เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0039_9.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0039_9.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0039_9.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 6 หน้า 3)

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0049_9.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0049_9.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0049_9.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 6 หน้า 4)
     
  2. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112

    แบบนี้มงกุฎเพชรพระสุธรรมยานเถระจะมีคุณในการป้องกันโรคระบาดด้วยหรือเปล่าครับพี่วรรณ
     
  3. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    พี่วรรณครับ มีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับเข็มกลัดล็อเก็ตมงกุฎเพชร "พระสุธรรมยานเถระ" ครับ พอดีผมเห็นในหนังสือสมบัติพ่อให้(ฉบับเก่า) เห็นว่าล็อกเก็ตมงกุฎเพชรรุ่นนี้ มีเพียง ๒ แบบ คือ แบบตัวหนังสือเล็กและตัวหนังสือใหญ่ แต่ผมเห็นบางที่บอกว่ามีแบบตัวหนังสือกลางด้วย ผมไม่รู้ว่าในหนังสือสมบัติพ่อให้ที่พิมพ์ออกมาใหม่มีระบุแบบตัวหนังสือกลางเอาไว้ด้วยหรือเปล่าครับพี่วรรณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_5165.PNG
      IMG_5165.PNG
      ขนาดไฟล์:
      1,002.7 KB
      เปิดดู:
      78
  4. ณ แปดริ้ว

    ณ แปดริ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    8,701
    ค่าพลัง:
    +54,174
    สวัสดีครับพี่วรรณ พี่ปู พี่นอร์ น้องอุทยัพ และพี่น้อง ลูกหลานหลวงพ่อทุกท่านครับ

    หายไปนานเลยครับเพิ่งจะได้เข้ามาเวบพลังจิต เปิดกระทู้ย้อนหลังตั้งแต่หน้า 309 - 329 อ่านจนตาลายเลยคร้าบ... กว่าจะถึงหน้านี้

    ขออนุญาติ อวยพรวันเกิดพี่วรรณ ย้อนหลังด้วยคนนะครับ ขอให้พี่วรรณสุขภาพแข็งแรง คล่องตัวทั้งในทางโลกและในทางธรรมนะคร้าบ... สาธุๆ....(^)(^)(^)HBDs
     
  5. palmcc38

    palmcc38 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +938
    ๙๙๙

    ขอนุญาตเล่าถึงอานุภาพแหวนเพชรจักรพรรดิ สักนิดนะครับ


    พอดีเมื่อวานที่ทำงาน มีเลี้ยงปีใหม่ แล้วมีการเอารายชื่อพนักงานที่มากินเลี้ยงใส่เข้าไปจับรางวัล ซึ่งผมทราบข่าวมานานแล้วว่า ปีนี้มีสร้อยทองเป็นรางวัล แน่นอนครับ เช้าวันนั้นผมก็อาราธนา ตามปกติ นึกถึงพระ จากนั้นสวมแหวนที่นิ้วกลาง พร้อมท่องคาถา "งอ งัน กัน แล้ว อะ" ที่ป้านิภา ให้ไว้ (อ่านจากหน้าเก่าๆในกระทู้นี้แหละครับ) แต่วันนั้นทั้งวันผมสังหรใจมาก ว่าจะได้ทองแน่นอน อิอิ แต่ก็ไม่ได้ไรมาก พอถึงเวลาตอนเย็นกินเลี้ยง เขาก็จับกันไปหลายรางวัล ผมก็นั่งเศร้าเลยครับ ไม่มีชื่อผมสักที ตอนนั้นผมก็ไม่กล้าขอนะครับ กลัวมันจะเป็นความอยากแล้วจะไม่ได้ เลยทำใจสบายๆ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็มาร่วมงานวะ เหลือไม่กี่รางวัล พอถึงรางวัลสร้อยทอง เขาก็บอกว่า พยัญชนะตัวแรก พ.พาน ผมดีใจเลยครับ ละเป็นชื่อผมจริงๆ ดีใจมากๆเลยครับ ทั้งตัวผม มีแหวนจักรพรรดิ เหรียญเสด็จเตี่ย ปี 20 ห้อยคอตลอด เพราะอานุภาพของพระหลวงพ่อ ผมจึงสมหวังครับ

    อ้อ แล้วก็มีอีกเรื่อง ผมไปสอบ งานธนาคาร(ชั้นนำ)มา ทำข้อสอบไม่ทันครับ ขอใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ จำได้ว่าทำไม่ทันเป็นสิบ แต่ก็ผ่านผลสอบข้อเขียนมาได้ครับ คู่แข่งระดับเทพทั้งนั้น วันนั้นผมก็สวมแหวนจักรพรรดิไปด้วยครับ

    ขออภัย ไม่ค่อยได้มาเขียน เพราะช่วงที่ผ่านมาอ่านหนังสือสอบภาษาอังกฤษกับเริ่มทำงานใหม่ เลยวุ่นๆ ไม่ได้มาติดตามพี่วรรณเลยครับ แต่ ตอนนี้ผ่านเกณฑ์แล้วครับ อิอิ:cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2015
  6. jj85

    jj85 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +7,607
    วันนี้ไปทำบุญวัดท่าซุงมาครับ
    อนุโมทนาบุญร่วมกันนะครับ
     
  7. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,845
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดียามดึกครับพี่วรรณชัย,ท่านพี่วุฒิ,คุณsupatach,คุณtaoreedman,คุณfive304,คุณThis_old_man,คุณpalmcc38,คุณyommatood, คุณizeberry , คุณtossa ,คุณช่างชิต,คุณjj85,คุณ6ThSense,น้องแพน, พี่รุ่ง, พี่กฤต, คุณเพชร,คุณชาตรี ช้างน้อย ,คุณออกพราน,คุณrung847,พี่chopper,คุณระงับ,คุณsylvenus,คุณรัก_ในหลวง ,คุณramo , คุณCobraa ,คุณนิช,คุณpowergen, คุณKRITVEE ,คุณบารมี10 คุณเมฆดำ ,คุณหมาอ้วน และศิษย์วัดท่าซุงผู้มีจิตใจดีงามทุกๆท่าน.(^__^)
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/CLP/0-5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/CLP/0-5.jpg" border="0" alt=" photo 0-5.jpg"/></a>

    ขอบคุณมากครับคุณน๊อต :) :) :) :)
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701

    มีครับมีอานุภาพกันโรคระบาดด้วยครับ


    มีตัวขนาดตัวหนังสือทั้งเล็กกลางและใหญ่ครับ

    หนังสือสมบัติพ่อให้เล่มปกแข็งสีเขียวมีบอกเอาไว้ครับ
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    [​IMG]
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    E2D0E190E380E420E210E170E190E320E2A0E320E180E380.png

    โมทนาด้วยครับปาล์ม นำแหวนไปบูชาแล้วเห็นผลทางลาภมาอย่างต่อเนื่อง :cool::cool::cool::cool:

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/181938.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/181938.jpg" border="0" alt=" photo 181938.jpg"/></a>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2015
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0037_11.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0037_11.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0037_11.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 5 หน้า 17)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2015
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DaTa/111-5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DaTa/111-5.jpg" border="0" alt=" photo 111-5.jpg"/></a>

    (จากธัมมวิโมกข์ มกราคม 2530)
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/0_5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/0_5.jpg" border="0" alt=" photo 0_5.jpg"/></a>
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <dd><center>ก่อนจะได้มาพบหลวงพ่อฤาษีบันทึกความจำ

