ดวงดาวไม่มีอิทธิพลชีวิต กรรมเท่านั้นที่กำหนดชะตากรรม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 17 ธันวาคม 2005.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 ธันวาคม 2548 13:13 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> บรรยายพิเศษโครงการผู้จัดการสุขภาพ
     
  2. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,920
    คุณ NoOTa ที่น่ารัก ฉันว่ารูปเดิมดูน่ารักกว่านาาาาา รูปใหม่ดูดีน้อยกว่า มันดูเหมือนกำลังแอบเมียงมองอะไรอยู่ยังงั้นแหละ เอ๊ะ....นี่มันเรื่องอะไรของตูหว่า...อ้อ
    เรื่อง "ดวงดาวไม่มีอิทธิพลต่อชีวิต"

    ผมว่าน่าจะมีบ้างนา เช่น หากไม่มีดวงจันทร์ มันก็ไม่มีเดือนหงาย เดือนคว่ำ ไม่มีวันพระ วันโกน
    หากไม่มีดวงอาทิตย์ คงหนาวตายแน่ แถมยังมืดอีกต่างหาก (กลัวผีอะ)
    หากไม่มีโลก แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกัน
    หากไม่มีดาวอังคาร ก็คงไม่มีดาวพุธ ดาวพฤหัสฯ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์....ว่าไปเรื่อยถึงดาวจันทร์ แล้วก็จะไม่มี วันเดือน ปี ทศวรรษ ศตวรรษ โกฏปี กัป อสงไขย ไปนู่นนนนนนเลย แล้วยังงี้จะไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตยังไง ขอเถียง

    สวัสดีที่มีดวงดาว
    จากคนที่ยังไม่เต็มบาท
     
  3. boonlai

    boonlai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +356
    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  4. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    5555..อ่านแล้วนั่งหัวเราะ..เลยอ่ะ พร้อมจะเปลี่ยนรูปเดิม..กลับมาคืนด้วยอ่ะซิ..เพราะคุณ vichian บอกว่ามันดูดีกว่ารูปนี้..แต่ก้อ..เอาน่า..!! ดูดีน้อยลง..บ้าง..ก้อไม่เป็นไรเน๊าะ เอิ๊กกก..ก..(เขิลอ่ะ ถ้าจะเปลี่ยนกลับคืน)
    ไม่แน่!! ครั้งหน้าเปลี่ยนรูปใหม่..อาจจะดูดี..มากขึ้นๆ (จะมีด้วยเหรอน่ะ 55..)
    ตาขอบคุณสำหรับความคิดเห็นหลายๆกระทู้ของคุณ vichian..นะจ๊ะ..อ่านแล้ว ทำเอาตาอึ้ง..กับความคิดเห็น..ในแง่มุมแปลกๆ..ฮา..!! ที่ไม่ซ้ำใคร..อันนี้ ชมนะจ๊ะ..(อย่าเข้าใจผิดล่ะ..แม้จะฟังดูแปลกๆ)..
     
  5. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    hmm...i just know ka~
     
  6. jackkth

    jackkth สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ผลสะท้อนจาก กรรม ที่เคยทำ ทั้งที่ดีหรือไม่ดี และสมองจิตใต้สำนึกบันทึก หรือกดส่วนที่ขัดแย้งกับความคิดเอาไว้
    การกระทำทุกประการเกิดขึ้นจากการตัดสินใจ และมีผลต่อสิ่งที่จะคิด ตัดสินใจ กระทำและเกี่ยวข้อง ในอนาคต ซึ่งเป็นผลต่อการตัดสินใจจาก พื้นฐาน ประสบการณ์ ความคิดและการกระทำในอดีต
     
