การปฏิบัติตามหลักธรรมคือการค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้มั่นคง

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 กุมภาพันธ์ 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,389
    ค่าพลัง:
    +26,204
    EB9D1F1D-D5BD-47EC-83B8-87F5D4D4E5EA.jpeg

    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕

    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ อย่าเผลอว่าเป็นพุทธศักราช ๒๕๖๔ อีกนะ ตั้งแต่เช้ามาพวกเราก็มีกิจกรรมยาวยืด เริ่มจากสวดมนต์ข้ามปี แล้วก็มาบิณฑบาตรับปีใหม่ ญาติโยมปฏิบัติธรรม อาตมภาพเองต้องไปสวดมนต์กลางบ้าน

    ในเรื่องของปีใหม่ ถ้าว่ากันโดยหลักธรรมแล้ว ก็ไม่มีอะไรแปลกไปจากวันปกติ แต่ในเมื่อคนเราถือว่าเป็นมงคล มีการสร้างความดี เพื่อที่จะให้ตนเองโชคดีปีใหม่ ก็ต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง แม้ว่าในเรื่องของฤกษ์ยามต่าง ๆ จะไม่สำคัญก็ตาม แต่ว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่โยงใจให้เรานึกถึงความดีได้ กระทำความดีได้ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น โดยเฉพาะพวกเรา ทำทั้งเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา

    เรื่องของทานก็อย่างที่เห็นว่ามีการใส่บาตรกันหลายรอบ แม้กระทั่งงานสวดมนต์กลางบ้าน ก็ยังถวายอาหารพระภิกษุจนกระทั่งไม่มีปัญญาจะฉัน..! ในเรื่องของศีล ตั้งแต่เราจะสวดมนต์ข้ามปี ก็สมาทานศีลกันแล้ว ก่อนที่จะใส่บาตรรับปีใหม่ ก็ยังมีการสมาทานศีลกันอีก ก็เป็นอันว่าไม่มีอะไรที่จะต้องสงสัย ในส่วนของการภาวนา ส่วนใหญ่ของเราได้ที่ในนี้ ก็คือการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ

    คราวนี้ในส่วนที่พวกเราได้ ไม่แน่ว่าคนอื่นจะได้ด้วย พวกเราอยู่ในที่นี้ ๑๐๐ กว่า ๒๐๐ คน ญาติโยมที่อยู่ทางบ้านอีกจำนวนหนึ่ง ที่คอยประคับประคองรักษาตนเองให้อยู่ในขอบเขตของความดี ไม่ว่าจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา แต่ว่ายังมีญาติโยมอีกจำนวนมากที่อาศัยช่วงปีใหม่ ไปกิน ไปเที่ยวเตร่เฮฮา ไปกระทำเรื่องผิดศีลผิดธรรมกันเป็นปกติ

    ดังนั้น..จะว่าไปแล้ว พวกเรากลายเป็นบุคคลส่วนน้อยที่แปลกแยกจากสังคม แต่ว่าในความแปลกแยกจากสังคมจากสังคมนี่แหละ ที่พวกเราค้ำจุนสังคมเอาไว้ได้ เพราะถ้าไม่มีใครปฏิบัติในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วนำไปใช้งานในชีวิตจริง ก็จะไม่มีความดีอะไรที่เหลือไว้ค้ำจุนสังคมของเราอีก

    โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลัง ๆ มักจะมีค่านิยมว่า "ถ้ารวยแล้วทำอะไรก็ได้" ดังนั้น...การที่จะเข้าถึงความร่ำรวยก็มักจะหาทางลัด แม้กระทั่งผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมก็เอา แล้วค่านิยมที่ว่าจะทำอะไรก็ได้ ก็ทำให้สังคมของเราวุ่นวายอย่างที่เห็น

    แม้กระทั่งสื่อมวลชนที่มีหน้าที่นำเสนอความเป็นจริงของบ้านเมืองของสังคม ให้คนทั่วไปได้รับรู้รับทราบ ก็ยังมีการนำเสนอแบบเลือกข้างบ้าง นำเสนอข่าวคราวที่ไม่เป็นมงคลบ้าง นำเสนอแต่เรื่องที่กระตุ้นให้เกิดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ

    เรื่องพวกนี้จึงกลายเป็นภาระใหญ่ที่เราทั้งหลายจะต้องขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ เพื่อที่ว่าอย่างน้อย ถ้าตัวเรามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างเห็นได้ชัด ถ้าคนอื่นเกิดสงสัยมาไต่ถาม เราก็จะได้แนะนำเขาถูกว่าเราทำอะไรมาถึงเป็นแบบนี้ ไม่ได้เกิดจากการกินยาผิด..! แต่ว่าเกิดจากการตั้งอกตั้งใจขัดเกลากาย วาจา ใจของตนเอง ด้วยหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ๆ

    ถ้าหากว่าเราสามารถทำถึงตรงนี้ได้แล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปชักชวนคนอื่น เพราะว่าการกระทำของเรานั่นเป็นสิ่งที่ชักชวนได้ดีที่สุด ถ้าหากว่าถึงระดับนั้นเมื่อไร ทุกคำพูดและการกระทำของเรา จะขลังหรือว่าศักดิ์สิทธิ์โดยอัตโนมัติ เพราะว่ามีตัวเองเป็นเครื่องรับรองว่าเราปฏิบัติมาแบบนี้ถึงเป็นอย่างนี้

    ตรงจุดนี้จึงอยากจะบอกกล่าวให้กับญาติโยมทั้งหลายที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา ว่าการที่เราจะช่วยเหลือค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ไม่มีอะไรที่ดียิ่งไปกว่าการที่เราปฏิบัติตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำให้เกิดผลจริง ถ้าหากว่าเราสามารถทำจนเกิดผลจริง ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ เราก็จะกลายเป็นผู้ค้ำจุนพระพุทธศาสนาไปเองโดยอัตโนมัติ

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายศึกษาพระไตรปิฎก ในพรรษาที่ ๗ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนเหล่าพวกเดียรถีย์ท้าทาย เนื่องเพราะว่าพระองค์ห้ามพระปิณโฑลภารทวาชะที่แสดงฤทธิ์ จนกระทั่งเศรษฐีต้องนำเอาบาตรไม้แก่นจันทน์มาถวาย แล้วก็ทำให้ชาวบ้านที่ไม่ได้เห็นการแสดงนั้น ๆ มาเรียกร้องให้ท่านแสดงให้ดูอยู่เรื่อย จนกระทั่งหาความสงบไม่ได้

    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสห้าม บรรดาเดียรถีย์ทั้งหลายก็ฉวยโอกาสว่า ในเมื่อสมณโคดมตรัสห้ามสาวกของตนแล้ว เราก็จะท้าแข่งฤทธิ์กับพระสมณโคดม พูดง่าย ๆ ก็คือ ตัวเองถึงไม่มีฤทธิ์ แต่ถ้าประกาศท้าแข่งแล้วอีกฝ่ายไม่สู้ ก็เท่ากับว่า "ถือไพ่เหนือกว่า" แต่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้ารับปากแข่งด้วย โดยให้เหตุผลว่า ที่พระองค์ท่านห้าม ก็คือห้ามพระสาวกทั้งหลายไม่ให้แสดง แต่ไม่ได้ห้ามพระองค์ท่านเอง

    ในขณะที่บรรดาเดียรถีย์ต่าง ๆ สร้างหอสูงแล้วก็ขึ้นไปอยู่บนนั้น ทำท่าเหมือนกับจะแสดงฤทธิ์ บรรดาพระอรหันต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระอัครสาวก พระมหาสาวก หรือพระปกติสาวก ที่เป็นอภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ กราบทูลอาสาขอแสดงฤทธิ์แข่งกับเดียรถีย์ เพื่อประกาศเกียรติคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ได้รับอนุญาต