    </center>
    <center>อภิชัย – อัจฉรา สาธุ
    </center>

    </dd><dd>แต่ก่อนที่จะได้มาพบหลวงพ่อฤาษีนั้น ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ ที่วัดสะแก จังหวัดอยุธยา ในการเรียนกรรมฐานครั้งนั้น หลวงพ่อดู่ สอนให้ภาวนา พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ พอใจเป็นสมาธิดี ท่านก็จะนำเราไปกราบหลวงปู่ทวดและไปกราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคล้ายกับการฝึกมโนมยิทธิมาก การรู้และเห็นนั้นสัมผัสได้ด้วยใจเหมือนกัน ข้าพเจ้าฝึกอยู่หลายปี ไม่เคยได้เห็นภาพพระพุทธเจ้าชัดเจนเลย

    </dd><dd>รู้ว่าเป็นท่านก็เพราะได้เห็นรัศมีกาย สว่างมาก บางครั้งกำลังสมาธิดี ก็จะได้เห็นหลวงปู่ทวดชัดๆ บ้าง เพียงไม่กี่ครั้ง ยังจำได้ว่าเห็นหลวงปู่ทวดชัดเจนราวกับท่านมายืนอยู่ตรงหน้า และเพราะได้เห็นหลวงปู่ทวดนี่เอง ก็ยังได้คุยกับท่านสองสามคำ จึงทำให้เกิดกิเลสขึ้นมาในใจมาก คืออยากจะได้เห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างชัดเจนเหมือนเห็นด้วยตา เนื้อบ้าง อยากเห็นนรก สวรรค์ พรหมและเทวดา ที่มากกว่านั้น คืออยากฟังเทศน์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตัวเอง

    </dd><dd>อยากไปหาท่าน อยากอยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงอยากได้มากถึงขนาดนั้น ในตอนนั้น มีความคิดว่า หากได้ไปหาท่าน และสามารถพูดกับท่านได้ อยาก (อีกแล้ว) จะถามถึงความสงสัยในใจของตัวเองกับท่าน ๒ ข้อ ก็คือ อยากรู้ว่า จริงๆ นั้น ท่านตั้งใจจะสอนให้พวกเรารู้อะไรกันแน่? ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น ชาตินี้ข้าพเจ้าคงไม่มีทางรู้ได้หมดแน่ เพราะรู้ตัวว่าโง่ และอีกข้อก็คือ หลวงพ่อดู่ท่านสอนให้อธิษฐานขอไปนิพพานชาตินี้ ข้าพเจ้าก็อธิษฐานตามที่ท่านสอน

    </dd><dd>ทั้งที่ค่อนข้างจะไม่มีหวังเลยว่าจะไป ได้ ข้อนี้ก็เป็นความสงสัยอีกข้อหนึ่งว่า คนธรรมดาอย่างเราๆ นี่ ถ้าอยากไปนิพพานอย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างจะได้หรือไม่ ยิ่งข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงบวชเป็นพระก็ไม่ได้ คงจะไม่มีโอกาสแน่ แล้วถ้าได้จะทำยังไง จึงจะไปได้? คำถามเหล่านี้รบกวนจิตใจของข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลา ในยามที่ไปฝึกกรรมฐาน ความสงสัยนี้ก็มักจะขึ้นมาในใจเรื่อยๆ ทำให้อยากเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้น ยิ่งอยากมาก็ยิ่งเห็นน้อยลง ฝึกไปฝึกมากิเลสท่วมทั้งหัวทั้งตัว

    </dd><dd>ไม่ก้าวหน้าเลย ยิ่งเรียนก็ยิ่งโง่ ยิ่งโตก็ยิ่งเซ่อเข้าไปทุกที เพราะเข้าวัดก็ทำบุญ ออกมาแล้วก็เหลวไหลเหมือนเดิม ยิ่งนานวันเข้า ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรียนแล้วไม่ได้อะไร ไม่รู้ไม่เห็นได้สักที สิ่งที่อยากได้ก็ไม่ได้ สิ่งที่ข้องใจก็หาคำตอบไม่ได้เลย ในที่สุดก็ทิ้งการปฏิบัติ กลับไปเลวเท่าเดิม เพราะคิดว่า ทำไปก็ไม่ได้รู้อะไรเพิ่ม แต่ก็ยังไปวัดสม่ำเสมอ ไปกราบหลวงพ่อดู่ ไปทำบุญ แต่ไม่ยอมทำกรรมฐาน หลวงพ่อดู่ท่านก็ว่าขี้เกียจ แล้วจะเอาดีได้ยังไง ทำได้ก็ไม่ทำ เห็นหน้าทีไร ท่านไล่ไปนั่งสมาธิ

    </dd><dd>ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธทุกครั้ง ชีวิตก็ตกต่ำ เพราะทำความดีบ้างความชั่วบ้างอยู่ตลอดเวลา (ชั่วคงจะมากกว่าดีนั่นละ) หลายปีต่อมา ราวปี พ.ศ.๒๕๒๕ – ๒๖ (จำไม่ได้) ข้าพเจ้าได้พบหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน อ่านแล้วติดใจมาก วางไม่ลงเลย รู้สึกประทับใจในองค์หลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีเป็นอย่างยิ่ง ที่ชอบมากคือชอบความเก่งของท่าน ท่านมีฤทธิ์ และชอบฟังเรื่องเทวดา เรื่องผี จึงไปที่วัดบางนมโค อ.เสนา และได้ไปกราบรูปของหลวงปู่ปานและได้ทำบุญที่นั่น

    </dd><dd> แต่ก็ไม่ได้พบหลวงพ่อฤาษี จึงได้แต่อธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้ามีบุญวาสนา ขอให้ได้พบท่านโดยเร็วหลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าเริ่มงานขายส่งของออกไปยังต่างจังหวัด จึงต้องเดินทางตลอดเวลา จังหวัดที่ใกล้เคียงกรุงเทพฯ นั้นก็แทบจะได้เข้าไปขายทุกจังหวัด ยกเว้นอุทัยธานีเพียงจังหวัดเดียวที่ไม่ได้ขาย วันหนึ่งได้ไปกราบหลวงพ่อดู่ ท่านคุยให้ฟังถึงหลวงพ่อฤาษี ข้าพเจ้าหูผึ่ง ดีใจมาก เป็นครั้งแรกที่ได้ทราบว่าหลวงพ่อฤาษีอยู่ที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี (โธ่เอ๋ย)

    </dd><dd>ยิ่งหลวงพ่อดู่ คุยให้ฟังว่า หลวงพ่อสามารถสอนคนให้ไปเที่ยวนรก สวรรค์ นิพพานได้ สอนให้ใครๆ เห็นพรหม เทวดา เห็นพระพุทธเจ้าได้ รู้ได้หมด ยิ่งสนใจมาก หลวงพ่อดู่ท่านว่า หลวงพ่อฤาษีเป็นพระดี เป็นพระสุปฏิปันโน กราบได้สนิทใจ และท่านยังบอกว่า ไปซิ เอ็งไปกราบท่าน ไปเรียนมโนมยิทธิกับท่าน อยากรู้อยากเห็นอะไรก็จะได้เห็น จะได้เลิกขี้เกียจทำกรรมฐานเสียที แล้วท่านก็หยิบหนังสือธัมมวิโมกข์มาโยนให้อ่าน กลับจากวัดสะแกไม่นาน ก็ไปหาวัดท่าซุงที่อุทัยธานี ไปถามใครๆ ไม่มีใครรู้จัก คนอุทัยมีเต็มเมือง

