พระพุทธดำรัส นำทางชีวิต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย bosslnwskr10, 13 ตุลาคม 2015.

  1. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ๑. ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ สั้นนิดเดียว ลำบากยากเข็ญ มีทุกข์มาก แต่ก็ไม่มีเครื่องหมายให้รู้ว่า จะตายเมื่อใด

    ๒. สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว พยายามหาวิธีที่จะไม่ต้องตาย ก็ไม่สำเร็จ ถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จนชราภาพก็ต้องตายอยู่ดี เพราะธรรมดาของสัตว์โลกเป็นอย่างนี้

    ๓. สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็มีภัยจากการที่ต้องตายเป็นนิตย์ เปรียบเหมือนผลไม้สุกงอมแล้ว ก็มีภัย จากการที่ต้องร่วงหล่นไปในเวลาเช้า

    ๔. ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ต้องแตกดับไปเป็นธรรมดาเปรียบเหมือนภาชนะดินทุกชนิด ที่ช่างหม้อปั้นแล้วในที่สุดก็ต้องแตกไป

    ๕. ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนโง่ ทั้งคนฉลาด ล้วนตกอยู่ในอำนาจของมฤตยู บ่ายหน้าไปสู่ความตายทั้งนั้น

    ๖. เมื่อเหล่าสัตว์จะตายต้องไปปรโลกแน่นอนแล้ว บิดามารดาก็ไม่สามารถช่วยบุตรธิดาของตนไว้ได้ หรือหมู่ญาติก็ไม่สามารถจะช่วยพวกญาติของตนไว้ได้

    ๗. จงดูเถิด ทั้งๆ ที่มีหมู่ญาติมาเฝ้ารำพึงรำพันอยู่โดยประการต่างๆ แต่ผู้จะตายกลับถูกมฤตยูคร่าตัวเอาไปแต่เพียงผู้เดียว เหมือนโคที่เขาจะฆ่าถูกนำไปแต่เพียงตัวเดียว

    ๘. สัตว์โลกตกอยู่ในอำนาจของความแก่และความตายอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายทราบชัดถึงสภาพของสัตว์โลกแล้ว จึงไม่เศร้าโศกกัน

    ๙. ท่านหาได้รู้ทางของผู้มา(เกิด) หรือผู้ไป(สู่ปรโลก) ไม่ เมื่อไม่เห็นปลายสุดทั้งสองด้าน ถึงจะคร่ำครวญไปก็ไร้ประโยชน์

    ๑๐. ถ้าผู้ที่ทำตนให้เดือดร้อนด้วยการหลงใหลคร่ำครวญ จะทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นได้บ้าง นักปราชญ์ผู้รู้แจ้งก็คงจะทำอย่างนั้นตามไปแล้ว

    ๑๑. การร้องไห้ เศร้าโศก ไม่สามารถทำใจของผู้คนให้สงบได้ มีแต่จะเกิดทุกข์มากยิ่งขึ้น ทั้งร่างกายก็จะพลอยทรุดโทรม

    ๑๒. จะเบียดเบียนตนเอง มีร่างกายซูบผอมผิวพรรณหมองคล้ำ การร่ำไห้คร่ำครวญไม่ได้ช่วยอะไรแก่คนที่ตายไปแล้ว จึงไม่มีประโยชน์อะไรเลย

    ๑๓. คนที่สลัดความโศกไม่ได้ มัวทอดถอนใจถึงคนที่ตายไปแล้ว ตกอยู่ในอำนาจของความเศร้าโศก มีแต่จะทุกข์มากยิ่งขึ้น

    ๑๔. จงดูเถิด ถึงแม้คนอื่นก็กำลังจะตายไปตามยถากรรม สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ต่างตกอยู่ในอำนาจมฤตยู กำลังพากันดิ้นรนด้วยกันทั้งนั้น

    ๑๕. สัตว์ทั้งหลายตั้งความหวังอยากจะให้เป็นอย่างอื่น(คือไม่ตาย) แต่ก็ไม่สมหวัง ความพลัดพรากจากกันมีอยู่เป็นประจำ ท่านจงพิจารณาดูความจริงแท้ของสัตว์โลกเถิด

    ๑๖. แม้จะมีคนอยู่ได้ถึงร้อยปี หรือเกินกว่านั้นไปบ้าง ก็ต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติ ทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้ อยู่ดี

    ๑๗. เพราะเหตุนั้น เมื่อได้สดับธรรมเทศนาของพระท่านแล้ว ก็พึงระงับความคร่ำครวญร่ำไห้เสีย ยามเมื่อเห็นคนล่วงลับดับชีวิตไป ก็ให้กำหนดรู้ว่าเขาตายไปแล้ว เราจะให้เขาฟื้นคืนมาอีกไม่ได้

    ๑๘. ธีรชนผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด พึงกำจัดความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเสียโดยฉับพลัน เหมือนเอาน้ำดับไฟ ที่กำลังไหม้ลุกลาม และเหมือนลมพัดปุยนุ่น

    [​IMG] ๑๙. ผู้แสวงสุขแก่ตน ควรระงับความเศร้าโศกคร่ำครวญร่ำไห้ ความโหยหาและความโทมนัส ควรถอนลูกศรคือความเศร้าโศกเสียให้ได้

    ๒๐. ผู้ถอนลูกศรนี้ได้แล้ว ก็จะมีอิสระได้ความสงบใจ ผ่านพ้นความเศร้าโศกทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศกมีแต่เยือกเย็นใจ

    ๒๑. ชีวิตนี้น้อยนัก มนุษย์ย่อมตายภายในร้อยปี ถึงใครจะอยู่เกินกว่านั้นไปบ้าง ก็ต้องตายเพราะชราเป็นแน่แท้

