ถามด้วยความสงสัยครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย panoopong, 11 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. panoopong

    panoopong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +24
    อยากทราบว่าแท้จริงแล้วอาหารที่ภิกษุควรฉัน ควรเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ใช่รึไม่ เพราะศีลข้อ 1 ได้บอกไว้แล้วว่า ห้ามฆ่าสัตว์ แล้วมีกฏของสงฆ์ข้อใดบ้างที่ว่าด้วยห้ามฉันเนื้อสัตว์ เพราะหากสงฆ์ยังรับเนื้อสัตว์มาฉัน ก็เท่ากับว่าส่งเสริมให้ประชาชนฆ่าสัตว์อยู่ร่ำไป แล้วประชาชนจะพ้นบาปกรรมกันไปได้อย่างไร ทำบุญก็ไม่ได้บุญอย่างแท้จริง แต่กลับมาบาปตามพ่วงมาด้วย ขอคำชี้แนะด้วยครับ
     
  2. panoopong

    panoopong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +24
    ที่ถามไปเพราะว่าผมกำลังจะบวชแล้วผมไม่ทานเนื้อสัตว์มานานแล้ว ผมจึงอยากให้งานบวชผมไม่มีการฆ่าสัตว์เลย จะเป็นอาหารเจ รึไม่ก็มังสวิรัติไม่มีเหล้า ไม่มีของมึนเมา แต่ทางพ่อแม่ท่านไม่ยอมบอกเป็นธรรมเนียมที่ต้องมีเนื้อสัตว์ ผมก็อธิบายให้ฟังจนไม่รู้จะอธิบายยังงัยแล้ว ผมควรทำงัยดี
     
  3. dpongchai

    dpongchai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +33
    เอ...กระผมก็ไม่เคยบวชแฮะ..แต่เห็นด้วยกับความคิดที่จะให้จัดงานแบบไม่มีของมึนเมานะครับ..ส่วนธรรมเนียมที่ว่าจัดงานบวชต้องมีเนื้อ..เคยอ่านหนังสือมาบ้างก็เห็นสมัยเอหิภิกขุฯ..ก็ไม่เห็นว่าต้องมีงานรื่นเริงอะไรเลยง่ะ..สรุปว่าถ้าเป็นผมบวชคงยื่นคำขาดว่า ถ้าจะให้บวชก็ต้องจัดอย่างนี้..ถ้าไม่ได้อย่างนี้ หรือเอาคนมาเมาในงานบวช..เดือดร้อนบ้านข้างเคียงด้วย..ก็ไม่บวชดีกว่า..บวชแล้วมีทุกข์ก็ไม่รู้จะบวชทำไม..อิอิ..อีกทีนึงก็หนีไปบวชที่อื่นซะเลย..
     
  4. vnoen

    vnoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +827
    ผมไม่เคยได้ยินนะว่าการบวชต้องมีของมึนเมา เหตุผลเข้าข้างคนดื่มจริงๆ เพราะจะให้ใครดื่มล่ะ นาค พระ เหรอ...ในเขตวัดนะครับ...ระวังจะตกนรก X2..ส่วนเรื่องการฉันเนื้อสัตว์นั้นพระพุทธเจ้ามิได้ห้ามไว้ จะฉันหรือไม่ก็ตามใจ ทางสายกลางครับ คงไว้แต่เนื้อของสัตว์บางชนิดเช่นหมา หรือจะไม่ฉันอะไรเลยก็ได้...ไม่ได้ส่งเสริมให้ฆ่าสัตว์หากแต่คนเรากินเนื้อสัตว์อยู่แล้วหากแต่ต้องการทำบุญทำทานตักบาตร ท่านก็ไม่อยากให้วุ่นวาย อนึ่งสัตว์ที่ถูกฆ่าตายนั้นก็คงมีกรรมเป็นทุนเดิมของมันอยู่แล้ว คือการเกิดมาเพื่อเป็นอาหาร..
     