  7. nuntuchhchapornt

    nuntuchhchapornt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +161
    ดิฉันคิดว่าคำว่าดวงไม่ดีก็เนื่องมาจากในอดีตเคยทำกรรมไม่ดีมาก่อนและขณะนี้กรรมไม่ดีนั้นได้เข้ามาสนองผู้กระทำซึ่งบางขณะก็ตรงกับหมอดูที่มาทำนาย แต่วิธีแก้กรรมก็ขึ้นอยู่กับกรรมนั้นๆ ดังจะเห็นในสมัยพุทธกาลเรื่องท่านอายุวัฒนกุมารค่ะ
     
  8. nuntuchhchapornt

    nuntuchhchapornt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +161
    ดิฉันคิดว่าคำว่าดวงไม่ดีก็เนื่องมาจากในอดีตเคยทำกรรมไม่ดีมาก่อนและขณะนี้กรรมไม่ดีนั้นได้เข้ามาสนองผู้กระทำซึ่งบางขณะก็ตรงกับหมอดูที่มาทำนาย แต่วิธีแก้กรรมก็ขึ้นอยู่กับกรรมนั้นๆ ดังจะเห็นในสมัยพุทธกาลเรื่องท่านอายุวัฒนกุมารค่ะ
     
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    วิทยากรเขารู้เท่านี้ เขาก็พูดได้เท่านี้แหละ
     
  10. chue27

    chue27 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,358
    เคยรู้มาว่า จริงอยู่ดวงดาวไม่ได้มีอิทธิพลกับชีวิตเรา ไม่ได้กำหนดกฏเกณฑ์ ชะตาชีวิตเรา แต่เป็นเพียงแผนที่ที่จะถอดรหัสธรรมชาติแบบหยาบๆของ ดวงชะตาหรือกรรมที่จะมาถึงแก่บุคคลนั้นเท่านั้น ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดอยู่มากเพราะถ้าหมอดูผู้นั้น ใช้แต่หลักโหราศาสตร์ไม่ใช้หลักพุทธศาสตร์ร่วมด้วย
     
  11. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,241
    ค่าพลัง:
    +1,790
    ตัวตนของตัวเราเองนี่แหละ

    ดูดวงได้แม่นยำที่สุด

    สมองของเราบันทึกความทรงจำแห่งการกระทำเอาไว้หมด

    ไม่มีดวงดาวหรือหมอดูที่ไหนมาดูหรือมากำหนดเราได้

    ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของเราเองทั้งนั้น

    ไม่ต้องไปเสียเงินให้ใครมาดูหรอก
     
  12. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    ให้ ผศ. รศ. ทั้งสองไปปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเสียหน่อยก็ดีนะครับ
    เพราะที่พูดมามีทั้งถูกและไม่ถูก เอาศาสตร์หลายๆอย่างมาเทียบกันก่อนนะครับ
    การดูดวงทุกวันนี้ที่ไม่แม่นก็เพราะหมอดูมือไม่ถึงจริง โดยเฉพาะที่โฆษณาตัวเองตามสื่อขณะนี้
    ดวงไม่ดี ทำดีส่งเสริมได้ นับว่าถูกต้อง
    แต่ตอนดวงไม่ดี ทำดีก็ไม่ขึ้นอีกเหมือนกัน
    การดูดวงเปรียบเสมือนเอาไฟฉายไว้ส่องทาง จะได้เดินไม่ตกหลุม
    แต่จะเดินไปหรือไม่เป็นเรื่องของตัวเอง
    ของอย่างนี้ ปฏิบัติไปแล้วจะรู้เอง สับปบุรุษที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมองเห็นอดีตและอนาคตเหมือนมองทีวี. ถ้าเก่งขนาดนี้อะไรก็แก้ได้
    เรื่องนี้มีจริงพิสูจน์มาแล้ว

    "เร่งปฏิบัติธรรมเถิดจะเกิดผล"
     