    ๒๒. ชนทั้งหลายเศร้าโศก เพราะสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเรา ทั้งๆ ที่สิ่งที่ยึดถือนั้น ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เลย ผู้ที่มองเห็นว่า ความพลัดพรากจากกันจะต้องมีแน่นอนเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ควรอยู่ครองเรือน

    ๒๓. คนที่สำคัญหมายสิ่งใดว่า "นี้ของเรา" ก็จะต้องจากสิ่งนั้นไปเพราะความตาย พุทธมามกะผู้เป็นบัณฑิต ทราบความข้อนี้แล้ว ก็ไม่ควรเอนเอียงไปในทางที่จะยึดถือว่าเป็นของเรา

    ๒๔. คนที่รักใคร่กันตายจากไปแล้ว ก็จะไม่ได้พบเห็นกันอีก เหมือนคนตื่นขึ้นไม่เห็นสิ่งที่พบในฝัน

    ๒๕. (ขณะมีชีวิตอยู่) คนที่มีชื่อเรียกขานก็ยังพอได้พบเห็นกันบ้าง ได้ยินเสียงกันบ้าง คนที่ตายไปแล้วก็เหลือแต่ชื่อเท่านั้นที่จะพูดถึงกันอยู่

    ๒๖. ผู้ที่พึงพอใจในสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเรา ย่อมสละความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ และความหวงแหนไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้เข้าถึงธรรม(มุนี) ทั้งหลายเห็นความปลอดโปร่ง จึงสละสิ่งที่เคยแหนหวงเที่ยวไปได้

    ๒๗. บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวถึงผู้ไม่แสดงตนในภพ(ผู้บรรลุแล้ว) ว่าเป็นบุคคลที่สอดคล้อง เหมาะสมกับภิกษุผู้บำเพ็ญความหลีกเร้นถอนจิต(ผู้ที่ยังไม่บรรลุ) ซึ่งอยู่ในเสนาสนะที่สงัด

    ๒๘. ผู้เข้าถึงธรรม(มุนี) ไม่ติดอยู่ในสิ่งทั้งปวง ไม่ทำอะไรๆ ให้เป็นที่รักให้เป็นที่ชัง ความรำพึงรำพันและความหวงแหนจึงมิได้แปดเปื้อน เหมือนน้ำไม่แปดเปื้อนใบบัว

    ๒๙. หยาดน้ำไม่ติดบนใบบัว วารีไม่ติดบนดอกบัวฉันใด ผู้เข้าถึงธรรม(มุนี) ก็ไม่ติดในรูปที่เห็นเสียงที่ได้ยินและอารมณ์ที่ทราบมาถึงใจ ฉันนั้น

    ๓๐. ผู้ห่างไกลจากกิเลส ผู้มีปัญญา ไม่ใส่ใจในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และอารมณ์ที่รับทราบ ไม่ปรารถนาความบริสุทธิ์ด้วยวิธีการอื่น ทั้งไม่ยินดียินร้าย

    [​IMG]

    ๓๑. บุคคลใดประพฤติชั่วร้ายไม่มีความคิด ถึงจะมีชีวิตตั้งร้อยปีชีวิตของเขาก็หาประเสริฐไม่ ส่วนบุคคลใด มีศีลมีความคิด แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวก็เป็นชีวิตที่ประเสริฐกว่า

    ๓๒. บุคคลใดเกียจคร้านมีความเพียรทราม ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี ชีวิตของเขาก็หาประเสริฐไม่ ส่วนบุคคลใด มุ่งหน้าทำความเพียรอย่างมั่นคง แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ก็เป็นชีวิตที่ประเสริฐกว่า

    ๓๓. บุคคลพึงสละทรัพย์เมื่อจะรักษาอวัยวะ พึงยอมสละอวัยวะเมื่อจะรักษาชีวิต และยอมสละทุกอย่างทั้งอวัยวะ ทรัพย์ และแม้ชีวิตเมื่อคำนึงถึงธรรม

    ๓๔. อายุ สังขารจะพลอยประมาทไปกับมนุษย์ทั้งหลาย ที่ยืน เดิน นั่งนอนอยู่ ก็หาไม่

    ๓๕. เพราะฉะนั้นในชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ คนเราควรทำกิจหน้าที่ของตนและไม่พึงประมาท

    ๓๖. ดอกไม้ที่สุมกันอยู่เป็นกอง นายช่างที่ฉลาดสามารถนำมาร้อยเป็นพวงมาลัยมีคุณค่ามากได้ฉันใด ชีวิตคนเราที่เกิดมานี้ก็ควรจะใช้ประกอบกุศลกรรมความดีให้มาก ฉันนั้น

    ๓๗. บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก

    ๓๘. ความตายเราก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจ เราจักทอดทิ้งกายนี้อย่างมีสติ สัมปชัญญะ มีสติมั่น

    ๓๙. ความตายเราก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจเรารอคอยเวลา เหมือนคนรับจ้างทำงานเสร็จแล้วรอรับค่าจ้าง

    ๔๐. วัยสิ้นไปตามคืนและวัน

    ๔๑. วันคืนล่วงไป ชีวิตของคนก็พร่องลงไป จากโอกาสที่จะได้สร้างประโยชน์

    ๔๒. วันคืนไม่ผ่านไปเปล่าๆ

    ๔๓. กาลเวลาล่วงไป วันคืนผ่านพ้นไป วัยก็หมดไปทีละตอนๆ ตามลำดับ

    ๔๔. รูปกายของสัตว์ย่อมร่วงโรยไป แต่ชื่อและโคตรไม่เสื่อมสลาย

    ๔๕. เมื่อจะตาย ทรัพย์แม้แต่น้อยก็ติดตามไปไม่ได้

    ๔๖. กาลเวลาย่อมกลืนกินสัตว์ทั้งหลาย พร้อมกับตัวมันเอง

    ๔๗. ถ้าบุคคลจะเศร้าโศกถึงคนที่ไม่มีอยู่แก่ตนคือ คนที่ตายไปแล้ว ก็ควรจะเศร้าโศก ถึงตนเอง ซึ่งตกอยู่ในอำนาจของพญามัจจุราชตลอดเวลา