    </dd><dd>ข้าพเจ้าซวยจริงๆ ไปถามเอาคนที่ไม่รู้จักวัด ไม่รู้จักพระดีเข้าจนได้ ยังคิดว่า นี่เราโง่เราก็ยังอยู่ไกลท่านนา คนอยู่ใกล้หลวงพ่อ โง่กว่าเรายังมีอีกนะ ผลที่สุดก็ต้องกลับ เพราะหาวัดไม่เจอ งงมาก ข้าพเจ้าแวะไปอุทัยอีกหลายครั้งก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งวันหนึ่งไปขายของที่ชัยนาท แล้วเกิดอาการอารมณ์เสีย จึงคิดว่าอยากจะทำบุญ ก็เลยคิดว่าจะไปวัดปากคลองมะขามเฒ่า ปรากฏว่าไปถึงที่วัด กลับไม่พบพระเลยสักรูป วัดเงียบเหงาและวังเวงมาก เดินอยู่หลายรอบไม่พบใครเลย รู้สึกแปลกใจ

    </dd><dd>จึงไปนั่งกันที่ท่าน้ำอยู่ก็นึกถึงวัดท่าซุงขึ้นมา เลยคิดว่าขึ้นไปวัดท่าซุงดีกว่า ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าอยู่ไหน นั่งมาในรถก็เลยอธิษฐานว่า ถ้าลูกมีบุญที่จะได้มากราบหลวงพ่อ ขอให้หาทางมาวัดถูก ลูกเป็นลูกหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ ตั้งใจจะมาหาหลวงพ่อหลายครั้งแล้วไม่มีโอกาส ครั้งนี้ขอให้สำเร็จเถิด วันนั้นนึกอย่างไรไม่รู้ ขับรถมาข้ามแพ มาถึงวัดได้ทันทีเลย

    </dd><dd> ประสบการณ์ในการฝึกมโนมยิทธิ</dd><dt></dt><dd>มาถึงวัดแล้ว ก็มาที่ตึกรับแขกใหม่ ได้ทราบว่าหลวงพ่อป่วยมาก (ตอนนั้นเข้าใจว่าปลายปี ๒๕๒๙) ตั้งใจจะถวายสังฆทานกับท่าน ก็ไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อจะลงรับแขกหรือไม่ ข้าพเจ้าจึงไปกราบที่รูปหลวงพ่อแล้วก็ขออีกว่า ลูกมาถึงวัดของหลวงพ่อแล้ว โปรดเมตตาลูกด้วย วันนี้ขอหลวงพ่ออย่าเป็นอะไรมากเลย โปรดมารับสังฆทานที่ลูกตั้งใจจะถวายด้วยเถิด และถ้าหากหลวงพ่อรู้ในสิ่งที่ลูกขอทั้งหมดในวันนี้ ก็ขอให้หลวงพ่อแสดงสิ่งใดให้ลูกประจักษ์กับตาว่าหลวงพ่อทราบและเมตตาลูกด้วย

    </dd><dd>สักครู่หนึ่งก็มีโทรศัพท์มาว่าหลวงพ่อจะลงรับแขก วันนั้นพอเห็นหน้าหลวงพ่อก็เอ่ยทักข้าพเจ้าเลยว่า “มารอนานไหมลูก” แล้วก็เรียกให้ข้าพเจ้าเข้าไปนั่งข้างหน้า ไต่ถามและคุยด้วย จนข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจมากและได้ประจักษ์ในความเมตตาของหลวงพ่อตั้งแต่ วันแรกที่มาถึงวัดนี้ทีเดียว หลังจากที่ได้พบและนมัสการท่านในครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้าดีใจและมีความสุขไปหลายวัน

    </dd><dd>เมื่อกลับไปถึงบ้าน ข้าพเจ้าจึงได้เล่าความประทับใจนี้ให้กับพ่อและแม่ฟัง ท่านสนใจมาก และไต่ถามเรื่องการฝึกสมาธิ (ซึ่งเรายังไม่ได้รายละเอียดอะไรมาเลย เพราะมัวแต่ปลื้ม) ก็เลยสัญญากับพ่อและแม่ว่าเอาไว้คราวหน้าจะสอบถามมาให้ละเอียดเลย ประมาณสิบกว่าวัน ข้าพเจ้าและสามี (คุณอภิชัย) เราก็ไปวัดกันอีก วันนั้นความตั้งใจของเราก็เพียงแค่ไปขอระเบียบการ เพื่อที่จะไปเล่าให้พ่อและแม่ฟังได้ถูกเท่านั้น แต่พอไปถึงตึกธัมมวิโมกข์ก็กลับถูกคุณแม่ชีชุลี จับเราสองคนไปฝึกมโนมยิทธิวันนั้นเลย

    </dd><dd>เราก็เลยตัดสินใจว่า เอ้า..ฝึกก็ฝึก ใจก็คิดว่าได้หรือไม่ได้เดี๋ยวก็รู้ พอสวดมนต์และหลังจากฟังคำแนะนำของหลวงพ่อแล้ว เราก็เริ่มฝึกสมาธิกันอย่างที่เคยฝึกที่วัดสะแก แต่เปลี่ยนคำภาวนาเป็น นะมะพะธะ เท่านั้น จิตเริ่มดิ่งลงไปทุกทีๆ จนกระทั่งเหมือนกับมีจุดแสงสว่างคล้ายดาวที่มีประกายแสงอยู่เบื้องหน้า เหมือนทุกครั้งที่เราฝึกมาแล้วก็นิ่งอยู่กับคำภาวนานั้นนานพอสมควร ขณะนั้นครูเริ่มเข้ามาสอน โดยมีครูแยกสอนเราคนละคน วันนั้น คุณอภิชัยตามครูฝึกไปได้จนถึงนิพพาน

    </dd><dd>ส่วนข้าพเจ้าหลังจากที่ครูสอนให้ตัด ขันธ์ ก็เริ่มเห็นคล้อยตามว่าชีวิตนี้มีทุกข์ พอครูให้ตัดสินใจว่าจะไปนิพพานหรือไม่ ก็ตัดสินใจว่าไปแน่ ทุกข์เหลือเกินชาตินี้ เราไม่ขอเกิดอีกแล้ว ได้ประจักษ์แก่ใจว่า เราไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน น้ำตาไหลพราก ใจรู้สึกชุ่มชื่นขึ้น เมื่อตัดสินใจว่าขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราเถิด แล้วมีความรู้สึกเหมือนไม่ได้ยินครูพูด เหมือนกับไม่เป็นตัวของตัวเอง ได้ยินเสียงครูบ้าง หายไปบ้าง เกิดความรู้สึกไม่อยากตอบ ไม่สนใจเสียงที่ครูพูด จิตตอนนั้นมีความสุขมาก

    </dd><dd>ครูคงถามซ้ำหลายครั้งแล้วไม่เห็น ข้าพเจ้าตอบก็คงสงสัยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผลสุดท้ายก็ตามครูไปไม่ได้ ฝึกกลางวันวันนั้นแล้วกลับไปพักกันที่ชัยนาท ข้าพเจ้าคุยอยู่กับคุณอภิชัย เธอก็ว่าไม่เหมือนที่เราฝึกที่วัดสะแกเลย เธอไม่ยอมเล่าให้ฟัง บอกว่าไปลองดูเอง ใจนั้นเห็นเป็นรูปอะไรมากมาย ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกอยากกลับไปฝึกอีก และมีความรู้สึกว่า ตัวเองทำได้ มั่นใจมาก คิดถึงเมื่อครั้งที่ฝึกกับหลวงพ่อดู่นั้น