  13. หนูมาลี

    หนูมาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2005
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,148
    โหราศาสตร์ เป็นวิชาว่าด้วย ดวงดาว และ การทำนาย อันเป็นแผนที่ของ ชีวิต และของโลก ที่มีต้นกำเนิดมาจาก กรรม ( Krama ) ที่ได้กระทำมาแต่ ปางก่อน ( ชาติก่อน ) วิชาโหราศาสตร์ได้เชื่อมโยงเกี่ยวกับเทพนิยาย ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ เลขศาสตร์ ปรัชญา วิชาที่ว่าด้วยชีวิต รวมไปถึง ตรรกวิทยา จิตวิทยา หลักแห่งความงาม ทฤษฏีแห่งความรู้ และจริยศาสตร์ ธรรมะ ซึ่งเป็นหลักในเรื่องกฏแห่งกรรม
    ในทางลักษณะของโหราศาสตร์ดั้งเดิมที่ปรากฏขึ้นในทุก ๆ มุมของโลก และทุก ๆ แห่งยังหลงเหลือคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ และความลึกลับ และในสมัยนั้น วิชาโหราศาสตร์ เป็นวิชาที่ผู้ศึกษา โดยส่วนมากเป็นนักบวช หรือ นักปราชญ์ วิชานี้เป็นวิชาที่มีมานานและเก่าแก่กว่าวิชาวิทยาศาสตร์ และอาจจะมีการพัฒนาการต่อไปอย่างไม่มีวันที่สิ้นสุด สังเกตุได้จากคำทำนาย พบว่ามีสัญลักษณ์ และอักษรต่าง ๆ ปรากฏบนแผ่นดินเหนียว บนหลักศิลาจารึก หนังสือ เรื่อยมาจนเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบัน และในสื่อที่จะใช้ในการสื่อสารในอนาคตต่อไป
    วิชาโหราศาสตร์ ที่ท่านกำลังสนใจ หรือต้องการที่จะทราบความเป็นมา และความเป็นไปของชะตาชีวิตของแต่ละคนนั้น รวมไปถึงผู้ที่ต้องการศึกษาหาความจริงว่า ศาสตร์นี้ให้คำตอบอะไรกับเราได้บ้าง จากการค้นคว้าหลักฐานทางโบราณคดี และประวัติศาสตร์ พบว่าแหล่งกำเนิดวิชาโหราศาสตร์นี้มาจาก อาณาจักรบาบิโลเนีย (Kingdom of Babylonia ) ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำ ไทกริส และ ยูเฟรติส ซึ่งปัจจุบันก็คือบริเวณตะวันออกกลาง เป็นที่ตั้งของประเทศอิรักในปัจจุบันนั่นเอง
    การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ถ้ามองให้ลึกลงไปแล้วมันก็คือศาสตร์เกี่ยวกับธรรมชาติ ของโลก และดวงดาวต่าง ๆ ในจักรวาล ที่จะให้คำตอบกับนักโหราศาสตร์ที่ได้ทำการศึกษาและค้นคว้า โดยมีประโยคที่พูดว่า "รู้ฟ้าโดยอาศัยโลก และ รู้โลกโดยอาศัยฟ้า "
    การทำความดีไม่ใช่หวังวัตถุ แต่ความดีเกิดจากความบริสุทธิ์จากตัวเราเอง คิดดี พูดดี และทำดี
    (bb-flower (bb-flower


    โหราศาสตร์เกิดมานานแล้วคะ เกิดก่อนศาสนาพุทธอีกเพราะได้รับ อิทธิพล มาจากคติความเชื่อ ทางฮินดู

    ที่เชื่อในพลังของธรรมชาติ ที่ยิ่งใหญ่กว่า มนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราๆ

    เมื่อศาสนาพุทธ เกิดในภายหลัง

    จึงมีการ มองว่า แผนที่ชีวิต ถูกลิขิต มาจาก กรรมเก่านั้นเอง

    ว่า ทำไมคนนี้ เกิดดิถี ราชา จึงมั่งมี

    ไม่ขอค้าน นักวิชาการนะคะ แต่ กรรมเก่า กับ ดวงดาว อธิบาย

    ยากมาก มันต้องอาศัยความเชื่อ จากประสบการณ์มากกว่าคะ[b-wai]
     
