนม์)
    รัชกาลที่ 9 ทำนายว่า ถิ่นกาขาว (ปัจจุบันนี้ครับ)

    รัชกาลที่ 10 ทำนายว่า ชาวศิวิไลซ์ (จะเหลือเฉพาะผู้มีบุญเท่านั้น ที่รอคอยเป็นยุคของพระศรีอาริยเมตไตย)
     
  15. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758

    จากเหตุการณ์ ฟ้าผ่าเศียรยักษ์ วัดอรุณ หัก 2 ท่อน พระศรีอาริยเมตไตย อาจจะไม่ใช่รัชกาลที่ 10 แต่อาจเป็นการเริ่มใหม่หรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ไม่มีใครคาดได้
     
  16. localpood

    localpood เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +300
    คือคุณหรือเปล่า??????????????????????? โยงจนผมตาลายไปหมด
     
  17. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิ์ จากบันทึกของ 3 ศาสนา

    จากพี่เกษม [​IMG] ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิตพิเศษ


    [​IMG]

    [​IMG]

    รัฐบาลโลกของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) มีเป้าหมายและทุกเป้าหมายของท่านล้วนเป็นความจริง และเป็นหลักการทั้งสิ้น ซึ่งรากที่มาของหลักการเหล่านั้นหยั่งลึกอยู่ในความคิดของมนุษย์ทุกคน และทุกคนต่างมีความหวังว่าวันหนึ่งเขาจะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นให้จงได้ นโยบายของรัฐบาลวางอยู่บนพื้นฐานของอัล-กุรอาน และแบบฉบับของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) นโยบายทุกประการล้วนได้รับการประกันในการปฏิบัติทั้งสิ้น

    ดังนั้น การปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่นี้จะสร้างความตะลึงงันแก่ชาวโลกทั้งหลาย และจะได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก อีกนัยหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่าการจัดตั้งรัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นคำตอบแก่ความต้องการของผู้คนทั้งหลาย ทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเกรียงไกรได้ฝากสิ่งนี้ไว้ในตัวของมนุษย์ทุกคน ณ ที่นี้จะขอกล่าวถึงบางรายงานที่บ่งบอกถึงการได้มาซึ่งรัฐของอิมามมะฮดีย์ (อ.) และคุณสมบัติสำคัญของรัฐบาล

    1. การเรียกร้องความยุติธรรม

    รายงานจำนวนมากกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือรายงานที่กล่าวถึงการยืนหยัด และการปฏิวัติของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ซึ่งท่านจะทำให้โลกเต็มไปด้วยความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม ดังที่อธิบายไปแล้วในบทที่กล่าวถึงเป้าหมายของรัฐบาล ส่วนในบทนี้จะขออธิบายเสริมแก่นแท้ของความจริงจากบทที่แล้วที่ว่า การปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) วางอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม การดำเนินความยุติธรรมของอิมามประดุจดังสายน้ำที่ไหลรินไปทั่วทุกพื้นที่

    สังคมทุกสังคมจะมีความเสมอภาคเหมือนกันหมด ไม่มีการแบ่งชั้น สีผิว และเชื้อชาติแต่อย่างใด และจะไม่มีสังคมใดไม่ว่าจะเป็นสังคมใหญ่หรือเล็ก ที่จะตกค้างอยู่นอกจากถูกปกครองด้วยความยุติธรรมได้ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็จะไม่เกิดขึ้น นอกจากวางอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม

    อิมามซอดิก (อ.) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ขอสาบานด้วยพระนามของพระเจ้าว่า ความยุติธรรจะถูกนำไปสู่บ้านทุกหลัง ดุจดังเช่นความร้อนและความหนาวเย็นที่ได้ไหลเวียนเข้ามาในบ้าน[1]

    เมื่อบ้านซึ่งถือว่าเป็นหน่วยเนื้อของสังคมที่เล็กที่สุดมีการปกครองด้วย ความยุติธรรม สมาชิกภายในบ้านทุกคนมีความสัมพันธ์และมีความยุติธรรมต่อกัน นั่นบ่งบอกให้เห็นว่ารัฐบาลโลกของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความยุติธรรมมิได้ขึ้นอยู่กับมาตรการของกฎระเบียบทาง สังคมแต่อย่างใด แต่ทว่าขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอนของอัล-กุรอาน ที่มุ่งเน้นให้มีการรณรงค์เรื่องความยุติธรรมอันเป็นหัวใจสำคัญของสังคม

    ดังที่อัล-กุรอาน บทอันนะฮฺลิ โองการที ่90 สำทับว่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงกำชับให้รักษาความยุติธรรมและกระทำดี ฉะนั้น รัฐบาลของอมามจึงมีหน้าที่ให้การอบรมสั่งสอนประชาชาติ เพื่อให้พวกเขารู้จักหน้าที่ของตนเอง หน้าที่ต่อบุคคลอื่น และหน้าที่ ๆ มีต่อพระเจ้า และเมื่ออยู่ในสังคมจำเป็นต้องให้ความเคารพสิทธิของคนอื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบกันและกันแม้ว่าด้านเกียรติยศจะมองดูว่าเป็นสิ่งไม่มี เกียรติก็ตาม

    สังคมที่รอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความยุติธรรมถือว่าเป็นพื้นฐานหลักด้านวัฒนธรรม โดยมีอัล-กุรอานและรัฐบาลที่ปกครองเป็นตัวสนับสนุน ซึ่งจะมีบางกลุ่มชนที่มีจำนวนจำกัดเป็นฝ่ายคัดค้านไม่เห็นด้วย เนื่องจากพวกเขาเป็นพวกแสวงหาผลประโยชน์ ถูกปิดกั้นจากความโปรดปราน และห่างไกลจากหลักคำสอนสั่งของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (ทายาทแห่งครอบครัวของท่านศาสดา ขอความสันติพึงมีแด่พวกเขา) รัฐบาลที่มีความยุติธรรมจะจัดการกับพวกเขาในขั้นเด็ดขาด และจะไม่อนุญาตให้พวกเขาก่อร่างสร้างตัวในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันไม่ให้พวกมีอิทธิพลขึ้นมาไม่ว่าในด้านใดก็ตาม

    แน่นอน ความยุติธรรมจะเป็นตัวเรียกร้องความร่วมมือในการสรรสร้างแนวทาง เพื่อเตรียมพร้อมและรองรับการมาของรัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ดังนั้น เป้าหมายที่สูงส่งที่สุดของรัฐบาลอิมาม ซึ่งจะทำหน้าที่เปลียนแปลงโลกคือ การสร้างความยุติธรรมให้เปี่ยมล้นทั่วแผ่นดินในรูปแบบที่มีความสมบูรณ์ที่ สุด ด้วยเหตุนี้ การกดขี่ทั้งหลายตลอดจนการทำลายสัจธรรมความจริงทั่วทุกมุมโลก แม้แต่การเอาเปรียบกันภายในครอบครัวจะถูกกำจัดลงอย่างสิ้นเชิง

    2. การสร้างความเติบโตด้านความคิด จริยธรรม และความศรัทธา

    กล่าวไปแล้วในบทก่อนหน้านี้ว่าผู้คนทั้งหลายจะตะลึงงันกับความยุติธรรมใน สังคม ที่เกิดจากหลักคำสอนที่ถูกต้อง การเติบโตของวัฒนธรรมแห่งอัล-กุรอาน และคำสอนของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) รายงานส่วนใหญ่ของเรากล่าวยืนยันถึงการสร้างความคิด จริยธรรม และความศรัทธาของประชาชนภายใต้การปกครองของรัฐบาลอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ไว้เป็นจำนวนมาก

    อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า เมื่ออิมามมะฮฺดีย์ของเรายืนหยัดขึ้นความเมตตาของเขาจะแผ่ปกคุมเหนือประชา ชาติทั้งหลาย และเนื่องจากความสิริมงคลนั้นเองจะทำให้สติปัญญาของพวกเขามีความสมบูรณ์[2]

    ความดีงามและความสวยงามทั้งหลาย จะเกิดตามมากับสติปัญญาที่มีความสมบูรณ์ของมนุษย์ เนื่องจากสติปัญญาคือผู้บังคับบัญชาภายในของมนุษย์ ซึ่งมีหน้าที่ปกครองดูแลสายตา ชีวิต ความคิด และการกระทำของมนุษย์ คอยชี้นำให้พวกเขาให้ไปสู่ความถูกต้อง การปรับปรุงแก้ไข และยังเชิญชวนพวกเขาไปสู่การเป็นบ่าวที่เคารพภักดีต่อพระเจ้าเพียงองค์เดียว ร่วมทางและนำทางพวกเขาไปสู่ความเจริญผาสุก

    มีผู้ถามอิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) ว่าสติปัญญาหมายถึงอะไร
    อิมาม (อ.) ตอบว่า สติปัญญาหมายถึง ธาตุแท้หนึ่งอันเป็นสาเหตุให้มนุษย์เคารพภักดีต่อพระเจ้า และด้วยการชี้นำของปัญญามนุษย์จึงไดัรับสรวงสวรรค์[3]

    แน่นอน ดังที่เห็นเป็นประจักษ์อยู่ในสังคมปัจจุบันว่าสังคมที่ปราศจากอิมาม และการปกครองของท่านจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกิเลสและความต้องการของ อารมณ์ฝ่ายต่ำ ซึ่งอารมณ์จะเป็นฝ่ายมีชีชัยเหนือสติปัญญาเสมอ สังคมส่วนใหญ่จะตกอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มชนที่หลงใหลในอำนาจ อันเป็นสาเหตุทำให้สังคมเกิดความอ่อนแอ สิทธิของผู้ด้อยโอกาสในสังคมถูกฉ้อฉล คุณค่าและสิทธิของพระผู้เป็นเจ้าถูกลืมเลือนไปจากสังคม

    ตรงกันข้ามกับสังคมที่รอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) พวกเขาจะรักษาตนเองให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของคำสั่งของท่านตลอดเวลา ซึ่งเรียกว่าการมีสติสัมปชัญญะถาวร สัมมาสติของเขาจะทำหน้าที่ตัดสินใจในการงานต่าง ๆ แทนอารมณ์ ดังนั้น สติปัญญาที่มีความสมบูรณ์จะไม่ออกคำสั่งให้กระทำการใด ๆ นอกจากสิ่งที่มีความสมบูรณ์และความสวยงามเท่านั้น

    3. ความเป็นเอกภาพและความห่วงใย

    ตามรายงานส่วนใหญ่ของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) จะมีความเป็นเอกภาพและภาดรภาพมีความรักใคร่กลมเกี่ยวกัน เมื่อรัฐบาลของอิมามถูกจัดตั้งขึ้นหัวใจของผู้ที่เป็นบ่าวที่แท้จริงจะไม่มี ความอคติใด ๆ และไม่คิดเป็นศัตรูต่อกันและกัน

    อิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า
    وَلَو قَد ْقَامَ قَائِمُنَا ... لَذَهَبَتِ الشَّحْنَاءُ مِنْ قُلُوْبِ الْعِبَادِ ..
    แน่นอน เมื่อกออิมของเรายืนหยัดขึ้น ความอคติจะูถูกถอดถอนไปจากหัวใจของปวงบ่าว

    ใน เวลานั้นจะไม่มีข้ออ้างสำหรับความอคติอีกต่อไป เืนื่องจากเป็นกาลเวลาของความยุติธรรม ความเป็นเอกภาพและภาดรภาพในสังคม จะไม่มีสิทธิของผู้ใดถูกฉ้อฉลหรือถูกทำลายเด็ดขาด เป็นกาลเวลาของการใช้สติปัญญาและความใคร่ครวญ วันนั้นอารมณ์จะไม่ถูกนำมาใช้ในสังคม ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) จึงไม่มีช่องว่างสำหรับการสร้างความเป็นศัตรูและความอคติต่อกัน จิตใจของประชาชนที่เหินห่างจากกันก่อนหน้านั้น จะถูกทำให้มีความรักใคร่กันและความสมานฉันท์กัน

    ทั้ง หมดจะมีความเป็นมิตรและมีความเสมอภาคกัน ดังที่อัล-กุรอาน บทอัลฮุจรอต โองการที่ 10 กล่าวว่า แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน ฉะนั้น เมื่อพวกเขามีความเป็นพี่น้องกันการเห็นอกเห็นใจ ความเมตตา และความห่วงใยจึงบังเกิดในหัวใจของพวกเขา

    อิ มามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวถึงช่วงการปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ว่า ในช่วงเวลานั้น พระเจ้าจะทรงทำให้หัวใจของมนุษย์ทุกดวงที่หันห่างจากกันมีความสมานฉันท์รวม เป็นหนึ่งเดียว และมีความรักต่อกัน[4]

    เมื่อ พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางภารกิจการงานของมนุษย์ จึงไม่ใช่เรืองแปลกแต่อย่างใดทีสังคมจะมีความเป็นเอกภาพ มีความใกล้ิชิด และมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อกัน ซึ่งสังคมโลกปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับความล้มเหลวอย่างรุนแรง มีการต่อต้าน แก่งแย่งชิงดี และสร้างความเป็นศัตรูต่อกันไม่สามารถคิดถึงสังคมเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน

    อิ มามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า เมื่อกออิมของเรายืนหยัดขึ้นความเป็นมิตร และความห่วงใยที่แท้จริงจะถูกอธิบายแก่สังคม ผู้ที่ขัดสนเขาสามารถหยิบสตางค์จากกระเป๋าของพี่น้องผู้ศรัทธาของเขาเท่าที่ เขาต้องการได้ ซึ่งพี่น้องของเขาจะไม่หวงห้ามหรือขัดขวางเขา[5]

    4. สุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ

    หนึ่ง ในปัญหาสำคัญของสังคมปัจจุบันทุกวันนี้คือ อาการป่วยไข้ที่ไม่มีวันเยียวยารักษาให้หายขาดได้ ซึ่งมีสาเหตุมากมายหลายประการด้วยกันหนึ่งในสาเหตุเหล่านั้นคือ สภาพแวดล้อมมีความสะอาดไม่เพียงพอ อาจเป็นเพราะว่าร่องรอยของระเบิดเคมี ปรมาณู ระเบิดเชื้อโรค มลภาวะต่าง ๆ และสาเหตุอื่นอีกมากมาย เช่น การการผิดประเวณีและการสมสู่ที่ไม่ถูกต้องตามหลักการศาสนาและประเพณีนั้น ๆ ตลอดจนการแสดงรักร่วมเพศ ซึ่งการกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคร้ายที่ไม่อาจรักษาให้หาย ตามปกติได้ เช่น โรคเอดส์ที่โลกกำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน

    ตลอด จนการทำลายธรรมชาติ เช่น การทำลายป่าไม้ แม่น้ำลำธาร และมหาสมุทรอันเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคระบาดต่าง ๆ อีกมากมายหลายชนิดอันเป็นปัญหาหนักของโลก แม้แต่กรมอานามัยโลกเองก็หมดหนทางที่จะเยียวยารักษาโรคร้ายเหล่านี้ให้หายไป จากโลกได้ นอกจากอาการป่วยไข้ทางกายแล้วมนุษย์ยังมีอาการป่วยไข้ทางใจหรือทางจิตวิญญาณ อีกต่างหาก ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาที่รุนแรงสำหรับมนุษย์ เพราะโรคร้ายนี้ได้ลิดรอนเสรีภาพของมนุษย์ไปจนหมดสิ้น มันสร้างความขมขื่นและยากที่อดทนต่อไปได้ สาเหตุเกิดจากความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดของผู้ปกครองที่มีต่อโลกและมนุษย์

