การให้ทานแก่คน ถ้าเขารับไปแล้วไปทำความไม่ดี มันจะเป็นผลดีร้ายอะไรแก่เราไหมคะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย PalmPlamnaraks, 30 สิงหาคม 2006.

  1. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    ถาม เมื่อเราให้ทานพวกขอทานไปแล้ว เขาเอาไปซื้อเฮโรอีน กินกัญชา อย่างนี้จะถือว่าเป็นการส่งเสริมให้เขาทำชั่วหรือเปล่าคะ

    ตอบ
    ไม่ได้ส่งเสริม เราให้ทานแล้ว มันเป็นเรื่องของเขาดีหรือชั่วเป็นการกระทำของเขาเอง ย่อมได้รับผลนั้น ส่วนเราได้ผลรับจากการให้ทานคือ เจตนาของเราที่ให้ทานไปนั้นคือ ความสุข ความปิติ สบายใจที่จะประทับไว้ในจิตของเราตลอดไป นี่แหละคือตัวบุญตัวกุศล การให้ทานนั้น แม้แต่ให้กับสัตว์เดรัจฉาน เราก็ยังไม่อานิสงส์ เช่น มีอายุวรรณะ สุขะ พละ ถึงเป็นร้อยชาติ การให้ทานกับพวกขี้ฝิ่นกินยาสูบเฮโรอีนอะไรนั่น ยังได้อานิสงส์ยิ่งกว่าเราให้ทานสัตว์เสียอีก เพราะคนสูบฝิ่นกินยาเป็นมนุษย์ ได้ชื่อว่าเกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐ ถ้าเราผู้ให้ทานมีศีลดีงาม และผู้รับทานก็มีศีลดีงามด้วย เรายิ่งได้รับอานิสงส์มาก

    ท่านว่าถวายทานแก่พระพุทธเจ้าร้อยครั้ง แต่ถวายทานที่เป็นสังฆทานครั้งเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีอานิสงส์มากกว่า ทำไมจึงมากกว่า เพราะว่าศาสนาของพระพุทธเจ้าจะเผยแผ่ขยายว้างขวางได้ ก็ต้องมีพระสงฆ์เป็นผู้ช่วย ตั้งแต่ปฐมโพธิกาลมาแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าองค์เดียวไม่สามารถที่จะขยายกิจการพระพุทธศาสนาให้กว้างขวางได้ เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว พระสงฆ์ก็ได้รับช่วงรักษาพระพุทธศาสนาตลอดมาจนถึงพวกเราทุกวันนี้ สงฆ์เป็นผู้รักษาพระพุทธศาสนา เรียกว่าเป็นผู้สำคัญกว่าบริษัทอื่น ๆ พุทธบริษัทอื่น ๆ ก็มีสิทธิ์รักษาพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่ก็ไม่เท่าพระไม่เท่าพระสงฆ์ บริษัททั้งสี่ก็มี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่แหละที่มีสิทธิ์จะต้องช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา



    ถาม การให้ทานแก่คน ถ้าเขารับไปแล้วไปทำความไม่ดี มันจะเป็นผลดีร้ายอะไรแก่เราไหมคะ
    ตอบ อันนั้นมันเป็นเรื่องของเขา เราบริจาคทานนั้น เราต้องนึกถึงพระอริยสงฆ์ ต้องพร้อมไปด้วยเจตนาทั้งสามคือ ปุพพเจตนา มุญจนเจตนา ปราปรเจตนา ก่อนจะทำเราก็มีศรัทธาเลื่อมใสใครที่จะบริจาคทาน ขณะที่ทำเราก็จิตยินดี เมื่อทำไปแล้วนึกถึงบุญกุศลเข้าเมื่อใด ก็ปิติเลื่อมใสว่า ทานที่บริจาคไปนั้นถูกต้องโดยธรรมแล้ว
    ผู้สมบูรณ์ด้วยเจตนาทั้งสาม และนึกถึงพระอริยสงฆ์แล้วละก้อ ท่านว่าได้บุญกุศลมาก ๆ เราไม่ต้องไปนึกว่า ผู้รับเขาจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ นั่นเป็นเรื่องของเขา ให้เรานึกถึงพระอริยะ เช่น บริจาคทานกับอาตมา อาตมาก็ไม่ใช่พระอริยะ ก็นึกว่าที่รับทานของเรานี่น่ะ เป็นการปฏิบัติเพื่อเป็นพระอริยะ ชาติต่อ ๆ ไปคงได้เป็นพระอริยะ ต้องนึกอย่างงั้น ๆ ความประพฤติไม่ดีอะไรนั่นมันเป็นเรื่องของท่าน เรานึกถึงพระอริยะยืนกระต่ายเขาเดียว ไม่ย้ายไปทางอื่น


    พระครูปัญญา โสภิต ที่มา http://www.konmeungbua.com/saha/punya.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...