    ๔๘. วัยย่อมเสื่อมลงไปเรื่อย ทุกหลับตา ทุกลืมตา

    ๔๙. เมื่อวัยเสื่อมสิ้นไปอย่างนี้ ความพลัดพรากจากกัน ก็ต้องมีโดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ควรเมตตาเอื้อเอ็นดูกัน ไม่ควรจะมัวเศร้าโศกถึงผู้ที่ตายไปแล้ว

    ๕๐. ผู้ที่เศร้าโศกถึงคนตาย ก็เหมือนเด็กร้องไห้ขอพระจันทร์ที่โคจรอยู่ในอวกาศ คนตายถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้ว่าญาติคร่ำครวญถึง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศก เขาไปแล้วตามวิถีทางของเขา

    ๕๑. ตอนเช้า ยังเห็นกันอยู่มากคน พอตกเย็นบางคนก็ไม่เห็นกัน เมื่อเย็นยังเห็นกันอยู่ มากคน ตกถึงเช้า บางคนก็ไม่เห็นกัน

    ๕๒. จะตายก็ไปคนเดียว จะเกิดก็มาคนเดียว ความสัมพันธ์ของสัตว์ทั้งหลาย ก็เพียงแค่ มาพบปะเกี่ยวข้องกันเท่านั้นเอง

    ๕๓. วันคืนผ่านไป อายุก็เหลือน้อยเข้าทุกที

    ๕๔. แม่น้ำเต็มฝั่ง ไม่ไหลทวนขึ้นสู่ที่สูงฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่เวียนกลับมาสู่วัยเด็กได้อีก ฉันนั้น

    ๕๕. ผู้เข้าถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดำรงอยู่กับปัจจุบัน ฉะนั้นผิวพรรณจึงผ่องใส

    ๕๖. คืนวันผ่านไปไม่มีอะไรให้เราเดือดร้อน ไม่เห็นมีอะไรที่เราสูญเสียในโลก ฉะนั้นเราจึงนอนสบายใจคิดแต่จะช่วยปวงสัตว์

    ๕๗. เวลาแต่ละวัน อย่าให้ผ่านไปเปล่าๆ จะน้อย หรือมาก ก็ให้ทำอะไรไว้บ้าง

    ๕๘. เร่งทำความเพียรเสียแต่วันนี้ ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือจะอยู่

    ๕๙. คนขยันทั้งคืนวัน ไม่ซึมเซา เรียกว่า มีแต่ละวันนำโชค

    ๖๐. จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่เดือดร้อนถึงจะตายก็ไม่เศร้าโศก ถ้าเป็นปราชญ์มองเห็นที่หมายแล้ว ถึงอยู่ท่ามกลางความเศร้าโศก ก็ไม่เศร้าโศ
     
  2. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    พุทธะวจนะแห่งองค์เสด็จพระพุทธชินสีห์เจ้านั้นในพระไตรปิฏกก็มี สิ่งสำคัญอ่านแล้ว เข้าใจรึเปล่ารึใช้สัญญาจำได้หมายรู้รึใช้ความคิดว่าแปลว่ายังงั้นแปลว่ายังนี้ ตามความคิดตน และยึดมั่นถือมั่น5555 อ่านแล้วสำคัญผิดรึเปล่าว่าต้องอย่างนี้ต้องอย่างนั้น.
    พระพุทธวจนะ เราเป็นเพียงผู้บอกทาง. มนุษย์ต้องเดินทางด้วยตนเองถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง .....
    หนังสือต่อให้เรียนและท่องจำจนขึ้นใจก็ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ได้
    ผู้ที่จะพ้นทุกขได้ต้องเอาหนังสือมาอ่านและเริ่มเดินทางตามแผนที่ และสิ่งสำคัญต้องมีพ่อแม่ครูบาอาจารณ์คอยอธิบายแผนที่ว่าหมายความว่ายังไง
    จึงสามารถเดินทางจนถึงจุดหมายได้.....
    สิ่งสำคัญสติและปัญญเท่านั้นที่จะช่วยให้ก้าวเดินได้โดยไม่หลงทาง
    หากขาดปัญญาย่อมไปไม่ตรงทางเพราะไม่มีปัญญาพิจารณาข้อธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ข้างใน. " ธรรมในธรรม "
    สมมุติมี วิมุติไม่มี วิมุตติมีสมมุติไม่มี55555
    ป.ล. กรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อคิดจะสอน. ๆๆๆๆๆๆ ท่องไว้ๆเดี่ยวบรรลุๆๆ5555555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2015
  3. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    กรรมขอพระพุทธเจ้าคือ
    ตามกระทู้ที่ผมดัน
    คือเมื่อก่อนมีคนบูชาพระเครื่อง จนงมงายว่า บูชาพระแล้วจะหนีกรรมได้
    ผมเลยตั้งลงค์เพื่อบอกให้รู้ว่าทุกคนหนีไม่พ้นกรรม ไม่เว้นแม้แต่พระศาสดา
    เมื่อคิดจะสอนคือ
    ให้สอนด้วยการกระทำไม่ใช่ สอนด้วยคำพูด
    เพราะมีช่วงหนึ่งชาวเว็ปพลังจิต ชอบออกมาสอนๆแต่ตัวเองทำไม่ได้
    แล้วมีพระออกมาพูดว่า เมื่อคิดจะสอนก็ให้สอนด้ยการกระทำไม่ใช่คำพูด
    ผมเห็นว่ามันมีประโยชน์เลยทำลิงค์ไว้
    แต่พอเว็ปเปลี่ยนจาก.comเป็น.org มันได้ยกเลิกลิงค์ ทำให้เชื่อมต่อไม่ได้