    รัฐบาล โลกของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นรัฐบาลที่เร่งพัฒนาด้านความยุติธรรมให้เกิดขึ้นบนโลกโดยเร่งด่วน เป็นรัฐบาลที่ธำรงความดีงาม ความประเสริฐ ยกระดับฐานะของมนุษย์ให้ไปสู่ความสมบูรณ์และความสวยงาม ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนเป็นความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ทุกคนมีความเสมอภาคกันความป่วยไข้ทั้งทางกายและทางใจจะหายไปจากสังคม ในทางตรงกันข้ามร่างกายและจิตใจของมนุษย์จะแข็งแรงเป็นพิเศษอย่างหน้า อัศจรรย์ใจ

    อิ มามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า เมื่ออิมามมะฮฺดีย์ ยืนหยัดขึ้นพระเจ้าจะทรงทำให้อาการป่วยไข้ทั้งหลายพ้นหายไปจากบรรดาผู้ ศรัทธา และทรงทำให้พวกเขาสมบูรณ์แข็งแรงมีสุขภาพพลานามัยที่ดี[6]

    ภาย ใต้การปกครองของรัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) วิชาการต่าง ๆ จะมีความก้าวหน้าและพัฒนาไปอย่างสมบูรณ์ที่สุด สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ประชาชาติโดยทั่วไปในวันนั้นไม่มีโรคร้ายใดที่รักษา ไม่หาย วิชาการทั้งด้านการแพทย์และเทคโนโลยีจะพัฒนาตนไปอย่างไกลโพ้นชนิดที่ไม่เคย มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน นอกจากนั้นแล้วด้วยความสิริมงคลของการมีอิมามอยู่ท่ามกลางพวกเขา ผู้ป่วยจำนวนมากมายจะได้รับความอนุเคราะห์ (ชะฟาอ์) โดยตรงจากอิมาม

    อิ มามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า บุคคลใดได้สัมผัสกับมะฮฺดีย์ของเรา ถ้าเขาป่วยไข้ชนิดรุนแรงเขาจะได้ชะฟาอะฮฺ (ความอนุเคราะห์) โดยตรงจากอิมาม ถ้าเขาทุกลภาพและไร้ความสามารถเขาจะมีสุขภาพที่สมบูรณ์และเป็นผู้มีความ สามารถ[7]

    5. ความดีงามและความสิริมงคลจะเปี่ยมล้นไปทั่ว

    ข้อ พิสูจน์และเหตุผลอันต่าง ๆ ของรัฐบาลอิมามมะฮฺดีย์คือ ความดีงามและความสิริมงคลจำนวนมหาศาลจะถูกพรั่งพรูออกมาชนิดที่ไม่เคยปรากฏ มาก่อน ท้องฟ้าจะหลั่งสายฝนลงมาอย่างต่อเนือง พืชก็จะงอกเงยขึ้นจากแผ่นดิน ทำให้ทุกพื้นที่อุดมสมบูรณ์และเขียวชอุ่มไปด้วยพืชและหมู่มวลแมกไม้นานา พันธ์ ให้ความสุขแก่ชีวิตชีวาและสร้างความจำเริญใจอย่างยิ่ง เหล่านี้เป็นความโปรดปรานของพระเจ้าที่ไม่อาจคำนวณนับได้

    อิ มามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า พระเจ้าทรงหลั่งไหลความจำเริญทั้งจากฟากฟ้าและแผ่นดิน เนื่องจากการมีอยู่ของอิมามมะฮฺดีย์ ท่ามกลางการปกครองของท่านพระองค์จะหลั่งความจำเริญจากฟากฟ้า และให้งอกเงยขึ้นจากแผ่นดิน[8]

    ภาย ใต้ร่มเงาแห่งการปกครองของอิมาม จะไม่มีท้องทะเลทรายใดหลงเหลืออยู่อีก ทุกพื้นที่จะเขียวขจีไปด้วยพื้นพันธ์นานาชนิด ให้ชีวิตชีวาและสร้างความสุขแก่ทุกชีวิต

    การ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้สร้างความอัศจรรย์ใจแก่สายตาทุกดวงที่พบเห็น เนื่องจากภายใต้การปกครองของท่านทุกสรรพสิ่งและทุกคนดูเหมือนว่ายังใหม่และ ยังหนุ่มแน่นอยู่ ความสะอาดและการสำรวมตนจะเติบโตและขจรขจายไปทั่วทุกพื้นที่ พลังความศรัทธาจะเปล่งบานเหมือนดอกไม้ที่แรกแย้ม ประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์จะอยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอน ของพระผู้เป็นเจ้า ความสัมพันธ์ในหมู่พวกเขาจะวางอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าแห่งพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาว่าว่าสภาพชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ต่างจะได้อิ่มเอิบกับ ความจำเริญ ความสิริมงคล และความดีงามต่าง ๆ

    อัล-กุรอาน กล่าวว่า
    وَلَوْ أَنَّ أَهْلَ الْقُرَى آمَنُواْ وَاتَّقَواْ لَفَتَحْنَا عَلَيْهِم بَرَكَاتٍ مِّنَ السَّمَاءِِ وَالأَرْضِ
    ถ้าหากชาวเมืองได้ศรัทธาและมีความสำรวมตนจากบาป แน่นอน เราจะหลั่งบรรดาความจำเริญจากฟากฟ้าและแผ่นดินแก่พวกเขา[9]

    6. การขุดรากถอนโคนความยากจน

    เมื่อ แร่ธาตุต่าง ๆ จากแผ่นดินได้ปรากฏออกมาเพื่ออิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความจำเริญจากฟากฟ้าและแผ่นดินได้หลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่องแก่ประชาชน ทรัพย์สินส่วนกลางจะถูกจัดแบ่งด้วยความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้ จะไม่มีความยากจนหลงเหลืออยู่อีกต่อไปในสังคมของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ประชาชนในยุคสมัยของอิมามจะถูกปลดปล่อยให้รอดพ้นไปจากความยากจน[10]

    ภาย ใต้การปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจจะวางอยู่บนพื้นฐานของความเป็นพี่น้อง ความเป็นห่วงเป็นใย ความเือื้ออาทร ความเมตตา และความเสียสละให้กับพี่น้องร่วมสายธารเดียวกันจะเข้ามาแทนที่การเก็บเกี่ยว ผลประโยชน์ส่วนตัว ในสภาพเช่นนั้นทุกฝ่ายจะมองว่าทุกคนในสังคมเป็นสมาชิกในครอบครัวของตนทั้ง หมดเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีคนแปลกหน้าคนอื่นคือตัวตนของตน กลิ่นไอของความแปลกหน้าและการไม่ใช่พรรคพวกเดียวกันจะเลือนหายไปจากสังคมจน หมดสิ้น

    อิ มามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า อิมามมะฮฺดีย์ จะจัดแบ่งรายรับแก่ประชาชนปีละ 2 ครั้ง และจะจัดสรรปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาเดือนละ 2 ครั้ง โดยเท่าเทียมกันไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีึผู้ยากจนในสังคมหรือผู้เรียกหาทานบังคับ (ซะกาต) อีกต่อไป[11]

