กรรมบันดาล

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 23 มีนาคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    "เขาผู้นั้น ขณะนี้กำลังถูกกักขังอยู่ในนรก ถ้าท่านไม่เชื่อ เชิญไปดูได้" เด็กหญิงผู้หนึ่ง ในร่างโอปปาติกะ กล่าวยืนยันกับนายแพทย์ ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
    ข้อความข้างต้นนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ข้าพเจ้า (ผู้เขียน) ได้รับการบอกเล่าเรื่องนี้จากท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง โดยที่นายแพทย์ผู้นี้ซึ่งข้าพเจ้าขอสงวนนามไว้ในที่นี้ เป็นผู้รู้จักคุ้นเคยกับท่านเจ้าคุณ และได้เล่าเรื่องที่บังเกิดขึ้นกับตนเองให้ท่านเจ้าคุณนั้นฟัง ข้าพเจ้าเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง และเป็นการยืนยันสนับสนุนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้บันทึกจากคำบอกเล่าของท่านเจ้าคุณไว้ แล้วนำมาเขียนไว้ในที่นี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า กรรมดีและกรรมชั่วที่บุคคลทำไว้นั้นหาได้สูญหายไปพร้อมกับความตายไม่ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ ขออนุญาตต่อท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ทุกท่านด้วย ในการที่ได้นำเรื่องนี้มาพิมพ์เผยแพร่ ทั้งนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า หลักคำสอนในพระพุทธศาสนานั้นเป็นสัจธรรม สามารถพิสูจน์ได้ แม้กระทั่งยุคปัจจุบัน
    เรื่องมีอยู่ว่า นายแพทย์ผู้นี้ได้เป็นโรคปวดศีรษะมาเป็นเวลา ๒๐ กว่าปี ตั้งแต่ก่อนเป็นนักเรียนแพทย์ แม้เป็นถึงรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้ว โรคนี้ก็ยังไม่หาย แต่อาการปวดศีรษะของนายแพทย์ผู้นี้แปลกกว่าอาการปวดของคนอื่นๆ ทั่วไป คือปวดประมาณ ๔ ชั่วโมงแล้วก็หาย อยู่มาก็ปวดอีก เป็นอยู่อย่างนี้เสมอ จนกระทั่งนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคนี้ประชุมกันจะผ่าตัดมาหลายครั้ง แต่ก็หาสาเหตุไม่พบ จึงต้องล้มเลิกการผ่าตัดไปทุกคราว ครั้งหนึ่งเมื่อคุณหมอผู้นี้ยังเป็นนักเรียนแพทย์อยู่ในต่างประเทศ ก็ได้ปวดศีรษะขึ้นมาอย่างมากเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาเช่นทุกคราว จนคณะอาจารย์และนักเรียนแพทย์ในโรงเรียนแพทย์แห่งนั้นได้ประชุมกันว่าจะผ่าตัด แต่เมื่อตรวจอีกครั้งหลังจากหายปวดแล้ว ก็หาสาเหตุไม่พบ จึงต้องล้มเลิกการผ่าตัด
    เมื่อเรียนจบวิชาแพทย์แล้วก็เดินทางกลับเมืองไทย และโรคปวดหัวก็ยังไม่หาย แต่ก็สามารถเข้ารับราชการและปฏิบัติงานในฐานะเป็นแพทย์ได้เป็นอย่างดีอยู่ ต่อมานายแพทย์ผู้นี้ได้มีโอกาสบวชในพระพุทธศาสนา ๑ พรรษา โดยบวชที่วัดราชาธิวาส กรุงเทพฯ ตามประเพณีของกุลบุตรไทยผู้นับถือพระพุทธศาสนา เพราะคุณแม่ของคุณหมอก็เป็นอุบาสิกาที่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากผู้หนึ่ง ในปีที่บวชนั้น คุณหมอได้มีโอกาสเรียนและฝึกกรรมฐานกับท่านเจ้าอาวาสในสมัยนั้น และทำกรรมฐานได้ผลดีมาก เมื่อปวดศีรษะขึ้นมาทีไร ก็เข้ากรรมฐานระงับปวดได้ทุกครั้งไป จนกระทั่งลาสิกขาออกมารับราชการตามเดิมแล้ว คุณหมอก็ยังทำกรรมฐานอยู่เสมอ เพราะนอกจากจะทำให้จิตใจสงบแล้ว