งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๒ ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐาน สาขาวัดท่าซุง วันที่ ๕ - ๗ ธันวาคม ๒๕๕๑

ในห้อง 'งานบวช' ตั้งกระทู้โดย ชนะ สิริไพโรจน์, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๒ ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐาน สาขาวัดท่าซุง วั

    ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบำเพ็ญมหากุศล

    งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๒
    งานทอดผ้าป่า ๓ กองบุญ และพิธีเปิดบุญ-เบิกบุญ
    โดย อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์
    และงานทำบุญครบรอบ ๒๓ ปี ของการก่อตั้งศูนย์พุทธศรัทธา
    เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
    และถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช

    ณ ศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐาน สาขาวัดท่าซุง
    ๗๗ หมุ่ ๗ ต.บ้านหมอ อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ๑๘๑๓๐
    โทร. ๐๓๖-๒๐๑๖๐๐, ๐๘๑-๙๓๗๐๒๔๔, ๐๘๔-๑๐๗๖๑๐๖

    กำหนดการบำเพ็ญกุศล

    วันศุกร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑
    ๐๙.๐๐ น. พิธีบวงสรวงงานทำบุญครบรอบ ๒๓ ปี ศูนย์พุทธศรัทธา
    ๐๙.๓๐ น. ทำวัตรสวดมนต์
    ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหารเพล
    ๑๒.๐๐ น. เริ่มพิธีบวชเนกขัมมะบารมี โดยพระธรรมปิฏก เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหารเป็นองค์ประธานพิธี
    ๑๔.๐๐ น. พิธีทอดผ้าป่า ๓ กองบุญ และพิธีเปิดบุญ-เบิกบุญโดย อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์
    ๑๘.๐๐ น. ทำวัตรสวดมนต์
    ๑๙.๓๙ น. พิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร
    ๒๐.๐๐ น. ถวายสังฆทาน-ฟังธรรม

    วันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๑
    ๐๕.๐๐ น. ปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ๐๖.๑๕ น. ใส่บาตรและเดินจงกรม
    ๐๘.๐๐ น. ทำวัตรสวดมนต์
    ๐๙.๓๐ น. ถวายสังฆทาน-ฟังธรรม
    ๑๒.๓๐ น. ปฏิบัติพระกรรมฐาน( มโนมยิทธิ)
    ๑๔.๓๐ น. ถวายสังฆทาน-ฟังธรรม
    ๑๘.๐๐ น. ทำวัตรสวดมนต์
    ๒๐.๐๐ น. ถวายสังฆทาน-ฟังธรรม

    วันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๑
    ๐๕.๐๐ น. ทำวัตรสวดมนต์
    ๐๖.๑๕ น. ใส่บาตรและเดินจงกรม
    ๐๘.๐๐ น. ถวายสังฆทาน-ฟังธรรม
    ๐๙.๓๐ น. ฟังธรรมบรรยายจาก อ.ไชยทรง จันทรอารีย์
    ๑๒.๓๐ น. พิธีลาสิกขา

    รายละเอียดเกี่ยวกับศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง


    [​IMG]

    หมายเหตุ ภาพโบชัวงานบวชเนกขัมมะบารมี ถ้าคลิ๊กภาพขยายใหญ่แล้วยังไม่ชัดให้คลิ๊คเมาท์ที่ภาพอีกครั้งครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2008
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๒ ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐาน สาขาวัดท่าซุง วั

    รายละเอียดเพิ่มเติมงานทอดผ้าป่าสามกองบุญครับ
    [​IMG]
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๒ ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐาน สาขาวัดท่าซุง วั

    [​IMG]
     
  4. chodchoi

    chodchoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,288
    ค่าพลัง:
    +148
    ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ
    กราบขอขมาและอโหสิกรรมด้วยครับ สาธุ
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อนุโมทนาในบุญกุศลที่เกิดขึ้นด้วยครับ



    เพื่อเป็นอนุสัยปัจจัยต่อไปในวันข้างหน้านะครับ


    ;welcome2​
     
  6. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ ... ดีแล้วชอบแล้ว


    .
     
