พอใจรูม

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ppojai, 3 ตุลาคม 2010.

  1. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    (k):cool:ลองไปค้นคว้าดู เขาบอกบางคนมีตั้ง 7 ขวัญแน่ะ พี่ต้อย
    บางคน ขวัญมาอยู่ตรงคิ้ว ปลายผม ท้ายทอย แล้วแต่จะมี จะเป็น มองทางวิทยาศาสตร์ น่าจะเกี่ยวกับเซลล์อะไรที่มันม้วน ๆ ไหมคะ ร่างกายมนุษย์นี่มหัศจรรย์จริง ๆ แค่เซลล์น้ำอสุจิของพ่อ วิ่งเจาะรังไข่แม่ ผสมตัวกันแล้วฟักออกมาเป็นคน สัตว์ ยิ่งมองยิ่งสุดมหัศจรรย์พันลึกค่ะ

    :boo:เด็กที่มีขวัญมากกว่า หนึ่งขวัญ เป็นเด็กที่ค่อนข้างดื้อ ฉลาดค่ะ น้องชายพอใจก็มี สองขวัญ ตอนนี้เป็นรองนายกเทศมนตรีค่ะ ตอนเด็ก ๆ เขาดื้อมาก มีพรสวรรค์ด้านบริหารคนค่ะ ผู้ปกครองที่มีลูกหลานขวัญเยอะ ๆ ควรต้องส่งเสริมให้เขาไปในทิศทางที่ถูกต้องนะคะ เพราะธรรมชาติเขาจะแร้งงงง กว่าเด็กปกติค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กันยายน 2015
  2. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    (k):cool:ว่างแล้วหรือคะ ได้กำไรหายเหนื่อยแล้วซิคะนี่... เหนื่อย ๆ ก็มารีแล็กซ์กันน๊า...ป้าคิดถึงหนูเสมอ ๆ ล่ะค่ะ ถึงไม่ทัก ก็อยู่ในใจอยู่แล้วนะคะ
     
  3. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ป้าใจน่ารักเสมอ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง:d
    ปล.เพื่อนหลายคนในนี้ส่วนใหญ่จะน่ารักค่ะ(ส่วนน้อยที่มีปัญหา คนที่มีปัญหา.ส่วนมากเค้าจะมีปัญหาส่วนตัว:boo:
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    *********************
    ขอบคุณที่มีนํ้าใจคิดถึงค่ะ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในเวปที่มอบให้แก่กัน
    :cool:({)
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    *****************
    ** แหมความอัศจรรย์อันนี้แหละที่ก่อภพชาติดีนักหละ
    **ขวัญหายแบบนี้หรือเปล่าคะ;)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2 millions.jpg
      2 millions.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.6 KB
      เปิดดู:
      94
  6. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ดูรูปตอนแรก โต๊ะจายหมดเลย 555
    อารมณ์ดีนะคะพี่ต้อย..
     
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    “50 ข้อคิด”
    มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต


    1. เมื่อเด็กกำลังเติบโตเป็นวัยรุ่น มีความต้องการเป็นตัวของตัวเองสูง ผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจและใจแคบมักจะมองว่าเด็กดื้อ

    2. คนเราจิตตกได้เป็นครั้งคราว อาจทำอะไรที่ไม่เหมาะสมได้ การรู้ตัวเองและให้อภัยตัวเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ

    3. คนอกหักไม่อาจตัดความโศกเศร้าได้ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเยียวยาความรู้สึกดังกล่าว

    4. ให้เคารพแนวคิดของผู้อื่นบ้าง เสมือนหนึ่งเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ต่างไปจากเราเท่านั้นเอง

    5. ตนเองเสียเมื่อไหร่ที่คิดดี คิดชอบเป็นอยู่คนเดียว

    6. ทำไปเพราะไม่รู้ ให้อภัยกันได้ รู้แล้วยังทำ คือ ความดื้อ

    7. ก่อนที่จะว่ากล่าวถึงนิสัยไม่ดีของลูกนั้น ให้มองตัวพ่อแม่เองก่อนด้วยว่า เรามีส่วนผลักดันให้เขาเป็นเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า

    8. ความทุกข์ของมนุษย์ 100% เกิดจากการพยายามฝืนความจริงของธรรมชาติ

    9. หากต้องอยู่กับคนที่ไม่เกรงใจกันเลย พูดกับเขาให้น้อยลง เล่นกับเขาให้น้อยลง

    10. หากอยากได้อะไร ก็ควรเสียอะไรบ้าง

    11. ถ้าเราปล่อยให้โลก เร่งตัวเรา ควบคุมตัวเรา จนเราขาดอิสระภาพ เราก็จะทุกข์ ถ้าเราจะเร่งโลก ควบคุมโลกให้โลกนี้เป็นไปตามความต้องการของเรา เราก็ทุกข์เช่นกัน

    12. ความฉลาดอาจหลอกคนได้ ความจริงใจต่างหากที่จะชนะใจคน

    13. การให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากไป ทำให้เราลืมธรรมชาติ ลืมความเป็นจริงได้ง่าย

    14. อารมณ์เป็นตัวกำหนดความคิด ความคิดกำหนดพฤติกรรม หากจะเข้าใจพฤติกรรมของคนให้ถูกต้อง จึงต้องอ่านอารมณ์ให้ออก

    15. การมองอะไร ว่าดี ว่าเลว ขึ้นกับว่าอารมณ์ของเราขณะนั้นเป็นอย่างไร

    16. ทำอะไรก็แล้วแต่ ควรมีหลักการบ้าง แต่ต้องระวังอย่ายึดเป็นกฎเกินไป

    17. อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเป็นคำพื้นๆ ที่ใช้มาเตือนสติเราได้ดีตลอดกาล

    18. การพยายามทำอะไรทุกอย่างให้ได้ การสงสัยอะไรทุกเรื่องเป็นความโง่ได้ก็เพราะว่าเรื่องต่างๆ ในโลกนี้มีตั้งหลายเรื่องที่ใช่ว่าเราจะรู้มันได้ง่ายและเรื่องอีกหลาย เรื่องก็ไม่จำเป็นที่ต้องตอบให้ได้ด้วย

    19. คุณธรรมส่อคุณค่าของมนุษย์มากกว่าความฉลาด

    20. อะไรก็ตามแต่แม้ว่ามันจะจริง จะถูกต้อง แต่ถ้าการพูดออกไปนั้น มันไม่มีประโยชน์มีแต่ผลเสีย อย่าพูดดีกว่า

    21. การขาดความเกรงใจต่อกัน ทำให้เราทะเลาะกันได้ง่าย การมีความเกรงใจต่อกันที่มากเกินไป ก็ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง

    22. ใครที่เขากล้าพูดความจริงกับเราออกมา นั่นก็เพราะเขามีความเชื่อมั่นว่าเราจะยอมรับเขาได้

    23. การฝึกวินัยให้กับลูกนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นการฝึกวินัยให้กับพ่อแม่ด้วย

    24. หากลูกเป็นคนเฉื่อยชา เราคงต้องช่วยกระตุ้นให้กำลังใจ หากลูกเป็นคนเอาจริงเอาจังเกินไป เราคงต้องช่วยสอนให้ลูกได้ปล่อยวางบ้าง กฎเกณฑ์การเลี้ยงลูกของคนๆ หนึ่ง จึงไม่เหมือนของอีกคนๆหนึ่ง

    25. เมื่อคิดจะเสนอความคิดเห็นต่างๆ ที่มองว่าดี ต้องมองถึงความเป็นจริง ความเป็นไปได้ด้วยเสมอ

    26. แต่ละคนมีศักยภาพของตัวเองอยู่แล้ว เราจึงควรต้องให้เกียรติต่อกันบ้าง

    27. เมื่อเป็นคนก้าวร้าวคนอื่นไม่เป็น ก็มักจะถูกคนอื่นรุกรานได้ง่ายเช่นกัน

    28. ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรม การตายก็ไม่ใช่วิธีการหนีปัญหาได้ตลอดไป เนื่องจากกรรมนั้นๆ ยังไม่ได้ชดใช้ จนหมดวาระในตัวของมันเอง เกิดชาติหน้า กรรมเก่าก็จะติดตัวต่อไปอยู่ดี

    29. การมองปัญหาในแง่มุมต่างกัน ในจุดต่างกันจะทำให้เข้าใจปัญหาได้ต่างกัน

    30. เราจะให้อภัยตัวเอง กับผู้อื่นได้นั้น เราต้องเข้าใจในตัวเองและผู้อื่นได้ก่อน

    31. การแก้ปัญหาทางบุคลิกภาพต้องอาศัยทั้งความจริงใจและการอดทนเป็นอย่างยิ่ง

    32. ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นเรื่องที่ดี แต่..ปัจจัยแห่งความสำเร็จนั้นก็หาได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียวไม่

    33. เวลาที่พ่อแม่จะสะกิดฝีหนองให้ลูกนั้น พ่อแม่เองก็เจ็บปวดไม่น้อย

    34. บางครั้งเราต้องการให้คนอื่นมาเข้าใจเรา มากกว่าที่เราอยากจะเข้าใจตัวเอง นั่นก็เพราะว่า เรายังเป็นมนุษย์ที่ยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง

    35. เรื่องที่คนเราประทับใจ มักจะลืมเลือนได้ยาก ก็เนื่องจากความประทับใจ ไม่ใช่ความจำนั่นเอง

    36. จะมีเราอยู่.....เขาก็เป็นอย่างนั้น
    ไม่มีเราอยู่.....เขาก็เป็นอย่างนั้น

    37. หากเขาคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จริงๆ แล้ว เราเป็นได้แค่เพียงตัวกระตุ้นเท่านั้น

    38. ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เราจะสัมผัส "การรู้" ได้ยากยิ่ง

    39. ความสับสนในชีวิดมันเกิด ควรหาที่ยึดเหนี่ยวให้จิตใจได้พักเสียบ้าง

    40. เรื่องของชีวิต มันมีจังหวะที่ต้องรอคอยอยู่บ้าง จะเรียกร้องให้มันได้ดั่งใจเสมอไปได้อย่างไร ความจริงใจ หากถูกแปลเป็นแง่ลบแล้ว ใครยังอยากจะกล้าจริงใจให้อีก