    บรรดาภิกษุณีอรหันต์ต่าง ๆ ประกาศขอพระบรมพุทธานุญาตแสดงฤทธิ์ ก็ไม่ได้รับอนุญาต สามเณร สามเณรีต่าง ๆ ขอแสดง ก็ไม่ได้รับอนุญาต จนกระทั่งท้ายสุดบรรดาอุบาสกอุบาสิกาต่าง ๆ ที่เป็นพระอนาคามีบ้าง เป็นพระสกทาคามีบ้าง เป็นพระโสดาบันบ้าง ที่มีความสามารถด้านอภิญญา ๖ ขอแสดงฤทธิ์ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้อนุญาต ทรงตรัสว่าวาระนี้เป็นภาระที่พระองค์ท่านจะแสดงเอง เมื่อแสดงยมกปาฏิหารย์แล้วพระองค์ท่านก็เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาที่ดาวดึงส์เทวโลก

    ตรงจุดนี้ไม่ขอกล่าวถึง จะกล่าวถึงตรงจุดที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ล้วนแล้วแต่ขอแสดงฤทธิ์ในพระพุทธศาสนาเพื่อปราบพวกเดียรถีย์ แม้กระทั่งสามเณร สามเณรีตัวเล็ก ๆ ก็พร้อมที่จะแสดงฤทธิ์ เพื่อให้เดียรถีย์ทั้งหลายได้ประจักษ์ว่า พระพุทธศาสนาของเราเป็นของจริง เป็นของแท้

    ตรงจุดนี้ที่อยากให้ญาติโยมทั้งหลายได้ตระหนักก็คือว่า แม้กระทั่งเณรเล็ก ๆ ก็ยังรับอาสาเพราะมีความสามารถอย่างแท้จริง แล้วเราทั้งหลายมีความสามารถเท่าไร มีอะไรพอจะอวดคนอื่นเขาได้บ้าง ?

    แม้กระทั่งพระภิกษุสามเณรของเรา พอถึงเวลาพิจารณาปัพพชิตอภิณหปัจเวกขณะ ก็จะมีว่า คุณวิเศษของเรามีหรือไม่ ? เพื่อที่จักได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม แล้วเราทั้งหลาย ถ้าหากว่ามีผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมมาก่อน รู้จักมักคุ้นกัน เห็นว่าเราเข้าวัดปฏิบัติธรรมเป็นปกติ แล้วเขาถามว่าการปฏิบัติธรรมดีอย่างไร เราจะอธิบายให้เขาฟังได้ไหม ?

    นี่คือปัญหาที่อยากจะฝากท่านทั้งหลายเอาไว้ เพราะว่าบุคคลที่เข้าถึงไม่จริง ไม่สามารถจะอธิบายให้แจ่มแจ้งให้เข้าใจชัดเจนได้ แต่คนที่เข้าถึงอย่างชัดเจน สามารถอธิบายได้ทุกรูปแบบ

    เรื่องของการปฏิบัติธรรมจึงเป็นเรื่องของคนจริง ต้องทำจริง ๆ และทำให้เกิดผล อย่าให้แบบที่กระผม/อาตมภาพใช้คำว่า "ทำแบบแก้บน" ไม่เช่นนั้นแล้วเดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า เราก็ไม่ได้มีอะไรดีเพิ่มขึ้นมา แถมยังกิเลสพอกพูนมากขึ้น ด้วยความภาคภูมิใจว่าตัวเราเป็นผู้ถือศีลปฏิบัติธรรม แล้วก็ไปดูถูกคนอื่นว่าเขาไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรม ตัวเราเป็นผู้ที่เหนือกว่า

    จึงขอฝากเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณรก็ดี อุบาสก อุบาสิกาก็ดี ท่านที่อยู่ทั้งที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ หรือว่าจะอยู่ที่บ้าน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พระพุทธศาสนาของเราจะเจริญรุ่งเรืองได้ด้วยการตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างแท้จริงของท่านทั้งหลายเท่านั้น ถ้าเราปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปมากแล้ว ก็ควรที่จะจริงจังเสียที ไม่เช่นนั้นถึงเวลาคนอื่นเขาถามถึงคุณความดีในพระพุทธศาสนา แล้วเราไม่สามารถอธิบายอย่างชัดเจนได้ ก็ต้องบอกว่า สร้างความขายหน้าให้แก่ครูบาอาจารย์ ไปจนกระทั่งถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง..!

    วันนี้ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเราและบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...