    ไม่เชื่อไปดูสมาชิกเก่าๆที่ไมไ่ด้แก้ใขลิงค์จะกดแชร์ไม่ได้
     
  4. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    แล้วผมไม่ทราบว่าครูบาอาจารย์ของ ท่านคือใคร
    แต่ครูของผมคือพระศาสดา
    เรื่องพระไตรปิฏก ผมอาจจะสงสัยว่า ใช่คำพูดของท่านใหม แค่นั้น
    แต่ถ้าหากใช่ ผมก็จะเชื่อทันที ว่านั้นคือความจริง ไม่มีกาล แม้จะผ่านมานานแค่ใหน

    ผมไม่ทราบว่าทราบว่าครูของท่านเก่งแค่ใหน ถึงทำให้ท่านมาด่าพระธรรมขนาดนี้

    แต่เอาเป็นว่า
    ท่านมีครูของท่าน
    ผมก็มีครูของผม

    ท่านเดินตามทางครูของท่าน
    ส่วนผมก็เดินตามครูของผม
     
  5. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    เป็นผมจะไม่กล่าวเช่นนั้นแน่นอน
     
  6. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    พระพุทธชินสีห์เจ้าคือพระบรมครูของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ พระองค์คือพระศาสดาแห่งพุทธศาสนา
    เอาละผมไม่ได้จะสอนท่าน แต่ถ้าท่านมีปัญญาผมจะชี้ให้ท่านเห็นและตอบคำถามผมให้ตรงธรรม
    1. ท่านอ่านพระไตรปิฏกรึอะไรก็ตามที่ท่านกล่าวว่าเป็นคำตรัสพระพุทธเจ้า
    เอาข้อที่55 ที่ท่านโพสก็ได้ ผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ฯลฯ ข้อความในบทนี้หมายความว่าอะไร ?แปลว่าอะไร?
    2. ต่อให้เรียนให้ท่องจำจนขึ้นใจ ก็ช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ หมายความว่า ต่อให้เรียนหรือท่องจำได้ทั้งหมดนั้นคือสัญญา สัญญามันจำได้หมายรู้ มันเกิด-ดับๆๆแล้วถ้ายึดสิ่งที่สัญญามันจำได้ ถ้ามันดับท่านจะยึดอะไร? ตอบซิ? แต่ถ้าท่านนำเอาคำกล่าวมาปฏิบัติด้วยปัญญาท่านจะรู้เองว่ามีผลที่เราผัสสะ ณ.ปัจจุบันแล้วสาวไปหาเหตุ ปัจจัยว่าเหตุอะไรจึงมีผลเช่นนี้ ทุกอย่างต้องมีเหตุจึงมีผล ผลมันไม่ลอยมาเฉยๆแน่ๆ เเละทั้งผลทั้งเหตุมันก็อนิจจังไม่เที่ยงแค่รู้เท่านั้นมิใช่ยึด การกล่าวธรรมต้องเข้าใจในธรรมและธรรมนั้นต้องมาจาจิต ท่านรู้รึไม่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรและสอนอะไร? รู้จักคำว่ากาลเทศะรึไม่หรือคำว่า"ตามกาล". ท่านโพสพุทธวจนะนั้นดีมากในเบื้องต้นแต่ท่านรู้ไหมว่าคนอ่านจะเข้าใจแค่ไหน การไม่โกรธก็มิใช่มีผลให้รูปงามเพียงอย่างเดียวยังมีผลของกรรมอื่นๆที่ทำมาส่งตามวาระกรรมอีกเช่น การโกรธแต่ไม่อามาตแค่โกรธแต่ไม่มีจิตโกรธเช่นพ่อโกรธลูกให้โกรธแค่ไหนพ่อก็ไม่มีวันทำร้ายลูกตนเด็ดขาดเหตุเพราะลูกเจ็บพ่อเจ็บกว่า นี่ก็โกรธแต่โกรธแบบไม่มีจิตยึดมั่นรึโกรธเพื่อนเพราะสำคัญผิดว่าเพื่อนจะแย่งกิ๊ก โกรธหัวฟีดหัวเหวี่ยงพอเพื่อนบอกเปล่าไม่ได้แย่งพร้อมอธิบายเหตุผลพอเข้าใจจึงรู้ว่าเราเข้าใจผิดก็หายโกรธนี่ก็โกรธ แล้วผู้จะไม่โกรธไม่ใช่ทำใจไม่โกรธได้นั้นก็ตอแหร่5555การจะไม่โกรธได้ต้องมีเหตุปัจจัยอีก ไม่ใช่ท่องกรุไม่โกรธๆๆ เหตุปัจจัยการไม่โกรธคือต้องเข้าใจก่อนว่าโกรธคืออะไรมันมีเหตุปัจจัยอะไร?โกรธจากผัสสะและผัสสะทางไหนละ ทางตารึ ทางหูรึ ฯลฯยกตัวอย่างทางหูนะ หูมันเห็นเสียง เมื่อมันได้ยินใครด่าพ่อล่อแม่มันก็โกรธ ถามว่าใครโกรธหูโกรธรึจิตปรุ่งแต่งว่ามันด่ากูแล้วโกรธ นี่มันคือกุโกรธถุกไหม? ถ้ายังมีกรุอยู่ยังไม่สามารถถอดถอนตัวกรุได้ ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่าเสียงมันมีตัวไหมมันเป็นอากาศเป็นลม ลมออกจากตูดก็เหม็น ลมออกจากปากก็เหม็นเหมือนกัน. แล้วกรุไปโกรธลมทำไมวะ โง่ฉิบ ใช่ไหม 5555. ลมมันออกจากปากจากใจที่ด่าว่าเราด้วยอะไรด้วยความหลง คนที่หลงคือคนที่ยังยึดมั่นถือมั่นในสมมุติ เมื่อเรากับเค้าต่างไม่แตกต่างกันแล้วมันจะไปยึดให้ต้องก่อเวรก่อกรรมกันทำไม. จริงไหม นี่คือการไม่โกรธอย่างมีสติปัญญา ไม่ใช่ท่องกูไม่โกรธๆแต่วิ่งไปชกหน้ามัน5555 ส่วนผลนั้นมันก็ไม่แน่ว่าจะรูปงามเหตุเพราะยังมึเหตุปัจจัยอย่างอื่นที่เป็นตัวแปร.