  5. panoopong

    panoopong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +24
    ขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับ ผมเคยได้ยิน ได้อ่าน มาว่า สัตว์ทุกชนิดไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นอาหารคน แต่เค้าเกิดมาเพื่อใช้กรรมของเค้า เราไปเอาเค้ามาฆ่า เท่ากับว่าเราปตัดโอกาสการใช้กรรมของเค้า สัตว์นั้นตายไปก็ต้องเกิดเป็นสัตว์นั้นอีกเพื่อจะใช้กรรมให้หมด แทนที่จะได้เกิดเป็นคน และอีกอย่างสัตว์ที่เราฆ่าเค้าก็ไม่เห็นจะเดินมาให้เราฆ่าเองซักตัว เราจับบังคับเค้ามาฆ่าทั้งนั้น ถ้าเค้าเดินมาแล้วให้เราฆ่าเพื่อสละชีวิตของเค้าเองก็ว่าไปอย่าง แต่คิดแบบนี้ไม่รู้คิดถูกป่าว
     
  6. แท้จริง

    แท้จริง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +989
    ปัญหาการกินเนื้อสัตว์

    ปัญหาการกินเนื้อสัตว์
    ผู้ถาม: เรื่องการถวายอาหารพระนะครับหลวงพ่อ เวลาอุบาสิกนำอาหารไปถวายพระ แล้วก็เอา อาหารพวกเนื้อสัตว์ ไปถวาย จะบาปไหมครับ.......?

    หลวงพ่อ: ถ้าไม่ละเอียดนี่ อาตมาตอบไม่บาปเลยก็ได้ คือเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วและไปซื้อมา เราไปบังคับให้เขาฆ่าเมื่อไรล่ะ ใช่ไหม............?

    ผู้ถาม: ถ้าเราไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า

    หลวงพ่อ: ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่ซื้อ เราไม่ซื้อเขาก็ฆ่า เราไม่ซื้อ คนอื่นซื้อ เขาก็ซื้อ ถ้าเราสั่งให้เขาฆ่าซิ วันนี้ไก่ ๓ ตัวนะ" วันนี้ขอหมูให้ฉัน ๑ ขานะ" "พรุ่งนี้จะแต่งลูกสาว เอาวัว ๓ ตัว หมู ๓ ตัวนะ" อย่างนี้บาป ตั้งแต่เริ่มสั่ง พญายมบันทึกแล้ว บันทึกตั้งแต่สั่งแล้ว ถ้าตายไปก่อนรับวัวรับหมูนะ ลงเลย

    ผู้ถาม: ก็หมายความว่าบาปเฉพาะ คนสั่งฆ่า กับ คนฆ่า

    หลวงพ่อ: คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่งคนนั่นก็มาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาปพระพุทธเจ้าจึงไม่ห้าม ที่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาฆ่าเป็นปกติอยู่แล้ว" คำว่า บาป นี้แปลว่า ชั่ว, บุญ แปลว่า ดี ทำชั่วแปลว่าทำบาป ทำดีเรียกว่า บุญ ทีนี้ชีวิตเขามี อยู่เราไปฆ่าเขา ชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเขาฆ่า ถ้าเราไปฆ่าเขาเราก็เป็นคนชั่ว ฉะนั้นถ้าเขาไปฆ่ามาแล้ว เราไปซื้อกิน อันนี้ไม่ชั่วเพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า แต่ว่าถ้าเอาเนื้อมา แล้วบอก"เฮ้ยพรุ่งนี้เพิ่มหน่อยซิเว้ย" ทีนี้เอาแน่ ต้องว่ากันอย่างนี้นะ"

    ผู้ถาม: มีคนเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ คนฆ่าไม่บาปเท่าไร แต่คนกินบาป และเขายังบอกอีกว่า ถ้าไม่ กินแล้วใครจะฆ่า

    หลวงพ่อ: คิดเอาเองมากกว่า คนกินเขาไม่ได้สั่งให้ฆ่า นี่เขาฆ่าขาย ถ้ามีขายเขาก็ซื้อกิน จะไปโทษคนกิน เขาไม่ได้หรอก ถ้าคนกินสั่งให้เขาฆ่าอันนี้จึงบาป ไม่งั้นพระพุทธเจ้าคงจะห้ามพระฉันเนื้อสัตว์ นี่เขาว่ากันเอาเองไม่ถูกหลักเกณฑ์อะไรหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ" เจตนาแปลว่าตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดจะฆ่าแล้วลงมือฆ่าอันนี้บาปแน่

    ผู้ถาม:ถ้ารับประทาน อาหารมังสวิรัติ จะตัดกิเลสได้ หรือเปล่าคะ......?