  7. พระดาบสน้อย

    พระดาบสน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +2,414
    โมทนาคับ
    ------------------------------
    [​IMG] ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพแจกของถิ่นทุรกันและผู้ประสบภัยหนาวภาคเหนือ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=158903
     
  8. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    โมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ พอดีได้ฟังหลวงพ่อเล่าถึง เนกขัมมบารมี เลยเอามาฝากกันค่ะ


    ตอนที่ ๔ เนกขัมมบารมี

    วันนี้เรามาพูดกันถึงบารมีที่ ๓ คือ เนกขัมมบารมี เนกขัมมบารมี เราแปลกันว่า การถือบวช สำหรับคนอื่นเขาจะแปลกันว่าอย่างไรนั้นไม่สำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับเนกขัมมบารมีนี่กำลังหลายชั้น.

    เนกขัมมบารมีเบื้องต้นบรรดาท่านสาธุชนหรือพระโยคาวจรทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงให้ถือการบวชใจ นี่เราบวชใจกันนะ เราไม่ได้บวชกาย เราบวชใจ การบวชเฉพาะกาย ถือเพศสมณะเฉพาะกาย แต่ไม่บวชใจด้วย ก็ช่วยให้เราลงนรกหนักขึ้น เป็นการหลอกลวงชาวบ้าน หลอกลวงตัวเอง คิดว่าตัวดีแล้ว ไม่สมกับความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่มีความปราถนาจะให้เราเป็นสุขคือตัดความเกิด นี่เรามานั่งดูบารมีว่าการที่พูดกันมาถึงด้านพระโสดาบันท่านทำได้หรือไม่ได้ ถ้ายังเป็นพระโสดาบันไม่ได้ก็มานั่งคลำบารมี

    ในทางที่ถูกแล้วถ้าเรามีบารมี ๑๐ เราไม่ต้องปฏิบัติอย่างอื่น เรามาคลำกันแต่เฉพาะบารมีเท่านั้นมันก็พอแล้ว เพราะว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงรับรองไว้แล้วว่า ถ้าใครมีบารมีครบถ้วนทั้ง ๑๐ ประการ เป็นปรมัตถบารมี ท่านผู้นั้นก็เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา ถ้าเราจะไม่ศึกษาอะไรกันอย่างอื่นเลย ศึกษาแต่บารมีก็พอ อาตมาได้พูดไว้แต่ตอนต้นว่าเราบวชใจกัน เราไม่ได้บวชกาย เราบวชตน คำว่าตน หรือคำว่า เรา ก็ได้ จิต เรามานั่งบวชจิต จิตที่บวชตอนต้นที่เรียกว่าเลยจากความเป็นคนเข้ามานิดหนึ่งมาเป็นมนุษย์ เราเกิดกันมาทีแรกเราเป็นคน มันยังไม่เป็นมนุษย์ คนนี่มันแปลว่ายุ่ง อารมณ์ของเรามันยุ่งจัด บางทีร่างกายยังไม่ทันไปใจมันไปแล้ว ใจก็คือเรา

    ตานี้เราจะทำอย่างไรล่ะ การบวชตนระยะแรกนี่เอากันแค่ กัลยาณชน ยังไม่ถึง อริยชน ก็คือองค์สมเด็จพระทศพลทรงแนะนำให้ระงับ นิวรณ์ ๕ ประการ