    41. เพราะความอยาก..มันถึงได้วุ่นวายกันเพียงนี้

    42. ไม่ใช่ว่า ห้ามโกรธ แต่ให้รู้ว่าโกรธ ไม่ใช่แสดงความโกรธแต่ให้พูดออกมาว่าโกรธ

    43. จิตและอารมณ์เป็นของแท้ ความคิด คือ ตัวปรุง

    44. หากเชื่อว่า "การบ่น" จะทำให้ลูกนิสัยดีขึ้นก็น่าจะลองดู ในเมื่อความเป็นจริงนั้น "การบ่น" มักจะยิ่งทำให้ลูกแย่ลงมากกว่าเดิมเสียอีก

    45. ใครเขาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง มันอยู่ที่..เรารู้สึกอย่างไรด้วยต่างหาก

    46. หากพ่อแม่คาดหวัง อยากจะให้ลูกเป็นคนดีนั้น พ่อแม่ต้องช่วยให้ลูกเป็นคนดีด้วย (อย่าเพียงแต่หวัง)

    47. พ่อแม่ หากมีความรักลูกมากไปแล้ว ก็ยากที่จะสอนวินัยให้กับลูกได้ดี

    48. การเข้าใจคนอื่นได้ เป็นเรื่องที่ดี การเข้าใจตนเองได้ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่แย่ และก่อให้เกิดทุกข์ได้มากก็ คือรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย

    49. กังวล เกินกว่าเหตุ..เชื่อมั่น มากเกินไป..ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักตนเองอยู่เสมอ

    50. การเร่งแก้ปัญหา โดยรีบคิดให้ตกทันที จะยิ่งสร้างปัญหาทางอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น



    ......................................
     
  8. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    รู้เขา รู้เรา...เข้าใจโลก เช่นที่เป็น...อยู่...คือ...
    “ต้องมองความเหมือนให้พบมากกว่าเพ่งมองความต่าง”


    พระไพศาล วิสาโล
    Interview – Better Living
    vol3 - 2013
    เรื่อง : ปิ่นอนงค์ วัชรปาณ

    แบ่งปันบน facebook Share

    จริงอยู่ที่คนเราบนโลกใบนี้มีความ แตกต่างกัน หากเราทำความเข้าใจตัวเองผนวกกับทำความรู้จักผู้อื่นได้ เราก็จะสามารถเข้าใจโลกใบนี้ได้ในทุกแง่มุมและหลากมิติ และเมื่อเป็นเช่นนั้นมนุษย์ร่วมโลกก็จะพบเจอกับความสงบสุขและสันติได้ บุคคลแต่ละท่านต่อไปนี้...มีทั้งมุมมอง คำสอนและเคล็ดลับสำหรับการบริหารความแตกต่างในแบบที่แตกต่างกันไปจาก ประสบการณ์ของตน

    “ต้องมองความเหมือนให้พบมากกว่าเพ่งมองความต่าง”

    ครั้งหนึ่งในเฟสบุ๊ค Phara Paisal Visalo ท่านเคยเขียนคำสอนเรื่องหนึ่งไว้ว่า “ก่อนจะมองว่าใครเป็นฝ่ายไหน คู่ตรงข้าม เราทุกคนล้วนผ่านการเป็นมนุษย์มาก่อน หากมองให้เห็นความเป็นมนุษย์ในตัวคนอื่น นั่นละดีสุด”...พระอาจารย์กรุณาให้มุมมองที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต้องการ มองโลกที่ต่างอย่างเป็นสุข



    better living : พระอาจารย์มีความเห็นอย่างไรคะ ต่อเรื่องความแตกต่างของผู้คนในสังคม ในแง่การพิจารณาสิ่งนั้นเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสงบและมีสันติ

    “คนเรานี่มีทั้งความต่างและความเหมือน อาตมาพบว่าส่วนใหญ่แล้วเรามีความเหมือนมากกว่าความต่าง ทั้งในแง่ความเห็น รสนิยมและทัศนคติ ความเหมือนจะมากกว่าความต่างโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนใกล้ตัวหรือคนรอบตัว ดังนั้นถ้าเราคิดแต่จะมองเห็นความต่างไม่เห็นความเหมือน ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นคนละพวกได้ง่าย อาตมาคิดว่าต้องมองให้เห็นความเหมือนด้วย อย่ามองหรือจดจ้องแต่ความต่าง แต่ธรรมดาคนเรานี่ อะไรที่เหมือนกันเราไม่ค่อยมอง...เรามองข้าม เราจะไวต่อความต่าง ฉะนั้นอันนี้ก็ต้องพยายามเปิดใจให้รับรู้ถึงความเหมือนที่เรากับคนอื่นมี ด้วยกัน”

    better living : ในแง่การปฏิบัติ เราควรทำอย่างไรคะ เพื่อให้ทำเช่นนั้นได้สำเร็จ

    “เป็นเรื่องของมุมมอง ซึ่งอาตมาว่าต้องอาศัยการฝึกฝน อาตมามีตัวอย่างที่น่าสนใจ...มีครูประถมคนหนึ่งวันหนึ่งแกเอากระดาษขาว มีกากบาทที่มุมขวาชูให้นักเรียนดูแล้วถามเด็กว่าเห็นอะไร เด็กตอบว่าเห็นกากบาทสีดำ ครูถามต่อว่าแล้วเห็นอะไรอีก เด็กตอบว่าไม่เห็น ครูจึงถามว่าแล้วเธอไม่เห็นสีขาวของกระดาษเลยเหรอ สีขาวอยู่ตรงหน้าชัดๆ เลย แต่ไปเห็นแต่ความไม่ปกติคือกากบาท อันนี้เป็นเรื่องของมุมมองที่ต้องฝึกนะ และต้องฝึกแต่ยังเล็กยิ่งดี เราถนัดที่จะเห็นความต่างนั้นเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่ต้องมองให้เห็นความเหมือนด้วย อย่างน้อยก็จะเห็นว่ามีความเป็นพวกเดียวกัน อย่างน้อยเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีภาวะสุขทุกข์เหมือนกัน เรารัก เชิดชูบูชาความดี การมีปฏิสัมพันธ์กันจะช่วยลดปัญหาความต่างได้ เราอย่าไปเรียกร้องให้เปลี่ยน แม้ความต่างยังมีอยู่แต่ความเหมือนมีมากกว่าเราก็เป็นเพื่อนกันได้”

    better living : ในทางธรรมะมีคำอธิบายเรื่องนี้ไว้บ้างไหมคะพระอาจารย์

    “พระพุทธศาสนามองว่ามนุษย์เราล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันอันนี้ข้อที่หนึ่ง ฉะนั้นจึงควรมีเมตตากรุณาต่อกัน

    ข้อสอง คนเราไม่สามารถอยู่คนเดียวในโลกหรือพึ่งพาเพียงตัวเองได้ บุญคุณเหล่านี้ก็ทำให้เราเกลียดกันน้อยลง

    สาม..พระพุทธเจ้ามองไปถึงว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่เราไม่เคยเกี่ยวข้องกันใน ชาติใดชาติหนึ่ง ฉะนั้นไม่ควรเป็นปฏิปักษ์กัน การมองเพื่อนมนุษย์ในลักษณะนี้ ก็ช่วยลดความขัดแย้งกันลงได้ หรือแม้ว่าเราจะไม่มีความเชื่อเรื่องอดีตชาติ แต่คิดง่ายๆ ว่าเราทุกคนก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมชะตากรรมเดียวกันด้วยกันทั้งนั้น เกิดมาก็ทุกข์พอแล้ว ทำไมไม่ช่วยกันให้คลายทุกข์ ซึ่งอันนี้เป็นพื้นฐานเรื่องความเมตตากรุณาในพุทธศาสนานะ”

    better living : ในชีวิต ประจำวัน เราต้องพบเจอคนที่มีความต่างกับเรา ก่อนที่จะฝึกและปฏิบัติบริหารมุมมองได้อย่างนั้น มีธรรมะข้อไหนที่เป็นตัวช่วยในการปฏิบัติบ้างไหมคะพระอาจารย์

    “พุทธศาสนาบอกว่า ความแตกต่างไม่ได้เป็นข้อเสีย แต่มีข้อดีด้วย อาตมาไปพบภาพประติมากรรมภาพหนึ่งที่ภูฐานชื่อสี่สหาย มีเรื่องราวมาจากชาดก เป็นนก กระต่าย ลิง ช้าง ช่วยกันปลูกต้นไม้ นกเอาเมล็ดมาหย่อนลงดิน กระต่ายก็ถ่ายมูลให้เป็นอาหารต้นกล้า ลิงเอาน้ำมารด ช้างก็เอางวงถือใบไม้ใหญ่ให้ร่มเงาต้นกล้า ที่สุดต้นไม้ก็เติบใหญ่ มีผลไม้ให้สี่สหายได้อาศัยแล้วผืนป่าก็เกิดขึ้น เป็นประโยชน์กับทุกคน สิ่งที่ต้องการจะบอกในภาพคือ...