    </dd><dd>เราเคยได้เห็นภาพหลวงปู่ทวด มาอยู่ตรงหน้าเราและวันนี้เราเห็นแสงสว่างเหมือนดาวเป็นประกายอยู่ข้างหน้า ไกลๆ เราไม่รู้ว่าเป็นอะไรเท่านั้นเอง คืนนั้นตัดสินใจขับรถกลับไปฝึกอีกที่วัด ทีนี้กลางคืนเขาไม่มีสอนมโนมยิทธิ แต่เป็นการฝึกอย่างสุกขวิปัสโก ก็ไม่เป็นไร เราจะทำอย่างที่ฝึกเมื่อกลางวัน เราเคยไปหลวงปู่ทวดอย่างไร เราก็จะไปอย่างที่เราเคยไปดีกว่า แต่คราวนี้เราตั้งใจจะไปกราบพระพุทธเจ้าบ้าง จากนั้นพอเริ่มทำสมาธิ

    </dd><dd>ข้าพเจ้าก็จับคำภาวนาว่า นะมะพะธะ ภาวนาได้ครู่เดียว จิตก็เริ่มรวมตัว คราวนี้พอรู้สึกเคลิ้มก็กลับเห็นภาพตัวเองแต่งตัวเป็นนางฟ้าใส่ชฎา ใส่เสื้อผ้าเหมือนกับนางละคร เสื้อผ้าเป็นสีเขียวอ่อน นั่งพับเพียบ พนมมือ อยู่ต่อหน้าท่านผู้หนึ่ง ซึ่งแต่งตัวด้วยเพชรทั้งองค์ คล้ายกับเทวดา (ผู้ชาย) ประทับบนแท่น ห้อยพระบาท แท่นนั้นมีหลังคาคล้ายบุษบก ในใจก็คิดว่า นี่ละ พระพุทธเจ้า ดีใจมาก กราบท่านที่พระบาท ขอพรท่านว่า คราวหน้าขอมาหาท่านอีก ท่านยกหัตถ์มาลูกศีรษะข้าพเจ้า ขนลุก

    </dd><dd>และถามท่านว่า ที่นี่ที่ไหนเจ้าคะ ท่านตอบว่า ที่นี่คือพระจุฬามณี อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กราบท่านอีก ดีใจมาก จนนึกไม่ออกว่าอยากจะถามอะไรท่าน แล้วก็ได้แต่มองท่านอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกเหมือนประเดี๋ยวเดียว ก็ออกจากสมาธิ ในความรู้สึกตอนนั้นบอกตัวเองว่า นี่ละมโนมยิทธิที่อยากได้นักหนา นึกทบทวนวิธีการฝึกและกำลังใจ ตลอดจนการตัดขันธ์ ๕ และการตัดสินใจตามที่ครูสอน

    </dd><dd>ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องทำเวลาที่ จะมา รวมทั้งการตั้งกำลังใจก่อนที่จะมาที่ตรงนี้ เพื่อที่จะได้จำไว้ไปคราวหน้า ทบทวนกลับไปกลับมาหลายครั้งเพื่อที่จะได้ไม่ลืม คำพูดของหลวงพ่อดู่ ผุดขึ้นในใจที่ว่า มโนมยิทธินี้ดีนัก อยากรู้อยากเห็นอะไรก็จะเห็นได้ อยากจะเห็นนรกสวรรค์นิพพานก็ได้ทั้งนั้น วันนี้ได้ประจักษ์แก่ใจแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ด้วยตนเองโดยแท้จริงจึงจะเข้าใจและนี่คือสัจจธรรม มโนมยิทธินี่เองที่ทำให้เราพบหลวงปู่ทวดได้

    </dd><dd>เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นอีกว่า แล้วทำไมเราจึงทำได้ล่ะ แล้วใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ (มาภายหลัง หลวงพ่อกรุณาชี้แจง ให้ฟังว่า คนที่ได้มโนมยิทธิในชาตินี้ เคยได้มาแล้วในชาติก่อนๆ และฝึกมาแล้วหลายชาติ จึงหายข้องใจ) เราพยายามฝึกต่ออีก ๒ วันคือ ท่องเที่ยว และญาณ ๘ ก็ไปได้แต่กระท่อนกระแท่นพอสมควร คราวนั้นเหมือนได้ของวิเศษ พอจากวัดมาก็พยายามฝึกกันทุกวัน ขายของไปด้วย กลับมาที่พักก็ตั้งใจทำสมาธิกัน เริ่มซ้อมสมาธิและฝึกกันเองโดยดูจากการเห็นว่าเหมือนกันหรือเปล่า

    </dd><dd>ก็ช่วยพยุงกันไป กลับจากขายของก็แวะมาฝึกที่วัดกันอีก ก่อนจะกลับบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าได้แน่ๆ แล้ว (ตอนนั้นได้ใหม่ๆ ขยันมาก) ข้าพเจ้าและคุณอภิชัยคิดกันว่า สิ่งที่เราได้มาคราวนี้เป็นสิ่งที่ดีและวิเศษมาก เราควรจะช่วยให้คนอื่นได้กันบ้าง กลับบ้านคราวนั้นไปเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ลูกๆ ด้วยทุกคนตื่นเต้น สนใจกันใหญ่ ลูกๆ ที่ยังเล็กๆ ก็ยังอยากฝึก ข้าพเจ้าตกลงใจที่จะฝึกให้ลูกด้วยตนเอง แล้วก็นำเอาวิธีการฝึกที่ครูสอนเรานั้นมาสอนกับลูกๆ

    </dd><dd>พร้อมทั้งขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหลวงพ่อให้ช่วยในการ ฝึกให้ลุล่วงไปด้วย พอเริ่มฝึกครั้งแรก ปรากฏว่า ลูกๆ ไปกันได้หมด ข้าพเจ้างงมากเพราะลูกสาวคนโตอายุตอนนั้นก็ประมาณ ๙ – ๑๐ ขวบ ส่วนลูกสาวคนเล็ก อายุประมาณ ๖ ขวบ เธอเก่งกว่าข้าพเจ้าเสียอีก ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่ได้เล่ารายละเอียดในการฝึกให้เขาฟังเลย ข้าพเจ้าชักไม่แน่ใจว่าทำไมเขาจึงทำได้เร็วนัก แต่ตอนนั้นก็ยังหาคำตอบไม่ได้

    </dd><dd>หลังจากนั้น เด็กๆ ฝึกท่องเที่ยวและฝึกญาณ ๘ ก็ได้อีก ข้าพเจ้าจึงเริ่มฝึกคนอื่น เริ่มจากคุณพ่อ คุณแม่ คุณยาย ก็มาฝึกกันหมด คราวนี้ได้เห็นความแตกต่างของการฝึกเด็กและผู้ใหญ่ได้ดี อะไรๆ ในใจของผู้ใหญ่ เช่นความจำเก่าๆ นั้นมีมากกว่าของเด็ก และสงสัยมากกว่าเด็ก จึงทำให้ฝึกไปได้ช้ากว่าเด็กๆ ที่บอกให้ทำอะไรก็ทำตามโดยไม่คิดอะไร (เพราะผู้ใหญ่นั้นฉลาดเกินไป จำอะไรๆ ไว้มากและติดในสิ่งที่รู้มามากกว่าเด็ก) วันนั้นฝึกไปได้อย่างไม่ดีเลย