    รายงาน ดังกล่าวของอิมาม (อ.) เข้าใจได้ว่าการไม่มีผู้ยากจนในสังคมอีกต่อไปหมายถึง ความเพียงพอด้านจิตวิญญาณหรือจิตไม่มีความปรารถนาในทรัพย์สินเหล่านั้น อีกนัยหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่าก่อนที่ประชาชนจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินภายนอก จำนวนมากมาย จิตใจของเขาไม่ปรารถนาและปราศจากความต้องการในทรัพย์สินเหล่านั้นก่อนแล้ว เนื่องจากพวกเขาได้อิ่มเอิบและมีความพึงพอใจกับความโปรดปรานที่พระเจ้าทรง ประทานแก่พวกเขา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่มีความปรารถนาในทรัพย์สินอื่นใดอีก

    ท่าน ศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวอธิบายถึงยุคสมัยของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ว่า พระเจ้าทรงประทานจิตวิญญาณที่อิ่มเอิบแก่หัวใจของปวงบ่าวทุกดวง[12]
    ขณะ ที่ก่อนหน้าการปรากฏกายของอิมาม (อ.) จิตวิญญาณของพวกเขามีความเร้าร้อนและหื่นกระหายในทรัพย์สมบัติ มีการแก่งแย่งชิงดีและประกวดประขันกันในสิ่งผิด พวกเขาได้สั่งสมทรัพย์สินเงินทองไว้เป็นจำนวนมากมายทั้งที่ไม่เคยบริจาคแก่ ผู้ยากจนเลย ไม่ว่าจะเป็นทานบังคับหรือทานสมัครใจก็ตาม

    ฉะนั้น สรุปได้ว่าในยุคสมัยของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ประชาชนจะปราศจากความต้องการในทรัพย์สินเงินทองทั้งภายนอกและภายใน และทรัพย์สินส่วนกลางจะถูกแบ่งปันให้ประชาชนด้วยความยุติธรรม อีกด้านหนึีงประชาชนจะเกิดความอิ่มเอิบและมีความเพียงพออันสืบเนื่องมาจาก ความบริสุทธิ์ใจที่พวกเขาแสดงออก

    ท่าน ศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวอธิบายถึงสถานการณ์ภายหลังจากอิมามมะฮฺดีย์ ได้จัดแบ่งส่วนต่าง ๆ แก่ประชาชนว่า พระเจ้าทรงประทานให้หัวใจของประชาชาติของมุฮัมมัดทุกดวงปราศจากความต้องการ ใด ๆ ความยุติธรรมของมะฮฺดีย์จะแผ่ปกคุมไปทั่วทุกพื้นที่ ประหนึ่งว่าเมือมะฮฺดีย์ ออกคำสั้งให้มีผู้ประกาศว่า มีบุคคลใดต้องการทรัพย์สินอีกหรือไม่ จะไม่มีผู้ใดลุกขึ้นหรือตอบรับเลย ยกเว้นคนหนึ่งจะลุกขึ้นมา หลังจากนั้นอิมามจะกล่าวกับเขาว่า เจ้าจงไปหาผู้คุมท้องพระคลังและบอกกับเขาว่า

    มะ ฮฺดีย์สั่งให้ท่านจ่ายทรัพย์สินแก่ฉัน หลังจากนั้นผู้คุมท้องพระคลังจะกล่าวว่า เจ้าจงไปเอาถุงมาใส่ทรัพย์เหล่านี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตวงทรัพย์จนเต็มถุงแล้วสั่งให้เขาสะพายถุงเงินขึ้นไหล่ เจ้าของถุงเงินสำนึกตนทันทีพร้อมกับกล่าวกับตัวเองว่า ในหมู่ประชาติของมุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ทำไมฉันจึงลุ่มหลงโลกมากกว่าผู้ใดทั้งหมด หลังจากนั้นเขาตัองการคืนทรัพย์สิน แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธพร้อมกับกล่าวแก่เขาว่า จะให้เราเอาทรัพย์ที่ให้ท่านแล้วกลับคืนได้อย่างไร[13]

    7. การปกครองด้วยอิสลามและการพังพินาศของผู้ปฏิเสธ

    อัล-กุรอานให้สัญญาไว้ 3 ประการว่า พระเจ้าจะทรงทำให้อิสลามมีความยิ่งใหญ่เหนือโลกทั้งหลาย อัล-กุรอาน กล่าวว่า
    هُوَ الَّذِي أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَى وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ

    พระองค์คือผู้ที่ได้ประทานศาสนทูตของพระองค์ลงมาพร้อมด้วยคำแนะนำ และศาสนาแห่งสัจจะ เพื่อให้ศาสนานั้นมีชัยเหนือศาสนาทั้งหลาย[14]
    ไม่ เป็นที่สงสัยว่าสัญญาทีพระผู้เป็นเจ้าทรงให้แก่ประชาชาติเป็นสัจธรรมที่เกิด ขึ้นจริง ไม่สามารถปฏิเสธได้แน่นอนดังที่อัล-กุรอาน กล่าวว่า
    إِنَّ اللّهَ لاَ يُخْلِفُ الْمِيعَادَ

    แท้จริงอัลลอฮฺ จะไม่ทรงผิดสัญญา[15]

    ขณะ เดียวกันเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าประมวลการต่อสู้และความอุตสาหะที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และหมู่มวลมิตรของพระองค์ได้กระทำไว้ก่อนหน้านี้ยังมิได้บรรลุผลตามที่ พระองค์ทรงสัญญาไว้[16] ซึงบรรดามุสลิมทั้งหลายต่างมีความหวังว่าวันนี้จะมาถึงอย่างแน่นอน ตามความเป็นจริงแล้ววันที่กล่าวนี้ได้รับการอธิบายไว้แล้วจากบรรดาอิมามผู้ บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งได้แก่วันที่อิมามมะฮฺดีย์ (อ.) จะปรากฏกายออกมา

    ด้วย เหตุนี้ การอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกครองพระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกร โดยมีคำปฏิญาณว่า ข้ฯปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ อันเป็นธงชัยนำขบวนแห่งพระเจ้าองค์เดียว และรัศมีของคำปฏิญาณทีว่า ข้าฯปฏิญาณว่ามุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ อันเป็นคำประกาศของอิสลาม ซึ่งประโยคทั้งสองจะดังกึกก้องไปทั่วปฐพี โดยไม่มีพื้นใดบนโลกนี้จะไม่ได้ยินคำประกาศดังกล่าว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้การปฏิเสธและการตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้าไม่หลงเหลือบน โลกนี้อีกต่อไป

    อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) อธิบายโองการที่กล่าวว่า
    وَقَاتِلُوهُمْ حَتَّى لاَ تَكُونَ فِتْنَةٌ وَيَكُونَ الدِّينُ كُلُّهُ لِلّه

    และพวกเจ้าจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าจะไม่มีการปฏิเสธปรากฏขึ้น และ (ศาสนา) การเคารพภักดีทุกชนิดเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺเท่านั้น [17] ว่า การตะอ์วีลโองการดังกล่าวปัจจุบันยังมิได้เกิดขึ้น เมื่อใดที่กออิมของเรายืนหยัดขึ้น และเป็นช่วงการปกครองของเขาเวลานั้นท่านทั้งหลายจะเห็นว่าโองการข้างต้นถูก ตะอ์วีลแล้ว และทุกกาลเวลาในยุคนั้นศาสนาของมุฮัมมมัดจะขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่ากลางคืนจะคืบคลานไปถึงไหนศาสนาของมุฮัมมัดก็จะคืบคลานไปหยุดอยู่ ณ ตรงนั้น โลกจะถูกปกครองด้วยอิสลาม บนหน้าแผ่นดินของพระองค์จะไม่หลงเหลือการปฏิเสธและการตั้งภาคีเทียบเคียงอีก ต่อไป ดังที่พระองค์สัญญาไว้[18]