    ที่พระพุทธองค์ตรัสต้องเข้าใจก่อนว่าท่านตรัสตามกาล ตามเหตุ ตามปัจจัย
    ท่านตรัสสอน ปุถุชนก็อย่างหนึ่ง สอนอริยะบุคคลก็อย่างหนึ่ง นั้นเพราะสติและปัญญาที่จะพิจารณาธรรม มันแตกต่างกัน มิใช่ปุถุชนโง่นะแต่เค้าสามารถทำตามพุทธวจนะได้แค่นี้ด้วยเหตุปัจจัยอื่นๆมาร่วมด้วย ต่อให้พระองค์ท่านสอนเหมือนกันแต่การปฏิบัติให้เข้าถึงก็ต่างกันตามเหตุตามปัจจัย ที่นี้ท่านเข้าใจรึยังว่า อย่าได้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ท่านอ่านมา และผลต่างๆที่พระพุทธเจ้าแสดงก็ยังมีเหตุมีปัจจัยอื่นๆมาเป็นองค์ประกอบผลจึงมิใช่สิ่งที่ท่านคิด. ส่วนผลที่พระพุทธเจ้ากล่าวนั้นคือความจริง แต่ท่านต้องทำเหตุและปัจจัยอื่นๆตามคำสอนเข้ามาส่งผลด้วย จริงใหม ไม่ใช่ไม่โกรธแล้วจะสวยจะหล่อนั้นมันตามตัวอักษรแต่การไม่โกรธจะทำยังไงให้เกิดผลไม่โกรธละ?นี่คือการใช้สติปัญญาพิจารณาธรรมสาวไปเรื่อยๆจิตจึงจะเข้าใจและจิตจะรู้ธรรมที่พระพุทธชินสีห์เจ้าตรัสสอนไว้
    ถ้าคนปฏิบัติจะอธิบายธรรมตามธรรม. ไม่เกี่ยวกับท่านรึใครรึนาย ก นาง ข
    แต่กล่าวธรรมตามธรรม. คำกล่าวผมสามารถอธิบายได้ทั้งหมดตามความเป็นจริง ตามธรรม ทีนี้คงเข้าใจได้นะว่าทำไมผมกล่าวเช่นนั้น
    ส่วนท่านผมอธิบายไปแล้วว่า พระพุทธเจ้ามิได้เสวยเวทนา เวทนามันทำหน้าที่ของมันเท่านั้น. พระองค์ทรงกล่าวเหตุปัจจัยในการที่พระองค์มีผลเช่นนี้ว่ามาจากเหตุปัจจัยอะไร ท่านก็สำคัญผิดว่านั้นคือผลกรรมของพระพุทธเจ้า เฮอะ ถึงพยายามเตือนท่านตลอดแต่ท่านไม่ฟังเอง
    ผมไม่มีเหตุที่จะทำร้ายใครแม้แต่ท่าน การกล่าวอาจจะไม่ถูกใจแต่นั้นคือความจริง. ท่านทำเองผลท่านรับเอง ผมไม่เกึ่ยว ถ้าพุดแบบชาวบ้านก็คือ.
    เรื่องของมรึง ตกนรกก็มรึงตกกุไม่ได้ตกด้วย 55555
    สิ่งที่กล่าวถ้าไม่จริงไม่ถุกต้องตรงธรรมย้อนแย้งได้นะครับ5555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2015
  7. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    5555. ธรรมนั้นมันมีของมันอยู่แล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนตรัสรู้ธรรมนี้เหมือนกันหมด. พระพุทธชินสีห์เจ้าพระบรมศาสดาทรงค้นพบธรรมนี้ด้วยพระปัญญาญาณของพระองค์เองพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อมนุษย์และเทวดาจึงทรงตรากตรำพระวรกายของพระองค์เที่ยวสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้รู้-เห็นตามพระองค์
    ส่วนพระอรหันต์เจ้าทุกๆพระองค์ก็ทรงรู้ธรรมนั้นตามพระพุทธชินสีห์เจ้าเหมือนกันต่างกันแค่ไม่สามารถรู้-เห็นธรรมด้วยตนเองต้องมีพระพุทธชินสีห์เจ้าเป็นผู้บอกกล่าว ผู้ชี้แนะ จึงสามารถเห็นธรรมนั้นได้ ท่านมีพระพุทธเจ้าเป็นครูนั้นดีครับ แต่ท่านจะถามธรรมที่ท่านสงสับกับใครละ?ใครคือผู้ที่สามารถอธิบายธรรมตามธรรมให้ท่านเข้าใจและเห็นจริงตามธรรมละ? รึใช้คิด เดา. คาดคะเน เอา5555
    ท่านอธิบายธรรมซิว่า การปลงอสุภะนั้นเขาใช้ปลงอะไรและอธิบายด้วย. ง่ายๆนะ อย่าให้เสียชื่อละ. ท่านกล่าวเองว่าท่านมีพระพุทธเจ้าเป็นครู
     
