ฌานในศาสนาพุทธ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Dragon new, 15 เมษายน 2016.

  1. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผมเองก็เคยไปถึงแค่ ร่างกายหายไป เข้าสู่แสงสว่าง ดุจปุยเมฆ โดยรู้สึกตัวว่า มีร่างกาย เบาลอย อยู่อย่างนั้น ไม่เห็นตัวตนของตัวเอง...แต่รู้สึกว่า มีร่างที่มองไม่เห็น ลอยอยู่ในความว่าง แห่งแสงนั้น....แล้วก็ออกมารู้ตัว อีกที

    .....
    ทีนี้ ผมเองจะ อธิบายสิ่งนี้ ในสิ่งที่ผมเข้าใจ คือ สภาวะปล่อยวางพ้นจากกายหยาบ ปล่อยวางพ้นจากเวทนา ปล่อยวางพ้นจากความคิดของใจ ปล่อยวางพ้นจากโลก พ้นจากสมมุติทั้งปวง..พ้นจากลมหายใจ.นั้นมีอยู่...จริง

    แต่ ความรู้สึกว่า มีเรา อยู่ในนั้น นั้นยังมีอยู่....คือมันก็เปรียบดั่ง เหลือเพียงอากาศธาตุ วิญญาณรู้ธาตุ มีตัวเราเหมือนไม่มีบ้าง(ธาตุ) และแสงสว่าง(ธาตุ) รู้ที่รู้ว่าเป็นแบบนี้ ก็ธาตุ

    ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ นั้นมีอยู่ เราเข้าถึงได้..แต่ ปัญหาคือ เมื่อเราถอนออกมาจากสมาธิ สิ่งเหล่านี้ ทำไม มันไม่ตามมา ทำให้เรา สบาย ตลอดเวลาได้
     
  2. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผมไม่ได้ให้ความสนใจ ไปที่จุดใดๆ หรือมโนทวารอะไรนั่นหรอกครับ ไม่สนใจหว่างคิ้ว..การเพ่งหว่างคิ้ว แล้วเข้า ถึงสภาวะอารมณ์ แห่งแสงว่างนั้น มันแค่ เส้นทาง หรือ ประตู เข้าสู่ ความสงบ ที่รวดเร็วเฉยๆครับ...วสีแปลว่า ประตูทางลัดที่เร็วที่สุด ของแต่ละคน

    ที่ควรให้ความสนใจก็คือ...ทำยังไง สภาวะแบบนั้น จะเข้าถึงได้โดยไม่ต้อง กำหนด ไม่ต้องเพ่งหว่างคิ้ว ไม่ต้องนับ 123 ต่างหาก
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ความสงบ ที่นั่งสมาธิ ที่ต้องกำหนด เข้าถึง..เรียกว่า ทำฌาณ เพื่อยกระดับจิตตนเอง หรือนำพาจิตของตนเอง เข้าสู่ ความสงบแห่งฌาณ....มันเป็นการฝึก เพื่อทำความรู้จักคุ้นเคย กับสภาวะที่สบายนั้น

    แต่ทำยังไง สภาวะนั้น ถึงจะตาม ออกมา อยู่กับกายใจปัจจุบัน ได้โดยไม่ต้องทรง ไม่ต้องเข้าออก.. ต่างหาก คือปัญญาหรือญาณ..
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ต้องมาฝึก วิปัสสนาให้เป็น เรียกว่า...รู้เห็นความสงบนั้นแล้ว...แต่ยังไม่เกิดปัญญา...เกิดปัญญาแปลว่ารู้เห็นจริง ว่ามันเกิดขึ้นกับกายใจตนเองได้จริง ตลอดไป โดยไม่ต้อง ไปกำหนด เข้าออก อีกเลย....นั่นจึงเรียกว่า ได้ปัญญา

    ฝึกสติปัฏฐานสี่...นั่นเอง เอาจิตดูกาย ดูเวทนา ดูจิต ดูธรรม
     
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ถ้าไม่ฝึก สติปัฏฐาน ผมก็เล่าให้ฟังได้แค่นี้แหล่ะครับ