    แน่ นอน โลกใบนี้ต้องถูกควบคุมด้วยอิสลาม เนื่องจากสัจธรรมความจริงของอิสลาม ซึ่งความจริงนั้นจะปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงการปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ในวันนั้นทุกคนจะมุ่งมั่นเข้าสู่อิสลาม ยกเว้นบางกลุ่มชนที่เป็นพวกกดขี่และแสดงความอหังกาบนหน้าแผ่นดิน พวกเขาจะจับดาบเข้าห่ำหั่นท่านอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) หมายกำจัดอิมามให้จงได้

    ประเด็น สุดท้ายที่ขอกล่าว ณ บทนี้คือ ความเป็นเอกภาพในความเชื่อที่แฝงเร้นอยู่ในรัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นปัจจัยสำคัญที่โน้มนำไปสู่ความเป็นเอกภาพในสังคมโลก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโลกเองก็ตามหาความเป็นเอกภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวทางความเชื่อ ความติด และกฎหมาย ทุกคนพร้อมที่จะยอมรับ หลังจากนั้นทุกคนจะอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ความสัมพันธ์ส่วนตัวและทางสังคมของพวกเขาจะวางอยู่บนพื้นฐานของการมีความ เชื่ออันเดียวกัน จากคำอธิบายดังกล่าวจะเห็นว่าความเป็นเอกภาพทางเชื่อ การรวมพลภายใต้ธงชัยและศาสนาเดียวกัน เป็นสิ่งจำเป็นและมีความต้องการอย่างยิ่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เท่านั้น

    8. ความปลอดภัยส่วนรวม

    ยุค สมัยการปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นยุคสมัยที่เรียกร้องความดีงามเพื่อเป็นครรลองสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป ความปลอดภัยเป็นหนึ่งในความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเป็นความปรารถนาสูงสุดสำหรับมนุษย์ทุกคนที่จะได้รับ

    เมื่อ มนุษย์ทุกคนปฏิบัติตามความเชื่อที่เป็นหนึ่งเดียวกัน และความสัมพันธ์ทางสังคมของพวกเขาวางอยู่บนหลักการของจริยธรรมอันสูงส่ง ความยุติธรรมได้แผ่ปกคุมทั่วทุกสังคม ดังนั้น จึงไม่มีข้ออ้างสำหรับการสิ้นหวังหรือความหวาดกลัวต่อภัยอันตรายต่าง ๆ อีกต่อไป ทุกคนจะได้รับสิทธิของตนและของพระเจ้าโดยเท่าเทียมกัน การลิดรอนสิทธิของบุคคลอื่นแม้เพียงเล็กน้อยก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรักษาความปลอดภัยและระเบียบของสังคม และกฎหมายให้คงความศักดิ์สิทธิตลอดไป

    อิ มามอะลี (อ.) กล่าวว่า โดยน้ำมือของเรา ภายใต้การปกครองของเราพวกท่านได้ผ่านพ้นวันที่อยากลำบากไปแล้ว ... เมื่อกออิมของเรายืนหยัดขึ้นความอคติทั้งหลายจะอันตรธานหายไปจากหัวใจทุกดวง สัตว์ทุกตัวจะเป็นมิตรกัน ในวันนั้นสภาพสังคมจะมีความปลอดภัยที่สุด สตรีสามารถเดินทางตามลำพังจากเหนือจรดใต้โดยไม่อันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น[19]

    แน่ นอน สังคมปัจจุบันปราศจากความยุติธรรม ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีการแก่งแย่งชิงดีกันตลอดเวลา มีอคติต่อกัน และไม่มีความเป็นมิตร ดังนั้น ถ้าจึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจสังคมของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ในวันนั้น แต่ถ้าปล่อยวางปัจจัยที่ไม่ดีทั้งหลายให้หมด หรือช่วยกันขจัดสิ่งไม่ดีไม่งามให้หมดไปจากสังคม และนั่งใคร่ครวญให้รอบคอบจะเห็นว่าในยุคของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความไม่ดีไม่งามทั้งหลายเหล่านี้จะถูกขุดรากถอนโคนจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากคำมั่นสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาไว้ย่อมเป็นจริงเสมอ พระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกรทรงตรัสไว้ในอัล-กุรอานว่า

    อัล ลอฮฺ ทรงสัญญากับบรรดาผู้ศรัทธาในหมู่สูเจ้า และบรรดาผู้กระทำความดีทั้งหลายว่า แน่นอนพระองค์จะทรงให้พวกเขาเป็นตัวแทนสืบทอดในแผ่นดิน ดั่งที่พระองค์ทรงให้บรรดาชนก่อนพวกเขา เป็นตัวแทนสืบทอดมาแล้ว และพระองค์จะทรงทำให้ศาสนาของพวกเขาซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน เป็นที่มั่นคง และเป็นเกียรติแก่พวกเขา และแน่นอนพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงให้พวกเขาได้รับความปลอดภัย หลังจากความกลัวของพวกเขา โดยที่พวกเขาจะต้องเคารพภักดีฉัน และไม่ตั้งภาคีอื่นใดต่อฉัน และผู้ใดปฏิเสธหลังจากนั้น พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝ่าฝืน[20]

    อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวอธิบายความหมายของโองการข้างต้นว่า โองการนี้ถูกประทานลงมาให้แก่อิมามมะฮฺดีย์ และพลพรรคของเขา[21]

    9. การขยายตัวด้านความรู้

    ใน ยุคสมัยการปกครองของท่านอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) วิชาการของอิสลามและวิชาการใหม่ ๆ จะถูกเปิดเผยออกมา บรรดานักวิชาการและนักวิจัยค้นคว้าจะมีความก้าวหน้าด้านวิชาการชนิดที่ไม่มี ผู้คาดคิดไว้ก่อน

    อิ มามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า วิชาการความรู้มีอยู่แค่ 27 คำ และทั้งหมดที่ท่านศาสดาเผยแพร่ไปแล้วนั้นมีเพียงแค่ 2 คำ แต่จนบัดนี้ประชาชนก็ยังไม่เข้าใจ 2 คำนั้นว่าหมายถึงอะไร เมื่อกออิมของเรายืนหยัดขึ้น เขาจะสอนอีก 25 คำที่เหลือ และจะแผ่ขยายไปในหมู่ประชาชน และเขาจะอธิบายสองคำที่ยังไม่เข้าใจ ในที่สุดเขาจะเป็นผู้อธิบายวิชาการทั้ง 27 คำ[22]

    เป็น ที่ประจักษ์ชัดว่า การพัฒนาวิชาการความรู้ของมนุษย์เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป และมีความสามารถเป็นไปได้ ซึ่งรายงานจำนวนมากมายจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) กล่าวว่า การเติบโตและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีในวันนั้นกับยุคสมัยนี้มีความแตกต่าง กันอย่างมากมาย

    ดัง ที่ประจักษ์ว่า การอุตสาหกรรมในปัจจุบันกับ การอุตสาหกรรมในอดีตนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย ซึ่ง ณ ที่นี้จะขอนำเสนอรายงานบางรายงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่น

    อิ มามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวถึงความสัมพันธ์ติดต่อกันในยุคของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ว่า ในยุคสมัยของกออิมผู้ศรัทธาที่อยู่ทางทิศตะวันตกจะมองเห็นผู้ศรัทธาที่อยู่ ทางทิศตะวันออก[23]

    อีกรายงาน หนึ่งท่านกล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่กออิมของเรายืนหยัดขึ้น พระเจ้าจะทรงเพิ่มพลังในการรับฟังและการมองเห็นแก่บรรดาชีอะฮฺ และแม้ว่าอิมามจะอยู่ไกลโพ้นออกไป แต่ท่านจะพูดคุยกับบรรดาชีอะฮฺ และพวกเขาก็จะพูดคุยกับท่าน และเห็นท่าน ขณะที่ท่านพำนักอยู่ ณ ที่พักของท่าน[24]

