การเวียนว่ายตายเกิด และการเกิดใหม่

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย @^น้ำใส^@, 15 เมษายน 2006.

  1. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    ๕.๗ การเวียนว่ายตายเกิด และการเกิดใหม่[​IMG]

    เป็นหัวข้อหนึ่งในหนังสือ ธรรมดาของชีวิตเป็นเช่นนั้นเอง โดย วศิน อินทสระ หน้า ๑๘๑
    ------------

    การเวียนว่ายตายเกิดมีรายละเอียดมาก แต่จะพูดเฉพาะประเด็นหลักๆ เช่น จุดมุ่งหมายของการเกิดใหม่

    การเกิดใหม่เป็นกระบวนการทางธรรมชาติอย่างหนึ่งของชีวิต เพื่ออะไร? เพื่อให้จิตหรือวิญญาณ (ไม่ใช่วิญญาณตามความเข้าใจของชาวบ้านทั่วไป แต่หมายถึงความรู้หรือจิต) จะได้มีประสบการณ์ด้านต่างๆก่อนจะจากโลกเข้าสู่โลกุตรภาวะ และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพไหนๆอีกต่อไป

    โลกนี้เป็นเสมือนโรงเรียนใหญ่ สำหรับจิตหรือวิญญาณได้ศึกษาหาประสบการณ์จนถึงที่สุด เมื่อเราได้เกิดซ้ำซากอยู่ชาติแล้วชาติเล่า ได้ผ่านความสุขบ้างทุกข์บ้าง ประสบความสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง เป็นบทเรียนพอสมควรแล้ว เราก็จะไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกทิพย์ (นี่สำหรับคนดีมีบุญมีกุศล) ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมีสภาวะต่างๆแตกต่างจากโลกของเราเป็นอันมาก จิตของเราจะตื่นตัวมากขึ้น ความรู้สึกประทับใจในจริยธรรมก็จะมีมากขึ้น ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องทำมาหากินมากนัก หรือไม่ต้องทำมาหากินก็ได้ เรียกว่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลแห่งบุญ กมฺมผลูปชีวี


    โรงเรียนโลกก็เหมือนกับโรงเรียนสามัญ คือโรงเรียนสามัญนั้น นักเรียนต้องมาโรงเรียนวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า เพื่อเรียนวิชาซ้ำๆกันนั่นเอง ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า จนกว่าจะจบหลักสูตรแล้วออกจากโรงเรียนไป เพื่อเรียนต่อในระดับที่สูงกว่า ถ้าเป็นผู้ที่เรียนจบชั้นสูงสุดแล้วก็ไม่ต้องเรียนต่อไป

    โรงเรียนโลกก็ทำนองเดียวกัน คือ จิตของเราต้องมาสู่โลกนี้ชาติแล้วชาติเล่า เพื่อเรียนบทเรียนซ้ำๆกันนั่นเอง เพื่อให้วิญญาณหรือจิตได้ชำนาญ หรือรู้แจ้งในเหตุการณ์ต่างๆของชีวิต แล้วประมวลลงเป็นบทเรียนที่วิญญาณของเราจะต้องเรียนรู้และทรงจำ วิญญาณที่เรียนจบหลักสูตรสมบูรณ์แล้วก็ออกจากโลกไป ไม่หวนกลับมาอีก เรียกว่า ขึ้นสู่โลกุตระ

    ข้อแตกต่างระหว่างโรงเรียนสามัญกับโรงเรียนโลก คือ ในโรงเรียนสามัญ นักเรียนที่ไม่สมัครใจเรียน อาจลาออกจากโรงเรียนในระหว่างเรียนได้ แต่โรงเรียนโลกทำอย่างนั้นไม่ได้ นักเรียนของโรงเรียนโลก (คือคนทุกคน) จะออกจากโลกไปโดยยังไม่จบบทเรียนไม่ได้ ผู้ที่จะออกจากโลกไปเป็นโลกุตรชนได้ก็เฉพาะผู้จบบทเรียนสูงสุดแล้วเท่านั้น