    หลวงพ่อ :ถ้าตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงยอมตามที่ พระเทวทัตขอพร แล้วฉันลองมา ๓ ปี เมื่อบวชใหม่ ๆ ฉันไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย แล้วฉันหนเดียวด้วย และฉันไม่บอกชาวบ้านด้วย ถ้าบอกชาวบ้านก็ต้องทำอาหารลำบาก ก็ไปบิณบาตรธรรมดาแต่เนื้อสัตว์เราไม่กิน บางวันไม่มีอะไรมาให้เลย ก็กินเกลือกับหัวหอมกินผักเป็นอาหาร ลองมา ๓ ปี ไม่เห็นกิเลศมันลดเลย แต่ว่าถ้าไม่กินได้นี่ดีนะ ฉันสรรเสริญถ้าเป็นฆราวาสนะ เพราะว่าจะได้ไม่ กังวลเรื่องเนื้อสัตว์ จิตของเราก็ตัดบาปไปจุดหนึ่ง ใช่ไหม......
    ในปฐมบัญญัติ ของสิกขาบท สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ มีเรื่องเล่าว่า พระเทวทัต เข้าไปหา พระโกกาลิกะ โอ้โฮ..... นี่อยู่อเวจีทั้งคู่ ใครไปอเวจีไปมอง ๆ ดูนะ พระเทวทัตยืนกางแขนกางขาโกลากิกะนั่ง ชันเข่า หอกเสียบสบาย ๆ แล้ว ก็ พระกฏโมรกติสสกสะ พระที่เป็นบุตรของนางขัณฑเวที และ พระสมุทททัต ชักชวนให้พระสงฆ์แตกกันใครบ้างล่ะ... พระเทวทัตเป็นหัวหน้าโจก โกกาลิกะรองประธาน พระกฏโมรกติสสกสะ และ พระสมุทททัต ชักชวนให้พระสงฆ์แตกกัน พร้อมทั้งบอกแผนการที่จะเสนอแผนการให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น มี ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่อนุญาต และตนจะนำข้อเสนอขึ้นประกาศแก่มหาชน

    ข้อเสนอ ๕ ข้อนั้นคือ อันนี้ฟังให้ดีนะ ข้อนี้ดีมาก เวลานี้คนที่ปฏิบัติผิดมีเยอะ ไปหลดผิด ว่าไอ้ที่เราทำนี่ดีนี่หว่า ข้อเสนอของพระเทวทัต ๕ ข้อ เวลานี้พระสาวกของพระเทวทัตก็มีเยอะเหมือนกัน ถือว่า ๕ ข้อ ที่พระเทวทัตขออนุญาตนี้ นึกว่าเป็นของดีกันนัก สงสารชาวบ้าน ข้อเสนอของเทวทัต ๕ ข้อคือ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2008
  7. แท้จริง

    แท้จริง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +989
    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้าน ต้องมีโทษ หมายความว่า พระทุกองค์ที่บวชแล้ว ห้ามเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาดต้องอยู่เฉพาะในป่า ห้ามโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน

    ๒. ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต เป็นวัตรหมายถึงปฏิบัติ ต้องบิณฑบาตรตลอด ชีวิต ผู้ใดรับนิมนต์ไปฉันตามบ้านต้องมีโทษ นี้เป็นความต้องการของพระเทวทัต รู้แล้วว่าทำไม่ได้ แต่แกล้งขอ

    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล หมายความว่า ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะบ้าง ตาม ที่ต่าง ๆ บ้าง ตามที่เขาพันผีไว้บ้าง นำมาซัก นำมาย้อม มาปะติดปะต่อเป็นจีวรจนตลอดชีวิต ผู้ใดรับจีวรที่ ชาวบ้านถวาย
    ต้องมีโทษ

    ๔. ภิกษุพึงอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ผู้ใดเข้าที่มุงที่บังที่มีหลังคาต้องมีโทษ

    ๕. ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อสัตว์ ผู้ใดฉันต้องมีโทษ

    เห็นไหม...การขอนี่เขาขอเพื่อเป็นการลบล้าง ไม่ใช่ทำได้ ภิกษุเหล่านั้นเห็นมีทางชนะร่วมด้วยว่า พระพุทธเจ้าแพ้แหง ๆ พระเทวทัตต้องชนะการเสนอญัติแบบนี้ พระเทวทัตจึงได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลข้อเสนอ ๕ ประการ นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    "
    ดูก่อน เทวทัต ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่า ก็จงอยู่ป่า ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ในละแวกบ้าน ก็จงอยู่ในละแวกบ้าน ผู้ใดปรารถนาจะเที่ยวบิณฑบาต ก็จงเที่ยวบิณฑบาต ผู้ใดปรารถนาจะรับนิมนต์ ก็จงรับนิมนต์ ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุกุล ก็จงใช้ผ้าบังสุกุล ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าไตรจีวรจากฆราวาสถวาย ก็จงรับได้