    คนเราไม่ได้เพอร์เฟ็คต์ เราขาดเราพร่อง ส่วนที่เราขาด แต่คนอื่นเขาเต็มก็เอามาเสริมกัน คิดดูว่ามือเราถ้านิ้วทั้งห้าของเราเหมือนกัน คงจะทำอะไรลำบาก เราจึงควรจะมองในแง่ดี เมื่อมีใครคิดต่างจากเรา ว่าช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างขึ้น พุทธศาสนามองว่าปัญหาอยู่ที่ใจของเรามากกว่า เป็นสิ่งกระทบอัตตาของเรา วิถีพุทธสอนให้ลดหรือคลายความยึดติดในความคิด เรียกว่า “ทิฏฐุปาทาน” ให้ลดอุปาทานในทิฏฐิ ลดความถือมั่นในอุปาทานของเรา เมื่อเราลดในความคิดในหัวเราได้ ก็ไม่ทุกข์ ก็รับฟังคนอื่นที่ต่างได้”

    better living : เมื่อแต่ละคนเข้าใจแล้ว ฝึกฝนตัวเองอย่างดี การจะวกกลับมาสู่โลกที่เป็นสุข สงบ สันติ ท่านมีความเห็นอย่างไร

    “ถ้าเรามีทัศนคติที่ถูกต้องต่อความแตกต่าง เราจะเป็นคนที่มองอะไรได้รอบ เราจะเป็นคนที่ทุกข์น้อย เราจะเห็นโลกกว้างขึ้น มีใจกว้างมากขึ้น และไปเสริมคำว่า ขันติธรรม

    หนึ่ง.ทำให้เราเป็นคนมีความอดทนและมีพัฒนาการอยู่เรื่อยๆ ไป เพราะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

    สอง...ก็จะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเพราะเรามีขันติธรรม แม้จะมีความต่างกันอย่างไรก็ไม่มองเป็นศัตรู และ

    สาม...เราสามารถเอาความต่างนั้นมาทำให้เกิดการพัฒนาได้ต่อไป

    แต่ทั้งหมด อาตมาเชื่อว่าต้องเริ่มต้นที่การศึกษาและการเลี้ยงดูเด็ก พ่อแม่ที่ฉลาดก็จะยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่างของลูก สร้างให้ลูกกล้าคิดต่าง ขณะเดียวกันลูกก็จะยอมรับความต่างได้ด้วย การศึกษาก็เหมือนกัน ถ้าครูยอมให้นักเรียนคิดต่างจากครูไม่เป็นไร...

    เริ่มต้นตรงที่ทัศนคติ คือถ้าครูสามารถยอมรับความแตกต่างของศิษย์ ก็จะช่วยให้ศิษย์ได้เติบโต ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เพื่อให้เขาได้รับความใจกว้างจากคนอื่นเขาก็จะมอบความใจกว้างให้กับคนอื่น ด้วย สังคมของเราจึงจะยอมรับความต่างเพราะยอมรับในความแตกต่าง และยึดมั่นในทิฐิน้อยลง”

    รวบรวมงานเขียนและบทความของพระไพศาล วิสาโล http://www.visalo.org
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กันยายน 2015
  9. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG][​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]




    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กันยายน 2015
  10. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    เข้าใจโลกได้ง่ายจะเข้าใจชีวิต

    การ อยู่ในโลกการดำรงชีวิตคงหมายถึงศิลปะอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตเพราะชีวิต ย่อมมีทั้งด้านมืด ด้านสว่าง มุมแคบ และมุมกว้างคงเปรียบเหมือนกับดวงจิตในร่างกายเราที่มีทั้งสองด้านอยู่ในร่าง เดียวคือด้านดีและด้านชั่ว อยู่ที่ตัวเราว่าจะถูกด้านไหนครอบงำ
    การเกิดเป็นคนเป็นเรื่องง่ายแต่ใช้ชีวิตให้ถูกต้องตามครรลองตามหลักธรรมย่อม มีอุปสรรคมาทดสอบเป็นระยะๆอยู่ที่เราจะตั้งสติและเตรียมตัวรับมือกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร
    สมมุติว่า เราคิดว่าคนๆนี้ทำไม่ดีกับเราแล้วทำไมเราต้องทำดีด้วยเขาดีมาเราถึงจะดีไป เขาร้ายมาเราต้องร้ายตอบไปอีกสองเท่าถึงจะถูกต้องหลายคนคิดแบบนี้
    ที่นี้ ดวงจิตเราก็จะร้อนรุ่ม เจ้าคิดเจ้าแค้น เหมือนมีกองไฟกองใหญ่ คอยแผดเผาดวงจิต
    และ อีกเช่นกัน ถ้าเราคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องเราว่า เราเกิดมาไม่เคยทำอะไรผิดแต่ทำไมเจอแต่เรื่องเลวร้ายเราก็จะอยู่ในอารมณ์ น้อยใจ เศร้าโศกไม่หยุดหย่อนและไม่ยอมรับโลกและยอมรับชะตาชีวิตคิดและทุกข์กับมัน
    บางครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับใครสักคนบางทีหาเหตุผลในชีวิตปัจจุบันไม่ ได้จึงเป็นวิบากกรรมและกรรมเก่าเรา ต้องตั้งสติให้ดี เตรียมรับมือกับมันให้ดี ความพ่ายแพ้ก็คงทักทายเราได้เพียงชั่วคราว แต่ถ้า สิ่งไม่ดีวนเวียนตามให้ทุกข์ไม่หยุดหย่อนก็ต้องตั้งสติแก้เรียงลำดับสำคัญ ก่อนหลัง แล้วค่อยๆแก้ไปทีละเรื่อง ในเรื่องของกรรมเวรบางคนบอกว่าไม่เห็น ไม่รู้จัก ไม่มีตัวตนเกิดมาเป็นคนทั้งทีขอให้ชีวิตให้มีความสุขก็พอแล้วไม่ได้ทำร้าย ใคร
    แต่สิ่งบางสิ่งเรื่องบางเรื่อง อาจคุกคามทำลายความรู้สึก ทำลายสุขภาพหรือทำลายสิ่งอื่นโดยเราไม่ระวังและคำนึงถึง
    ในส่วนที่เจอ เรื่องไม่ดีต่าง กัน ถ้าเราคิดว่า ดีเหมือนกันที่เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา เพื่อให้เราเรียนรู้และรู้จักใช้สติพิจารณาแก้ไขเกิดขึ้นไวหน่อย เราก็ตั้งรับได้ทันเวลาหน่อย
    แต่ถ้าเราให้อำนาจ ความโมโห ความแค้น ความน้อยเนื้อต่ำใจ มาครอบงำและคิดวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเรา
    เหมือนเราไปตามใจมัน คิดวนเวียนไปมาอยู่ตรงนั้น ความตามใจก็ได้ใจตามทำร้ายเราไม่หยุดหย่อน
    การแก้ปัญหาหรืออุปสรรคอย่างมีขั้นตอนในสิ่งที่ตัวเองกระทำมาคงบอกได้เพียงบางอย่างดังนี้
    1. ถ้าเราทุกข์มากๆเหมือนจะทนไม่ไหว รู้สึกอับอาย พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา ปิดประตูห้องนอนร้องไห้ออกมาดังๆให้สุดเสียงร้องให้พอแล้วพอรู้สึกโล่ง ขึ้น ให้ไปยืนกระจก ยิ้มกับตัวเอง คิดว่าดีเหมือนกันไม่ต้องไปเปลืองเงินซื้อน้ำตาล้างตาดวงตาสวยใจแจ๋วแจ่ม เป็นประกาย
    2. ถ้ายังไม่หาย หา ที่สงบสงัดร่มเย็น สักแห่ง เจริญสมาธิ เจริญสติพอให้ ใจสงบสักสิบนาทีก็ได้ ถ้าสงบได้แล้วเราต้องหันหาเข้าหาปัญหาอย่าหนีค่อยๆลำดับพิจารณาเรื่องไหน สำคัญ
    3. ถ้าหาไม่พบและยังมึนงงเรียงเรื่องไม่ได้ก็ใช้ปากกาเขียนลงไปกระดาษเท่าที่จำได้หรือระบายความทุกข์เราลงไป
    4. ถ้ารู้แล้วแก้ไม่ได้ก็ปรึกษาผู้รู้ หรือ หนังสือธรรมมะ จะให้ข้อคิดดีๆกับเราหลายอย่าง แต่ถ้าเราไม่ชอบอ่าน ดูละคร หรือภาพยนตร์ เราต้องรู้จักสังเกตและจดจำเพราะหลายเรื่องให้ข้อคิดและแฝงปรัชญาในการใช้ ชีวิตได้ดีทีเดียว
    5. การอ่านหนังสือดีๆไม่จำเป็นต้องราคาแพงหรือหนาไปเสมอไป อยู่ที่เราอ่านแล้วเรา ได้อะไรและนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิต
    6. ถ้าทราบวิธีแก้ไขต้องลงมือทันที อย่ามัวกลัว สิ่งนั้นสิ่งนี้เพราะถ้าเราได้แต่คิด ไม่ลงมือกระทำก็จะทุกข์ ซ้ำซากอยู่ตรงนั้น
    ในปัญหาของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไปเช่น
    เจอ สามีเจ้าชู้ถ้าเรารักเขามากกว่าเราก็จะทุกข์เพราะเขา เหนือสิ่งอื่นใดเราต้องรักตัวเองก่อน ถ้าทนไม่ได้ก็ยกให้เค้าไปคิดว่า หมดเวรกรรมฉันสักที(คิดและเขียนเล่นสนุกๆในข้อนี้)
    กลัวตัวเองตายไปลูกเมียจะลำบาก คิดไปเองก่อนยังไม่ตายเลยไม่รู้อันนี้ต้องลองตายดูเองให้คนอื่น จุดธูปบอกว่าลูกเมียอยู่ยังไง
    กังวลมันทุกอย่าง กลัวคนไม่รัก กลัวหัวหน้าไม่ชอบ กลัวเสียหน้า กลัวโน้นกลัวนี้คิดและกลัวอยู่คนเดียวคนอื่นไม่ไปรับรู้อะไรด้วยวิตกจริตคิด คนเดียวคงใกล้โรคประสาท เรียกแบบง่ายใกล้บ้า
    ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด เพื่อเปลี่ยนอารมณ์คนอ่านบ้างผู้เขียนเองก็ตกอยู่ในอารมณ์กลัว กลัวจะเบื่อในการอ่านเสียก่อน
    เรื่องต่างๆคิดให้ง่ายก็จะง่ายสำหรับเรา ในการ ยึดติดกับความคิดยึดมั่นถือมั่นทำให้คิดได้ว่านี่เอง ต้นเหตุแห่งความทุกข์เป็น อุปสรรคของความสุข
    อยากจะฝากข้อคิดสั้นเอาไว้ให้เก็บไปคิดกัน
    ชีวิต ที่ไม่เคยมีปัญหาคือชีวิตที่อ่อนแอ ชีวิตที่มีปัญหาคือชีวิตที่แข็งแกร่ง ปัญหาชีวิตคิดให้มีประโยชน์เพราะเราได้ฝึกแก้ปัญหาและมีชีวิตที่แข็งแกร่ง
    มีคนๆหนึ่งรักเรามากตามใจเรามากเราต้องระวังนั่นคือตัวเอง
    รวยก็ตาย จนก็ตาย-ถามตัวเองรึยังว่าก่อนตายทำดีอะไรไว้บ้าง
    ฆ่าคนทำร้ายคนเป็นเรื่องง่ายให้อภัยคนเป็นเรื่องยากแต่นั่นคือบุญที่ยิ่งใหญ่
    ธรรมชาติยังเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติแต่คนบางคนไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงยึดติดจึงทุกข์
    อิจฉา พยาบาท โกรธ เกลียด เขา เราทุกข์ให้อภัยเขาเราสุข
    รวย เด่น ดัง เป็นทุกข์ ไม่รวย เด่น ดัง เป็นสุข อยู่ที่เราเลือกว่าต้องการสิ่งไหน
    ถูกคนนินทาว่าร้ายคิดว่า ดีเหมือนกันเราคงเป็นสำคัญที่เขาสนใจ
    การทำดี การทำชั่ว ถ้าเราทำจนเป็นนิสัย ย่อมง่ายในการกระทำ
    มีศัตรู ญาติ เพื่อน คนรักทำเรื่องไมดีให้เราเสียใจ
    แต่สิ่งเหล่านี้จะหายไปถ้าให้อภัยเขาแทน
    เข้าใจลูกน้อง นับว่ายาก เข้าใจเจ้านายนับกว่ายากยิ่งกว่าแต่เข้าใจยากที่สุดคือ การเข้าใจตนเอง
    ชีวิตเหมือนของที่เรายืมเขามาใช้คือธรรมชาติ
    เมื่อยืมแล้วต้องทำให้เป็นประโยชน์อย่าทำลายให้เสียหาย
    ต้องพัฒนาเขาให้ดีสุดท้ายเราต้องคืนเจ้าของคือธรรมชาติหมายถึงความตาย
    มีสิ่งสวยงามประดับกายอย่าลืมมีธรรมะประดับใจ
    ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือ การชนะใจตัวเอง
    (พระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระแก้ว ในการเจริญภาวนา สมาธิ วัดพระแก้ว เชียงราย ปี ใหม่)

