การนั่งสมาธิ ทำไมถึงได้บุญมากกว่าการสร้างโบสถ์ วิหาร หรือ สร้าง ร.พ.

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ธิญาดา, 22 ตุลาคม 2015.

  1. ธิญาดา

    ธิญาดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    80
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +582
    [​IMG]

    เพราะ...หนทางใดปฏิบัติแล้ว สามารถเป็นไปเพื่อการดับของตัณหา การสิ้นไปแห่งราคะ ละวางเสียซึ่งตัณหา การปล่อยตัณหาและความไม่พัวพันซึ่งตัณหา การปฏิบัตินั้นเป็นหนทางแห่งการดับไม่เหลือซึ่งทุกข์ เป็นการเข้าไปสงบรำงับ และถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้แห่ง ชรา มรณะ เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ คือแบบแผนการประพฤติปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความรำงับ เพื่อความรู้ยิ่ง และเพื่อนิพพาน

    พระองค์ทรงตรัสว่า อานิสงส์และผลของทานในการสร้างวิหารถวายสงฆ์ มีน้อยกว่าการที่บุคคลสมาทานรักษาศีล และผลแห่งการเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงชั่วกาล แม้สูดดมด้วยของหอมย่อมมีผลมากกว่ามาก

    ดังนั้นการเจริญสมาธิ หมายถึงเจริญจิตให้ตั้งมั่น โดยมีกายเป็นที่ระลึกของสติ คือ กายคตาสติ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมรู้เห็นได้ตามที่เป็นจริง ถึงความเกิดและดับไปแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ในสมาธิที่จิตตั้งมั่น ความแปรปรวนแห่งขันธ์ทั้งหลายอันเกิดและดับไปนี้ ผู้ได้เฉพาะแล้วซึ่งสติ และมีปัญญาเป็นเครื่องเจาะแทงกิเลส ย่อมเห็นถึงความไม่เที่ยง ความไม่ยั่งยืน ความแปรปรวนไปแห่งขันธ์ทั้งหลายนี้ ชื่อว่าเขานั้น เป็นผู้พิจารณาอนิจจสัญญาอย่างเนืองนิตย์

    ผู้มีจิตฝังลงไปอย่างมั่นคงไม่ขาดตกบกพร่องอย่างไม่ขาดสายในอนิจจสัญญา ทุกขสัญญาของเขานั้นจะมั่นคง

    ผู้เจริญทุกขสัญญาอย่างมั่นคง อนัตตสัญญาของเขานั้น จะมั่นคง จะแลเห็นซึ่งความดับแห่งสังขารทั้งหลาย ด้วยปัญญาว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

    ผู้ที่พิจารณาอยู่เช่นนี้แล้ว เป็นปฏิปทาดับไม่เหลือซึ่งสักกายะ กล่าวคือ อุปาทานในขันธ์ทั้งหลาย ๕ ประการนี้ ความบังเกิดแก่สัตว์ในภพต่อไปย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งอุปาทานนี้นั่นเอง
    การเจริญกายภาวนาและจิตภาวนาอย่างนี้ ย่อมมีผลและอานิสงส์ที่มากที่สุดดังนี้แล

    ที่มา http://webboard.watnapp.com/
     
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ ท่านเจ้าของกระทู้พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน วันนี้อยากเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดังนี้ครับ พระพุทธเจ้า เรียงลำดับขั้น ชั้น ของอานิสงฆ์ ไว้ ดังนี้ครับ เอาแค่ค่าวๆครับ ให้ทานกับ สัตว์ ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับให้ทาน กับคนที่ไม่มี ศิล ๑ ครั้ง ให้ทานกับคน ที่ไม่มีศิล ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับ ให้ทานกับคน ที่มีศิล ๑ ครั้ง ให้ทานกับคน ที่มีศิล ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับ คนที่เจริญสมาธิกรรมฐาน ๑ ครั้ง ให้ทานกับ คนที่เจริญสมาธิกรรมฐาน ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับให้ คน หรือพระ ที่เป็นพระโสดาบัน ๑ ครั้ง ท่านบอกว่า กาลที่ผมกล่าวมา ท่านบอก ให้เอา เลข ๕ ตั้ง เอา ศูนย์ใส่เข้าไป ๕๐ ตัว คูณได้เท่าไหร่ บอกด้วย อานิสงฆ์มากกว่า ที่ผมบอก ข้างล่างนะครับ มาว่าต่อ ให้ทานกับ ท่านที่เป็นพระโสดาบัน ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่า กับให้ทาน กับพระสกิทาคามี ๑ ครั้ง ให้ทานกับ พระสกิทาคามี ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับ ให้ทานกับ พระอนาคามี ๑ ครั้ง ให้ทานกับ พระอนาคามี ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับให้ทานกับ พระอรหันต์ ๑ ครั้ง ให้ทานกับ พระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับ ให้ทานกับ พระปัจจเจกะพุทธเจ้า ๑ ครั้ง ให้ทานกับ พระปัจเจกะพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่าให้ทานกับ พระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง ให้ทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับ ถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง นี่ว่าไปตามลำดับครับ


    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า การถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง อานิสงฆ์ไม่เท่ากับ ถวาย วิหารทาน ๑ ครั้ง วิหารทาน คือ สร้าง โบรถ วิหาร ศาลา ส้วม กุฏิ มฑฑป สร้าง วิหารทาน ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับ ที่ตนเอง เจริญ สมาธิ จิตสงบจากกิเลส ตัณหา แค่ ไก่กระพือ ปลีก งู แลบลิ้น ช้างกระดิกหู การเจริญ สมาธิกรรมฐาน ๑๐๐ ครั้ง แค่จิตสงบ ก้ไม่เท่า ทำให้เรา เป็น พระโสดาบัน การ ทำให้เราเป็น พระโสบัน ก็ไม่เท่า ทำให้เรา เป็นพระสกิทาคามี การให้เราได้เป็นพระสกิทาคามี ก้ไม่เท่า ทำให้เรา เป็นพระอนาคามี การทำ ให้เราได้เป็นพระอนาคามี อานิสงฆ์ ก็ไม่เท่า ทำให้เราเป็นพระอรหันต์ ผิดถูกขออภัยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...