    เราอนุญาต ที่นอนที่นั่ง ณ โคนไม้ตลอด ๘ เดือน หมายความว่าที่ไม่ใช่ฤดูฝน เป็นฤดูหนาวหรือฤดูแล้ง ถ้าจะไปยังงั้นก็ได้ เราอนุญาติเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์ โดย ๓ ส่วน คือ

    ๑.ไม่ได้เห็นเขาฆ่า

    ๒.ไม่ได้ยินเขาฆ่าเพื่อถวายพระ

    ๓.ไม่ได้รังเกียจคิดว่าเนื้อสัตว์ที่น่ากลัวเขาฆ่าเพื่อเราเช่นเขาฆ่าเจาะจงเพื่อจะให้ภิกษุบริโภค"

    พระเทวทัตดีใจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยอมรับสมเจตนาจึงได้เที่ยวประกาศให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมอนุญาตข้อเสนอที่ดีของตน ทำให้คนที่มีปัญญาทราม คนไร้ปัญญาบางคนเห็นว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก

    โอโฮ.... ดีจริง ๆ นะ พระผู้มีพระภาคเจ้ามักมากแล้วใครจะมักน้อยอีก แต่คนที่เข้าใจเรื่องดี กลับติเตียนพระเทวทัตเอาแล้วซิ... นี่พระไม่ดีทำให้ชาวบ้านแตกกัน ความทราบถึงพระผู้มี พระภาคเจ้า จึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนพระเทวทัตเป็นสัตย์แล้ว จึงได้ทรงติเตียนและทรง บัญญัติสิกขาบท ว่า

    "
    ห้ามภิกษุพากเพียรเพื่อทำลายสงฆ์ให้แตกกัน เมื่อภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง ภิกษุทั้งหลายพึงสวด ประกาศเป็นการสงฆ์ เพื่อเลิกข้อประพฤตินั้นเสีย ถ้าสวดถึง ๓ วาระยังไม่เลิก ต้อง
     
  8. แท้จริง

    แท้จริง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +989
    อาบัติสังฆาทิเสส"
    จำไว้ให้ดีนะ นี่บท ๕ ข้อนี้ ทวนเสียอีกทีนะ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ในป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้านต้องมีโทษ ใครเขาจะทำ

    ๒. ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต ถูกรับนิมนต์ฉันตามบ้านต้องมีโทษ

    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล คือผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขากองทิ้งไว้ หรือผ้าห่อผีห่อคนตายตลอดชีวิต ถ้ารับผ้าที่เขาถวาย ต้องมีโทษ

    ๔. ภิกษุต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ตลอดฤดูน้ำฤดูฝนไม่รู้ ถ้าเข้าบ้านที่มีหลังคาต้องมีโทษ

    ทั้ง ๕ ข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตนะ เมื่อคนเห็นด้วย เมื่อเจอะพระเขาทำอย่างนี้นะละก็ญาติโยมอย่าถือว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดนะ ต้องถือว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดนะ ต้องถือว่าเขาเป็นคนละเมิดพระดำรัสสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน"

    ผู้ถาม: กระผมเป็นฆราวาส กินอาหารมื้อเดี่ยว ทำอย่างนี้โดยตลอด ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์เป็นไปข้างหน้าอย่างไรครับ...?

    หลวงพ่อ : อานิสงส์ปัจจุบัน คือ

    1.
    เปลืองอาหารน้อย เพราะกินเวลาเดียว

    2.
    มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่ คือตาย.... ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดฐานะอะไรไม่ได้เลย อย่าไปนึกว่ามันดีเด่นกับใครเขานะ กินเวลาเดียว กิน 2 เวลา กิน 3 เวลา มีความหมายเสมอกัน สำคัญว่า "ใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า" เขาเอากันตรงนั้น ถ้าถือแค่กินนี่มันเป็น มานะทิฏฐิ เป็นกิเลสหยาบมาก อีกอย่างหนึ่งตายเร็วมาก อย่าไปนึกว่าดีนะ และถ้าคุยว่านี่ฉันกินเวลาเดียว เสร็จเลย โอ้อวด นี่เป็น มานะกิเลส พังเลย"

    ผู้ถาม: อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป.....