    หิวหรืออิ่ม ยิ้มได้ ไม่แตกต่าง
    ทุกข์หรือสุข ปนบ้าง ต่างตรงไหน
    ยึดหรือวาง แล้วเรา ได้อะไร
    ฝากคำถาม ความนัย ให้คิดเอง
    กระต่ายใต้เงาจันทร์
     
  11. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    เข้าใจโลก

    คน ที่เข้าใจโลกถึงขั้นมองเห็นอะไร ๆ ที่คนอื่นเขาเครียดกันเป็นเรื่องขำขันได้ จะมีอายุยืนอยู่ในโลก แต่ไม่หลงโลก อยู่ในโลกเพื่อเหยียบโลกเล่น ไม่ใช่แบกโลกไว้บนบ่า คนอย่างนี้หายาก แต่มีอยู่ที่ไหน คนอยู่ใกล้ก็มีความสุข



    Those who understand the world Enough to laugh off any dismal thought Will Enjoy longevity, Living in, but not fooled by the world. They will march across the world, Instead of having the world on their shoulders. These people are rare indeed, But they always make other people Happy wherever they are.
     
  12. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ที่สุดท้ายของพ่อ(เหียน แกมนาค)

    สิ้นสุดการทำงานปล่อยวางพัก

    ทั้งชีวิตทำงานหนักเพื่อความฝัน...

    ชั่วชีวิตทำไร่พลิกผืนป่าสารพัน

    เมื่ออนาคตลูกหลานอันยาวไกล

    เหนื่อยมานานแล้วหนอพ่อคนนี้

    ได้พักผ่อนเสียทีไม่ไปไหน

    นอนเสียเถิดฟังเพลงธรรมจรรโลงใจ

    เพลงสวดมนต์ธรรมวจนะเสียงใสในรัตติกาล


    ให้ผืนดินกลบหน้าเมื่อลาจาก

    เปลวไฟเผาเหลือแค่ซากกระดูกเป็นเถ้าถ่าน

    หยดน้ำตาลูกหลานไหลเป็นเป็นสายธาร

    มองภาพของพ่อผ่าน..เชิงตะกอน

    สิ้นสุดทีการเดินทางของชีวิต

    หยุดพักหยุดคิดหยุดสืบสาน

    หยุดทุกอย่างหยุดทุกสิ่งสิ้นไร้พันธการ

    ตายแล้วสมบัติพัสถานมีค่าราคาใด



    ด้วยรักและอาลัย

    ดร.ฤทธิชัย แกมนาค และอ.สุภัชชา พันเลิศพาณิชย์(แกมนาค)
     
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    เขียนได้;เขียนเป็น;ไม่พอสำหรับขอตำแหน่งทางวิชาการ

    พระมหาหรรษา รศดร.ผู้ช่วยอธิการฝ่ายวิชาการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและ ผู้อำนวยการสถาบันสอนภาษามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้บรรยายในการอบรมเรื่องเทคนิคและวิธีการเขียนผลงานทางวิชาการที่วิทยาเขต แพร่เมื่อวันที่๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๗ที่ผ่านมามีหลายประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องของการเขียนริ่ม ตั้งแต่ ต้องมีการนำพุทธศาสนามาบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ซึ่งหลักพุทธศาสนามี๔สาย คือ

    ๑.พุทธแนวคัมภีร์คือการเรียนไว้ตอบคำถาม

    ๒.พุทธแบบตีความคือการตีความจากคัมภีร์

    ๓.พุทธแนวปฎิบัติคือการเน้นการปฎิบัต ิแบบวิปัสสนาธุระและสุดท้าย๔.พุทธศาสนาเพื่อสังคมทำไมต้องมีการบูรณาการก็ เพราะ สถาบันมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นสถาบันพุทธศาสนาเพื่อรับใช้สังคมจึงนำ หลักพุทธศาสนามาบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่สำหรับนำไปใช้มีอยู่ ๒แบบคือ

    ๑.แบบธรรมวิทยา เน้นศาสนาเป็นตัวตั้งเป้าหมายในการนำไปแก้ปัญหา ทำความเข้าใจ ปรับทัศคติและพฤติกรรม

    ๒.แบบพุทธวิทยาคือเอาของเราไปขายเขา ในลักษณะนี้เรียกว่า แบบอุ้มบุญคือถ้าไม่ขึ้นต้นด้วยปัญญาคือการไปสอน ถ้าเราเข้าใจพุทธเราก็เขียนพุทธศาสนาขึ้นก่อน ถ้าออกมาในรูปแบบพฤติกรรมคือการนำไปเผยแพร่
    จะเห็นได้ว่าปัญหาส่วนใหญ่ ของผู้เขียนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ในหัวข้อเรื่องหลักการง่ายๆคือถ้าเกี่ยวกับพุทธศาสนา ให้เอาหลักพุทธศาสนาเขียนขึ้นก่อนในเกริ่นนำ แต่ถ้าต้องการแก้ปัญหาให้เอาตะวันตกขึ้นก่อน

    สรุปง่ายๆคือ ธรรมวิทยาคือการนำเอาวิทยาการสมัยใหม่หรือศาสตร์สมัยใหม่หลอมรวมหลักพระพุทธศาสนามาบูรณการเรียกว่า พุทธบูรณาการ
    สำหรับ คำว่าศาสตร์สมัยใหม่ในโลก ทางวิชาการจัดเป็น ๓ กลุ่ม คือ

    ๑.วิทยาศาสตร์เป็นเรื่อของโอกาสที่นำสู่โลกภายนอกได้แก่ เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ ธรณีวิทยา พฤกษศาสตร์

    ๒. มนุษยศาสตร์เป็นเรื่องของสังขารคือโลกภายใน ได้แก่ ศิลปะ ภาษา ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ดนตรี วรรณคดีและศาสนา

    ๓.สังคมศาสตร์ เป็นเรื่องของสัตว์สังคมโลกภายนอก ได้แก่ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษวิทยา เป็นต้น คำว่า ศาสนาบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่จุดมุ่งหมายเพื่อนำความรู้ที่ได้รับมาตอบ สนองความต้องการและประโยชน์ของมนุษย์เป็นสำคัญ เมื่อรู้รายละเอียดหลักการเบื้องต้นแล้ว การที่จะเลือกว่าควรจะเขียนเอกสาร แบบไหน ตำรา เอกสารประกอบกรสอน หรืองานวิจัย แม้กระทั้งบทความจึงมีความสำคัญก่อนที่เราจะลงมือเขียน


    ความสำคัญในการเลือกการเขียนเอกสารเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ
    สำหรับ เอกสารที่สำคัญหมายเลข๑.ในการขอผลงานทางวิชาการที่สำคัญคือการเขียนตำราโดย ต้องผ่านการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญระดับศาสตราจารย์๒ท่านที่แต่งตั้งโดยมี อธิการบดีเป็นผู้แต่งตั้งซึ่งผู้เขียนต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้ท่านละ ประมาณ๑o,ooo บาท และเอกสารตำราต้องมีการพิมพ์ซ้ำ๒ครั้ง ประเด็นสำคัญของการเขียนตำราวิชาการคือควรเลือกจากวิชาบังคับหรือที่เรา เรียกว่าวิชาเอกที่สะท้อนให้เห็นความสำคัญของปัญหานั้นๆโดยผู้สอนต้องสอนราย วิชานั้นเป็นระยะเวลายาวนานจนเกิดความเชี่ยวชาญแล้วสามารถพัฒนามาเป็นเอกสาร ประกอบการสอนหรือเอกสารคำสอนรวมทั้ง การเขียนเป็นหนังสือ หรือบทความที่เริ่มแรกอาจจะเขียนประมาณ๑๕หน้าแล้วค่อยขยายเป็น๔oหน้า สำหรับเทคนิคการเขียนตำรามาเป็นหนังสือไม่จำเป็นต้องมีผู้อ่านแต่ผู้เขียนสา มารถผ่านผอ.ฝ่ายวิชาการโดยมีหนังสือนำถึงรองอธิการบดีให้ท่านเขียนคำนิยมและ แนบข้อความท้ายเล่มว่ารายจ่ายในการจัดพิมพ์ทั้งหมดผู้เขียนเป็นผู้รับผิดชอบ

