การบวชเป็นการฝึกตนที่จะมีบททดสอบมาให้ทำตลอดเวลา

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 กรกฎาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,722
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,268
    ค่าพลัง:
    +25,988
    16DD1900-3ADF-4B1B-829D-CC62BC810E43.jpeg

    เรื่องของสมาธิภาวนาเป็นการทำซ้ำ ท่านทั้งหลายจะเบื่อไม่ได้ จะล้าไม่ได้ พวกเราส่วนใหญ่มีข้อบกพร่องก็คือทำตัวเป็นคนเบื่อง่าย แล้วในเมื่อทำตัวเป็นปลาตายลอยน้ำ เดี๋ยวก็ล้า..หมดกำลังใจที่จะทำต่อ

    ไม่ต้องอะไรมากมาย แค่กรรมฐานช่วงเช้า ถ้าเป็นบุคคลที่ทรงกำลังใจมั่นคงจริง ๆ จะมาก่อนเวลาเสมอ ไม่ใช่กรรมฐานจบแล้วค่อยโผล่มาทำวัตรเช้า หรือไม่ใช่หมดไปตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้วค่อยโผล่มา การวัดกำลังใจของตัวเรา แค่นี้ก็จะรู้แล้วว่าเราจะมีความก้าวหน้าในพระพุทธศาสนา หรือว่าท้ายสุดก็กลายเป็นซากศพที่โดนคลื่นซัดสู่ฝั่ง..!

    เพราะว่าในเรื่องของการบรรพชาอุปสมบทนั้น สิ่งทดลองต่าง ๆ ที่มาในรูปลักษณ์ของ รัก โลภ โกรธ หลง แตกแขนงออกไปเป็นล้าน ๆ แบบ ถ้าเราประมาทแม้แต่นิดเดียว ก็จะเปิดโอกาสให้กิเลสทำอันตรายเราได้ แล้วเราก็จะกลายเป็นผู้แพ้ โดนคัดออก..!

    อย่างที่ "หลวงปู่ไดโนเสาร์" ท่านใช้คำว่า "สอบตก" เดี๋ยวพวกท่านก็จะบอกอีกว่า "สอบได้เป็นของตลก สอบตกเป็นของธรรมดา" จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องจริง แต่ว่าสอบตกก็คือพลาด ผิดพลาดตรงไหน ต้องเอามาเป็นบทเรียนแล้วแก้ไข จนกว่าเราจะไม่พลาดอีก เราจึงต้องทำซ้ำแล้ว ๆ เล่า ๆ อยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะเกิดความคล่องตัว สติแหลมคม ปัญญาว่องไว ทำให้รู้ตัวแล้วระงับยับยั้งกิเลสได้ทัน ไม่ใช่ไปเปิดทางให้กิเลสเอง

    อย่างเช่นว่าถ้าเรานอนอยู่ แล้วหมากัดกัน บางทีกระผม/อาตมภาพเองก็เหมือนกับโดนแกล้ง นอนหลับอยู่ เสียงโครม ๆ ๆ ดัง หมาขึ้นไปวิ่งเล่นกันบนแผ่นสังกะสี พอกระผม/อาตมภาพตื่นขึ้นมาก็เลิก แต่ถ้ากระผม/อาตมภาพไม่ลุกขึ้นมาดูก็วิ่งไม่เลิก กระผม/อาตมภาพเคยบอกไว้เสมอว่า มารสามารถใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ในการทดสอบเรา คนที่เรารักที่สุดจะเป็นคนที่สร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด

    แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายรู้จักคิด รู้จักใช้ปัญญา เราจะสรุปลงตรงคำว่า "ธรรมดา" ธรรมดาของหมา ซึ่งไม่รู้เรื่องว่าสิ่งที่ทำเป็นการรบกวนพวกเรา ก็เลยทำไปแบบหมา ๆ ถ้าหมาไม่เห่า หมาไม่ซน จะใช่หมาหรือเปล่า ? ในเมื่อเราเห็นธรรมดาของหมา ว่าปกติของหมาเป็นอย่างนั้น เราก็จะเริ่มวางได้ ไม่ไปแบกเอาไว้ ความโกรธก็จะน้อยลงหรือว่าหมดไปเลย

    หรือไม่ก็พรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ร่วมกัน ทำสิ่งหนึ่งประการใดไม่ถูกตา ไม่ถูกใจเรา เราก็ไปโกรธ บางคนก็โกรธจนความดันขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะว่าท่านทำหน้าที่ไปตามปกติ

    แต่ถ้าเราเห็นคำว่าธรรมดาได้ เราก็จะรู้ว่าธรรมดาของคนที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้น ไม่ว่าจะทางกาย ทางวาจา หรือว่าทางใจ ก่อให้เกิดทุกข์โทษเวรภัยต่อคนอื่น ในเมื่อเขาไม่รู้ว่ากาย วาจา ใจของตนเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น คนโง่ขนาดนั้น เราควรที่จะให้อภัยหรือควรจะไปโกรธเขา ?

    คิดเป็น ใจจะสงบ คิดไม่เป็น ใจจะฟุ้งซ่าน เห็นธรรมดาได้ สามารถอาศัยกินไปได้ตลอดชีวิตและกินต่อไปอีกหลายชาติ

    แต่ว่าธรรมดาของบุคคลแต่ละระดับไม่เท่ากัน ปุถุชนเห็นธรรมดาได้ระดับหนึ่ง ก็จะปล่อยวางได้เล็กน้อย กัลยาณชนเห็นได้อีกระดับหนึ่ง ปล่อยวางได้มากขึ้น พระอริยเจ้าแต่ละระดับ ก็ปล่อยวางได้มากขึ้นไปเรื่อยตามลำดับของตน ไปถึงพระอรหันต์ก็ปล่อยวางได้ทั้งหมด ก็ต้องค่อย ๆ ขัดเกลาตัวเราเองไป

    แรก ๆ อย่างหยาบเลย ปล่อยวางได้ยากก็ "ช่างหัวโคตรพ่อโคตรแม่มัน" พอพยายามฝึกฝนขัดเกลา ก็จะปล่อยวางได้มากขึ้น ก็อาจจะเหลือแค่ "ช่างหัวแม่มัน" เพิ่มความพยายามเข้าไปอีกหน่อย เกลาลงไปลึกอีกนิดก็เหลือแค่ "ช่างหัวมัน" ลึกเข้าไปอีกหน่อยก็ "ช่างมัน" ถ้าลึกถึงที่สุดก็เลิกช่าง ในเมื่อไม่มีอะไรให้ช่าง ก็เบา สบาย คนที่ไม่มีอะไรถ่วงแล้วจะไปไหน ? ก็ไปในที่ซึ่งไม่มีอะไรกระทบเราได้เลย

    ดังนั้น...ท่านทั้งหลายต้องพยายามใช้สติ สมาธิ ที่ตนเองมีอยู่ พินิจพิจารณาจนก่อเกิดปัญญา พยายามให้เห็นจริงว่าธรรมดาของโลกเป็นอย่างนี้ แล้วท่านทั้งหลายจะอยู่สุขอยู่เย็นมากขึ้น ถ้าตราบใดที่ยังเข้าไม่ถึง ก็ยังคงต้องดิ้นรนเหมือนกับมดที่อยู่บนกระทะร้อน ๆ ต่อไป
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...