    ความ รอบรู้ของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เกี่ยวกับสภาวะของประชาชน และการดำเนินชีวิตของพวกเขาในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าการปกครอง เป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ และเป็นผู้บัญชาการ รายงานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า

    ถ้าหากบุคคลใดกล่าวคำพูดใดในบ้านของเขา เขาเกรงว่าผนังบ้านของเขาจะเป็นผู้รายงานคำพูดนั้น[25]

    ถ้า พิจารณาถึงความก้าวหน้าและเทคโนโลยีที่ทันสมัยของเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ในปัจจุบัน จะเห็นว่ารายงานข้างต้นสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าในวันนั้นจะใช้เครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยมากกว่า นี้ หรือใช้เครื่องมือสื่อสารประเภทอื่นที่ทันสมัยมากกว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารแทน

    [1] บิฮารุลอันวารเล่มที่ 52 หน้าที่ 362
    [2] บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 52 ฮะดีซที่ 71 หน้าที่ 336
    [3] อัลกาฟีย์ เล่มที่ 1 ฮะดีซที่ 3 หน้าที่ 58
    [4] กะมาลุดดีน เล่มที่ 2 หมวดที่ 55 ฮะดีซที่ 7 หน้าที่ 548
    [5] บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 52 ฮะดีซที่ 164 หน้าที่ 372
    [6] อ้างแล้วเล่มเดิม ฮะดีซที่ 138 หน้าที่ 364
    [7] อ้างแล้วเล่มเดิม ฮะดีซที่ 68 หน้าที่ 335
    [8] ฆอยบะฮฺ ฏูซีย์ ฮะดีซที่ 149 หน้าที่ 188
    [9] อัล-กุรอาน บทอัลอะอฺรอฟ โองการที่ 96
    [10] มุนตะคอบบุลอะซัร ภาคที่ 7 หมวดที่ 3 / 4 หน้าที่ 589 / 593
    [11] บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 52 ฮะดีซที่ 212 หน้าที่ 390
    [12] อ้างแล้ว เล่มที่ 51 หน้าที่ 84
    [13] อ้างแล้ว หน้าที่ 92
    [14] อัล-กุรอาน บทอัตเตาบะฮฺ โองการที่ 33 บทอัลฟัตฮฺ โองการที่ 28 และบทอัลซ็อฟ โองการที่ 9
    [15] อัล-กุรอาน บทอาลิอิมรอน โองการที 9
    [16] คำพูดดังกล่าวนักอรรถธิบายอัล-กุรอานทั้งฝ่านซุนนีย์และชีอะฮฺอธิบายไว้ใน หนังสือตัฟซีรของตน เช่น ฟัครุรรอซีย์ ตัฟซีรอัลกะบีร เล่มที่ 16 หน้าที่ 40, กุรฏุบีย์ ตัฟซีรกุรฏุบีย์ เล่มที่ 8 หน้าที่ 121 เฏาะบัรเราะซียื ตัฟซีรมัจมะอุลบะยาน เล่มที่ 5 หน้าที่ 35
    [17] อัล-กุรอาน บทอันฟาล โองการที 39
    [18] บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 51 หน้าที่ 55
    [19] คิซอล เล่มที่ 2 หน้าที่ 418
    [20] อัล-กุรอาน บทอันนูร โองการที่ 55
    [21] ฆอยบัตนุอ์มานีย์ ฮะดีซที่ 35 หน้าที่ 240
    [22] บิอารุลอันวาร เล่มที่ 52 หน้าที่ 326
    [23] บิฮารุลอันวาร เล่มมที่ 52 หน้าที่391
    [24] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้าที่ 336
    [25] อ้างแล้วเล่มเดิม หน้าที่ 390

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับอิมามมะฮุดีย์

    อิมามัต
    แนวทางการรู้จักมะฮฺดียฺ (อ.
    มารู้จักมะฮฺดียฺ (อ.)
    ประโยชน์ของการมีอิมามอะฮฺดี (อ.) ในช่วงการเร้นกาย
    อีกกลุ่ม หนึ่งสร้างราชวังเพื่อตัวเอง จับจ่ายด้วยทรัพย์สินอย่างฟุ่มเฟือยและมีชีวิตการเป็นอยู่อย่างเลิศหรู สถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมเช่นแรงกระหายต่อความยุติธรรมจะยิ่งมีมากขึ้น
    ภาคที่ 4 บทที่ 1 สถานการณ์โลกในช่วงต้นของการปรากฏกาย
    แบบอย่างการพิพากษาของอิมาม
    ช่วงเวลาการปกครองของรัฐบาลอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
    คุณสมบัติต่าง ๆ ของรัฐบาล
    นโยบายเศรษฐกิจ
    นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลมะฮฺดียฺ (อ.)
    รัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย (อ.)
    ผลของการรอคอย
    สิ่งที่ผู้รอคอยพึงปฏิบัติ
    สิ่งที่ผู้รอคอยพึ่งปฏิบิติ
    หน้าที่ของผู้รอคอย
    การรอคอยมะฮฺดียฺตามริวายะฮฺ
    ประเภทของการเร้นกาย
    การรอคอย
    ประโยชน์การเร้นกายของอิมามมะฮฺดียฺ


    ที่มา http://islamshia-w.com/Portal/Cultcure/Thai/CaseID/45799/71243.aspx
     
  18. Kimzo

    Kimzo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,046
    ฟ้าอาจจะส่งสัญญาณปลุกคนให้ตื่นมาเป็นหูเป็นตาสอดส่องคนชั่วออกไปจากสังคมก็ได้....ฟ้าเป็นใจให้คนดีมีที่อยู่ขจัดคนชั่วออกไปจากโลกน่ะอิอิ
     
  19. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    จากพี่เกษม [​IMG] ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิตพิเศษ

    "ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิ์"
    จากบันทึกของศาสนาคริสต์

    [​IMG]

    คำถาม: การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์คืออะไร?

    คำตอบ: การ เสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ คือความหวังของผู้เชื่อว่าพระเจ้าจะเสด็จมาควบคุมทุกสิ่ง พระองค์ทรงสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาและคำพยากรณ์ของพระองค์ ในการเสด็จมาครั้งแรก พระเยซูคริสต์เสด็จมาในสภาพของทารกในรางหญ้าที่เมืองเบธเลเฮม ตามที่ได้มีการพยากรณ์ไว้ พระเยซูทรงทำให้คำพยากรณ์มากมายเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์สำเร็จลงในระหว่างการ ทรงบังเกิด, การดำเนินชีวิต, พันธกิจ, การวายพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ แต่ยังมีคำพยากรณ์บางอย่างเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ที่พระเยซูยังไม่ได้ทำให้ สำเร็จลง การเสด็จกลับมาในครั้งที่สองของพระคริสต์ จะเป็นการเสด็จกลับมาเพื่อที่จะทำให้คำพยากรณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นสำเร็จลง ในการเสด็จมาครั้งแรก พระเยซูเสด็จมาในสภาพที่ต่ำต้อยที่สุด แต่ในการเสด็จมาในครั้งที่สอง พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกองทัพแห่งทูตสวรรค์เคียงข้างพระองค์​