    สำหรับ เอกสาร ตำรา ที่มาจากบทความ ควรสั้น กระชับ ซึ่งสามารถนำไปฝากไว้ในบล็อกต่างๆและสามารถนำมาใช้อ้างอิงได้แต่ก่อนที่เรา จะลงมือเขียนอะไรนั้นเราต้องคิดก่อนว่าในการเขียนขอผลงานทางวิชาการจะใช้ เอกสารประเภทไหนเพราะต้องใช้๒ชิ้น ตัวอย่าง เช่น งานวิจัยกับเอกสารประกอบการสอน หรือเอกสารคำสอน ในการเขียนเอกสารต้องสัมพันธ์กับวิชาที่สอน สัมพันธ์กับ สาขาวิชารวมทั้ง หนังสือ ที่ใช้ศึกษาวิเคราะห์ สรุปก็คือ สอนวิชาใดก็ทำตำราวิชานั้น ทำงานวิจัยวิชานั้นแต่ข้อควรระวังคืออย่ายกเอาข้อความมาเป็นท่อนๆ ข้างล่างต้องมีอ้างอิง การเขียนขอตำแหน่งทางวิชาการการเขียนผลงานที่นำเสนอสิ่งที่ควรเลือกเป็น อันดับแรกคือตำรา (หนังสือ) กับเอกสารประกอบการสอน หรือจะเลือกเขียนงานวิจัยกับเอกสารประกอบการสอนก็ได้เพราะจะได้แต้มคะแนน ประมาณ๘o แต้ม แต่สิ่งที่ไม่ควรเขียนเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการคือการเขียนบทความคู่กับ เอกสารประกอบการสอนเพราะจะได้คะแนนต่ำที่สุดเมื่อทราบรายละเอียดอย่างนี้ แล้วจึงควรเริ่มต้นลงมือเขียน

    แล้วควรเริ่มต้นการเขียนและมีแนวทางอย่าง ไร ในการเขียนถ้าตั้งคำถามที่ดีย่อมนำไปสู่คำตอบที่ดีข้อคิดก็คือ๑.ค้นปัญหาที่ จะเขียน ๒.หาทฤษฎีมาเป็นกรอบหรือแนวทางเครื่องมือในการศึกษา ๓.ใช้เครื่องมือที่ได้มาค้นหาสิ่งที่เราต้องการในพุทธศาสนา๔.วิเคราะห์/ตี ความ/สงเคราะห์/บูรณาการเครื่องมือทั้งสองเพื่อสร้างสิ่งใหม่๕.ได้คำตอบ ประเด็นปัญหา แต่เราก็มักจะพบปัญหาในการเขียนบทนำมักเกิดจาก ขาดปัญหาไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร ขาดการตั้งคำถาม หรือ ถ้ามีการตอบคำถามแต่ความเป็นมาก็ไม่ชัดเจนและขาดการอ้างอิงที่มาของปัญหา เมื่อเริ่มลงมือเขียนหลายครั้ง
    ข้อความไม่ต่อเนื่อง สะดุด เราต้องมีคำเชื่อมระหว่างคำ ดังนั้นจึงควรจะใช้คำเหล่านี้ เมื่อไร สถานการณ์ไหน เช่น คำว่าอย่างไรก็ตาม(ก็ดี) ใช้เมื่อเราจะเขียนปฎิเสธประโยคข้างหน้า,ยิ่งกว่านั้นใช้เมื่อขยายคำ หน้า,หรือใช้ในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง,และ ให้น้ำหนักสองข้างเท่ากัน(อำนาจการใช้คำ) , เพราะฉะนั้นหรือฉะนั้นใช้เมื่อให้เหตุผลหรือสรุป

    การเขียนที่สำคัญคือต้องมีตั้งแต่การเกริ่นนำ นำไปสู่เนื้อหา และการสรุปฉะนั้นการเขียนเกริ่นนำที่ดีคือต้องชัดเจนในประเด็นว่าคืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร ความสำคัญอะไร จึงนำไปสู่การตั้งคำถามเพื่อหาทางออก สำหรับการเขียนเนื้อเรื่อง มีวิธีการเขียนแบบเป็นประโยค ,การเขียนแบบย่อหน้า ,การเขียนแบบการลำดับเรื่องส่วนเรื่องของการสรุป มีวิธีเขียนแบบ

    ๑.ให้ข้อเสนอแนะ ๒.ให้ความหวัง ๓.ชักชวนให้อ่าน ๔.การสรุปความ ๕.การตั้งคำถามให้คิด ๖.ฝากไปถึงผู้เกี่ยวข้อง ๗.ย้ำความสำคัญ

    ในสิ่งที่เขียนมาทั้งหมดข้าพเจ้าผู้เขียนรวบรวมมาจากการ บรรยายของพระอาจารย์พระมหาหรรษาในตอนแรก คิดว่าคงจะไม่เขียนอะไรที่เกี่ยวกับงานด้านวิชาการอีกต่อไปเพราะไม่รู้จะ เขียนไปทำไม เพื่ออะไร ประการสำคัญคือเกิดความกลัวที่จะเขียนเพราะไม่มีหน้าที่การทำงานอะไรที่ เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยสงฆ์เชียงรายอีกแล้วกลัวจะเกิดผลกระทบเชิงลบต่อผู้ที่ มีเมตตาต่อข้าพเจ้าที่มองเห็นในสิ่งข้าพเจ้าชอบทั้งยังส่งเสริมและสนับสนุน พร้อมเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้กลัวว่าท่านเหล่านั้นจะได้รับผลกระทบ กลัวจะมีผลต่อการเสนอผ่านผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์เชียงรายในการเซ็นต์ขอ อนุมัติผ่านขอตำแหน่งทางวิชาการหรือไม่ กลัวจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน กลัวไปหมด แต่เมื่อมาคิดกลับไปกลับมาถึงหลักการและเหตุผลแล้ว ระดับพระเดชพระคุณ พระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค๖เชียงรายท่านต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกลในการมองผู้มาบริหารใหม่ ว่า

    ต้องเป็นคนยุติธรรม บริหารงานเก่ง โปร่งใส ไร้การคอรัปชั่น มีการปกครองปฎิบัติกับผู้ใต้บังคับบังชาอย่างเสมอภาคเท่าเทียมเพราะระดับผู้ อำนวยการที่มีตำแหน่งระดับท่านเจ้าคุณท่านย่อมประพฤติปฎิบัติตามหลักพุทธ ศาสนาอย่างเคร่งครัดยึดหลัก รักและเมตตา สนับสนุนผู้ใต้ปกครองทุกฝ่ายให้เจริญก้าวหน้าทางการงานซึ่งท่านเป็นนัก ปกครองที่ดี มีอยู่ครบแน่นอนจึงได้รับการไว้วางใจให้บริหารงานที่สำคัญท่านต้องมีนิสัย ความเสียสละเพื่อส่วนรวมอยู่แล้ว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใส่ใจที่จะขอผลงานผู้อื่นมาเป็นผลงานตัวเอง เพราะท่านเป็นผู้บริหารที่เก่ง ทำงาน ดี บริหารเป็น เชี่ยวชาญและชำนาญด้านการเขียนวิชาการอยู่แล้วท่านย่อมมีวิสัยทัศน์กว้างไกล สนับสนุนผู้ใต้บังคับบัญชาทุกฝ่ายให้เจริญก้าวหน้าด้วยเหตุนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชา จึงรักและเลื่อมใสศรัทธา ในการบริหารงาน บวกกับที่ข้าพเจ้า ไปฟังพระอาจารย์บรรยายแล้วหลายสิ่งหลายอย่างที่พระอาจารย์บรรยายยังก้อง สั่งสมอยู่ในสมอง เพราะ ที่รับว่าล้วนเป็นวิชาความรู้ที่มีคุณค่าน่าจดจำ สมาธิจึงแน่วแน่จดจ่ออยู่กับสิ่งนี้เลยตัดสินใจ....