    นี่จำไว้ให้ดีนะท่านบรรดาพระโยคาวจรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายมีความประสงค์ต้องการโดยเฉพาะว่าเราต้องการเป็นพระอริยเจ้า เราเบื่อการเกิด เพราะเกิดมันเป็นทุกข์ ถ้าเราจะไม่เกิดเราก็ต้องมีบารมีครบถ้วน แต่ว่าไม่ใช่ท่องบารมีไว้ครบ จำได้แบบนกแก้วนกขุนทองแบบนั้นไม่ใช่ ถ้าจำแบบนั้นท่านก็เป็นนกแก้วนกขุนทองตลอดไป จะเป็นพระอริยเจ้าเข้านิพพานไม่ได้ ต่อไปนี้เรามานั่งบวชกันดีกว่า ท่านทั้งหลายที่เคยบวชกันมาเข้าเป็นภิกษุเป็นสามเณรน่ะ บวชครบถ้วนแล้วหรือยัง

    ระยะการบวชในตอนต้นนี้เรายังไม่บวชเอาดีเกินไป เอาดีจากความเป็นคนมาเป็นมนุษย์เท่านั้น ตอนนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำว่า ท่านทั้งหลายจงทำกำลังใจให้มีความเบื่อหน่าย เห็นโทษในกามคุณ คือความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย การสัมผัสเนื่องในกามารมณ์ หรืออารมณ์ที่หมกมุ่นไปด้วยกามคุณ

    กามคุณ นี่ก็แปลว่า การมั่วสุมไปด้วยโลกียวิสัย ระงับใจเสียให้ได้ นี่เป็นข้อที่ ๑
    ข้อที่ ๒ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสอนให้ระงับ ยังไม่ตัดนะ คำว่าระงับ นี่แปลว่า กดคอเข้าไว้ คือ ระงับความโกรธ ระงับความพยาบาท
    ข้อที่ ๓ องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถแนะนำบอกว่า เวลาที่เราตั้งใจระงับอารมณ์ จิตที่พอใจในกามคุณ และระงับความโกรธ ความพยาบาท ความง่วงมันจะเข้ามาครอบงำ ในเมื่อความง่วงมันครอบงำแล้ว เราก็ต้องหาทางระงับความง่วงเสีย ด้วยการลืมตาให้กว้างบ้าง เอามือขยี้ตาบ้าง เอาน้ำล้างหน้าบ้าง แหงนดูดาวบ้าง ลุกขึ้นเดินเสียบ้าง มันจะได้คลายความง่วง
    ข้อที่ ๔ ตอนนี้อารมณ์ใจของเราฟุ้งซ่านก็ต้อง ระงับอาการฟุ้งซ่าน ของอารมณ์เสีย ให้ทรงอยู่ในอารมณ์ที่เราต้องการโดยเฉพาะว่า มันเป็นคุณ ตามที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ
    ข้อที่ ๕ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า เราไม่ต้องสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่าไม่สงสัย ต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา ไม่ใช่ว่าฟังแล้วจะเชื่อเสียทีเดียว อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ นี่กล่าวโดยหัวข้อ
    ทีนี้เวลาที่เราจะเข้าไประงับนิวรณ์ ๕ ประการ เพื่อเป็นการถือบวชขั้นต้นจากความเป็นคนมาเป็นมนุษย์ ยังไม่เป็นพระ นี่ท่านนักบวชในพระพุทธศาสนาระงับกันได้หรือยัง ถ้ายังละก็โปรดทราบว่าอย่าว่าแต่ท่านเป็นพระเลย เป็นมนุษย์ก็ยังเป็นไม่ได้

    การระงับนิวรณ์คืออารมณ์ของกามคุณทั้ง ๕ ประการ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เราพอใจของสวย เราพอใจของหอม เราพอใจรสอร่อย เราพอใจสัมผัสที่เราต้องการระหว่างเพศ จิตใจมั่วสุม กลัดกลุ้ม พะวักพะวงอยู่ในโลกียวิสัย อยากจะคลุกเคล้าอยู่ในอำนาจของกามคุณ ตอนนี้มันจะดีอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตามปกติชาวบ้านเขาเห็นดีกัน แต่ว่าชาววัดเห็นว่าไม่ดี วัดตัวนี้ควรจะเรียกว่า วัตระ คือปฏิบัติเพื่อความไม่เกิด เพื่อความเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ เราก็มาระงับกันเสียด้วยอำนาจของอสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่าง และก็กายคตานุสสติ ๑ อย่าง รวมเป็น ๑๑ อย่างด้วยกัน