    หลวงพ่อ: ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปก็เปลืองน้อย เพราะ ฉะนั้นอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ ไอ้กินเวลาเดียว 2 เวลา กินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่อย่านะ อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ต้องตอบอย่าง หลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่าให้ฟัง มีคนหนึ่งแกบอกหลวงปู่แหวนว่า "เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์" หลวงปู่แหวนท่านบอก "ไอ้วัวควายกินหญ้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

    ตอบนำสมัย ไม่ใช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นจริงตามนั้น แต่การกินไม่มีความหมายในการปฏิบัติ แต่ปฏิบัติจริงๆมันอยู่กับ

    1.
    เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วหรือยัง

    2.
    เข้าถึง เปลือก เข้าถึง กระพี้ เข้าถึงแก่น แล้วหรือยัง เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้นะ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัดกันแค่กิน

    ผู้ถาม: คนทำบุญให้ทานที่กินเนื้อสัตว์ กับคนทำบุญให้ทานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ อันไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากันคะ...?

     
  9. แท้จริง

    แท้จริง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +989
    หลวงพ่อ: อานิสงส์แบบไหนล่ะ อานิสงส์ไปนรก หรืออานิสงส์ไปสวรรค์ อานิสงส์มันมี 2 อย่าง ทำบาปก็มีอานิสงส์ จะลงขุมไหนแน่ ถ้าทำบุญก็มีอานิสงส์ อย่างเลวก็ไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างดีที่สุดไปนิพพาน คนที่ไม่ทำบุญเลย แม้ไม่กินเนื้อสัตว์ก็มีสิทธิ์ไปอยู่กับเทวทัตได้ มีไหมคนไม่ทำบุญเลย คนที่ทำบุญไม่กินเนื้อสัตว์ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์นะ พระที่ฉันเนื้อสัตว์ไปนิพพานนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้กินสัตว์เป็น เขาซื้อมากินไม่มีบาป

    ผู้ถาม: ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เพราะว่าไปมองเห็นเนื้อสัตว์แล้วมีเลือดมีคาว เลยกินไท่ได้เจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ: อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้าเห็นว่าสกปรกเป็น อาหารเรปฏิกูลสัญญา อันนี้เป็นปัจจัยให้บรรลุพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ นี่เป็นพื้นฐานใหญ่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นเกิดนิพพิทาญาณแล้ว นิพพานญาณเป็นปัจจัยให้ได้พระอนาคามี ต่อไปถ้าเว้นจริงเป็น สังขารุเปกขาญาน เป็นพระอรหันต์ คนที่จะเป็นอรหันต์ได้ ถ้าไม่คล่องในบทนี้เป็นไม่ได้ มี กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐาน เป็นพื้นฐาน

    พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ไม่เสวยและฉันเนื้อสัตว์ เป็นต้น

    ๑. ต้องไม่ฉันเนื้อ ๑๐ ประการมีเนื้อมนุษย์เป็นต้น

    ๒. เนื้อนั้นจะต้องเป็นปวัตตมังสะ คือที่เขาขายแกงกินกันตามปกติของเขา โดยพระไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจสงสัยว่า เขาฆ่าเนื้อเจาะจงถวายตน

    ๓. ก่อนการฉันอาหารเนื้อทุกคราว จะต้องพิจารณาเสียก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ฉันเนื้อต้องห้ามข้างต้น


    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญญาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 1<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  10. แท้จริง

    แท้จริง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +989
    บทพิจารณาอาหาร

    (หันทะ มะยัง ตังขะณิกะปัจจะเวกขะณะปาฐังภะณามะ เส ( สำหรับ ภิกษุสวด))

    ปะฏิสังขา โยนิโสปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ, เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วรับประทาน

    เนวะทวายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเพลินเพลิดสนุกสนาน

    นะ มะทายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน, เกิดกำลังพลังทางกาย

    นะ มัณฑะนายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ

    นะ วิภูสะนายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง

    ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา, แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกาย,