ยังระงับปวดศีรษะได้อย่างชะงัดอีกด้วย ดีกว่ายากินยาฉีดที่เคยรับประทานมาแล้วทุกอย่าง เพราะยานั้นไม่อาจจะทำให้หายปวดศีรษะได้ เมื่อทำกรรมฐานบ่อยและนานปีเข้า จิตก็ได้รับฝึกฝนจนมีความชำนาญ จนถึงกับหลายครั้งที่พวกเพื่อนๆ ขอร้องให้คุณหมอเข้ากรรมฐานดูเลขท้ายล็อตเตอรี่ และปรากฏว่าดูได้ถูกเป็นส่วนมาก ในจำนวน ๑๐ ครั้ง จะดูได้ถูกถึง ๘ ครั้ง นับว่าเป็นสิ่งแปลกมาก จนทุกคนในบ้านกระทั่งลูกๆ และภรรยารู้กันว่า คุณหมอสามารถหลับตาและมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ เช่น วันหนึ่งลูกชายต้องการจะทดลองคุณพ่อของตน จึงได้เอานาฬิกาข้อมือไปซ่อนไว้ใต้หิ้งพระชั้นบนของบ้าน แล้วลงมาบอกคุณพ่อซึ่งนั่งอยู่ที่ห้องชั้นล่างว่า "นาฬิกาหายเสียแล้ว หาไม่พบ" คุณหมอก็หลับตาดู แล้วบอกลูกชายได้ทันทีว่า "ยังไม่หาย อยู่ใต้หิ้งพระนั่นเอง" จึงทำให้คนในบ้านเชื่อถือคุณหมอมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่นั้นมา แต่สำหรับการทำกรรมฐานดูเลขล็อตเตอรี่นั้น ทราบว่าภายหลังท่านเจ้าคุณอาจารย์ของคุณหมอขอร้องให้หยุดเสีย เพราะไม่ใช่แนวทางแห่งความเจริญ และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุน
    ต่อมานายแพทย์ผู้นี้ ได้รับเลื่อนเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล และต่อมาโรคปวดศีรษะของคุณหมอก็กำเริบหนักขึ้นมาอีก จนไม่สามารถปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลตามปกติได้ และได้เข้าไปพักรักษาตัวแยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช จนคณะแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราชได้ประชุมกันว่าจะผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด แต่เมื่อหายปวดแล้วก็ตรวจละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติในร่างกายเลย จึงไม่ได้ผ่าตัดอีก เมื่อปวดหัวหนักเข้าทีไร คุณหมอก็ต้องใช้กรรมฐานเข้าระงับปวด ปรากฏว่าอาการปวดหายไปในขณะใช้กรรมฐานนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้หายปวดได้เด็ดขาดตลอดไป เมื่อถึงกำหนดก็ต้องปวดอยู่บ่อยๆ
    วันหนึ่ง ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ๒๕๐๕ ขณะที่คุณหมอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น ก็นั่งทำกรรมฐาน ส่งจิตไปในอารมณ์กรรมฐาน เพื่อต้องการระงับปวดหัวเช่นเคย ขณะที่กำลังส่งจิตไปนั้น ก็ไปเจอวิญญาณของเด็กหญิงคนหนึ่ง อายุประทาณ ๑๑ ขวบ ซึ่งตายไปแล้วปีกว่า คุณหมอก็ได้สอบถามถึงชื่อ พ่อ แม่ นามสกุล บ้านที่อยู่และอื่นๆ วิญญาณของเด็กหญิงผู้นี้ก็ได้บอกให้ทราบทุกอย่างที่ถาม แต่เป็นการสนทนากันในทางจิต เมื่อออกจากกรรมฐานแล้ว ด้วยความประหลาดใจและอยากทราบข้อเท็จจริง คุณหมอก็ส่งคนให้ไปสืบ และคนที่ไปนั้นได้ไปพบบ้านตำบลที่อยู่ของเด็กหญิงคนนี้ และเมื่อเข้าไปในบ้านก็ได้พบกับแม่ของเธอ เมื่อสืบถามก็ได้ความจริงทุกอย่างตรงตามที่เด็กหญิงคนนี้บอก เด็กหญิงคนนี้ชื่อ พิมพวดี เกิดเมื่อปี ๒๔๙๓ ในกรุงเทพมหานครนี้เอง เป็นลูกของคนมีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนี้มีลูก ๒ คนเท่านั้น* (* เมื่อยังเด็กอยู่ หมอดูเคยบอกคุณแม่ของเธอว่า เด็กคนนี้เป็นเด็กมีบุญมาเกิด ไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของท่านอยู่นาน ขอให้ท่านยกให้คนอื่นเสีย แต่คุณแม่ของเธอไม่ยอม เพราะพิมพวดีเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดูมาก) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เด็กคนนี้ได้เสียชีวิตด้วยไข้รากสาด เนื่องจากเป็นผู้มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู และเป็นที่รักใคร่ของคุณแม่อย่างยิ่ง เมื่อเสียชีวิตพ่อแม่ก็ยังไม่ยอมเผา เพราะยังเป็นห่วงอยู่มาก แต่ก็ได้เอาไปเก็บไว้ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพฯ โดยสร้างศาลาหลังหนึ่งอุทิศไว้เฉพาะเด็กหญิงผู้นี้ พร้อมกับติดรูปภาพของเธอลงบนหินอ่อน ที่ตั้งรูปทำเป็นรูปปราสาทสวยงามมาก ศาลานี้ใช้สำหรับบะเพ็ญกุศลต่างๆ ในงานศพของวัด เขาจึงเรียกศาลานี้ว่า "พิมพวดี" เป็นศาลาที่สดุดตาแขกที่มาในวัด เพราะมีรูปติดอยู่ในลักษณะที่สวยงามและแปลกกว่าที่อื่นใดนั่นเอง และศพของเด็กหญิงคนนี้ก็ยังเก็บอยู่ในศาลานี้ ผู้สนใจย่อมสามารถไปชมได้แม้ปัจจุบัน
    เมื่อคุณแม่ของเธอทราบว่าคุณหมอสามารถสนทนากับลูกสาวของตน ซึ่งตายไปแล้วปีกว่าได้ ก็มีความสนใจเป็นอย่างมาก จึงได้ไปถามความจริงกับคุณหมอ และได้เล่าถึงความพิเศษของเด็กหญิงคนนี้ให้คุณหมอฟังเพิ่มเติมถึงเรื่องที่ไปนิมนต์พระมารับสังฆทาน ในวันครบรอบวันตายของตน คือ วันหนึ่งขณะที่พระวัดเทพศิรินทร์กำลังสนทนากันอยู่ ๓-๔ รูป (หลังจากที่ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรที่พระอุโบสถเสร็จแล้วตอนเย็น) ก็ได้มีเด็กหญิงคนหนึ่ง อายุ ๑๐-๑๑ ปี แต่งชุดนักเรียนได้เดินเข้ามาหา แล้วนิมนต์ให้ไปรับสังฆทานที่บ้านในวันรุ่งขึ้น แล้วก็เดินไป พระท่านเรียกถามว่าไปที่ไหน ก็ไม่ยอมกลับมา เดินพ้นเขตวัดไป วันรุ่งขึ้นพระ ๓-๔ รูปนั้นก็ไม่ได้เตรียมไปรับสังฆทาน เพราะไม่ทราบว่าไปบ้านไหน แต่ก็ได้ออกบิณฑบาตตามปกติ ในจำนวนพระ ๓-๔ รูปนั้น พระรูปหนึ่งพอเดินไปถึงบ้านนี้ เขาก็นิมนต์รับสังฆทาน เมื่อขึ้นไปบนบ้านเห็นรูปเด็กหญิงคนนี้เข้าก็จำได้ จึงได้พูดว่า "เมื่อเย็นวานนี้ หนูคนนี้ไปนิมนต์พวกอาตมามารับสังฆทาน ยังไม่ทันถามรายละเอียดก็เดินเลยไปเสีย"
    คุณแม่ของเธอก็บอกว่า "ท่านคะ เด็กคนนี้จะไปนิมนต์ท่านอย่างไรได้ เธอเสียชีวิตไป ๑ ปีแล้ว ที่ทำบุญสังฆทานในวันนี้ ก็เพื่ออุทิศส่วนบุญให้เธอ เนื่องในวันครบรอบวันตาย ๑ ปีของเธอ"
    เมื่อทราบเข้าดังนี้ พระรูปนั้นก็พิศวงงงงวยในเรื่องที่เกิดขึ้น จะไม่เชื่อสายตาของตนก็ใช่ที่ เพราะที่เห็นนั้น ไม่ใช่เห็นคนเดียว นี้คือความแปลกเรื่องหนึ่งสำหรับเด็กหญิงคนนี้ ที่คุณแม่ของเธอเล่าให้หมอฟัง
    ในขณะที่คุณหมอยังไม่ออกจากโรงพยาบาล เพราะอาการปวดศีรษะยังไม่ทุเลา ทั้งต้องการที่จะค้นหาสาเหตุและรักษาให้หายขาดเสียสักครั้งหนึ่ง และยังสนใจเรื่องของเด็กหญิงผู้นี้อยู่มาก วันหนึ่ง คุณหมอจึงให้เอาเก้าอี้มาตั้งไว้ข้างหน้าตน แล้วเข้ากรรมฐานเชิญวิญญาณของเด็กหญิงคนนี้มาคุย เมื่อคุยกันไปเรื่อยๆ เด็กหญิงผู้นี้ก็บอกว่า เมื่อชาติก่อนเธอเคยเป็นลูกของคุณหมอ เมื่อคุณหมอทราบว่าเด็กคนนี้ระลึกชาติหนหลังได้ จึงได้ถามถึงสาเหตุของการเจ็บป่วยของตน เธอก็บอกว่า "โรคนี้เกิดจากกรรม ไม่ใช่มีสาเหตุมาจากผิดปกติของร่างกาย จึงรักษาไม่หาย ถ้าไม่เชื่อก็พิสูจน์ดูได้" แล้วบอกวิธีพิสูจน์ว่า "ถ้ามียากินหรือยาฉีดที่ระงับปวดในโรงพยาบาลนี้ เมื่อเริ่มปวดศีรษะแล้วให้กินหรือฉีด ถ้าเป็นโรคทางกายก็จะระงับได้ แต่ถ้าเป็นโรคกรรมก็ระงับไม่ได้ แต่อาการปวดนี้ ปวดอยู่เพียง ๔ ชั่วโมงแล้วก็หยุดหากไม่เชื่อแล้วก็ให้ตั้งนาฬิกาดู" คุณหมอก็พิสูจน์ตามนี้ และปรากฏว่าเป็นจริงตามที่เด็กหญิงนี้บอกทุกอย่าง
