ขอคำแนะนำเรื่องฝึกกสิณไฟค่ะ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย มโหธรเทวี, 20 ธันวาคม 2014.

  1. มโหธรเทวี

    มโหธรเทวี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    เริ่มฝึกกสิณไฟได้ประมาณ 4-5 วันแล้วค่ะ วันแรกที่ฝึก เห็นทั้งตอนหลับตา และลืมตาค่ะ
    แต่ว่าที่เห็น เป็นวงกลม เป็นสีแสดบ้าง แดงบ้าง น้ำเงินบ้าง เท่าที่อ่านเป็นกสิณโทษ
    วันที่ 2-3 เริ่มเห็นสีเหลืองบ้างค่ะ แต่ว่าขอบจะมีสีส้ม เป็นวงรียาว

    สีเหลืองขอบส้ม เป็นกสิณโทษไหมคะ วันแรกที่เห็นจะมีสีเดียวไม่มีขอบ แต่เริ่มวันที่สองมีขอบสีบ้างบางครั้ง ต้องมีลักษณะ แค่วงกลมไหมคะ เพราะเริ่มเห็นเป็นวงรียาว

    ฝึกจากการจุดเทียนนะคะ ก่อนฝึกมีบทสวดอะไรไหมคะ
    เพิ่งเริ่มฝึกยังมีความรู้น้อย ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ
     
  2. babae

    babae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +470
    ตอนนี้จำได้ขึ้นใจหรือยังครับ แบบว่านึกแล้วก็มาเลยไม่ต้องตั้งท่ามาก
    ผมก็ทำให้ถึงจำได้ให้ขึ้นใจ แต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้งานยังไง ต้องรอผู้รู้มาตอบเหมือนกัน
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ให้จำภาพ ไม่ใช่ มโนภาพ นะครับ

    ฝึกกสิณไฟ ภาพที่เห็นเป็นอย่างไร ก็ให้ใช้ภาพนั้น เป็นตัวตั้ง ครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ขอให้ลองอ่านดูก่อนนะครับเป็นภาพรวมๆก่อนในเบื้องต้นครับ..
    กสิณทุกกองนะครับการเห็นภาพระดับอุคคนิมิตร
    หรือภาพที่เราเรียกเป็นรูปร่างได้..
    จะวงกลม สี่เหลี่ยม หรืออะไรก็ตามครับ.
    ยังถือว่าเป็นกสิณโทษได้หมดครับ.โทษในที่นี้คือทำให้เราเสียเวลาในการฝึก
    เสียเวลาในการไปเผลอยึดติดว่าภาพที่เราเห็นตรงนี้เป็นเพราะว่าตัวจิตเรา
    มันมีความพิเศษอะไร เผลอคิดไปต่างๆนานาทั้งๆที่มันยังไม่มีประโยชน์อะไรครับ..
    .เพราะภาพในระดับนี้ไม่ว่าจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    หรือหลับตาทั้งในขณะฝึกและไม่ได้ฝึกก็ตาม..
    และแม้จะเห็นได้เป็นนาที สองนาทีหรือแม้ว่าจะเห็นจนเราเบื่อก็ตาม..
    จะยังไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับการนำไปใช้งานต่างๆได้จริงๆครับ
    เพราะภาพที่เห็นตรงนี้ยังประกันไม่ได้ว่าเกิดจากความเป็นทิพย์ของจิตครับ
    เนื่องจากว่าแม้เรามองวัตถุอื่นๆที่พอมีความสว่าง.มันก็จะสามารถเกิดภาพ
    คงค้างเหมือนจากตอนที่เราละสายตาจากการเปล่วไปในส่วนที่นิ่งๆได้
    เช่นกันครับ..และไม่เกิดเครื่องรู้อะไรต่างๆ
    ไม่เกิดกำลังจิตในระดับใช้งานได้จริงๆในชีวิตประจำวันหรือในสภาพแวดล้อม
    แบบลืมตาปกติครับ.ถ้ามันเกิดทิพย์จักษ โดยปกติแล้วสายตาเราเวลา
    มองภาพมองอะไร เราจะสามารถมองเห็นภพภูมิฝ่ายนามธรรมต่างๆได้
    เป็นปกติครับ.เพราะฉนั้นให้เราพิจารณาประเด็นนี้ไว้ก่อน..