    เอาว่ะๆๆๆ...เขียนก็ เขียนเพราะไม่เขียนคงไม่ได้รู้สึกคันไม้คันมือชะมัด ในเมื่อ ชีวิตเพียวๆของข้าพเจ้าคือของขวัญที่ได้จากสวรรค์ที่ได้มาง่ายๆเราต้องใช้ ให้เป็น ในเมื่อเรารักงานเขียนจงใช้ความกล้าเผชิญหน้ากับความกลัวคงเหมือนกับการที่ รอยเท้าย่ำไปบนพื้นดินที่มีทั้งหลุม มีบ่อ มีก้อนหิน...ถ้าไม่เดิน ...ไม่วิ่ง......คงไม่รู้จักแกร่ง..ไม่ลื่นหกล้มบ้าง..คงไม่รู้จักคำ ว่า....กล้า....
    ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งและกราบมนัสการ พระอาจารย์ หรรษา ที่ทำให้ข้าพเจ้าออกมาจากเกราะที่ข้าพเจ้าสร้างไว้ขังความรู้สึก ความคิด การกระทำ ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบและรักอีกครั้ง เพราะชีวิตข้าพเจ้า มักพบเจอ กับ โลกภายนอกที่โหดร้าย ข้าพเจ้าต้องใช้ทั้งความเสียสละ ความอดทน ความเมตตา และหลักการให้อภัยในการดำเนินชีวิตแต่เมื่อพบเจอสิ่งเลวร้ายที่มากระทบมาก มาย อย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้าจึงกลัวต่อสังคม ภายนอก คิดว่าโลกภายนอกโหดร้าย อยู่ในบ้าน ไปวันๆยอมรับชะตาชีวิตจะดิ้นรน เสาะแสวงหา พัฒนา ตนเอง เพื่ออะไร แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับในการอบรมครั้งนี้นอกเหนือจากความรู้แล้ว สิ่งที่มีคุณค่าและยิ่งใหญ่ คือการปลดปล่อยพันธะ หัวใจให้อิสระ โบยบินไปในท้องฟ้ากว้าง อีกครั้งได้กลับมาทำในสิ่งที่ตนเองรักก่อนที่จะสูญเสียสิ่งนี้ไปชั่วชีวิต นั่นคือ การเขียน
    ด้วยหัวใจที่นับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ


    กระต่ายใต้เงาจันทร์
    ๑๙ กันยายน ๒๕๕๗
    ณ.บ้านปลายดอย เวลา o.๓๙ นาที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กันยายน 2015
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ชีวิตจะง่ายขึ้น หากเข้าใจคำว่า ธรรมดา
    เรื่องโดย วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์

    หลายคนคงจะคุ้นเคยกับคำว่า “เยอะ” ซึ่งกลายเป็นสำนวนสุดฮิตไปแล้วในปัจจุบัน เช่น คนที่คิดสารพัดเรื่อง ทั้งที่ควรคิดและไม่ควรจะคิด คนที่สร้างเงื่อนไข-ขั้นตอนให้ชีวิตโดยไม่จำเป็น ฯลฯ ทว่าความเยอะบางครั้งใช่ว่าจะดี แต่กลับทำร้ายตัวเองและทำให้ชีวิต “ยาก” ขึ้นโดยไม่จำเป็น

    จากประสบการณ์ชีวิต การทำงานคลุกคลีอยู่ในแวดวงมายา กว่า ๑๕ ปี ทำให้นักแสดงสาวมากฝีมือ นุ่น-ดารัณ บุญยศักดิ์ ตระหนักและเข้าใจว่า “ความเรียบง่ายและธรรมดานี่แหละดีที่สุดสำหรับชีวิต”

    เช่น ถ้าวันนี้เสียใจ ก็อย่าร้องไห้ฟูมฟายให้มาก แค่ให้รู้ว่าเสียใจเรื่องอะไรก็พอ ถ้ามีทางแก้ก็แก้ไป แก้ไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเวลา หรือหากจะดีใจก็ดีใจแค่วันนี้ อย่าไปเผื่อถึงวันพรุ่งนี้ อย่าคาดหวังให้ใครหรืออะไรเป็นอย่างที่ใจเราต้องการ เพราะไม่มีใครสามารถบังคับใครได้

    เมื่อใดที่มองโลกตามความเป็นจริง เข้าใจว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดาของโลก” นุ่นเชื่อว่า เพียงเท่านี้ชีวิตก็จะ “ง่าย” ขึ้น และ “ความสุข” ก็จะตามมาในไม่ช้า

    ๑๒๐ บาท ทำให้คนฉลาดขึ้น

    หนังสือเรื่อง ปรัชญาชีวิต ของฌอง-ปอล ซาร์ตร์ ( Jean-Paul Sartre ) เป็นหนังสือเล่มแรกที่นุ่นอ่านแบบรวดเดียวจบ และทำให้มุมมองชีวิตของนุ่นเปลี่ยนไปทันที คุ้มค่าเกินกว่าราคา ๑๒๐ บาทที่เสียไปมากๆ

    ปรัชญาของฌอง-ปอล ซาร์ตร์ มุ่งเน้นไม่ให้ยึดติดกับสิ่งใดในโลก ไม่ว่าจะเป็นตัวตน บทบาท พิธีกรรม หรืออะไรก็ตาม เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีสิ่งไหนที่มีตัวตนอย่างแท้จริง

    สิ่งเหล่านี้กระทบใจนุ่นอย่างแรง จากเด็กที่มองโลกแค่ตื้นๆไม่เข้าใจโลก แม้จะเข้าวงการทำงานตั้งแต่อายุ ๑๕ แต่ก็ไม่รู้จักวิธีใช้เงินให้คุ้มค่า แม้จะมีวัตถุมากมายอยู่รอบตัว แต่ลึกลงไปจริงๆ ชีวิตนุ่นตอนนั้นไม่ต่างจากคนที่ไม่มีอะไรเลย น้ำก็ไม่มี ภาชนะใส่น้ำก็ไม่มี

    หนังสือเล่มนี้ทำให้รู้ว่า ถ้าจะหาภาชนะที่เหมาะกับตัวเรา เราต้องรู้ก่อนว่ารากเหง้าของเราอยู่ที่ไหน ซึ่งคำตอบก็คือพุทธศาสนา เพียงแต่เรายังไม่เคยเข้าถึงความหมายและหัวใจของพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้จริงๆ

    ปรัชญาของฌอง-ปอล ซาร์ตร์ คล้ายกับคำสอนทางพุทธศาสนาในเรื่องการไม่ยึดติด เพียงแต่ว่าพุทธศาสนายังสอนให้เกิดปัญญามากไปกว่านั้นว่า “มนุษย์ทุกคนล้วนมีความตายเป็นที่ตั้ง ร่างกายเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ ไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้ ดังนั้นต้องเข้าใจและยอมรับความจริงนี้ให้ได้”

    ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ ทำให้นุ่นค้นพบแก้วน้ำของตัวเอง และรู้ว่า “เราไม่ควรยึดติด” ขณะที่พุทธศาสนาเป็นดังน้ำ ที่ค่อยๆเติมเต็มเข้ามา เป็นปัญญาให้นุ่นเข้าใจ “ธรรมชาติของโลก” ทีละน้อย


    จริงคือเท็จ เท็จคือจริง

    วรรณกรรมญี่ปุ่นให้แง่คิดดีๆ แก่นุ่นหลายอย่าง ทั้งโต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่างๆ , สุสานหิ่งห้อย ( Grave of the Fireflies ) ถึงจะเป็นเรื่องราวของเด็กเป็นหลัก เด็กๆที่อยู่ในโลกสีชมพู สนุกสดใส แต่จุดจบของทั้งสองเรื่องนี้ก็ทำให้หลายคนสะเทือนใจได้ไม่น้อย เมื่อความฝันของเด็กๆ ต้องถูกทำลายลงด้วยสงคราม

    สงครามและความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่ดี และไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง

    ส่วน ราโซมอน ( Rashomon ) เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยการตายของซามูไรคนหนึ่งกับการให้ปากคำของโจรร้าย วิญญาณซามูไรในร่างทรงและภรรยาซามูไร พยานทั้งสามต่างให้การราวกับตนเองเป็นพระเอก-นางเอก เล่าในสิ่งที่ต้องการให้คนอื่นรับรู้ ทั้งที่เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพราะเมื่อคนตัดฟืนซึ่งเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ออกมาเฉลยความจริงตอนท้ายเรื่อง จึงได้รู้ว่าคำให้การทั้งสามเป็นเท็จ

    ราโชมอนตีแผ่ความจริงของมนุษย์ว่า “คนเรามักจะพูดหรือทำอะไรให้ตัวเองดูดีเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนไว้ก่อน แม้ว่าเรื่องๆ นั้นจะเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงก็ตาม”

    วรรณกรรมไม่ได้ให้แค่ความบันเทิงอย่างเดียว แต่ยังช่วยเปิดโลก ให้มุมมองแง่คิดดีๆ แก่ผู้อ่านด้วย ขึ้นอยู่กับว่า “คุณจะเลือกอ่านวรรณกรรมประเภทไหน”



    แฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์เปลี่ยนชีวิต

    ว่ากันว่า คนเราจะดีจะชั่วมักต้องผ่านการวิบัติมาก่อน ชีวิตนุ่นเองเหมือนกัน นุ่นเคยเที่ยว กินเหล้า สูบบุหรี่ เอ็นจอยทุกอย่างในชีวิตและชอบคาดหวัง ซึ่งหากผิดหวังขึ้นมาก็จะเศร้าอย่างหนัก รู้สึกแย่สุดๆ

    แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในคืนวันเกิดของนุ่นเมื่อ ๓-๔ ปีก่อน นับตั้งแต่นุ่นได้กราบ หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต พร้อมกับรับพรจากท่านว่า “แฮ็ปปี้เบิร์ดเดย์” แม้จะเป็นพรสั้นๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่สำหรับนุ่นแล้ว พรข้อนี้เหมือนเป็นสัญญาณว่ามีคนฉายไฟส่องทางให้นุ่นแล้ว ประมาณว่า “ไปทางนั้นสิ”

    สองวันต่อมานุ่นได้ไปกราบพระอาจารย์อุทัย ฌานุตตโม เป็นครั้งแรกตามคำชักชวนของพี่ปู กัลยาณมิตรคนเดิมที่พาไปกราบหลวงปู่บุญฤทธิ์ และหลังจากนั้นมา ชีวิตใหม่ของนุ่นก็เริ่มขึ้นอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ

    นุ่นไม่ได้ปฏิบัติธรรมเป็นคอร์สๆ แต่นุ่นไปเป็น “เด็กวัด” ไปรับใช้พระอาจารย์อยู่ก้นกุฏิจริงๆ ล้างจาน ล้างกระโถน กินข้าวก้นบาตร ระหว่างนั้นพระอาจารยาจะมีบททดสอบอยู่เรื่อยๆ เช่น การชงกาแฟที่นุ่นต้องถามวิธีชงจากคนอื่น เพราะตัวเองเป็นคนไม่ดื่มกาแฟ ชงกาแฟไม่เป็น พอชงกาแฟได้ก็ไปถวายท่าน แม้ท่านจะบอกว่าไม่อร่อยแ ล้วเททิ้งกันต่อหน้า นุ่นก็ต้องยอมรับให้ได้ เทกาแฟทิ้งทั้งหม้อแล้วชงใหม่ จนกว่าท่านจะฉันได้จริงๆ