    ต่อมา คุณหมอก็เข้ากรรมฐานอีกและเชิญวิญญาณนี้มาอีก แล้วถามว่า "การปวดศีรษะของข้าพเจ้านี้เป็นเพราะกรรมอะไร" เธอตอบว่า "เมื่อชาติก่อนที่ท่านเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๓ ท่านรับราชการในตำแหน่งราชมัล มีหน้าที่ลงโทษคนผิดให้ยอมรับผิด เช่น ตอกเล็บ บีบขมับ เป็นต้น และท่านได้บีบขมับนักโทษใจแข็งผู้หนึ่งจนตายคามือ เพราะไม่ยอมรับผิด และเขาผู้นั้นขณะนี้ กำลังถูกกักขังอยู่ในนรก ถ้าท่านไม่เชื่อเชิญไปดูได้"
    "เชื่อแล้ว ไม่อยากไปดู" คุณหมอกล่าวขึ้น
    "ด้วยผลกรรมแห่งนี้ คือกรรมที่บีบขมับนักโทษจนตายคามือ ท่านจึงเกิดโรคปวดหัว" เธอกล่าวสรุป และคุณหมอได้ถามขึ้นต่อไปว่า "กรรมนี้ให้ผลมา ๒๐ ปีกว่าแล้ว เมื่อไรจะหมด " "ต่อจากนี้ไป ๗ เดือน ท่านจะหมดกรรมนี้ และโรคปวดศีรษะก็จะหายไปพร้อมกับการหมดของกรรมนี้" วิญญาณในร่างของเด็กหญิงพิมพวดี กล่าวในที่สุด
    ในเดือนที่คุณหมอนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล และสนทนากับเด็กหญิงคนนี้อยู่นั้น เป็นเดือนกุมภาพันธ์ พอถึงเดือนสิงหาคม อันเป็นเวลาครบ ๗ เดือนพอดีตามที่เด็กบอกไว้ โรคปวดศีรษะของคุณหมอหายดังปลิดทิ้ง ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยจนกระทั่งปัจจุบัน นับเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว
    คุณหมอผู้นี้ ขณะที่ปวดศีรษะอย่างหนักจนถึงกับต้องเข้านอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่นายแพทย์ ในฐานะรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้ จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนี้เสีย และในเดือนสิงหาคมอันเป็นเดือนกำหนดที่คุณหมอหายจากโรคกรรมนี้นั้น คุณหมอได้สร้างพระพุทธรูปขึ้น ๑ องค์ และได้นิมนต์พระไปทำพิธีพุทธาภิเษกที่วัดราชาธิวาส ท่านเจ้าคุณผู้เล่าเรื่องนี้ก็ได้รับนิมนต์ไปทำพิธีพุทธาภิเษกอยู่ในงานนี้ด้วย ทำพิธีอยู่จนเกือบสว่างจึงได้รียกลับวัด และในวันต่อมาท่านจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหมอให้ผู้เขียนฟัง เมื่อคุณหมอหายจากโรคนี้แล้วก็ได้ออกไปประกอบอาชีพส่วนตัว ตั้งคลีนิคอยู่ที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และยังประกอบอาชีพนี้อยู่จนกระทั่งปัจจุบัน
    เรื่องที่เกิดกับตนเองนี้ ทำให้คุณหมอเชื่อคำสอนทางพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก โดยเฉพาะเรื่องกฏของกรรม และการเกิดใหม่ เพราะการเจ็บป่วยที่คุณหมอได้ประสบมาและสิ้นสุดลงแล้วนั้น เป็นเรื่องของกรรมบันดาล คือ การบันดาลของกรรมที่ตนทำไว้เอง หาใช่การบันดาลของอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ หรือของเหตุภายนอกอย่างอื่นไม่.
     

แชร์หน้านี้

Loading...