    ความทุกข์ยากลำบากเป็นบทเรียนที่สูงค่าของชีวิต ชีวิตยิ่งลำบากเท่าใด เรายิ่งได้เปรียบเท่านัน ทั้งนี้หมายถึงเพื่อการศึกษาและความรอบรู้ของวิญญาณ คนส่วนมากมักจะตีคุณค่าของชีวิตด้วยลาภผลที่หาได้ เช่น ตำแหน่ง ยศศักดิ์ ความสนุกสนานสำราญใจ

    ความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มีคุณค่าแก่ชีวตน้อย สิ่งที่มีคุณค่าแก่ชีวิตจริงๆ ก็คือ พฤติกรรมที่ทำให้เราสมารถพัฒนาจิตใจขึ้นสู่ระดับสูง ความทุกข์ยากและความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักโลก และชีวิตดีขึ้น

    เพราะจุดประสงค์ใหญ่ของชีวิต ก็เพื่อพัฒนาอำนาจที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเราให้เจริญถึงขีดสุด ประสบการณ์ทุกชนิดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งแห่งบทเรียนของเรา แต่น่าเสียดายที่คนส่วนมากมักจะลืมข้อเท็จจริงอันนี้ไป ไม่ยอมรับบทเรียนที่มหาวิทยาลัยโลกเสนอให้ จึงต้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าบทเรียนนั้นจะแจ่มแจ้งขึ้นในใจของเขาเอง


    ระยะเวลาจากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่งกำหนดแน่นอนไม่ได้ ถ้าวิญญาณหรือจิตก้าวหน้ามาก มีคุณธรรมสูงมาก จะอยู่ในโลกทิพย์ (สวรรค์ชั้นต่างๆ) นานเป็นพันๆหมื่นๆปี ทั้งนี้เพื่อย่อยประสบการณ์ตางๆสู่อุปนิสัย แล้วมาเกิดในโลกมนุษย์อีก เพื่อหาโอกาสเรียนรู้บทเรียนที่ยังเหลืออยู่บางบท เขาสมัครใจมาเกิดเพื่อทำหน้าที่เป็นครูสอนมนุษย์ (อันนี้คือพรสวรรค์ ได้มาจากสวรรค์จริงๆ) หรือช่วยเหลือมนุษย์ในการพัฒนาจิตใจ

    การตายแล้วเกิด เป็นกระบวนการที่สิ้นสุดได้ ถ้าเราสามารถพัฒนาวิญญาณให้สมบูรณ์จนไม่มีความชั่วเหลืออยู่อีกเลย ชีวิตเพียงชาติเดียวไม่เพียงพอที่จะหาประสบการณ์ให้แก่วิญญาณหรือจิตได้ เรียกว่าเกือบจะไร้จิดมุ่งหมายเอาทีเดียว เหมือนนักเรียนที่มาโรงเรียนเพียงวันเดียวจะทันได้เรียนรู้อะไร เด็กที่เกิดในแหล่งสลัมในนครใหญ่ๆ นั้นจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเขาเกิดมาเพียงชาติเดียว เพราะเหตุที่ไม่มีอะไรสูญ ไม่มีอะไรถูกลืม ไม่ว่าชีวิตจะสั้นเพียงใด มันย่อมมีบางสิ่งบางอย่างอันมีคุณค่าแก่ความทรงจำของวิญญาณ เป็นการใช้หนี้เก่าบางอย่างที่เคยทำมาในอดีต