    อสุภกรรมฐาน ก็พิจารณาเห็นความไม่สวยสดงดงามของคนและสัตว์ทั้งหมด หรือวัตถุต่างๆที่เราเห็นว่าสวย นี่เราพูดกันเฉพาะบารมี จะเอาเรื่องนี้มาพูดให้จบน่ะมันไม่ได้ แบบฉบับมีแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ใน คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือ วิสุทธิมรรค ขอได้โปรดไปหากันเอาเองก็แล้วกัน จะให้อาตมาแนะนำในที่นี้ทั้งหมดนั้นมันเกินวิสัย ถ้าเราจะพูดกันให้จบก็ต้องพูด พระกรรมฐานทั้ง ๔๐ อย่าง หรือว่า มหาสติปัฏฐาน ให้จบ ก็ไม่ใช่เวลา ไม่ใช่กาล ไม่ใช่สมัย แนะนำกันเข้าไว้
    ถ้าเราใช้อสุภ ๑๐ อย่าง กับกายคตานุสสติอีก ๑ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งที่เราพอใจ ใจเราระงับความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส และอารมณ์ที่หมกมุ่นในกามคุณระงับลงไปได้ชั่วขณะ เรียกว่าระงับเป็นบางขณะ ไม่ใช่ว่าทุกขณะ เวลาที่เราตั้งใจระงับมันระงับเวลาที่เราจะเดินเหินไปไหนความรู้สึกมันเป็นอย่างนั้น แต่ว่าบางคราวความต้องการมันก็มีอยู่ อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมครูเรียกกันว่า ฌานโลกีย์ จัดว่าเป็น มนุษย์ หรือว่าเป็นกัลยาณชน แนะนำกันเพียงเท่านี้นะ

    สำหรับข้อที่ ๒ นี่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำว่าจงระงับความโกรธความพยาบาท คือการจองล้างจองผลาญ เขามาพูดเขามาทำเราไม่ชอบใจ เราก็จ้องจะแก้มือแก้แค้น อย่างนี้ไม่เป็นการสมควร เพราะว่าเป็นอารมณ์ของความชั่ว ทำตัวให้มีทุกข์ คำว่า ตัว คือ เรา ไม่ใช่ร่างกาย ถ้าเราตายจากชาตินี้แล้วจะเสวยทุกขเวทนา เมื่อทรงอยู่ก็จะประกอบด้วยทุกข์ คือความเร่าร้อน เพราะว่าความโกรธเป็นอาการของการเผาผลาญร่างกายและจิตใจให้ทรุดโทรม

    คนที่โกรธง่ายแก่เร็ว บรรดาท่านพุทธบริษัท บางทีเราจะเห็นพระอริยเจ้าอายุตั้ง ๖๐ ปีเศษ เราก็ไปนั่งนึกว่าท่านอายุประมาณสักสี่ห้าสิบปี แต่ก็ยังดี บางองค์อายุเกือบจะ ๘๐ ปี เราคิดว่าอายุท่าน ๓๐ ปีเท่านั้น นั่นเราก็จะพิจารณาได้ว่า พระคุณท่านเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงตั้งแต่เมื่อไร ร่างกายของพระคุณท่านไซร้ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงนัก เพราะใจมันสบาย คือร่างกายของเราจะแก่มากแก่น้อยทรุดโทรมมากทรุดโทรมน้อยมันอยู่ที่ใจเหมือนกัน