    </dd><dd>ข้าพเจ้าพาลูกไปวัดดีกว่า เพื่อความแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด คราวนี้ลูกสามารถมาฝึกฝึกที่วัดได้ดีทุกคน และคุณแม่ของข้าพเจ้าด้วย ที่สมารถฝึกได้ใน ๓ วันแรกที่มาวัด คราวนี้เราคุยกันถึงแต่เรื่องมโนมยิทธิและหลวงพ่อฤาษี และดีใจกันมากซึ่งทำให้มั่นใจในการที่เราตัดสินใจจะไปนิพพานกันในชาตินี้ ชักจะเริ่มมีความหวังบ้างแล้ว

    การฝึกมโนมยิทธิของพวกเราทุกคนก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตของเราทุกคนดูเหมือนจะได้เริ่มต้นอย่างมีคุณค่า มีความหวังที่จะได้พ้นจากทุกข์กับเขาบ้าง ยิ่งเข้ามาใกล้ธรรมะก็ยิ่งเห็นในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน นั่นคือความทุกข์ยากลำบากและความทรมานจากการมีร่างกายนี้ ก็เพิ่งจะได้เข้าใจหลังจากที่โง่กันมาหลายแสนชาติ ที่โง่เกิด โง่ตาย คิดไม่ได้มาโดยตลอดเลยเรา

    </dd><dd> ธรรมะที่ได้จากการปฏิบัติธรรม – ธรรมะกับกระจกเงา (รูปที่แท้จริง)
    </dd><dd>วันหนึ่งข้าพเจ้าแต่งหน้ากำลังจะออกนอกบ้าน ขณะที่มองดูรูปตัวเองในกระจกเงาแล้วเกิดตกใจ ที่เห็นว่ารูปในกระจกนั้นไม่ใช่ตนเอง เป็นใครอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่เรา ขณะที่มองอยู่นั้น เกิดความคิดว่า “นี่เรากำลังทาสีส้วมอยู่หรือ ที่เราเห็นอยู่นี่คือตัวเองนั่งอยู่ในส้วมที่สกปรกมาก แล้วโผล่หน้าออกมาก ไปไหนเราก็เอาส้วมนี้ไปด้วย แล้วยังไปเที่ยวโชว์คนอื่นให้ดูส้วมที่พาไปด้วยเสียอีก” ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมากและต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ

    </dd><dd>และคำสอนของหลวงพ่อเกิดขึ้นในใจว่า ที่เห็นวันนี้คือความจริงของชีวิต เรามัวหลงอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มานานแล้ว แต่ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายที่เราจะทนอยู่กับสิ่งนี้ วันหนึ่งข้างหน้าในไม่ช้าเราจะเปิดประตูแห่งความสกปรกนี้ออกไปสู่อิสระ และจะไม่กลับมาอยู่ที่นี่อีก วันนั้นเป็นอันว่าออกไปข้างนอกบ้านได้ทั้งอย่างนั้นโดยไม่ต้องผัดหน้า ทาปาก เพราะความรู้สึกนั้นเอง

    </dd><dd> ธรรมะระหว่างฟังเทป
    </dd><dd>ข้าพเจ้าชอบคิดอยู่เสมอว่า ทำไมสิ่งนั้นจึงเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้จึงเป็นอย่างนี้ แล้วพยายามจะหาคำตอบออกมาให้ได้ วันหนึ่งนั่งมาในรถ จำได้ว่ากลับจากมุกดาหารจะมาโคราช ได้เอาเทปธรรมะของหลวงพ่อเปิดฟังมาในรถ ใจก็คิดตามคำสอนของหลวงพ่อไปด้วย เทปก็เปิดดังลั่นรถไปเลย จะได้ไม่ง่วง ในขณะที่ฟังอยู่นั้นหลวงพ่อก็สอนว่าไม่ให้ไปยึดมั่นว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา ให้คิดว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ให้วางมันเสีย

    </dd><dd>ก็เกิดสงสัยว่า เวลาจะวางล่ะ วางยังไง จะตัดอย่างไรจึงจะขาด ไม่ห่วง ไม่กังวล ไม่ยึดติดกับเจ้าร่างกายนี้อีก ใจก็คิดไป หูก็ฟังเทป ตาก็มองไปนอกรถ ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง โยนถุงใส่ของที่เธอไม่ใช้ลงไปในถังขยะ ในขณะนั้นเกิดความรู้สึกว่าในใจมันสว่างพรึ่บขึ้นมา เสียงจากเทปนั้นหายไป และเสียงหลวงพ่อดังลั่นว่า “ไอ้ขี้หมาเอ๊ย! เวลาจะทิ้งร่างกาย ก็โยนมันทิ้งไปเหมือนโยนของที่เราไม่ใช้ลงถังขยะนี่แหละ” ข้าพเจ้าหายข้องใจได้เดี๋ยวนั้นเลยทันที แล้วเทปก็ดังลั่นตามปกติ

    </dd><dd> ธรรมที่ข้าพเจ้าได้จากหลวงพ่อและการปฏิบัติธรรม
    </dd><dd>คำสอนของหลวงพ่อนั้นมักจะเป็นที่ประทับใจของข้าพเจ้าอยู่เสมอ เพราะท่านมักจะสอนในข้อที่เรากำลังข้องใจอยู่ทุกที หรือบางครั้งที่เราปฏิบัติตัวในสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง เวลาที่มากราบท่านที่ตึกรับแขก ท่านก็มักจะเปรยๆ ถึงความไม่ดีที่เรากำลังทำอยู่ เช่นมีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้านั่งบนมาในรถขณะที่กำลังจะมาวัดว่า เราเองก็พยายามที่จะทำความดีอยู่เสมอ และอยากจะดีต่อทุกๆ คน

    </dd><dd>ทำไมจึงได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดีตอบแทน อยู่เรื่อย ชีวิตเรานี้ก็ไม่เห็นจะมีความสุขอย่างที่ตัวเองต้องการเลย ต้องลำบากและดิ้นรนในการทำมาหากินตลอดมา ความดีไปอยู่ที่ไหนไม่เห็นมาสนองตอบต่อเราบ้างเลย อย่างนี้จะเรียกว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วได้อย่างไรกัน หลวงพ่อทำไม่รักลูกไม่เท่ากันเลย คนที่มีความสุขก็สุขมากจนเกินพอ คนที่มีทุกข์ก็ทุกข์เสียจริงๆ (อย่างที่ตัวเองกำลังคิด)

    </dd><dd>พอไปถึงวัดก็ลืมที่ตัวเองบ่นแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อขึ้นเทศน์วันออกพรรษา หลวงพ่อก็เทศน์ถึงเรื่องนี้ด้วยว่า คนเรานั้นมีกรรมเป็นของตัวเองที่ทำไว้ทั้งชาตินี้และชาติก่อน เมื่อกรรมดีให้ผลก็มีความสุข กรรมชั่วให้ผลก็มีความทุกข์ อย่าไปโทษว่าทำดีแล้วทำไมเทวดาไม่ช่วย และท่านก็สอนว่า การที่คนเรามั่งมีหรือยากจนต่างกันนั้นเพราะทำบุญกับผู้มีศีลไม่เท่ากัน ใครทำบุญกับผู้มีศีลมากหรือเป็นพระอริยเจ้าครั้งเดียว ก็จะได้บุญมากกว่าทำบุญกับคนมีศีลน้อย หรือไม่มีศีลเลยนับเป็นร้อยเป็นพันครั้ง