    ยาปะนายะ, เพื่อความเป็นไปได้ของอัตตภาพ,

    วิหิงสุปะระติยา, เพื่อควาสิ้นไปแห่งการลำบากทางกาย

    พรัหมะจะริยานุคคะหายะ, เพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์,

    อิติปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฎิหังขามิ,
    ด้วยการทำอย่างนี้, เราย่อยระงับเสียได้ ซึ่งทุกขเวทนาเก่า,คือความหิว

    นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ, และไม่ทำทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดให้เกิดขึ้น,

    ยาตรา จะ เมา ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ,
    อนึ่ง, ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตตภาพนี้ด้วย, ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย, และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วย, จักมีแก่เราดังนี้ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
     
  11. แท้จริง

    แท้จริง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +989
    ก๊อปของชาวบ้านมาทั้งเพ 555

    เห็นด้วยกับการไม่มีของมึนเมาครับ ถ้ามียอมบวชใจไปแทนดีกว่านะ
    แต่ส่วนของการมีเนื้อสัตว์ ผมว่าถ้าเขาไม่ถึงกับฆ่าเป็ดฆ่าไก่ ล้มวัวล้มควาย
    ก็หยวนๆนะ เพราะที่เขาเอามาก็เป็นซากสัตว์นะ ไม่ได้ฆ่ามาโดยเฉพาะ
    เราอยากกินเราก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินเนื้อเอาแต่ผักก็ได้

    ถามตอบข้างบน หลวงพ่อหมายถึงหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    เวลางานบวชถ้าใครจะให้ท่านบวช ท่านจะพูดดักไว้ก่อนเลยว่าถ้ามีของมึนเมา
    หรือทุบไข่แม้แต่ใบเดียว(หมายถึงฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงงานบวช) ท่านจะไม่บวชให้เลย

    หวังว่าคงมีประโยชน์กับการตัดสินใจนะครับ
     
  12. kornselo

    kornselo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +62
    แสดงว่าพวกที่ทาน มังสวิรัติ กับที่ทานเนื้อสัตว์ ปกติ ก็มีค่าเท่ากันนะซิ
    เห่อ !!! บาปบุญยากแท้หยั่งถึง ยิ่งกว่าใจมนุษย์อีก
    สงสัย มนุษย์โลกคงไม่มีใครรู้จริง เลยสักคน

    เอาเป็นว่าทำในสิ่งที่ไม่เดือดร้อนเถอะครับ
     
  13. นายจั๊บ

    นายจั๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,109
    ทำตามพระพุทธเจ้าทรงสอนน่ะครับดีแล้ว
     
  14. panoopong

    panoopong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +24
    แล้วถ้างานบวชผมจะจัดเลี้ยงแบบไม่มีเนื้อสัตว์เนี่ย เป็นการสมควรมั๊ยครับ จะเป็นการคิดพิเรน รึคิดนอกกรอบเกินไปปล่าว เพราะพ่อกับแม่เค้าไม่ยอมกลัวเสียหน้าญาติพี่น้อง เค้ากลัวว่าจะมีแต่ผักล้วนๆ ซึ่งพ่อเค้าไม่เคยกินอาหารเจ รึมังสวิรัติมาก่อนเลยอ่ะครับ เลยไม่ยอมเข้าใจ
     
  15. Karz

    Karz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +96
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>[SIZE=-1]พระสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่า เป็นอยู่ด้วยความไม่เบียดเบียนนั้น เหตุใดยังบริโภคเนื้อสัตว์อยู่?

    [/SIZE]
    [SIZE=-1]การยังบริโภคอยู่นั้น เปรียบเสมือนการสนับสนุนไปในตัว เมื่อมี demand ย่อมมี supply


    หลายคนนั้นลืมไปว่า พระสงฆ์เป็นผู้ขอครับ มีหน้าที่รับอย่างเดียว ไม่ได้เป็นผู้ทำให้เกิด demand แต่ผู้ให้ต่างหาก ที่ให้เนื้อสัตว์เหล่านั้นมา ด้วยคิดว่า หากเราตายไปแล้ว เราจะได้บริโภคอาหารที่เราชอบ พระสงฆ์ไม่สามารถปฏิเสธบิณฑบาตที่ได้รับแล้วได้ครับ เค้าให้อะไรมาก็ต้องรับไปตามนั้น จะมาเลือกเอาอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ พระสงฆ์ที่ยังเลือกอาหารอยู่ แสดงว่าไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย


    แล้วผลที่ตามมาจากการบริโภคเนื้อสัตว์นั้นมีหรือไม่ครับ?