    ถ้าอารมณ์ใจของเราสบายแล้ว ร่างกายคือความเผาผลาญทางใจมันน้อย ร่างกายมันก็ทรุดโทรมน้อย ถ้าเราคาดร่างกายของบุคคลผิด ก็เพราะว่าเราคาดจิตใจของเขาผิด เราไปมองดูร่างกายของคนที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ไฟที่อยู่ไหนทำลายที่นั่นเผาผลาญที่นั่น ความโกรธ พระพุทธเจ้าว่าเป็น โทสัคคิ ไฟคือโทสะ

    ความโกรธถ้ามันเกิดขึ้นเราจะระงับด้วยวิธีไหน อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแนะนำว่า ให้ใช้พรหมวิหาร ๔ ประจำใจเป็นปกติ หรือว่าถ้าพรหมวิหาร ๔ ยังไม่เป็นที่พอใจ ไม่ถูกกับอารมณ์ พระพุทธเจ้าก็ทรงแนะนำให้ใช้กรรมฐาน ๔ อย่าง คือ วรรณกสิณ ได้แก่กสิณที่มีสี คือ กสิณสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่งตามอัธยาศัย

    ถ้าเราปฏิบัติโดยใช้ตามนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นที่ถูกใจ อารมณ์ใจของเราจะมีความสุข และก็สามารถจะระงับความโกรธไว้ได้ ยังไม่ตัดนะ บอกแล้วว่ายังไม่ตัด เอาแค่ระงับชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อความโกรธมันเกิดขึ้นเราก็คว้าพรหมวิหาร ๔ มาใช้ทันทีเป็นเครื่องประหัตประหาร กสิณ ๔ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ที่เราชอบใจ เอามาใช้โดยเฉพาะ ความโกรธ มันจะระงับ มันจะตกลงไป แต่มันไม่ไปไหนหรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท มันยังนอนอยู่ในใจ หรือนอนอยู่ในเรา บางครั้งบางคราวมันก็จะโผล่ขึ้นมาอีก ถ้าเราทำบ่อยๆ กำลังมันก็จะเพลียไป นิวรณ์ตัวที่ ๒ ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรให้ทรงระงับด้วยกรรมฐานแบบนี้

    สำหรับข้อที่เรียกว่า ความง่วง ได้พูดมาแล้วแต่ตอนต้น ตอนนี้ไม่พูดมันจะซ้ำกัน
    ต่อไปข้อที่ ๔ ถ้าอารมณ์ใจฟุ้งซ่าน องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เจริญ อานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นการระงับความฟุ้งซ่านของจิต การเจริญอานาปานุสสติกรรมฐานทำยังไง ในวิสุทธิมรรคก็ดี ในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานก็ดี ในมหาสติปัฏฐานสูตรก็ดี มีอยู่แล้วครบถ้วนบริบูรณ์ ดูตามนั้นก็แล้วกัน ตำรับตำรามีแล้วจะมานั่งสอนซ้ำตำรามันก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะอะไร เพราะว่าคนถ้าไม่ตั้งใจจริงเสียอย่าง สอนเท่าไรก็ไม่เอาถ่าน พูดเท่าไรคนพูดก็เหนื่อยเปล่า ดูในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง อย่าง พระเทวทัต เป็นทั้งญาติ เป็นทั้งพี่ แต่ว่าพระเทวทัตที่เอาดีไม่ได้ก็เพราะเป็นคนไม่สนใจเรื่องความดี มีจิตใจกำเริบเสิบสาน พอได้ฌานสมาบัติก็นึกว่าตัววิเศษ ไม่ยอมเชื่อคำแนะนำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ นี่ถ้าเราไม่เอาดีเสียอย่างเดียวพูดเท่าไรมันก็ไม่ดี