    ผู้ เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมไม่ได้ชี้ให้เห็นเป็นพิเศษสำหรับความแตกต่าง ระหว่างการเสด็จมาทั้งสองครั้ง เรื่องนี้เราสามารถดูได้จากข้อพระคัมภีร์เช่น อิสยาห์ 7:14; 9:6-7; และ เศคาริยาห์ 14:4 ผลของคำเผยพระวจนะที่ดูเหมือนว่าจะพูดถึงบุคคลสองคน, ผู้ทรงคุณวุฒิชาวยิวเชื่อว่าจะมีพระเมษสิยาห์ผู้ได้รับความทุกข์ทรมาน และ พระเมสสิยาห์ผู้มีชัยชนะ สิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจคือพระเมษสิยาห์องค์เดียวกันนี้เองคือผู้ที่ทำให้ บทบาททั้งสองสำเร็จลง พระเยซูทรงทำให้บทบาทของผู้ปรนนิบัติผู้ได้รับความทุกข์ทรมาน (อิสยาห์บทที่ 53) สำเร็จลงในการเสด็จมาในครั้งแรก และพระเยซูจะทรงทำให้บทบาทของผู้ปลดปล่อยและกษัตริย์ของชาวยิวสำเร็จลงในการ เสด็จกลับมาครั้งที่สอง ในการบรรยายถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สอง หนังสือเศคาริยาห์ 12:10 และวิวรณ์ 1:7 ย้อนกลับไปถึงสมัยที่พระเยซูทรงถูกทิ่มแทง คนอิสราเอลและคนทั้งโลกจะร่ำไห้ที่ไม่ได้ต้อนรับพระเมสสิยาห์ในครั้งแรกที่ พระองค์เสด็จมา​

    หลังจากที่พระเยซูคริสต์ เสด็จ ขึ้นสู่สวรรค์, เหล่าทูตสวรรค์ได้บอกกับบรรดาอัครทูตว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์ นั้น” (กิจการ 1:11) เศคาริยาห์ 14:4 บอกว่าสถานที่ที่พระองค์จะเสด็จกลับมาในครั่งที่สองคือที่ภูเขามะกอกเทศ ข้อพระคัมภีร์มัทธิว 24:30 กล่าวว่า​

    “เมื่อ นั้นนิมิตแห่งบุตรมนุษย์ จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะตีอกร้องไห้ แล้วจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก” ทิตัส 2:13 บรรยายการเสด็จกลับมาครั้งที่สองว่าเป็น “การปรากฏอันทรงสง่าราศี”

    หนังสือ วิวรณ์ 19:11-16 พูดไว้อย่างละเอียดเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาครั้งที่สอง: “แล้วข้าพเจ้าก็ได้เห็นสวรรค์เปิดออก และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้นมีพระนามว่า "สัตย์ซื่อและสัตย์จริง" พระองค์พิพากษาและทรงกระทำสงครามด้วยความเป็นธรรม พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวไฟ และบนพระเศียรของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน และพระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักเลย นอกจากพระองค์เอง พระองค์ทรงฉลองพระองค์ที่จุ่มเลือด และพระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ "พระวาทะของพระเจ้า" ​

    เหล่าพลโยธาในสวรรค์สวม อาภรณ์ผ้าป่านเนื้อละเอียด ขาวบริสุทธิ์ ได้นั่งบนหลังม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป มีพระแสงคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงฟันฟาดบรรดานานาประชาชาติ ด้วยพระแสงนั้น และพระองค์จะทรงครอบครองเขาด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงเหยียบบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธอันเฉียบขาดของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระองค์ทรงมีพระนามจารึกที่ฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุของพระองค์ว่า " จอมกษัตริย์และจอมเจ้านาย ”​


    [​IMG]

    นิมิตการเสด็จกลับมาของพระเมสสิยาห์

    สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนั้นเป็นความชั่วที่น่าเกลียดชังและเต็มไปด้วยอันตราย ซึ่ง ไม่มีความปลอดภัย เหนือกว่าคำบรรยายของมนุษย์ที่จะหาคำบรรยายออกมาได้ มีเพียงความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นและประชากรโลกได้ลดลง ในช่วงเวลาเหล่านั้นของคนที่หลงอยู่บนโลก หลายๆ คนได้นอนตายอยู่บนโลกที่ถูกทำลาย รกร้าง หดหู่จิตใจ การสังหารผลาญชีวิตของ มนุษย์นั้นเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง พวกเราคิดว่าพวกเราได้ตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ในโลกได้พังพินาศ ถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น โดยไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่จะมาเปรียบเทียบได้ นี้คือสิ่งที่ดีหลงเหลือแก่พวกเราจากสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งทำให้สะเทือนขวัญ น่าหวาดเสียวเพื่อที่จะไม่หลงมึนเมาไปกับสิ่งของในโลก

    แต่ ยังคงในการมีชีวิตอยู่ด้วยการห่อหุ้มไปด้วยความรัก ที่มหัศจรรย์ของพระองค์และสติปัญญาที่มาจากพระองค์ การรับรู้ในความรู้สึกของความรักในทุกๆทางได้นำการสงสัย แปลกใจเกี่ยวกับการทรงพระชนม์นั้นออกไปด้วยกันกับพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักของพวกเรา ผู้ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในเรา ในสิ่งที่พระองค์ตอบสนอง

    การ วางเป้าหมายดลบันดาลใจเริ่มต้นขึ้น จดจ่ออยู่ในหัวใจเหมือนพวกเราได้พบกับความจริง ว่าพวกเราจำต้องตอบสนองโดยการกลับมายังโลกอีกครั้ง เพื่อที่จะช่วยอิสราเอลและเจนไทล์ ซึ่งเป็นแขกรับเชิญของงานมงคลสมรสพระเมษโปดก ซึ่งได้รอคอยการเสด็จกลับมาของกษัตริย์ที่แท้จริงของอิสราเอล ทั้งหมดของอิสราเอลทีได้รอคอย มองหาพระเมสสิยาห์ที่จะกลับมาและปลดปล่อยพวกเขา พวกเราได้เห็นประชากรชนชาติยิวที่ร่ำรวยมั่งคั่งสิ้นหวังกับการแสวงหา พระองค์ ซึ่งเป็นเพียงผู้เดียวที่จะช่วยพวกเขาให้รอดได้

    พระเมสสิยาห์ทรงรู้ว่าเมื่อไรนั้นการปลดปล่อยจะใกล้เข้ามา พระองค์ กำลังเสด็จมากระทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จ พวกเราสามารถที่จะเห็นการรอคอยอย่างคาดหวังที่เพิ่มมากขึ้นในฉากสุดท้าย ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้น เมื่อในที่สุดนั้นพระองค์จะรับสิทธิอำนาจเป็นตำแหน่งกษัตริย์ของคนทั้งโลก เหมือนที่พระองค์ได้รอคอยมา และสันติสุขความชื่นชมยินดีได้เพิ่มขึ้นทุกขณะ จากนั้นในการกระทำของพวกเราเองเต็มไปด้วยความรักเช่นกัน เพราะว่าบัดนี้พวกเรามีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่รัก ของพวกเรา แต่ทุกอย่างทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมตั้งไว้อย่างปราณีตในเวลาที่เหมาะสม

    ใน ช่วงเวลานี้พระองค์ได้มีความสุขกับการชื่มชมยินดี ในการเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าสาวของพระองค์ แต่ยังคงขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์และทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์นั้นยังคง ป้องกัน ดูแลอย่างระมัดระวังเพื่อคนเหล่านั้นที่ยังอยู่บนโลกเพื่อการปรากฏเสด็จกลับ มาของพระองค์