    ผมไม่มีเวลาศึกษาพระไตรปิฏกแบบ full time ดังนั้นต้องอาศัยพระไตรปิฏกฉบับย่อครับ ในนั้นเขียนไว้ว่า การทำกรรมลามกในอาหาร (หมายถึงการกระหายใคร่อยากและเพลิดเพลิน ในรสของเนื้อสัตว์นั้นๆ) ตายไปก็จะเข้าถึงความเป็นสหายของสัตว์นั้นๆ (เกิดเป็นสัตว์นั้น) เศษกรรมยังจะได้เกิดเป็นเปรต


    แล้วพระพุทธเจ้าทรงสอนให้พระสงฆ์บริโภคเนื้อสัตว์อย่างไรครับ?


    ทรงให้สงฆ์พิจารณาสิ่งต่างๆเป็นสักแต่ว่าธาตุสี่ดินน้ำลมไฟซึ่งนำมาบำรุงเลี้ยงสมมุติบัญญัติอันเกิดจากธาตุสี่ดินน้ำลมไฟเช่นกันครับ หลักฐานก็คือ ธาตุปฏิกูลปัจจเวกขณวิธี ซึ่งพระสงฆ์จะต้องรำลึกถึงทุกวันในช่วงทำวัตรเช้า และรำลึกเสมอเวลาได้รับหรือบริโภคสิ่งใดๆที่มีอยู่ในธาตุปฏิกูลฯ นี้ เนื้อหานั้นมีอยู่ว่า (ขอตัดช่วงบิณฑบาตมาก็แล้วกันครับ)


    ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง,
    สิ่งเหล่านี้นี่เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจ

    ยะทิทัง ปิณฑะปาโต, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล,
    สิ่งเหล่านี้คือบิณฑบาต และบุคคลผู้บริโภคบิณฑบาตนั้น

    ธาตุมัตตะโก,
    เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ

    นิสสัตโต,
    มิได้เป็นสัตวะอันยั่งยืน

    นิชชีโว,
    มิได้มีชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล

    สุญโญ,
    ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน

    สัพโพ ปะนายัง ปิณฑะปาโต อะชิคุจฉะนียานิ,
    ก็บิณฑบาตทั้งหมดนี้ ไม่เป็นของน่าเกลียดมาแต่เดิม

    อิมัง ปูติกายัง ปัตวา,
    ครั้นมาถูกเข้ากับกายอันเน่าอยู่เป็นนิจนี้แล้ว

    อะติวิยะ ชิคุจฉะนีโย ชายะติ,
    ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกัน


    พระสงฆ์ท่านต้องพิจารณาอย่างนี้ขณะรับบิณฑบาต รับจีวร รับเสนาสนะ และรับคิลานเภสัช ก็มีบ้างครับ พระสงฆ์ที่ยังเจริญสติไม่เต็มที่ ไม่ทันได้พิจารณาสิ่งเหล่านั้นให้เป็นธาตุขณะรับ พอถึงตอนทำวัตรเย็น ท่านก็จะต้องมาพิจารณากันอีกรอบ หลักฐานก็คือ อตีตปัจจเวกขณปาฐะ ขึ้นต้น อัชชะ มะยา อะปัจจะเวกขิตวา ยัง จีวะรัง ปะริภุตังฯ นั่นแหล่ะครับ เป็นบทที่มันส์มาก เมื่อตัดคำบาลีออก แปลเป็นไทยได้ว่า (เหมือนเดิม ขอตัดช่วงภายหลังบริโภคบิณฑบาตมา)


    บิณฑบาตใด อันเราฉันแล้ว ไม่ทันพิจารณาในวันนี้
    บิณฑบาตนั้น เราฉันแล้ว ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน
    ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเมามัน เกิดกำลังพลังกาย
    ไม่ใช่เป็นไปเพื่อประดับ เพื่อตกแต่ง
    แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้
    เพื่อความเป็นไปได้ของอัตภาพ
    เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย
    เพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์
    ด้วยการทำอย่างนี้ เราย่อมระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนาเก่าคือความหิว
    และไม่ทำทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น
    อนึ่ง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วย ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย
    และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วย จักมีแก่เรา ดังนี้.