  14. kc_koy

    kc_koy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
  15. นิรมิต

    นิรมิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +171
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=549 align=center bgColor=#ffffcc border=0><TBODY><TR><TD colSpan=4>พรหมวิหาร 4

    </TD></TR><TR><TD> </TD><TD colSpan=4>ความหมายของพรหมวิหาร 4
    - พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=301 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=55>เมตตา</TD><TD width=246>ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข</TD></TR><TR><TD width=55>กรุณา</TD><TD width=246>ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์</TD></TR><TR><TD width=55>มุทิตา</TD><TD width=246>ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี</TD></TR><TR><TD width=55>อุเบกขา</TD><TD width=246>การรู้จักวางเฉย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    คำอธิบายพรหมวิหาร 4
    1. เมตตา : ความปราถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้
    และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ เป็นต้น 2. กรุณา : ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือ สิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้เกิดความไม่สบายกาย
    ไม่สบายใจ และเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน พระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่าความทุกข์มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
    - ทุกข์โดยสภาวะ หรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การเกิด การเจ็บไข้ ความแก่และ
    ความตายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์
    - ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น เมื่อปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ รวมเรียกว่า เจตสิกทุกข์
    3. มุทิตา : ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี คำว่า "ดี" ในที่นี้ หมายถึง การมีความสุขหรือมีความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีจึงหมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ไม่มีจิตใจริษยา ความริษยา คือ ความไม่สบายใจ ความโกรธ ความฟุ้งซ่านซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตน เช่น เห็นเพื่อนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วครูชมเชยก็เกิดความริษยาจึงแกล้งเอาเศษชอล์ก โคลน หรือหมึกไปป้ายตามเสื้อกางเกงของเพื่อนนักเรียนคนนั้นให้สกปรกเลอะเทอะ เราต้องหมั่นฝึกหัดตนให้เป็นคนที่มีมุทิตา เพราะจะสร้างไมตรีและผูกมิตรกับผู้อื่นได้ง่ายและลึกซึ้ง
    4. อุเบกขา : การรู้จักวางเฉย หมายถึง การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณาเห็นว่า ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระทำ เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางที่เป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้ำเติมเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น เราควรมีความปรารถนาดี คือพยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>http://www.learntripitaka.com/scruple/prom4.html
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=592 align=center bgColor=#ffffcc border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffff><TD colSpan=4></TD></TR><TR><TD width=24> </TD><TD colSpan=4>สังคหวัตถุ 4

    </TD></TR><TR><TD width=24> </TD><TD colSpan=4>
    สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล หรือเป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ 1. ทาน คือ การให้ การเสียสละ หรือการเอื้อเฟื้อแบ่งปันของๆตนเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้ไม่เป็นคนละโมบ ไม่เห็นแก่ตัว เราควรคำนึงอยู่เสมอว่า ทรัพย์สิ่งของที่เราหามาได้ มิใช่สิ่งจีรังยั่งยืน เมื่อเราสิ้นชีวิตไปแล้วก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้
    2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสำหรับกาลเทศะ พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะการพูดเป็นบันไดขั้นแรกที่จะสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น วิธีการที่จะพูดให้เป็นปิยวาจานั้น จะต้องพูดโดยยึดถือหลักเกณฑ์
    ดังต่อไปนี้
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=318 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>เว้นจากการพูดเท็จ
    เว้นจากการพูดส่อเสียด
    เว้นจากการพูดคำหยาบ
    เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ</TD></TR></TBODY></TABLE>3. อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ทุกชนิดหรือการประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
    4. สมานัตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลเล รวมทั้งยังเป็นการสร้างความนิยม และไว้วางใจให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.learntripitaka.com/scruple/sank4.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...