    บางคน ก็จะอธิฐานขอความเมตตาจากพระพุทธเจ้า...ให้ท่านมาช่วยชี้หนทางออก ให้

    พุทธังสรณังคัจฉามิ....ขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริงของคุณแล้วล่ะ
     
  6. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    ขอโทษนะครับ
    ขอรบกวนถามอีกหน่อยว่า ทำไมเวลาผมท่องพุทโธรัวๆนานๆแล้วรู้สึกเหนื่อย
    แต่เวลากำหนดสติกำหนดความรู้สึกตามอิริยาบทกลับไม่เหนื่อยอะครับ
     
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ท่องก็ใช้สมอง พลังงาน..ก็เหนื่อยสิ ยิ่งรัวๆ ยิ่งเหนื่อยเร็ว..ว่าแต่ท่องทำไม เร็วๆ..ท่องตามลมเข้าออก ไม่ไช่เหรอ ท่องรัวๆ ก็ฝืนกับกาย

    กำหนดสติตามอิริยาบท ก็ท่องเหมือนกัน แต่ท่องตามกาย มีกายนำ...สบายกว่าไง:cool:
     
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    จังซี่ กะถาม เนาะเจ้า....
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    กำหนดรู้ตัว รู้อิริยาบท น่ะดีแล้ว...มันเป็นปัจจุบันทั้ง กายและใจ ดี..ออก
     
  10. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    ขอถามอีกหน่อยได้ไหม
    ทำไมไม่เห็นมีคนสอนผมเลยว่าท่องนานๆแล้วเหนื่อยอะครับผมเข้าใจผิดมานาน
    มีแต่คนบอกว่าจะพุทโธจะจับลมหายใจก็ฝึกสติเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าจับลมหายใจจับความรู้สึกสบายกว่าครับ ที่ผมท่องพุทโธเพราะพระป่าเขาชอบสอนอะครับแล้วจิงๆมันเหมือนกันปะครับ
    คือมันฝึกสติเหมือนกันปะครับ แสดงว่าที่ผ่านมาผมท่องรัวๆนี่ทำผิดใช่ปะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 เมษายน 2016
  11. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    ขอขอบคุณสำหรับทุกๆคำตอบที่ให้ด้วยครับ
    ขอบคุณมากครับ
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ตกลง ความเหนื่อยเนี่ย เขาสอนกันที่ไหน ก็ต้องรู้เองกันทั้งนั้น
    พุทโธจับลมหายใจก็ฝึกสติเหมือนกัน แต่เน้นได้ความสงบ
    การจับความรู้สึก อิริยาบททั่วกาย หลายคนทำได้ยาก กว่าจับลม

    ถามทำไมเนี่ย ก็ไหนว่า นั่งสมาธิจนเข้าถึง แสงสว่าง ไร้ตัวตน ได้แล้ว
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ดูท่าจะว่างมากไปหรือเปล่า...นอนๆๆๆ
     
  14. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    ดูท่าคุณเก่งดีเนาะเราไม่ได้เก่งหนิแค่ฟลุ๊คๆไปเจอสภาวะนั้นอะ
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    โอ้ย คนที่เขาเก่งกว่าผมมีเยอะแยะ มีตาทิพย์ มีกายทิพย์ ไปท่องเที่ยว นรก สวรรค์ ไปนอกจักรวาล ดูดวง ดูกรรม เห็นผีเห็นเทวดา บางคน ไปกราบพระพุทธเจ้า ในแดนนิพพาน

    ผมได้แค่นี้แหล่ะ..พอละ ไม่เก่งหรอก...
     