    ถ้าเอาดีแล้ว ดูตัวอย่างที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแนะนำแก่บรรดาพุทธบริษัท คือ เปสการีธิดา ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ คือตรัสเป็นคำถามสั้นๆ ว่า
    “เธอมาจากไหน “ “เธอจะไปไหน” “เธอไม่รู้หรือ…” หรือว่า “เธอรู้หรือ”
    เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท นางมีความเข้าใจเพราะองค์สมเด็จพระจอมไตรยกมือสาธุในคำตอบของเธอ
    เมื่อพระองค์ถามว่า “เธอมาจากไหน..?”
    เธอตอบว่า “ไม่ทราบพระเจ้าข้า”
    ในข้อนี้เธออธิบายว่า การที่เธอมาจากบ้านจะไปหาพ่อนั้นพระพุทธองค์ทรงทราบ แต่ว่าถามว่ามาจากไหนหมายความว่าตอนก่อนที่จะเกิดน่ะเธอมาจากไหนนางไม่ทราบ อันนี้พระพุทธเจ้าก็ทรงสาธุ
    แล้วข้อต่อไปพระองค์ทรงถามว่า “แล้วเธอจะไปไหน…”<O:p></O:p>
    เธอตอบว่า“ไม่ทราบพระเจ้าข้า”
    ข้อนี้เธออธิบายว่า เพราะว่าเมื่อเธอตายไปแล้วเธอจะไปไหนนั้นเธอไม่ทราบ อันนี้พระพุทธเจ้าก็สาธุ
    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงถามว่า “เธอไม่ทราบหรือ…?”
    เธอตอบว่า “ทราบพระเจ้าข้า”<O:p></O:p>
    เธออธิบายว่า เธอเกิดมาแล้วเธอต้องตายแน่ เธอทราบ
    พระพุทธเจ้าถามต่อไปว่า “เธอทราบหรือ…?”
    เธอตอบว่า “ไม่ทราบพระเจ้าข้า”
    เธออธิบายว่าการตายของเธอน่ะ จะตายช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายเย็น ตายกลางคืน ตายมืด ตายสว่าง ตายด้วยอาการอย่างนี้เธอไม่ทราบ
    อันนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงสาธุ เมื่อพระพุทธเจ้าสาธุเพียงแค่ ๔ วาระ เธอก็ได้สำเร็จ พระโสดาปัตติผล นี่ถ้าเราพูดกันถึงว่า คนดีเสียอย่างเดียวแนะนำเพียงนิดเดียวเขาก็มีผล
    อันนี้ก็เหมือนกัน ที่อาตมาพูดนี่ พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทศพลมีมาแล้ว หนังสือที่เป็นคู่มือก็มีมาก ถ้าเรามานั่งอธิบายกันตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเป็นคนดี ถ้าดีเสียอย่างเดียว คำแนะนำคำเดียวก็มีประโยชน์ ถ้าหากว่าแนะนำอย่างนี้แล้ว คู่มือสำหรับดูก็มี คำอธิบายมีพร้อม เรายังเอาดีไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไร สำหรับการที่จะอธิบายให้ท่านฟังต่อไป นี่ก็เอากันแค่แนะนำเท่านั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท

    ข้อ ๕ ไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระรัตนตรัย เราก็ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาว่า อะไรหนอที่พระพุทธเจ้ากล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่จริง ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าเรามีเกิดก็ต้องมีแก่ มีป่วย มีตาย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสอย่างนี้เป็นความจริงไหม ไม่ต้องไปเอาอะไรมาก เอาเท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เชื่อได้แล้วหรือยัง….?
    อีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ใช้ปัญญาพิจารณาตาม ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกปริเทวทุกข์ เป็นต้น ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มันจริงหรือไม่จริง ใช้ปัญญาพิจารณาเอา นี่เป็นอันดับต้นที่เราจะระงับนิวรณ์ ๕ ประการ นี่แค่เป็นคนเท่านั้น
    ถ้าหากว่าเราระงับนิวรณ์ ๕ ประการนี้สงบไปแล้ว เราก็ชื่อว่าเราเริ่มบวชเบื้องต้น บวชแต่ว่ายังไม่ดีนัก แค่ระงับความชั่ว บวชชั่วขณะ ไม่ใช่บวชตลอด เนกขัมมบารมียังไม่ใช่ขั้นดี ขั้นดีเขาทำกันอย่างไร….? ก็ตัดนิวรณ์ ๕ ประการนี้ให้มันบรรลัยไปทั้งหมด ให้มันละเอียดไปเลย
    เมื่อจิตมันสงบระงับดีแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ใช้วิปัสสนาญาณ คือ อริยสัจ จะใช้แบบอริยสัจก็ได้ แบบพิจารณาขันธ์ ๕ ก็ได้ แบบฉบับมีอยู่แล้ว ตามนัยที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงสอน ประหัตประหารนิวรณ์ให้มันพินาศไป ให้มันพังไปเสียให้หมด ความรักในรูป เสียง กลิ่น รส ให้มันพินาศไปเลย ให้มันหมดไปจากใจ อารมณ์ฟุ้งซ่านไม่มีในใจ การสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่มี เราเชื่อด้วยอำนาจของปัญญา

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า คำว่าบารมีในที่นี้เราพร้อมแล้วหรือยัง กำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทพร้อมแล้วหรือยัง พร้อมที่จะระงับนิวรณ์ ๕ แล้วก็ตัดนิวรณ์ ๕ ถ้าใจมันยังค้างตอนใดตอนหนึ่งอยู่อีกเพียงนิดเดียวเพียงเท่านี้ อย่าลืมว่าท่านยังไม่ดี มีบารมีไม่ครบ
    นี่การสร้างบารมีก็คือการสร้างกำลังใจ ทำใจของเราให้ครบถ้วนที่จะเป็นเจ้านายเหนือหัวนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ ไม่ใช่นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการนั้นมาเป็นเจ้านายเรา คือจิต
    ทีนี้อยากจะถามว่า ถ้าเจริญเนกขัมมบารมี บารมีอื่นช่วยไหม…? ก็ตอบได้ทันทีว่าช่วยทั้งหมด แต่ว่าอย่าพูดกันไปเลย เวลามันจะช้า เทียบกันเอาก็แล้วกันว่า ถ้าเราไม่โกรธ เราให้อภัย ก็เป็นทาน เป็น อภัยทาน ที่เราระงับศีล จิตใจเราไม่ร้ายไม่ทำลายเขา มันก็เป็นศีล ศีลมันต้องเข้ามาคุม การที่จะคุมอย่างนั้นได้ พิจารณาเห็นคุณของการระงับนิวรณ์ก็ต้องใช้ ปัญญา
    สำหรับ วิริยะ ความเพียร เพราะอารมณ์ใจของเราแก่กล้าในด้านความชั่ว ตกเป็นทาสของนิวรณ์ เราจะเป็นไทก็ต้องใช้ความเพียรเข้ามาตัดความเป็นทาสให้หมดไป ขันติ ความอดใจ ในเมื่ออารมณ์เดิมมันเข้าสิง มันต้องอดกลั้นใจเข้าไว้ มันมี สัจจะ ทรงความดี คือความจริงว่าเราจะไม่ยอมเป็นทาสของนิวรณ์ อธิษฐาน ที่ตั้งใจไว้อย่างไรตั้งตรงไว้อย่างนั้น ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เมตตา นี้มีอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเราไม่ขาด เราไม่ทำลายเขา คือไม่คิดประทุษร้าย ไม่โกรธไม่พยาบาท อาศัยความเมตตาเป็นสำคัญ อุเบกขา ทรงอารมณ์จิตมั่น เฉยต่ออารมณ์ที่ร้ายที่จะเข้ามายุ่งกับใจ ไม่เอากับมัน มันจะกวนใจเป็นประการใดก็ตามบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เราไม่ยอมมันทุกอย่าง