  8. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    คำตรัสแห่งองค์พระพุทธชินสีห์เจ้าคือ อกาลิโก หมายความว่า ท่านกล่าวธรรมที่มีอยู่แล้ว ต่อให้มีพระองค์ท่านรึไม่มี ธรรมนั้นก็มีอยู่แล้ว ท่านตรัสรู้ธรรมนั้นด้วยพระองค์เอง แม้ พระศรีอริยะเมตไตรหรือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็จะตรัสรู้ธรรมนี้เช่นกันเหมือนกัน
    นี่จึงหมายความ อกาลิโก ธรรมตลอดกาล ไม่มีกาล
    ส่วนพระไตรปิฏกนั้นต้องเข้าใจด้วยว่าพระพุทธเจ้ามิเคยทรงพระอักษรด้วยองค์เอง ท่านกล่าวด้วยวาจา เมื่อพระองค์ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว จึงมีการเขียนพระไตรปิฏกขึ้นครั้งแรก มีเหล่าพระอรหันต์เป็นผู้ร่วมกันแสดง. ต่อมาก็มีการสังคายนามาอีกหลายครั้ง. และครั้งแรกก็เขียนเป็นภาษา มคต ต่อมาก็แปลเป็นภาษา บาลี ต่อมาก็แปลเป็นภาษาไทย ท่านว่ามันจะไม่มีตกหล่น สูญหาย และแปลได้ถูกต้อง100%เลยรึตั้งแต่ต้นนะ55555
    และที่อ่านๆกันที่เรียกว่า พุทธวจนะ ก็ลูกศิษย์เขียนเช่นกัน พระพุทธเจ้ามิได้ทรงอักษรด้วยองค์เอง.
    เอาเป็นว่า ถูกต้องตรงธรรมทั้งหมด แต่คนอ่านมีปัญญาสามารถเข้าใจได้ถูกต้องตรงธรรมได้ละเอียดหมดจรดจริงรึ ?ใครจะอธิบายข้อสงสัยในธรรมนั้นได้? รึไม่มีข้อสงสัยเลย 5555
    งั้นลองตอบง่ายๆละกันนะ
    พระดำรัสแห่งพระพุทธชินสีห์เจ้าที่กล่าวว่า. ผู้ใดเห็นธรรม. ผู้นั้นเห็นเราคถาตค หมายความว่าอย่างใด? ลองตอบซิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2015
  9. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ไม่เห็นเข้ามาตอบคำถามเลย? เมื่อไม่สามารถตอบในข้อธรรมตามธรรมได้ก็จงอย่านำพุทธวจนะมาโพสเลย มันสุ่มเสี่ยงต่อ อบายภูมิที่ท่านต้องไปเมื่อกายแตก จงหมั่นศึกษาตามกำลังสติปัญญาที่มี ต่อสู้กับจิตตน สอนตนว่า อย่าได้เสือกกับเรื่องคนอื่นให้มากนัก ใครกล่าวถูกจริตตนก็ยินดี พอใจ ใครกล่าวไม่ถูกจริตก็ไม่ชอบใจ. นั้นมันตามเวทนา กิเลส ที่มี ศึกษาอีกแสนอสงไขยก็ตายเปล่า. จงอยู่เงียบๆสอนจิตตน จนแกร่งพอค่อยออกมาต่อสู้กับกิเลสภายนอก แต่ถ้าตนยังสอนจิตตนไม่ได้ ก็อย่าเที่ยวโพสพระพุทธวจนะให้ใครอ่านเลย เสมือนโชว์กายอันเน่าเหม็นว่าสวยงามจับใจ หลอกชาวบ้านไปวันๆ. หาสาระมิได้55555555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2015
  10. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคตคือ พระศาสดาท่านได้ทิ้งคำสอนไว้แทนตัวท่าน หากผู้ใดที่สามารถนำปฏิบัติจนรเกิดผล ต่อให้พระศาดาไมไ่ด้อยู่ต่อหน้าพระพักษ์ก็เหมือนอยู่ต่อหน้า การปฏิบัติตามหลักคำสอนของตถาคต นั้นก็เหมือนนั่งฟังธรรมของพระพุทธเจ้า จึงเปรียบได้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถราคต
     
  11. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วเห็นพระตถาคต ไม่ว่าจากฝันหรือจากในสมาธิก็มีอยู่มาก
    ผมไม่อยากพูดเช่นนั้น เพราะเชื่อว่าคุณคงไม่เชื่อแน่นอน