    ครับ เช่นกัน ท่านต้องพิจารณาถึงการใช้สอยจีวรในวันนั้น เสนาสนะในวันนั้น และเภสัชในวันนั้นว่าเป็นเพียงเครืองนุ่งห่มเพื่อบำบัดความร้อนหนาวและผัสสะจากเหลือบยุงแดดลมและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย เพียงปกปิดอวัยวะอันให้เกิดความละอาย ฯลฯ


    ครับ สำหรับภิกษุรูปใด ละเลยการพิจารณาแบบนี้ทั้งเช้าทั้งเย็น (ผู้ไม่ออกมาทำวัตรเช้าเย็น) และยังละเลยการพิจารณาขณะบริโภคใช้สอยสิ่งเหล่านั้น ปล่อยให้ล่วงราตรีผ่านไป นับเป็นอาบัติทุกกฏครับ (ทุกกะตะยาโย อาบัติติโย) เมื่อไม่ทำนานเข้าๆ มันจะเป็นอาบัติทุกกฏไปทุกวันๆ นั่นท่านทำตัวเองครับ


    นอกจากนั้น ยังมีกรรมฐานอีกหนึ่งกองที่ว่าด้วยเรื่องของอาหารโดยเฉพาะ นั่นก็คือ อาหาเรปฏิกูลสัญญา การพิจารณาอาหารให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูล และอีกกองหนึ่งคือ จตุธาตุวัฏฐาน ที่ว่าด้วยเรื่องของธาตุสี่ดินน้ำลมไฟ (กรรมฐานสองกองนี้ให้ผลได้เพียงอุปจารสมาธิ)

    สรุปว่า พระสงฆ์บริโภคเนื้อสัตว์ไม่เหมือนอย่างเราๆท่านๆบริโภคเนื้อสัตว์ทุกวันนี้ครับ ท่านบริโภคด้วยความไม่ประมาท แถมยังเจริญพรหมวิหาร มีการอุทิศส่วนกุศลให้สัตว์ทุกวันอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านให้ทำอย่างนั้นครับ ส่วนพวกเราบริโภคนั้น ...อืม... เคยได้ยินฝรั่งพูดกันมั้ยครับ เค้าบอกให้ enjoy your meal แสดงว่าในบางครั้ง เค้าถือว่าการรับประทานอาหารสามารถเป็น entertainment ได้ -_-'

    รู้วิธีแล้ว อย่าประมาทในการบริโภคนะครับ

    [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. vilawan

    vilawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,432
    K.Panoopong ไม่ได้คิดพิเรนแน่ ๆ คะ สนับสนุน เรื่องเสียหน้าสำหรับผู้ใหญ่บางครั้งก็เจรจากันยาก เพราะมีญาติบวชแล้วจัดงานใหญ่โตมาก เราเห็นกลับไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด มีเล่นดนตรี มีการเชิญตลกมาเล่นให้แขกในงานดู มีวงดนตรี รู้สึกเสียดายเงินแทนคะ น่าจะนำไปทำบุญให้วัดมากกว่า ยิ่งมองไปรอบ ๆ วัดแล้วได้เห็นพระท่านเปิดหน้าต่างมาดู เศร้าจังคะ ไม่รู้ว่าเสียงดังรบกวนท่านมาก ๆ เกินไป หรือมีเหตุจูงใจอื่น
    เป็นกำลังใจให้เจรจากับคุณพ่อ คุณแม่ให้สำเร็จ แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็อย่ามีปากเสียงกับผู้มีพระคุณนะคะ จะบวชทั้งที มีจิตผ่องใสเป็นดีที่สุดคะ
     
  17. world500

    world500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +673
    ตอนผมบวชก็บอกพ่อว่าขอบวชแบบข้าวหม้อแกงหม้อพอเลี้ยงแขกก็พอขอไม่เอาเหล้า พ่อเห็นดีด้วย

    ของผมบวชแค่ 19 วันแต่เป็นอะไรที่ผมพอใจมากครับเพราะตอนบวชก้ตั้งใจจะเต็มที่แม้จะมีจิตหลุดบ้าง แต่คิดว่าเราเข้าไปฝึกตนและพยายามทำให้ดีที่สุด

    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
     
  18. panoopong

    panoopong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +24
    ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนครับที่ชี้แนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...