    ดูเหมือนในช่วงเวลาต่อไปจากนี้ เป็นเวลาและเป็นเวลาที่ จะเคลื่อนกองทัพลงมายังโลก เพื่อนำบัลลังก์ของพระองค์ลงมาเหนือพวกเราทั้งหลาย พระเมสสิยาห์เริ่มนำพวกเราค่อยทยอยเคลื่อนลง แต่ยังคงหลบซ่อนอยู่บนเมฆซึ่งไม่สามารถปรากฏต่อสายตาของมนุษย์ทั้งหลาย หนึ่งร้อยพันชนชาติของอิสราเอล(ธรรมิกชน 144000 คนชาวยิว) ได้ รอคอย ปรารถนาการเสด็จกลับมาของพระองค์ รับรู้ว่าพระองค์ได้เสด็จมา เพื่อประชากรของพระองค์ผู้ซึ่งพร้อมในการดำเนินชีวิตที่จะถวายเกียรติ สรรเสริญพระองค์เป็นกษัตริย์ พระเมสสิยาห์ด้วยกันกับ คณะผู้ติดตามของบุคคลสำคัญปรากฏอย่างน่าเกรงขามในความยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ ยังคงเคลื่อนทัพลงมาเรื่อยๆ จนถึงกลางฟากฟ้าเหนือMount Paran ภูเขาเปราน ที่ซึ่งเวลาขณะนั้นพวกเราได้เริ่มต้นเคลื่อนไปเป็นกองทัพไปในแนวขนานของระดับของความสูงของภูเขา

    สายตาของกษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิจนิรันดร์ และกอง ทัพทหารที่ยิ่งใหญ่ของธรรมิกชนได้ปรากฏสง่าราศี เต็มไปด้วยขบวนเฉลิมฉลองเหมือนไม่มีกษัตริย์ ของโลกองค์ไหนที่ท่านเคยเห็นมาก่อน กษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศีตกแต่งประดับประดาด้วย ความสง่างามที่สุด และด้วยความมีอำนาจสูงสุดได้เสด็จกลับมายังโลก ด้วยกันกับเจ้าสาวของพระองค์สวมเสื้อคลุมแห่งสง่าราศีที่พระองค์เจ้าได้ออก แบบมาเพื่อเจ้าสาวโดยเฉพาะเป็นพิเศษ โบสถ์แห่งสง่าราศีของพระองค์ ประดับประดาด้วยอัญมณีล้ำค่าที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย โอ ความงดงามนั้นไม่สามารถ ที่จะหาคำมาบรรยายได้ และไม่สามารถบอกกล่าวถึงความงดงามอย่างโอ่โถงด้วยการเพิ่มลำดับความสง่างาม ของสง่าราศีของอายุคนเหล่านั้น

    ด้วย กันกับพระองค์เจ้า พวกเราได้ท่องเที่ยวผ่านอยู่เหนือจากทางหลวงพิเศษของกษัตริย์ในท้องฟ้า ผ่านภูเขาจอร์แดน ผมจำไม่ได้อย่างแน่นอนว่าได้ผ่านการเคลื่อนไหวที่พิเศษอย่างมากนี้โดยลอย อยู่เหมือนมีราชรถม้า (ยานพาหนะแห่งองค์พระราชาเทียบด้วยม้า) อยู่บนฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพทหารที่บริสุทธิ์อย่างนับไม่ถ้วน แต่ในการเคลื่อนไหวนั้นได้ถูกกระทำให้พวกเราได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพทหาร ที่มีกำลังเข้มแข็งในสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา ระหว่างทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม ที่ อัมโมน กองทัพทหารที่บริสุทธิ์นี้ได้ทรงนำด้วยการแบ่งผู้บัญชาการในการควบคุมกองทัพ ทหารนี้ ได้ขี่ม้าขาวที่สามารถเห็นได้ด้วยสายตาทั่วไปทั้งหมด

    ด้วย การมีชัยชนะในความจริงด้วยกันกับกองทัพธรรมิกชนที่อยู่ข้างหลังพระองค์เจ้า พวกเราได้ก้มศีรษะและมุ่งตรงไปที่กรุงเยรูซาเล็มที่ซึ่งพวกเราได้เข้าไปทาง ประตูตะวันออก กษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ด้วยฤทธานุภาพการทรงไถ่จากพระองค์ และโบสถ์ที่ได้รับสง่าราศีของพระองค์นั้นได้เคลื่อนย้ายเพื่อช่วยอิสราเอล ทั้งหมดให้รอด บุตรซึ่งพระองค์ทรงรักและพวกเขาเหล่านั้นได้รอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์ แอ นตี้ไครสต์ได้พยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะฉกฉวยสิทธิ์ที่ถูกต้องนั้นเป็นของ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ท้ายที่สุด ได้ถูกโค่นอำนาจลงด้วยกษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิจนิรันดร์โดยพระองค์เอง ทุกสายตาจะเห็นพระองค์และพวกเขาเหล่านั้นที่ได้แสวงหา เพียรรอคอยการปรากฏของพระองค์นั้นรักพระองค์

    นี้เป็นนิมิตที่ส่งความเป็นสง่าราศี ของการเสด็จกลับมาของพระเมสสิยาห์กับโบสถ์ของพระองค์

     
  20. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    วันที่ 21 ธันวาคม 2012 ของชาวมายา

    จากคุณพลน้อย

    วันที่ 21 ธันวาคม 2012 ของชาวมายา ไม่ใช่เป็นวันโลกแตกอย่างที่หลายคนเข้าใจกันไปเอง

    ผมเคยอ่านสัมภาษณ์ของชาวมายา ชาวมายาไม่เคยบอกไว้เลยว่า โลกจะแตก การนับถอยหลังของปฏิทิน มายา เป็นการเริ่มวันใหม่ของชาวมายา ที่พระเจ้าของมายาจะมาบนโลกนี้ และเริ่มนับหนึ่งใหม่ นับจากพระเจ้าของเขาปรากฏขึ้น ซึ่งได้คำนายมานานมากหลายพันปีหลายหมื่นแล้วนะครับ

    ปฏิทินของชาวมายันโดยคร่าว
    จาก ปฏิทินของชาวมายัน เรากำลังอยู่ในช่วงปลายของ 1 วันแห่งระบบจักรวาล หรือ End of a Galactic Day ซึ่งระยะเวลา 1 วัน แห่งระบบจักรวาลนั้นยาวนานถึง 25,625 ปี และแบ่งได้เป็น 5 ช่วง ช่วงละ 5,125 ปี และขณะนี้เราอยู่ในช่วงปลายของช่วงที่ 5 แล้ว ชาวมายันบอกว่า นับจากปี 1999 เราจะมีเวลา 13 ปีที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติและจิตสำนึกของการอยู่บนโลกใบนี้เพื่อที่จะรอดจาก การทำลายล้าง และในขณะเดียวกัน ก็ก้าวสู่เส้นทางที่จิตสำนึกใหม่ปูให้กับการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข



    ตามศาสตร์ของชาวมายัน ทุกๆ 5,125 ปี ดวงอาทิตย์จะเกิดปรากฏการณ์บางอย่างที่สัมพันธ์กับศูนย์กลางทางช้างเผือกอัน กว้างใหญ่ และจากปรากฏการณ์นั้นเอง ดวงอาทิตย์จะได้รับ “ประกายไฟ” (Spark of light) ซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงและส่งผ่านความร้อนรุนแรงมากขึ้น อย่างที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “Solar Flares” และยังทำให้ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลต่อมายังโลก เกิดการสับเปลี่ยนขั้วโลก และทำให้เกิดหายนะทางธรรมชาติตามมามากมาย ปรากฏการณ์เหล่านี้ ชาวมายันเชื่อว่าเป็นเพียงกระบวนการทางธรรมชาติกระบวนการหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเหมือนการหายใจของคน และจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงหรือหยุดไป เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง (4 รอบแรกของปรากฏการณ์จากดวงอาทิตย์) และจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 5 เมื่อครบ 5,125 ปี ซึ่งก็คือวันที่ 21 ธันวาคม 2012 นั่นเอง

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ช้างเผือก-ที่โลกรอ.342917/page-2
     

แชร์หน้านี้

Loading...