    แล้วประโยคที่ว่า
     
  12. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512

    หนักใจมากกับคำที่


    การโพส พุทธวจนะ แล้วตกนรก
    ไม่คิดว่าจะมีชาวพุทธคิดเช่นนี้ได้นะ
     
  13. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    55555. ท่านยังต้องหมั่นฟังธรรมอีกนะครับ. ความหมายในพระดำรัสนี้คือ ผู้ที่เห็นธรรมดังเช่นพระองค์เห็นนั้นคือธรรมอย่างเดียวกับที่พระองค์ทรงรู้และนำมาสอนมาตรัส เห็นธรรมจึงเห็นพระองค์ ไม่ใช่เปรียบเหมือนเห็นพระองค์ แล้วพระไตรปิฏกที่ว่านะมันแปลมาหมดทุกคำตรัสรึจึงบอกว่าเหมือนได้นั่งฟังธรรมจากพระองค์ นั้นมันมโน คิดไปเอง. เหมือนตรงไหน ต่อให้นั่งฟังทุกประโยคที่พระองค์ตรัสก็ไม่พ้นทุกขถ้าไม่นำมาแล้วใช้ปัญญาพิจารณาตามคำตรัสนั้น ฟังอีกแสนอสงไขยก็ไม่พ้นทุกข ทุกครั้งที่มีพระอรหันต์พระองค์จะตรัสว่า ท่าน.....มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว. รึโกทัศญะเองท่านก็ตรัสว่าโกทัศญะรู้แล้ว. หมายความว่าพระอรหันต์ทุๆพระองค์ล้วนแจ้งธรรมสิ้นสงสัย เห็นธรรมตามที่พระองค์ทรงเห็นแล้วเหมือนกัน นี่คือความหมายในพระดำรัสนี้ 55555555. พระองค์ไม่เคยให้ใครมายึดที่พระวรกายแห่งพระองค์ท่าน แต่ให้ยึดธรรมที่พระองค์ทรงแสดงและให้ไปปฏิบัติเองจึงสามารถเห็นธรรมได้ 5555แม้ไปซะกู่ไม่กลับเลย
    หมั่นนำพระดำรัสมาปฏิบัติแหละดีแล้ว อนุโมทนาด้วย แต่ถ้ามิได้ฟังธรรมจากพระอริยสงฆ์เจ้าจะไม่สามารถแจ้งในธรรมได้
    ผมเองก็เคยเหมือนท่านแหละยึดพระพุทธวจนะในพระไตรปิฏก แต่พอมาถึงทางตันในจุดหนึ่ง ปัญญาที่มีไม่สามารถแทงทะลุธรรมนั้นได้ มันวนไปวนมา จนกลายเป็นว่าความรู้ท้วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด แต่ยังมีบุญได้พบธรรมจากพระอริยสงฆ์เจ้าซึ่งก็ไม่เคยเห็นหน้าท่านมาก่อนแต่ท่านกล่าวธรรมตามธรรมผมจึงสามารถเข้าใจธรรมและปฏิบัติตาม ตามกำลังแห่งสติปัญญาเท่าที่มีในชาตินี้ได้ ผมสู้คือสู้กับจิต ไม่สู้ก็ตาย สู้ก็ตาย แต่ถ้าสู้ยังมีโอกาสไม่เกิด ผมจึงสุ้ดีกว่า วันนี้ยังหายใจเข้าออกอยู่แต่คืนนี้ยังไม่รุ้ว่ามันจะหยุดไหม?5555. อาวุธสำคัญคือ สติ ปัญญา และยอมรับ นั้นคือทางแห่งมรรค ขอให้ท่านเดินทางในเส้นทางนี้อย่างมีสติและปัญญาท่านจะชนะแต่ถ้าขาดทั้ง2อย่างก็แพ้ตั้งแต่เริ่มแล้ว ขอให้ท่านก้าวย่างอย่างมั่นคงจนถึงจุดหมายเถอญ. สาธุ
     
  14. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    5555ไม่ใช่โพสพระพุทธวจนะแล้วตกนรก แต่การโพสพระพุทธวจนะโดยที่คนโพสไม่เข้าใจในความหมายในพุทธวจนะแล้วโพสไม่ถูก กาลรึกาลเทศะและคนอ่านสำคัญผิดต่างหากละถึงจะมีผลในทางลบ
    ท่านต้องเข้าใจก่อนว่าโบราณกาลในสมัยพุทธองค์นั้นพระองค์ทรงตรัสสั่งสอนเหล่าสรรพสัตว์ด้วยวาจาคือหมายความว่า พบคนหนึ่งสอนอย่างหนึ่งตามแต่เหตุปัจจัยนั้นๆที่คนฟังแล้วน้อมรับได้ เมื่อพระองค์ทรงสั่งสอนคนตามเหตุปัจจัยคำตรัสของพระองค์จึงมีตั้ง84000พระธรรมขันธ์ นี่เพราะฉะนั้นการโพสนี้ท่านจะรู้รึไม่ว่าคำตรัสตรงไหนเหมาะกับใครในนี้ ยกตัวอย่าง เรื่องรุปหล่อนั้นลองไปอ่านดู ท่านตรัสถุกต้องแต่มีเหตุมีปัจจัยอย่างอื่นอีกที่เป็นวาระกรรมส่งผล. คนนี้ชาตินี้เป็นคนคิดเรอะว่าชาติหน้าจะได้เป็นคนนะแล้วยังจะเอาหล่อเอาสวย เอาแค่เกิดเป็นคนเหมือนชาตินี้ยังยากเลย นี่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องชี้ความจริงให้เค้าเห็นก่อน มิใช่โพสพุทธวจนะส่งๆๆไปว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่ายังงึ้ๆคนอ่านยึดตามท่านโพสแล้วทำตามพอตายห่าไปชาติหน้าเสือกเกิดเป็นหมาเพราะวาระกรรมส่งผล มันไม่อาฆาตท่านรึ แม่งหลอกกุกุทำตามมันโพสแล้วแต่ไม่ได้เป็นคนเสือกเป็นหมา นั้นงานเข้าเลยนะท่าน,555555. ถ้าท่านยังไม่ถึงในชั้นโสดาบันจึงยังไม่เข้ากระแสแห่งพุทธะ เมื่อเข้ากระแสแล้วการกระทำจะรอบคอบไม่กล้าแตะอะไรก็ตามที่เป็นของพระพุทธชินสีห์เจ้าอย่างเด็ดขาดด้วยความกลัวละอายใจต่อบาป ในนี้มีหลายคนนะที่มีอบายเป็นที่ไปแน่ๆด้วยไม่รู้แล้วยึดว่ากุรุ้กุเก่งมีทิฐิมานะ 2ตัวนี้แหละคือกุญแจไขประตุอบายดีๆนี่เอง555555
    คงเข้าใจแล้วนะว่าโพสพุทธวจนะไม่ไปอบายแน่ แต่มีเหตุปัจจัยอย่างอื่นให้ไป55555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2015
  15. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ผมไม่ปัจจัยอื่น นอกจากส่งต่อคำสอนพระธรรม