    </dd><dd>แล้วก็เล่าเรื่องเทวดา (ท่านอินทกเทพบุตร) ให้ฟัง สามีของข้าพเจ้าก็สะกิดบอกข้าพเจ้าว่า เธอๆ หลวงพ่อว่าเธอแน่ะ เมื่อวานเธอข้องใจเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ หลวงพ่อก็หันมามองข้าพเจ้า แล้วก็ยิ้มๆ ข้าพเจ้านั้นนั่งฟังเทศน์อยู่เกือบจะข้างหน้าเลยทีเดียว รีบก้มลงกราบขอขมาเป็นการด่วน รู้ว่าหลวงพ่อรู้ใจเข้าแล้วว่าคิดอะไรอยู่ อีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อที่ตกรับแขก วันนั้นมีคนมาเยอะ กราบท่านแล้วก็ถอยออกมานั่งฟังคนอื่นคุยกับท่าน ฟังไปฟังมาก็เกิดความคิดว่า

    </dd><dd>ทุกคนที่มานั่งอยู่นี่มีทุกข์เหมือนๆ กันทั้งนั้น ถ้าไม่เกิดมาเสียอย่างเดียวนี่ คงไม่ต้องมาทุกข์ มาดิ้นรน คับข้องใจอย่างทุกวันนี้ ลำพังขันธ์ห้าของตัวเองนี่ยังเอาไม่รอดเลย นี่ยังโง่แบกขันธ์ห้าของคนอื่นเข้าไปอีก ทั้งพ่อ แม่ ลูก ญาติพี่น้อง สามี และเพื่อนฝูง ยิ่งผูกพันก็ยิ่งตัดขาดได้ยาก นี่คือห่วงที่รัดเราไว้ในโลกนี่จริงๆ ยิ่งหนีก็ยิ่งฉุดรั้งเรามากขึ้น คนอื่นก็คงเป็นอย่างเราเหมือนกัน นี่ถ้าต้องเกิดอีกร้อยชาติแล้วพบอย่างนี้อีกทั้งร้อยชาติละก็ นึกแล้วขนลุก

    </dd><dd>แต่ชาตินี้ชาติเดียวก็ไม่อยากจะอยู่ต่อไปแล้ว นี่ถ้าตายเสียได้แล้วไม่ต้องกลับมาเกิดอีกก็ดี เราไม่กลัวตายหรอก ขณะที่คิดอยู่นั้น ก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหลวงพ่อถามขึ้นมาว่า “ไอ้ตายายเอ๊ย! (ท่านเรียกเราสองคนว่าตายาย) เอ็งกลัวตายไหมหว่า” ข้าพเจ้าตอบท่านว่า “หนูไม่กลัวตายหรอกเจ้าค่ะ กลัวเกิดมากกว่า”ท่านก็หัวเราะแล้วก็บังสุกุลเราทันทีว่า

    </dd><dd> “อนิจจา วตสังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสังวูปสโม สุโข” แล้วก็อธิบายว่า สังขารทั้งหลายเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไปเป็นธรรมดาและในที่สุดก็แตกสบายดับไป การได้เข้าไปสงบกายนั้นชื่อว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าน้อมใจตามคำสอนของท่านไปตลอด น้ำเสียงของท่านช้าๆ ชัดเจน และชัดถ้อยชัดคำ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดปิติ น้ำตาไหลพราก กราบท่านแล้วบอกท่านว่า

    </dd><dd>ชีวิตนี้เป็นทุกข์จริงๆ เจ้าค่ะ หลวงพ่อ ขันธ์ห้าของตัวเองก็ลำบากพอแล้ว ยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอด นี่ลูกยังโง่แบกขันธ์ห้าของคนอื่นอีกตั้ง ๓๐ – ๔๐ ขันธ์ ยิ่งทุกข์มากใหญ่ ทิ้งก็ทิ้งไม่ได้ ก้าวต่อไปก็มองเห็นแต่ทุกข์อยู่ข้าหน้าทั้งนั้นเลย ท่านก็เมตตาสอนว่า “รู้ดีกว่าไม่รู้ เอ็งแบกขันธ์ห้าแค่นี้ทำมาบ่น หลวงพ่อมีขันธ์ห้าที่ต้องเป็นห่วงนับไม่ถ้วน เมื่อใจยอมรับได้ก็ให้มองให้เห็นความจริงอยู่เรื่อยๆ ก็แล้วกันว่า ทุกข์นั้นคือสิ่งที่เราต้องทน แต่ก็ตั้งใจไว้ให้ดีว่า

    </dd><dd>เราจะทุกข์ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทำงานของตัวเองตามหน้าที่ไปให้ดีที่สุด ชาตินี้ชาติเดียวก็จะพ้นแล้ว ถ้าเอ็งตั้งใจและมีความพยายาม” ข้าพเจ้านั่งร้องไห้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ตื้นตันใจ และคิดได้ในบัดนั้นเอง คำสอนของหลวงพ่อในวันนั้นเป็นสิ่งเตือนใจข้าพเจ้าตลอดมา ครั้งใดที่ข้าพเจ้ามีทุกข์ ท้อถอยและคิดว่าจะทนไม่ได ข้าพเจ้าก็จะนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อครั้งนั้นขึ้นมาเป็นกำลังใจเสมอ

    </dd><dd>และตั้งใจว่าจะพยายามทำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้ไม่ ต้องกลับมาทุกข์อีก ทุกข์และภาระของเรานั้นมีน้อยกว่าของหลวงพ่อมากมายนัก ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ยังมีหลวงพ่อเป็นที่พึ่งทางใจได้เสมอ ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ที่ไหน ในเวลาที่ไม่อาจมาหาท่านได้ ก็จะทำสมาธิมาหาท่านและเล่าให้ท่านฟังถึงความทุกข์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ เหมือนกับได้อยู่ต่อหน้าท่านในวันนั้น ซึ่งบ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างง่ายดาย

    </dd><dd>และหากแม้ข้าพเจ้าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ ใจก็ยังยอมรับได้และมั่นใจเสมอว่าหลวงพ่อจะเป็นกำลังใจให้กับข้าพเจ้าตลอด เวลา เรื่องคำสอนของหลวงพ่อนั้น ข้าพเจ้ามักจะบันทึกไว้ย่อๆ เสมอ เวลาที่ได้พบได้ยินด้วยตัวเอง ยังพอที่จะจำได้อีกหลายเรื่อง หากมีโอกาสจะได้เขียนอีก ก็จะเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่าจะได้ประโยชน์กับใครๆ บ้าง ซึ่งอาจจะมีโอกาสหน้าอีกก็ได้