  16. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    ประสบการณ์ของพี่ก็คือเริ่มบวชพราหมณ์ตั้งแต่อายุ 18 ไปอยู่ป่าฝึกกัมมัฎฐานกับพระธุดงค์อยู่ 2 เดือน (มีศิษย์ท่านอื่นด้วย)สมัยก่อนป่าเมืองกาญจน์สมัย 2523 คือป่าจริงๆ วันๆไม่ได้พูดคุยกับใคร กวาดใบไม้ หุงหาอาหารตามสติ...กลางคืนอาบน้ำทำวัตรเย็นเสร็จหลวงพ่อก็ให้นั่งกัมมัฏฐานฝึกปลงอสุภกัมมัฏฐานอันดับแรก....คือพิจารณาขันธ์ 5 เพียงอย่างเดียว

    ต่อมาเมื่อกลับมาบ้านอารมณ์ของเราชอบสงัดก็สวดมนต์เหมือนตอนที่บวชทุกวัน นั่งปลงอสุภกรรรมฐานจนร่างกายเราเน่าเปื่อยสูญสลายไป...เมื่อร่างกายเราหายไปเหลือเพียงจิตล้วนๆ...เมื่อนั้นเราก็กำหนดจิตจนละเอียดขึ้นทุกวัน จิตจะสะอาด สว่างและสงบ...เมื่อลืมตาตื่นขึ้นจิตเราก็จะสว่างไสวอย่างนั้น ต้องเพียรทำจิตให้เราละเอียดอยู่ตลอดเวลา

    จนวันหนึ่งหลังจากนั่งสมาธิเสร็จก็เข้านอนก็เลยนอนสมาธิ เราจะรู้สึกเหมือนไม่หลับเพราะจิตเรามันสว่าง ตัวก็ลอยขึ้นเหนือที่นอน...แต่ความจริงคือร่างกายเรายังนอนอยู่ที่เดิม แต่จิตเราลอยแยกขึ้นมาอยู่เหนือสังขาร....สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ...หลังจากนั้นก็จะมีวิญญาณทั้งหลายเข้ามาสัมผัสเรา สิ่งที่เห็นด้วยจิตคือนุ่งผ้าสไบเฉียงสีเขียวคนนึง สีเหลืองคนนึง พูดภาษาอะไรเราก็ฟังไม่รู้เรื่อง...หลังจากนั้นก็จะเห็นเป็นคนแก่นุ่งขาวห่มขาวเดินเคาะไม้เท้าเข้ามาในห้องนอน ตอนนั้นกลัวที่สุด...แต่เราขยับตัวไม่ได้เหมือนถูกผีอำ...พักใหญ่หลังจากนั้นความกลัวมันถึงที่สุด จนเรารู้สึกไม่กลัวตาย เพราะเมื่อเราตายเมื่อไหร่ก็จะไปพบกับเหล่าวิญญาณนั่นเอง...

    พอเรารู้สึกไม่กลัวตายเท่านั้น...จิตเราถอนจากร่างกายแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง...และลอยเข้าไปในร่างกายกายเราดำรงอยู่กลางลำตัวบริเวณท้องน้อย ส่งแสงระยิบระยับ...ตอนนั้นจิตมันรู้ได้เองว่าเราผ่านด่านสิตปัฏฐาน4 ข้อกายานุปัสสนาและกำลังขึ้นแตะจิตตานุปัสสนา...หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ฝึกสติปัฏฐาน 4 เรื่อยมาอีก 16 ปี...สวดมนต์ภาวนาจนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งนั่งสมาธิและเข้ากัมมัฏฐานเหมือนเคยก็ได้ยินครูบาอาจารย์เข้ามาสอนในจิตเป็นเสียงสั่งให้เราเดินจิตเข้าสู่วิถีแห่งธรรมชาติ...เมื่อเราถอนจิตออกมาครูบาอาจารย์ในสมาธิก็สอนสั่งให้เราฝึกพรหมวิหาร 4....หมายถึงการฝึกจากโลกของความเป็นจริง...คือฝึกทุกอิริยาบทที่ลืมตาตื่น...