    บารมีข้อที่เรียกว่า เนกขัมมบารมี นี้ ถ้าจะพูดกันไปมันยาวมาก ที่พูดแบบนี้ก็เพียงตัดให้สั้นลงมา เพื่อให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถ้วนหน้ามีความเข้าใจว่ากำลังใจของท่านเต็มในด้านเนกขัมมบารมีอันดับไหน ถ้าเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ คือว่า จิตใจของเราขาดเด็ด กระเด็นจากความรักในกามคุณ ๕ ความโกรธความพยาบาทไม่มี มีเมตตาแทน อารมณ์ฟุ้งซ่านไม่มี จิตเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ความง่วงเหงาหาวนอนไม่ปรากฏ เมื่อนึกถึงธรรมะขึ้นมาเมื่อไร ก็ใจสว่างเมื่อนั้น ผลสุดท้ายขึ้นชื่อว่าการสงสัยเรื่องพระนิพพานไม่มีสำหรับเรา และเราก็มีความเข้าใจดีเรื่อง พระนิพพาน
    <O:p
    พอเห็นพระนิพพานชัด เห็นกันยังไงบรรดาท่านพุทธบริษัท ตอบดีไหม หรือว่าไม่ตอบ ไม่ตอบดีกว่า ทำบารมีเสียให้เต็มซิท่านทั้งหลาย เรื่องนิพพานที่เถียงกันมาเถียงกันไปน่ะ เราไม่จำเป็นต้องเถียงถ้าทำบารมีให้เต็ม

    มีหลายท่านด้วยกันที่เขียนหนังสือบ้าง พูดบ้าง บอกว่ารู้ได้ยังไงว่าพระองค์ไหนเป็น สุปฏิปันโน อันนี้เป็นของไม่ยาก ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเลิกเสพกามเสีย มีบารมีทั้ง ๓๐ ประการครบถ้วน คือ ๑๐ ประการนี่เป็น ปรมัตถบารมีหมด เรียกว่า ๓๐ ประการ เพียงเท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน การจะรู้ว่าองค์ไหนเป็น พระสุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน คือว่าเป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ มันก็เป็นของง่าย คือของเด็กเล่น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเราถึงเสียแล้วนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าถึงแล้วมันรู้แล้ว ใครเป็นอะไรก็รู้กันได้เป็นของไม่ยาก
    สำหรับเนกขัมมบารมีที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่าขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายโดยถ้วนหน้าจงทำกำลังใจให้มันเต็ม ถ้าเต็มเมื่อไรเป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน วันนี้ก็ขอยุติไว้แค่เพียงเท่านี้ เฉพาะเนกขัมมบารมีก็พึงทราบว่า เป็นบารมีที่เราทำคราวเดียวครบ ๑๐ บารมีด้วยกัน

    ในที่สุดนี้ก็ขอความสุขความสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2008
  9. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับทุกๆ ท่าน เข้ามาอ่านและอนุโมทนา และที่คุณ khunkik
    ได้กรุณาโพสบทความของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในเรื่องเนกขัมมะ
    บารมี เป็นการให้ธรรมะเป็นทานซึ่งเป็นทานที่มีอานิสงส์สูงสุด
    งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๒ ก็ผ่านไปแล้วด้วยดี มีผู้มีจิตศรัทธามาร่วมบวชมาก
    พอสมควร ศูนย์พุทธศรัทธา ขอนำภาพในวันงานและสรุปบัญชีมาให้ทุกท่านได้รับทราบ
    และร่วมอนุโมทนากัน รายละเอียดตามลิงค์นี้ครับ


    ขอเชิญทุกท่านได้โมทนาบุญผ้าป่า ๓ กองบุญร่วมกันครับ
    http://palungjit.org/showthrea...=158315&page=3

    ศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง
    เพียงท่านแวะชมและโมทนาท่านก็จะได้บุญได้กุศลตามกำลังใจของแต่ละท่าน

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...