    ส่วนตัวผมคิดว่า
    ต่อตนเองให้ไม่เข้าใจ
    แต่หากโพสต่อแล้วคนอื่นเข้าใจ
    ตัวเราก็เกิดอนิสงค์มากกว่าบาป

    ส่วนเรื่องนรกสวรรค์ผมไม่ได้สนใจเลยไม่ได้อยากไปทั้ง2ที่
     
  16. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    แล้วถ้าคนอื่นไม่เข้าใจเหมือนท่านละแล้วนำไปใช้ผิดทางละ? วันนี่สดๆผู้กำกับชื่อดังประกาศเลิกนับถือศาสนาพุทธแล้ว อ้างว่าศาสนาพุทธให้แต่บ้านแตกสาแหรกขาดไม่เคยให้อะไรแก่เค้าเลยทั้งๆที่เค้าให้มาตลอด5555
    นี่ไงผมยังกล่าวไม่ทันขาดคำ เหตุเกิดเสียแล้ว5555
    เราเองยังไม่เข้าใจก็จงอย่าคิดแทนคนอื่นเค้าว่าเค้าจะเข้าใจ เค้าก็เหมือนเรานั้นแหละไม่แตกต่าง เค้ามีเราก็มีครบมิได้ด้อยไปกว่าเค้าเลย ถ้าเค้าไฝ่ในธรรมเค้ามึความสามารถหาพระไตรปิฏกมาอ่านเองได้ไม่ต้องอาศัยท่านโพสหรอก55555จิงไหม? ส่วนนรกรึสวรรค์ไม่ใช่ว่าเราอยากไปก็ได้ไปรึไม่อยากไปก็ไม่ไป ตามจิตเรา มันมีวาระกรรมให้ผลจึงต้องไป 5555ไม่มีใครอยากไปอบายทุกคนอยากไปสุขติภพ และนิพานทั้งนั้น แต่นิพานไม่ใช่ บิ๊กซี นึกจะไปก็ไป55555ถ้าสติและปัญญายังไม่เข้าใจธรรมมันไปไหนไม่ได้หรอกมันหลง เมื่อหลงจิตมันจะไปตามกระแสแห่งกรรม. ไม่ใช่ท่านอยากรึไม่อยากไป55555ต่อใหัตั้งจิตยังไงมันก็ไปเพราะวิบากกรรมมันส่งผล แต่หากมีสติและปัญญาสามารถรู้แจ้งธรรมเท่านั้นที่วิบากมันจะส่งผลตราบเท่าที่ขันธ์5ยังทรงอยู่เท่านั้นแต่ผู้นั้นจะไม่เสวยเวทนาอย่างเด็ดขาด ด้วยรู้แจ้งต่อทุกสรรพสิ่งจนสิ้นสงสัยแล้ว เมื่อขันธ์ดับคือธาต้ทั้ง4ไม่สมดุลแล้วท่านจึงไปนิพานพ้นวัฏสังสารมิต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว5555555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2015
  17. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ถ้าอย่างนั้นผมควรจะหยุดวินะ เพราะเดี่ยวคนเอาพูทธพจไปใช้ทางที่ผิด

    ตามนั้นก็ได้ หากคุณกลัวเป็นเช่นัน้นผมจะทำให้ครับ
     
  18. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ไม่หรอก ผมยังอยู่อีกนาน ยังเวียนว่ายตายเกิดอีกนาน
    ไม่สามารถเข้านิพพานได้หรอก
    ขอบคุณในความหวังดี

    พระอรหันต์คือผู้ไม่ยึดติดแล้วทั้งบุญบาป
    แต่ตัวผมคือผู้ยึดติดในบุญ
    เพราะความยึดติดยังมีอยู่
    และจะไม่สามารถเป็นอรหันต์ได้แน่นอนครับ

    ขอบคุณในความหวังดี
     
  19. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    55555เป็นได้ทุกคนแหละครับ. ถ้าคนเป็นอรหันต์ไม่ได้พระพุทธเจ้าเสด็จพ่อเราเหนื่อยพระวรกายมา45ชันษาเพื่อสอนมนุษย์และเทวดาทำไมครับ เราเป็นลุกหลานที่นับถือศาสนาที่ท่านเป็นศาสดา เราทำไมจะทำไม่ได้ละครับ ผมแนะนำนะครับจะใช้อินบล๊อกให้ท่าน ท่านจงอ่านพระธรรมของพระองค์นี้และทำจิตให้ว่างนะแล้วใช้สติปัญญาพิจารณาธรรมที่ท่านกล่าว ท่านจะเข้าใจอะไรๆอีกหลายอย่างครับ. เอาใหมครับผมจะส่งให้ ไม่เอาจะไม่ส่งครับ55555
     
  20. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    คุณบอกว่าเอาพระธรรมมาเผยแพร์ไม่ดีเดี่ยวคนเข้าใจผิด
    ตอนนี้บอกให้ไปศึกษาพระธรรม
    ตกลงยังไงครับ

    คุณไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมผมปล่อยคุณด่าผมเยอะแล้วผมค่อยออกมาอธิบาย

    ;)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...