    ก็ฝึกมาอีกประมาณ 5-6 ปีจนกระทั่งรู้สึกตัวเองเป็นอุเบกขาเกือบเต็มร้อย...วันหนึ่งครูบาอาจารย์ก็เข้ามาสอนกัมมัฏฐานแบบมัชฌิมา โดยกำหนดลมหายใจที่ปลายนาสิก..โดยอนุโลมและปฏิโลม...เมื่อเราฝึกอย่างนี้บ่อยๆจนชำนาญครูบาอาจารย์ก็พานั่งสมาธิเข้าฌาณตามลำดับจนขึ้นสู่อรูปฌาณ...ให้เราลิ้มรสแห่งฌาณนั้นๆ

    อันนี้เล่าสู่กันฟังคร่าวๆนะคะ...เพราะวิธีการทดสอบฌาณ 4 ก็คือการหุงปรอทให้แข็งตัวโดยใช้กำลังฌาณในการหุง จะเกิดปรากฏการณ์ตามธรรมชาติต่างๆกัน...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2016
  17. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    การฝึกฌาณโดยการหุงปรอท...โดยใช้กำลังของฌาณ เมื่อเข้าฌาณที่ 4 ได้และเข้าอรูปฌาณชั้นวิญญาณัญจายตน และถอยจิตลงมาเข้าสู่รูปฌาณ 4 ปรอทจะแข็งตัวได้เอง...จะเป็นการทดสอบฌาณด้วยตัวเอง ไม่ได้มโนเอาเองว่าเข้าฌาณได้ชั้นนั้นชั้นนี้

    ปรอทที่หุงเป็นปรอทเพียวๆ ไม่ได้ผ่านการฆ่าพิษ ไม่ได้ล้างว่าน...เพียงแค่ใส่น้ำมะนาวเพียงอย่างเดียว...

    ปล...อย่าเพิ่งลองหุงปรอท เพราะมีอันตรายมาก...มีพระหลายรูปที่พยายามหุงปรอท ต้องเข้า รพ.หลายรอบมากจากปอดอักเสบจากพิษของปรอท...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2016
  18. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    การฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานพอถึงจุดหนึ่ง จะมีการฝึกการเดินธาตุกัมมัฏฐาน...เมื่อนั้นความร้อนจะเกิดขึ้นสูงมาก...จำเป็นต้องถ่ายธาตุลงในวัตถุ เลยถ่ายลงในลูกแก้วเกลียวมะเฟือง...ปรากฏว่าเกลียวมะเฟืองละลาย...

    เอามาให้ชมเพราะอันนี้เป็นเพียงการฝึกชั้นต้น...เพราะการเดินธาตุหละการหุงปรอทเป็นเพียงกีฬาชนิทหนึ่งหรือเรียกว่ากีฬาฌาณ...สมัยก่อนฤาษีเขาจะใช้ทดสอบฌาณของตน ไม่ใช่ของวิเศษใดๆทั้งสิ้นค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • THGkXJ.jpg
      THGkXJ.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5 KB
      เปิดดู:
      49
    • 2QgRlb.jpg
      2QgRlb.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5 KB
      เปิดดู:
      60
    • 8UjvIp.jpg
      8UjvIp.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5 KB
      เปิดดู:
      41
    • ceIQYs.jpg
      ceIQYs.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.8 KB
      เปิดดู:
      46
    • 3ALr5S.jpg
      3ALr5S.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.8 KB
      เปิดดู:
      56
    • Uvgmlj.jpg
      Uvgmlj.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.8 KB
      เปิดดู:
      45
  19. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    หลังจากเดินธาตุกัมมัฏฐาน อัดพลังลงในลูกแก้ว ผลปรากฏว่าลูกแก้วเปลี่ยนสีและปริแตก...บางลูกขยายใหญ่ขึ้น บางลูกเบี้ยว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8xGh3R.jpg
      8xGh3R.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.1 KB
      เปิดดู:
      45
    • Cbpesl.jpg
      Cbpesl.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.7 KB
      เปิดดู:
      53
    • cDAdzR.jpg
      cDAdzR.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.7 KB
      เปิดดู:
      46
    • TcAmnt.jpg
      TcAmnt.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.1 KB
      เปิดดู:
      56
    • ZCMQ2Q.jpg
      ZCMQ2Q.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.5 KB
      เปิดดู:
      48
  20. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    สำหรับคนที่เริ่มต้น หากกายและใจ สงบและสงัดจากกามเต็มร้อย จิตสู่โหมดจิตประภัสสรเต็มร้อย เป็นระยะเวลาต่อเนื่องไม่ขาดสายไม่น้อยกว่า ๗ วัน ขึ้นไป ในวันที่ ๗ ๘ ๙ ถ้ามีความฉลาด จะเรียก ฌาณในระดับขั้นอัปปนาได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องไปกำหนด ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องนับ