    </dd><dd> การปฏิบัติธรรมกับการรักษาโรค
    </dd><dd>ข้าพเจ้าป่วยเป็นเนื้องอกในช่องท้องมาตั้งแต่พ.ศ.๒๕๒๓ ซึ่งพอรู้สึกผิดปกติก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลหลายครั้ง แต่ก็ตรวจไม่พบ แต่ร่างกายนั้นผิดปกติมาก สุขภาพแย่และน้ำหนักตัวลดลง ทั้งหัวใจก็ทำงานไม่ปกติเนื่องจากลิ้นหัวใจไม่ดี ข้าพเจ้ามักจะมีอาการหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก เหงื่อออกมากและหมดสติอยู่บ่อยๆ ในระยะนั้นต้องไปพบหมอและฉีดยา กินยาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ยังคงต้องทำงานไปด้วย เพราะลูกยังเล็กๆ และภาระทางครอบครัวก็มีมาก จำเป็นต้องช่วยกันทำงานทั้งสองคน

    </dd><dd>ทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาลและได้เห็นคนอื่นก็ป่วย มีมากมายหลายคนที่ป่วยมากกว่าเรา ข้าพเจ้าก็คิดว่าสักวันเราก็อาจจะเป็นอย่างเขา และสักวันเราก็คงจะตายไป ข้าพเจ้าไปโรงพยาบาลบ่อยมากจนรู้สึกรำคาญตัวเองที่ป่วยไม่หายเสียที วันหนึ่งไปตรวจร่างกาย ก็ให้หมอตรวจท้อง เพราะรู้สึกแน่นท้องมาก หมอจึงให้ทำอุลตราซาวด์ ก็ปรากฏว่าเป็นเนื้องอกก้อนโตมาก และเห็นได้ชัด ทั้งที่ตรวจร่างกายมาหลายครั้งก็ไม่พบเลย หมอแนะนำให้ผ่าตัดบอกว่าไม่มีอันตราย ข้าพเจ้าใจเสียคิดไปต่างๆ นานา

    </dd><dd> แต่ก็ยังไม่ยอมไปผ่า ทั้งที่สุขภาพทรุดโทรมลงมากทุกที ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจว่าจะไม่ยอมผ่า เพราะคิดว่าผ่าหลายครั้งก็มีอันเป็นต้องผ่าไม่ได้ทุกที ก็เลยคิดว่าอย่าผ่ามันเลย จึงไปบวชชีที่วัดสะแก โดยหลวงพ่อดู่เมตตาบวชให้ ท่านบอกว่ายังไม่ต้องผ่า ให้ฝึกกรรมฐานให้ได้ อีกหน่อยจะหายโดยไม่ต้องผ่าตัด ข้าพเจ้าก็ดีใจ (แต่ไม่ค่อยเชื่อ) และอย่างน้อยก็สบายใจขึ้น คิดว่าถ้าหายได้น่าจะเป็นเรื่องปาฏิหาริย์มากกว่า

    </dd><dd>ปี พ.ศ.๒๕๒๙ ปลายปี ข้าพเจ้าเริ่มมาเรียนมโนมยิทธิ พร้อมๆ กับได้ยาที่วัดไปกิน ลองซื้อยาฟ้าทะลายโจรกับยาแก้โรคมะเร็งไปกินเรื่อยๆ โดยอธิษฐานขอให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ สังเกตดูว่าร่างกายนั้นดีขึ้นเมื่อจิตใจสงบก็ลดยาโรคหัวใจลง (และงดได้จนทุกวันนี้) และลืมเรื่องเนื้องอกในท้องไปเลย การฝึกมโนมยิทธิและการกำหนดลมหายใจนั้นช่วยได้มากเวลาที่มีอาการของโรคหัวใจ เกิดขึ้น เช่นเวลาที่เหนื่อยหอบหรือเริ่มหายใจไม่ออก มีสติก็จะตั้งสมาธิ ภาวนานะมะพะธะ ไปเรื่อยๆ

    </dd><dd>เอาจิตไปกราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนนิพพานเสียเลย อาการจะค่อยๆ ลดลงและรู้สึกสบายขึ้นในเวลานั้นก็จะอยู่กับพระพุทธเจ้าที่นั่นเลยไม่ไปไหน อีก อาการจะค่อยๆ ลดลงและรู้สึกสบายขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่นาที และจะค่อยๆ ค่อยยังชั่วและหายไปตามลำดับ ข้าพเจ้าใช้วิธีนี้รักษาตัวเองโดยไม่กินยา ไม่ว่าอาการจะน้อยหรือมากก็ทำใจไปเลยว่าตายก็ตาย ตายเมื่อไรเราหมดทุกข์เมื่อนั้น และใช้วิธีนี้ถึง ๒ ปี ก็ไม่มีอาการของโรคหัวใจเกิดขึ้นอีก ยาแก้โรคหัวใจก็เลยไม่ต้องกิน

    </dd><dd>วันหนึ่งข้าพเจ้าท้องเสีย ต้องไปให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล หมอได้ตรวจเนื้องอกในท้องด้วยการทำอุลตราซาวด์อีกครั้ง เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น นั่นคือไม่มีเนื้องอกที่เคยเป็นอยู่เลย หมอก็แปลกใจเช่นเดียวกับข้าพเจ้าเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้ายิ่งดีใจมากกว่าที่หายจากโรคได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว บารมีของหลวงพ่อและท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดได้ช่วยข้าพเจ้าหายได้โดยไม่คาด คิดมาก่อนเลย

    </dd><dd>ข้าพเจ้าได้ช่วยผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอก ได้รับการผ่าตัดมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ยอมหายเสียที ด้วยการให้ยาไปกินและแนะนำให้ปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ มีหลายคนที่ทุเลาจากโรค และหลายคนที่หายจากโรคเช่นเดียวกับข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน การได้ช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์นั้นเป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้ยังมีค่า มีประโยชน์ที่ได้ช่วยใครต่อใครโดยยึดถือความดีของหลวงพ่อเป็นแบบอย่างเป็น แนวทางที่จะทำในสิ่งที่ดีให้กับคนอื่นและตัวเองด้วย

    </dd><dd>ประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่งที่จะเล่าสู่กันฟัง ก็คือเมื่อหลายปีก่อนข้าพเจ้ามางานเป่ายันต์ที่วัด หลังจากรีบขายของที่ต่างจังหวัดแล้ว ก็รีบมาวัดเลยเที่ยวนั้นไม่ได้จองห้องพักไว้ ต้องไปพักรวมกับผู้มาร่วมงานอีกหลายคนที่อาคารธรรมสถิต วันนั้นพอมืดก็คุยกันหลายคน จึงได้รู้จักเพื่อนใหม่อีก ๒ ท่าน (ไม่แน่ใจว่าจะจำชื่อท่านได้ถูกต้องหรือไม่) ซึ่งต่อมาทราบว่าชื่อพี่ขันทองและพี่ผ่องศรี ขณะที่คุยกันก็คุยเรื่องสัพเพเหระไปหลายเรื่อง ไม่มีใครถามว่าใครชื่ออะไร

    </dd><dd>รู้แต่ว่าพี่สองคนนี้เป็นภริยาทหารอยู่ที่ค่ายจังหวัดพิษณุโลก และสามีของพี่ผ่องศรีนั้นเสียชีวิตแล้วด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำ พอ ๓ ทุ่มหลวงพ่อเทศน์ตามสาย เราก็ทำสมาธิกันแล้วเข้านอน ตอนดึกคืนนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อศรี..ศรี.. ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกตัวแต่ว่าเหมือนกับเคลิ้มๆ ราวกับฝันก็ไม่ใช่ตื่นก็ไม่ใช่ ก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งผิวสองสีไม่ขาวแต่ก็ไม่ดำใส่เสื้อยืดคอกลม กางเกงทหารสีเขียวมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง

    </dd><dd>ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ไมได้สงสัยว่าทำไมจึงเห็นเขา ทั้งที่นอนอยู่ชั้นบน ก็ถามเขาว่า มาหาใคร เขาบอกมาหาแฟนเขาชื่อศรี ตัวเขาชื่อสุชาติ ถามว่าศรีเฉยๆ หรือ เขาบอกว่าชื่อผ่องศรี ข้าพเจ้าบอกว่าไม่รู้หรอกว่าคนไหน เพราะพักอยู่หลายคน เขาว่าเขาเป็นสามีของผู้หญิงคนที่เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำและเราพูดถึงเขาเมื่อ ตอนหัวค่ำนั่นล่ะ จึงนึกขึ้นได้ว่าภริยาเขาคนไหน ก็ถามว่าจะให้เรียกหรือ เขาก็ว่าไม่ต้อง เขาจะมาบอกว่าพรุ่งนี้ถ้าทำบุญขอให้ถวายสังฆทานให้เขาด้วย ข้าพเจ้าก็บอกว่าได้

    </dd><dd> แล้วจึงถามเขาว่า รอยเลือดที่ศีรษะกับเสื้อน่ะเป็นเพราะรถมอเตอร์ไซค์คว่ำและหัวฟาดพื้นหรือ เขาก็บอกว่าใช่ ข้าพเจ้าจึงรับปากเขาอีกครั้งว่าจะบอกพี่ผ่องศรีให้ ไม่เป็นไรหรอก เขากล่าวขอบใจแล้วก็หายไป ข้าพเจ้ารู้สึกตัวก็เป็นเวลาประมาณตี ๔ ก็คิดว่าเราคงจะเก็บเอาเรื่องที่คุยกันตอนเย็นนั้นมาฝันไปเองก็ได้ แต่ก็จะลองถามพี่เขาดูว่าเขาชื่อนั้นจริงหรือไม่ และที่ฝันถูกต้องหรือเปล่า พอสว่างก็เล่าเรื่องนี้ให้พี่ทั้งสองคนฟัง พี่ที่เป็นภริยาของชายคนนั้นก็ร้องไห้แล้วบอกว่าเป็นความจริงทั้งหมด

    </dd><dd>พี่ก็เลยได้รับสังฆทานสมดังที่ตัวปรารถนา ข้าพเจ้าก็รู้สึกดีใจที่ช่วยเขาได้ เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้พบมาหลายปีแล้วจนลืมไปเลย จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง หลวงพี่วิรัชมาขอให้เขียนเรื่องนี้เล่าสู่กันฟัง ก็ยังสงสัยว่าทำไมท่านจึงทราบ ท่านก็บอกว่าลูกชายของพี่ขันทองเธอเคยบวชอยู่ที่วัดนี้ และมาเล่าให้ท่านฟัง ข้าพเจ้าจึงนำมาเล่าสู่กันฟังในบันทึกฉบับนี้

    </dd><dd> ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่ไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง
    </dd><dd>ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ใจของลูกๆ ทุกคนว่าความเมตตาที่หลวงพ่อมีต่อพวกเราทุกคนและความผูกพันทางจิตใจที่ลูกๆ มีต่อหลวงพ่อนั้นมีมากมายเพียงใด ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนอยากทำความดีให้มากที่สุด อยากช่วยเหลืองานทุกอย่างของหลวงพ่อจนเต็มความสามารถ และด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ เพราะถือว่าทุกอย่างที่ทำลงไปนั้นเป็นงานเพื่อพระศาสนา เพื่อหลวงพ่อที่เรารัก และมีความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพราะจะเป็นชาติสุดท้ายของทุกๆ คนที่ปรารถนาจะหลุดพ้นแล้ว

    </dd><dd>อย่างไรก็ตามชีวิตนี้เป็นชีวิตที่ไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง ความตายอาจมาถึงเราได้ทุกเวลา ทุกนาที อยากจะบอกกับทุกท่านว่าอย่ารอช้าที่จะทำความดีกับใครสักคน หรือให้อะไรใครสักอย่างในสิ่งที่เราคิดว่า ถ้าวันนี้เวลานี้เป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตเรา เราอยากจะเป็นผู้ให้จนถึงที่สุด เพราะฉะนั้นขอให้ทำเสียก่อนเวลานั้นจะมาถึง เพราะเมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะได้ไม่รู้สึกเสียดายว่า รู้อย่างนี้...เราทำเสียก็ดี</dd>


    ขอกราบบูชาความดีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยเจ้าทั้งหลาย ตลอดทั้งพรหมเทวดาและท่านผู้มีพระคุณทั้งหมด และขอกราบที่เท้าของหลวงพ่อฤาษี หลวงพ่อดู่ ด้วยความเคารพรักเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมตตาของหลวงพ่อทั้งสองที่พาให้ลูกมาถึงตรงนี้และเดี๋ยวนี้ และมีชีวิตที่มีค่าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ขอบารมีแห่งพระรัตนตรัยและผู้มีพระคุณทุกท่านและพระสยามเทวาธิราช จงช่วยให้สุขภาพของหลวงพ่อแข็งแรงขึ้น มีอายุยืนยาวอยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกหลานต่อไปอีกนานๆ เถิด

    (จากลุกศิษย์บันทึกเล่ม 2 หน้า 349 - 358)

    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1543#79

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/CLP/72830_115418678653682_407409533_n.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/CLP/72830_115418678653682_407409533_n.jpg" border="0" alt=" photo 72830_115418678653682_407409533_n.jpg"/></a>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2015
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/newest2013/DSC09641.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/newest2013/DSC09641.jpg" border="0" alt=" photo DSC09641.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/newest2013/DSC09638.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/newest2013/DSC09638.jpg" border="0" alt=" photo DSC09638.jpg"/></a>
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/newest2013/DSC08912.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/newest2013/DSC08912.jpg" border="0" alt=" photo DSC08912.jpg"/></a>

    พระเนื้อว่านทำน้ำมนต์เป็นอีกรุ่นที่ยังมีให้บูชาอยู่ที่บ้านซอยสายลมและมีแบบเลี่ยมกรอบพลาสติกกันน้ำให้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2016
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/newest2013/DSC09282.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/newest2013/DSC09282.jpg" border="0" alt=" photo DSC09282.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/newest2013/DSC09283.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/newest2013/DSC09283.jpg" border="0" alt=" photo DSC09283.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/newest2013/DSC09286.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/newest2013/DSC09286.jpg" border="0" alt=" photo DSC09286.jpg"/></a>

    เหรียญพระเจ้าทันใจพระเจ้าฝนแสนห่า วัดโขงขาว ปีพ.ศ.2542
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2016
  19. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]




    ขอบารมีสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี

    คุ้มครองทุกท่านที่เดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนโดยสวัสดิภาพทั้งไปและกลับ มีความสุขตลอดเทศกาลปีใหม่ครับ
     
  20. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]



    [​IMG]




    น้อมกราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี

    สวัสดีพี่วรรณ และลูกหลานหลวงพ่อทุกท่านครับ



    ส่งท้ายปลายปีด้วยความร้อนแรงของเหรียญหลังท้าวเวสสุวรรณ ที่ราคาขยับมาเท่าตัวแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...