    ท่านกำลังสอนว่า สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่กาแฟ แต่อยู่ที่ อัตตา ของเราว่า เรายอมรับความจริงได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องไปถามคนอื่น ถ้าทำได้แล้ว แต่ยังไม่ดี ก็ต้องกล้าปรับปรุง จนกว่าจะได้รับการยอมรับ

    นุ่นช่วยงานพระอาจารย์เรื่อยมา ได้เรียนรู้แนวปฏิบัติที่ถูกที่ควร ทั้งการเดินจงกรม นั่งสมาธิ และได้เข้าใจว่า “ธรรมะไม่ได้สอนให้เราไปมองคนอื่น แต่สอนให้เราดูตัวเราเอง” ธรรมะยังทำให้นุ่น “ละวาง” สิ่งที่บั่นทอนชีวิตลงได้เยอะ หันมาเดินตามหลักทางสายกลาง ด้วยความมีสติ

    จากวัยเด็กที่คิดว่า “ธรรมะเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นและน่าเบื่อที่สุด” กลับกลายเป็นว่า “ทุกวันนี้ ธรรมะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตนุ่นไปแล้ว”

    โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ อย่ายึดติดกับร่างกาย บทบาทสมมุติต่างๆ เพราะสุดท้ายทุกอย่างก็คือ “ความเสื่อมสลาย” เหมือนๆกัน
     
  15. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    คน หมา การเดินทาง

    กระต่ายใต้เงาจันทร์

    แสงแดดอ่อนรำไรส่องกระทบใบหญ้า ของยามเย็น สายลมเบาบางยิ้มทักทาย กระทบผิวกายเป็นระยะ ยอดหญ้าเริ่มยักย้ายไปมาราวเริงระบำกลางสายลม ผสมเสียดสี ปานประดังว่าเสียงบทเพลงแห่งดนตรี

    แปร๊นๆๆๆๆๆ สูงแหลมสูงดังลอยลมมากระแทกหู ฝ่ามือกระแทกบนแตรรถดังสนั่น

    “ไอ้ควาย..มึงอยากตายรึไงว่ะ” เสียงของชายร่างอ้วนกลมหน้าตาแดงกล่ำลอยหน้าผ่านกระจกรถ มาทักทาย แล้วขับรถเก๋งกระชากออกไป ด้วยความเร็วสูง จนฝุ่นตลบ อบอวล

    ฉันได้แต่บอกสายลมและทุ่งหญ้าโปรดให้ฉันเดินทางไปด้วยคนสิ ฉันไม่รู้ว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แทบไม่รู้ด้วยซ้ำมาฉันเป็นใครแต่ชีวิตคือการเรียนรู้และเสาะแสวงหามิใช่หรือ

    ฉันเดินไปเรื่อยๆข้างเส้นทาง ของถนนเส้นเล็กๆ มีภูเขาสูงบ้างต่ำบ้างสลับกันทอดยาวปะปนกับต้นไม้ใบหญ้า ความสูงคงเป็นตัวแทนสัจจะในเบื้องลึกในเรื่องความทะเยอทะยานไขว่คว้า ที่จะปีนขึ้นให้สูงเพราะคนเรา มักมีความฝัน ต้องการอิสระและเสรีภาพ และพยายามทำทุกทางเพื่อให้พ้นสภาพจากการถูกกดขี่ข่มแหงจนหลายครั้งความสูงที่เต็มไปด้วยความละโมบโลภมากกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองในที่สุด แต่นั่นแหละปรัชญาจีนได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าไม่มียอดเขาที่สูงที่สุดในท้องฟ้าของการเรียนรู้

    ยามเย็นเริ่มจางหายลาลับจากขอบฟ้าความมืดมิดค่อยเข้ามาแทนที่ทีละนิด ตามรายทางที่ฉันเดินแสงไฟฟ้าเริ่มสว่างบ้างเป็นบางดวงจากบ้านที่ริมทางที่ ฉันเดินผ่านที่ปลูกห่างกันเป็นระยะ

    แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว หมาฝูงใหญ่สิบกว่าตัวไม่รู้ว่าโผล่มาจากทิศทางใด พร้อมใจกันเห่า แยกเขี้ยว ยิงฟัน จ้องหน้าฉันราวกับฉันเป็นผู้ร้ายหรือฆาตกรไปฆ่าครอบครัวมันตาย

    “ โฮ่ง โฮ่งๆๆๆๆๆๆ” คำทักทายที่ฉันไม่อยากได้ยินดังลั่น ฉันวิ่งหนีสุดชีวิต สุดฝีเท้าพร้อมคำตะโกนที่ดูดีที่สุดยามนี้

    “ช่วยด๊วย’’

    ผู้คนที่อยู่ในบ้านที่ฉันวิ่งผ่าน โผล่หน้ากันออกมาดูแสดงสีหน้ากังวลระคนเป็นห่วงพร้อมเสียงตะโกนกันมาเป็นระยะ

    “ เฮ้ย..อย่าวิ่งมาทางนี้..วิ่งไปทางอื่นๆๆไป ไป๊ๆๆๆๆๆ” ตามด้วยเสียงปิดประตูบ้านดัง ปัง ปัง ปังอย่างรวดเร็ว

    ฉันไม่รู้ว่าฉันวิ่งหนีผ่านบ้านกี่หลัง ได้แต่วิ่ง แล้วก็วิ่ง เจ้าหมาฝูงนั้นวิ่งไล่ตามติดประชิดอย่างภักดีราวกับฉันเป็นเจ้านายมันมาเจ็ด หรือแปดชั่วโคตร

    พลันสายตาเห็นเรือนชนบทหลังหนึ่ง ซึ่งออกแบบได้อย่างน่าสนใจ ลักษณะ เหมาะเจาะ สัดส่วนลงตัว รูปทรงสวยงามตามธรรมชาติหลังคามุงด้วยหญ้าแฝดฉันรีบวิ่งมุดไปนั่งยองๆหลบใน เรือนหลังนี้ที่ปลูกอยู่ในทุ่งนาเรียกตามภาษาง่ายก็คือห้างเฝ้าทุ่งนา หายใจหอบแฮกๆ ดังจนไม่แยกไม่ออกว่าออกว่ามาจากปากหมาหรือปากคน ที่อยู่ในอาการเดียวกัน เพียงแต่ว่ามันนั่งอยู่หน้าห้างนาแต่ฉันหลบอยู่ในนั้น และมันนั่งกันเป็นฝูง ส่วนฉันนั่งดูเดียวดายไร้คนเหลียวแล

    เสียงเหมือนใครคุยกันลอยลมมาแว่วอยู่ข้างหู

    “พี่มากจ๋า นาเราปีนี้ไม่ได้ข้าวเลย ฝนแล้งธรรมชาติไม่เอื้ออำนวย ฝนไม่ตกเลยพี่มากจ๋า” เสียงนั้นหวานเย็บยะเยียบ

    “น้องนากจ๋า เราทำนาไม่ได้เอาไว้ขายเราแค่เอาไว้กิน ฝนวันนี้ไม่ตก พรุ่งนี้ก็คงตก นี่พี่ก็ฟังเสียงกบอยู่เหมือนกันจ๊ะ.กบร้องเมื่อไรฝนคงตกแร๊ะจ๊ะ..”

    “พี่มากจ๋าไหนว่าเราเกิดเป็นคนไทย อยู่ในประเทศไทย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แม้เกิดเป็นหมาในประเทศไทยยังไม่อดตายเลย แต่นี่ดูสิ รัฐบาลเป็นคนกำหนดราคาเอง ขายกันเองถูกๆ ส่วนเราชาวนาได้แต่ปลูกข้าวสนองนโยบายแต่ไม่สามารถกำหนดราคาได้เองทำอะไร ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ผ่านกี่ยุคผ่านกี่สมัยเมื่อไรความเป็นไทยถึงจะมีความสมบูรณ์จ๊ะ

    น้องนากจ๋าจะสนใจทำไมจ๊ะ เราทำนาแบบเรา ไม่ได้ใช้เครื่องทุนแรงอย่างใครเขา อีกอย่างนากก็เพิ่งตั้งท้องจะมีลูกหลานมาช่วยทำนาก็หาไม่ ดูบ้านอื่นสิมีลูกหลายคนพอมีนายทุนมาขอซื้อที่นาก็ขายแบ่งสมบัติให้ลูก หลานครอบครัวก็กระจัดกระจายแตกแยกไม่เห็นมีความสุขเหมือนครอบครัวเราเลยน่ะ จ๊ะ”

    “ที่พี่มากเป็นห่วงน่ะเรื่องฝนมากกว่าถ้าฝนยังไม่ตกน้ำคงไม่เต็มคลอง คลองคงแห้งขอดขาดน้ำ พอพี่มากถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร น้องนากจะไม่มีสะพานทอดยาวพาดแม่น้ำยืนอุ้มลูกรอพี่กลับมา..แล้วเราจะหากัน เจอเหรอจ๊ะ...”