    โชคชะตาของแต่ละคนจึงเป็นผลรวมแห่งการกระทำในอดีตของเขาเอง ความสามารถทางจิต สภาพทางร่างกาย อุปนิสัยทางศีลธรรม และเหตุการณ์สำคัญในชาติหนึ่งๆ ย่อมเป็นผลแห่งความปรารถนา ความคิดความตั้งใจของเขาในอดีต โชคชะตาไม่ใช่ใครจะหยิบยื่นให้ใครได้ แต่มันเป็นผลรวมแห่งการกระทำของเราในอีดตจนถึงปัจจุบัน ความต้องการในอดีตของเราเป็นสิ่งกำหนดโอกาสในปัจจุบันของเรา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ สภาพปัจจุบันของเราเป็นผลแห่งการกระทำ ความคิดและความต้องการของเราในอดีต ไม่เฉพาะแต่ในชาติก่อนเท่านั้น แต่หมายถึงในตอนต้นๆแห่งชีวิตปัจจุบันของเราด้วย

    เพราะเหตุที่การเกิดใหม่มีจุดมุ่งหมายนั่นเอง จะเห็นว่าในบางยุคมีนักปราชญ์มาเกิดมากมายเป็นหมู่ๆ เหมือนนัดกันมาเกิด ทั้งนี้เพื่อทำประโยชน์อย่างใยอย่างหนึ่งที่ท่านทำคั่งค้างให้เสร็จไป


    ปัญหาที่น่าสงสัยมากอย่างหนึ่ง ก็คือ เหตุไรคนส่วนมากจึงระลึกชาติไม่ได้ มีคนส่วนน้อยเหลือเกินที่ระลึกชาติได้ เมื่อระลึกชาติหนหลังไม่ได้ วิญญญาณก็ไม่มีทางพิจารณาผลเทียบกับเหตุได้ การเกิดใหม่ก็ไร้ความหมาย ผลดีหรือชั่วที่เกิดขึ้นในระยะหลัง เหมือนการให้รางวัลหรือการลงโทษคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    ปัญหานี้ตอบได้ว่า เหตุที่คนส่วนมากระลึกชาติไม่ได้นั้น เพราะเหตุหลายอย่าง เช่น อยู่ในโลกทิพย์นานเกินไป คนที่ระลึกชาติได้ส่วนมากพอตายจากมนุษย์ก็มาเกิดเป็นมนุษย์อีกทันที หรือภายในเวลาไม่กี่วัน ระยะเวลาระหว่างภพใหม่กับภพเก่าสั้นมาก ความทรงจำเรื่องเก่าๆยังแจ่มใสอยู่

    อนึ่ง แม้ในชาติปัจจุบันเราก็ไม่สามารถจำรายละเอียดของการกระทำหรือคำพูดของเราได้หมด แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราเมื่อวานนี้เอง ก็จำไม่ได้หมด อย่างช่วงเวลา ๒-๓ ปีแรกแห่งชีวิตเรา เราจำอะไรไม่ได้เลย จะเหมาเอาว่าชีวิตของเราตอนนั้นไม่มีอย่างนั้นหรือ ตามปกติเราจำสาระสำคัญของชีวิตได้ แต่เราจำรายละเอียดไม่ได้ ข้อสังเกตก็คือ เรามีท่าทีหวาดกลัว หรือชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยที่เราไม่รู้สาเหตุของมัน ข้อนี้แสดงถึงความทรงจำในอดีตของเราที่แฝงเร้นอยู่นั่นเอง

    ที่กล่าวถึงเรื่องการเกิดใหม่เป็นเรื่องเพิ่มเข้ามานี้ เพื่อให้เห็นว่า เรื่องกรรมและเรื่องการเกิดใหม่ มีความสัมพันธ์กันอยู่อย่างไร โดยสรุปก็คือ

    การเวียนว่ายตายเกิดจะสิ้นสุดลง ก็ต่อเมื่อบุคคลผู้นั้นได้พัฒนาจิตจนถึงที่สุด ละกิเลสตัณหาได้สิ้นเชิง สิ้นกรรมอันเป็นเหตุให้เกิดอีก

    -----------------------------------------------------------------[​IMG] [​IMG] [​IMG] <!-- / message --><!-- sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...