    สำหรับคนที่ฝึกฝนมาแล้ว ถ้ากายและใจ สงบและสงัดจากกามเต็มร้อย จิตสู่โหมดจิตประภัสสรเต็มร้อย เป็นระยะเวลาต่อเนื่องเป็นอาจิณอยู่แล้ว ก็เข้าสภาวะฌาณได้ตลอดเวลา ถ้าควบคุมจิตตนได้

    ความสำคัญอยู่ที่มรรค ๘ บริบูรณ์หรือไม่

    ถ้ายังสงบและสงัดจากกามไม่ได้ ก็อย่ากล่าวไปถึง ฌาณ

    คำถามตรงนี้ "ที่ควรให้ความสนใจก็คือ...ทำยังไง สภาวะแบบนั้น จะเข้าถึงได้โดยไม่ต้อง กำหนด ไม่ต้องเพ่งหว่างคิ้ว ไม่ต้องนับ 123 ต่างหาก"

    คนฝึกฝนจะทราบได้ว่า เมื่อกายและใจสงัดจากกาม จิตประภัสสร ด้วยสัมมาทิฏฐิเป็นพื้นฐาน ที่เห็นสัจธรรมแล้วปักแน่นแน่นอนในจิตแล้วว่า กามเป็นภัย การเกิดเป็นภัย ...ฯลฯ ..อย่างนี้ การสงบและสงัดจากกาม นั้นก็มั่นคง แต่ถ้ายังหวั่นไหว คลอนแคลนในเรื่องนี้ จิตมักไหลไปสู่กามบ่อย ก็หลุดจากทาง

    เมื่อจิตมีพื้นฐานสงบและสงัดจากกาม จิตประภัสสรต่อเนื่อง มีความเข้าใจในมรรค ๘ (พูดแบบรวบรัด) ไม่ต้องกำหนด แค่กำหนดจิต ก็เรียกใช้ได้

    แต่ว่า ก่อนจะมาถึงตรงนี้ ต้องกำหนด ต้องนับ ต้องเพ่ง จนชำนาญและจับอารมณ์จิตได้แล้ว การอยู่ในสภาพกายและใจสงัดจากกาม มีจิตประภัสสร เป็นการแสดงถึงผลของ มรรค ข้อ ความเพียร เพียรรักษาและเจริญกุศลกรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ไพบูลย์และงอกงาม

    ไม่ใช่ การออกจากความเพียร เป็นการที่ความเพียรหรือยังอยู่ในวิถีมรรค ๘ นะครับ ถ้าหลุดจากสภาวะนั้น ก็แปลว่า มรรค ข้อสติ มันเสื่อมลง

    พูดอย่างนี้ แปลได้ว่า ถ้ามีปัญญา ก็รวบรัดเลย ถ้าอินทรีย์แกร่งเป็นพื้นฐาน พิจารณาจิตในจิต สงบระงับนิวรณ์ ๕ ได้ ก็เรียกได้เลย แต่ว่าถ้าไม่มีพื้นฐานอินทรีย์แกร่ง อย่างไรก็ทำไม่ได้หรอกครับ อยู่ๆ จะรวมจิตที่เป็นอยู่เข้าสู่อัปปนาแล้วเรียกอภิญญามาใช้ทันที แค่รวมจิตเข้าสู่อัปปนา ก็ไม่ได้แล้ว

    ยอมรับความจริงก่อนครับ ว่าจิตมีกิเลส นิวรณ์ มากน้อยแค่ไหนและมันขึ้นมากวนบ่อยและรุนแรงแค่ไหน ถ้ากิเลสนิวรณ์มันกวนใจตลอด จะไปหวังเรียก ฌาณ อภิญญา ทันที มันจะใจร้อนไปครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...