    ฉันขนหัวลุก เส้นผมตั้งตรงเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบปานผู้คนทั้งหลายที่ยืนตรงเตรียมเคารพธงชาติตอนหกโมงเย็น

    อยู่ไม่ได้แล้วโว๊ย คนก็ไม่เห็น ได้ยินแต่เสียง อาการที่เรียกว่าวิ่งโกยอ้าวไม่คิดชีวิตเป็นฉะนี้นี่เอง ฉันวิ่งเรื่อยๆตามเส้นทาง จนมาถึงบ้านไม้หลังหนึ่งที่เปิดประตูบ้านไว้ฉันวิ่งเข้าไปในตัวบ้านนั่งขด ตัวที่โซฟาไม้กลางบ้านที่ไร้เงาเจ้าของ เจ้าหมาฝูงนั้นก็วิ่งตามติดฉันอย่างกระชั้นชิดแต่มันก็นั่งเฝ้าประตูบ้าน เหมือนเดิม

    ฉันนึกใจพร้อมสบถเบาๆ.. “ถุย..นึกว่าจะแน่..เช๊อะ..ที่แท้ก็แค่หมาเฝ้าบ้าน”

    เหลียวมองรอบๆบ้าน บ้านไม้หลังนี้บ่งบอกถึงฐานะของผู้มีอันจะกิน ไม้สักทั้งหลัง มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง

    “ไอ้จ่อยมึงฆ่ากูทำไม” เสียงดังคมเข้มถาม

    “มึงรู้ไหมกว่ากูจะไต่เต้าจากผู้ใหญ่บ้านเป็นนายกเทศมนตรีได้ กูลงทุนไปเท่าไร ประชาชนเลือกกูเข้ามาด้วยเสียงข้างมาก รู้ไหมถ้ากูได้ทำหน้าที่ กูจะมีอำนาจต่อรองฝ่ายบริหารข้างมึงได้ แล้วกูยังมีอำนาจขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่ต้องลงมติยังมีอีกน่ะ...... มึงก็รู้ กูได้ชี้แจงแถลงนโยบายให้ฟังก่อนเข้ารับตำแหน่งแล้วแต่มึงดันยิงกูเสียนี่ นี่ ถ้ากูรับตำแหน่งน่ะ กูยังมีอำนาจร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำ มึง เห็นไหมงานกูเย๊อะ.......แต่ว่ามึงยิงกูแล้วมึงเสือกยิงตัวตายทำไมไอ้ จ่อย..”

    เสียงไอ้จ่อยตอบแผ่วเบาในลำคอ

    “อ้อ..ผมจะตามมาถามว่า ในการลงสมัครเป็นนายกผมต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างครับ”

    ฉันใจสั่น เหงื่อแตกซิกๆ ได้ยินแต่เสียงอีกแล้ว หันมองเพื่อนเพื่อหาแนวร่วมปลอบใจหรือไถ่ถามว่าได้ยินเสียงผู้ใหญ่มากับไอ้ จ่อยคุยกันไหม สายตาฉันส่งไปทักทายถามหมาฝูงนั้น แต่ดูสิ แม้แต่หมายังเมิน ไม่ยอมส่งสายตาตอบกลับมา

    ฉันวิ่งสุดชีวิตออกจากบ้านไม้แล้วหายตัวมาอยู่ในเรือนกาแลของเศรษฐีในหมู่ บ้านย่านนี้ ไม่บ่งบอกว่ามีอันจะกินได้อย่างไรเพราะใช้วัสดุอย่างดีเยี่ยม มียอดจั่วประดับด้วยกาแลไม้สักงดงาม ปลูกอย่างประณีต

    “อีเม้ยเอ็งอยู่ที่ใด ออกมาหาข้าที” เสียงลอยมากระทบเข้าไปในรูหูเสียงหม่อมบัวเงินเรียกดังลั่น

    ผีอีเม้ยปรากฏตัวคลานมาคลอเคลียที่ตักพร้อมตอบว่า

    “บ่าวอยู่นี้เจ้า บ่าวหิว หม่อมเจ้า บ่าวบ่ได้กินอี หยังเลย หม่อมลืมบ่าวแล้วกา หม่อมจะไม่เลี้ยงบ่าวแล้วกา เม้ยเกิดมาอาภัพแต๊ๆ หม่อมของเม้ยนอก จากจะงามที่สุดแล้ว ยังฉลาดลึกตั้งแต่เจียงใหม่ เจียงฮาย ละปาง ละปูน แป้ น่านอุตรดิตถ์โต๊ยเจ้า?”

    “อีเม้ย...ข้าเสียดายนักที่ไม่ได้ร่ำเรียนสูงๆยังนังมณีรินทร์มัน เจ้าพี่ถึงไม่รักข้า แต่ข้าไม่เสียใจที่ไม่เรียน เพราะข้าคิดว่าเรียนไปก็เท่านั้น ไอ้หลักสูตรการศึกษาอะไรน่ะมันสำหรับคนจนเรียนกัน ..เอ็งเห็นไหมอีเม้ย ที่บ้านนอกน่ะ คนจนจะถูกเกณฑ์ไปเรียนคนวุ่นวายไปหมดเหมือนโรงเลี้ยงเด็ก เอ็งคิดดูว่าจะมีโรงเรียนดีๆ สำหรับเด็กบ้านอกสักหลังไหมเห็นจะยากเต็มทีเพราะ มีแต่ลูกชาวนาเรียนกัน ทั้งที่มีอาชีพเป็นชาวนาแต่วิชาเกษตรกรดั๊น เป็นวิชาเสริม แต่ บ้านใครพอมีเงินก็ส่งลูกไปเรียนสูงๆ ในพระนคร ส่วนคนจนก็รับเงิน คน นโยบาย อุปกรณ์จากเมืองหลวง คนจนพวกนี้ไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไรต้องอยู่ใต้ผู้มีอำนาจบารมี แบบนี้เค้าเรียกว่า ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือทางการเมือง อีเม้ย! ข้าเป็นถึงม่อมละลดตัวไปเรียนกับคนจนที่เรียกว่าไพร่ได้จ่ะใด๋ เอ็งเข้าใจ๊ก่อ”

    “เม้ยบ่เข้าใจ๋ ว่าหม่อมอู้อิหยังแต่หม่อมของเม้ย นอกจากจะงามที่สุดแล้ว ยังฉลาดลึกตั้งแต่เจียงใหม่ เจียงฮาย ละปาง ละปูน แป้ น่านอุตรดิตถ์โต๊ยเจ้า?”

    ทันใดนั้น ก็มีมือเล็กขาวสะอาด เอื้อมมาจับฉันเบาๆตั้งแต่ตอนไหนไม่อาจทราบได้

    หล่อนจับปลายแขนเสื้อของฉันที่หล่นรุ่ยร่ายผูกเป็นโบว์ให้ไว้ข้างหลังอย่าง ทะนุถนอมตามด้วยรอยยิ้มหวานและเนื้อเสียงอันไพเราะว่า..

    “คุณคะได้เวลาทานยาแล้วค่ะ...”.
     
  16. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ตื่นมาเช้านี้ อากาศดีมากๆ
    วันนนี้วันที่9เดือน9เพื่อนบอกว่าเป็นวันดี555++
    จริงๆแล้วทุกวันก็คือวันดี
    จะไม่ดีก็อยู่ที่เราล่ะค่ะ(หัวเราะ)
    ขอบคุณจขกท.นี้มากกๆๆสำหรับบทความดีๆ
    (อ่านแล้ว.ยิ้มแก้มแทบแตก.ชอบมากๆค่ะ.:cool:)
     
  17. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ฝากความระลึกถึงคุณพี่ภูฯด้วยนะคะ
    ฝากบอกว่าหนูมาดีคิดถึงมากๆค่ะ(f)
    ปล.จำทุกคำที่พร่ำสอนค่ะ:'(
     
  18. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490

    (k):cool:ดีจ๊ะที่หนูชอบ ตอนนี้ ป้าใจก็กำลังฝึกมองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่ใจเราอยากให้มันเป็นอยู่นะคะ ก็พอได้ ๆ ถ้ากิเลส(อัตตา ตัวกู ของกู กูถูก) ไม่บังตา ก็มองเห็นค่ะ(k):cool:

    :cool:(k)อ.ภู ท่านไปสอนใน facebook แล้วค่ะ ไม่ค่อยเห็นท่านมาที่บอร์ดนี้อีกเลย มีป้าต้อย แวะวน ๆ เวียน ๆ ไปรักษาบอร์ด ที่แสนมีคุณค่าไว้ มีความรู้มากมาย ท่านใดอยากได้ความรู้ก็คลิกไปศึกษาเรียนรู้นะคะ

    คลิกที่นี่ http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กันยายน 2015
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=a3UCMde9Kzk&feature=player_embedded"]รักสลาย โดย พอใจ[/ame]

    รักสลาย
    ชวลี ช่วงวิทย์/
    จั่นทิพย์ สุถินบุตร

    รักเอย ไยกลับหมาง ร้างเลย แรมไกล
    ครวญคิดไป มิได้ หลับนอน
    สุดหักใจไม่เหลือเยื่อใย ได้แต่อาวรณ์

    อกสั่นรอน รักมาบั่นทอน สะท้อน..ใจ
    เหลือลืม ความเก่านั้น ฉันลืมไม่ได้

    ยังมิวาย อาลัยคู่ครอง..
    แต่ ก่อนเคย มีรักชื่นเชย เคยอยู่ประคอง
    เฝ้าแต่มอง น้ำตาอาบนอง หม่นหมอง..ฤดี

    ดนตรี..

    ช้ำ..ใจ ใคร.. จะเหมือนหัวใจ เรานี่
    ทนเหมือนมีมีด..มากรีดใจ

    จะอยู่คอย.. ความรักที่ลอย
    คอยกว่า วันตาย..
    เจ็บปวด ใจ
    รักมากลับกลาย สลายแล้ว..เอย


    ทำนองเพลงเศร้าจัง ๆ ฟังแล้วอย่าร้องไห้น๊า ไฟล์มิดี้ต้นฉบับสะดุดเล็กน้อยเป็นช่วง ๆ

    https://youtu.be/a3UCMde9Kzk
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กันยายน 2015
  20. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    พี่ภูฯเป็นคนดีมากค่ะ ตะก่อนคุยกันทุกวัน
    โชคดีของตัวเองที่มักเจอคนดีๆเข้ามาแนะนำสั่งสอน
    เวปพลังจิตเป็นความทรงจำที่งดงาม
    มีเพื่อนๆหลายๆท่านที่มีแนวคิดเดียวกัน
    จึงชอบที่จะเข้ามาพูดคุย สนทนาปสาทะ
    ช่วงหลังห่างหายไปเพราะมีเหตุ...
    เกิดความหน่ายในกิเลสของคน.คนกันเอง
    ในที่สุด คนที่สร้างเหตุ.ก็มีอัน.อันตรธานไปเช่นกัน
    (คงจะหมดสนุกนั่นเอง.)
    ปล.อโหสิกรรมๆ...:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...