    และแม้ว่าภาพที่เราจากการมองเปลวไฟนี้แรกในระดับเริ่มต้นนั้นจะมี ๓ สีก็ตาม
    โดยที่สีตรงกลางจะมากสุดและก็มีขอบเล็กๆอีก ๒ ขอบนั้นและแม้ว่า
    ภาพแรกที่เราเห็นนี้มันมักจะไม่อยู่นิ่ง เคลื่อนที่ไปมาได้ และชอบมีภาพที่สวยกว่า
    มาหลอกให้เราหลงภาพตั้งต้นด้วยครับ.
    และต่อให้เราจะขยันกว่านี้จนสามารถมองภาพจนกระทั่งมันเหลือสีน้ำเงิน
    สีเดียวได้ก็ตามและก็ต่อให้สามารถบังคับให้มันอยู่นิ่งๆได้ก็ตาม ไม่ว่าจะ๓สีหรือ
    สีเดียว.และแม้ว่าบางครั้งภาพจะหายไปแต่ถ้าเรามาตามลมหายใจอีก ๓ ถึง ๔ ครั้ง
    ภาพก็จะปรากฏขึ้นมาให้เราเห็นยังต่ำแหน่งเดิมได้อีก
    .หรือต่อให้นั่งๆไปแบบลืมตาจะเกิดควันสีขาวรอบๆตัวเราคล้ายไฟไหม้ก็ตาม
    หรือแบบหลับตาจะเกิดแสงสว่างจนกระทั่งรอบๆตัวเราจะสว่างจร้ามากก็ตาม.
    ในระดับที่เล่าให้ฟังมาทั้งหมดนี้ก็ยังไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับ
    การนำมาใช้งานได้ครับ เพราฉนั้นไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับมัน
    และไม่ต้องไปเสียเวลาไปคิดว่ามันคืออะไรครับ..
    .
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นอุบายในการสร้างสติ เป็นอุบายสำหรับให้เรา
    สะสมกำลังสมาธิเล็กๆน้อยได้ครับ..ซึ่งในขั้นต้นก็ยังคงต้องอาศัยส่วนนี้อยู่ครับ.
    ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากการจำสำหรับบุคคลที่ไม่เคยสัมผัสนามธรรมมาก่อน
    และตามด้วยการตัดระบบความคิดจากสมองแล้วให้จิตสร้างภาพขึ้นมาจากตัวจิต
    จนจิตมีความเป็นทิพย์ส่งผลให้เราเกิดทิพย์จักขุ สำหรับบุคคลที่เคยสัมผัส
    นามธรรมมาบ้างแล้วแบบไม่ได้ตั้งใจและตั้งใจ..
    และหลังจากตรงนี้แล้วเราค่อยมาสร้างกำลังจิตให้จิต.
    .ด้วยการออกกำลังกายให้ภาพกสิณในกำลังสมาธิระดับสูง
    ด้วยการบังคับภาพให้เป็นตามใจเราและก่อนที่เราจะสามารถบังคับ
    ภาพพวกนี้ได้นั้น ตัวภาพจะต้องปรากฏเป็นแสงที่มีความสว่างขึ้นมา
    จากตัวภาพเองเราเรียกกันว่าปฏิภาคนิมิตร..และเราต้องมีกำลังสติเพียงพอ
    ในการควบคุมตัวจิตเราและมีกำลังสมาธิสะสมเพียงพอที่จะไม่ให้ตัวจิตถูถ
    ภาพนิมิตรดูดเข้าไป..เพราะการที่เริ่มเกิดปฏิภาคนิมิตรขึ้นมานั้น
    ขณะที่เรากำลังบังคับให้ภาพหมุนนั้น ตัวภาพจะเกิดกิริยาทำหน้าที่
    คล้ายๆประตูมิติ หากตรงนี้จิตเราเข้าไปไกลมากเกินไป จิตเราจะถูดดูด
    ไปโผล่ยังอีกมิติหนึ่งได้ จะทำให้เราเสียเวลาในการฝึกตรงนี้
    และจะทำให้เราหลงไปเผลอยึดติดกับสิ่งที่เห็นต่างๆตรงนั้นเพราะมันค่อน
    ข้างที่จะพิศดาร และกลายเป็นคนหลงตัวเองว่ามีความสามารถพิเศษ
    โดยที่เราไม่รู้ตัว เนื่องจากมันดูเหมือนไม่ยึดติด แต่ยังเป็นกิเลสธรรมตัวหนึ่ง
    และเราจะไม่สนใจในเรื่องการเดินปัญญาลดละกิเลสแต่เราจะไปสนใจใคร่รู้
    ในสิ่งที่เห็นว่าเป็นอะไรพิเศษ เป็นความสามารถพิเศษของจิตเราที่เห็นได้ครับ..

    และการที่เราจะฝึกกสิณกองอะไรก็ตามจนถึงระดับที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง
    ในระดับที่เราสัมผัสได้ บุคคลอื่นๆสัมผัสได้ และใช้งานในทางด้านต่างๆที่เป็นประโยชน์
    ได้ทั้งต่อตัวเราและบุคคลอื่นๆ.การที่เราจะเข้าสู่ความสำเร็จได้เร็วนั้น เราควรตั้งเป้า
    เอาไว้ด้วยว่าเพื่อเรียกย้อนคืนของเก่าเราและนำพลังงานที่ฝึกได้จากกสิณเพื่อนำไป
    ใช้ประโยชน์ในทางธรรมและนำกำลังสมาธิที่จะได้จากการฝึกกสิณตรงนี้เอาไว้เพื่อ
    ต่อยอดสำหรับการเดินปัญญาเพื่อลดละกิเลสด้วยครับ..เราจึงมีโอกาสที่จะฝึกสำเร็จ
    ถึงระดับใช้งานภายในเวลาไม่กี่เดือนครับ.พวกนี้ถ้าไม่สำเร็จในหลัก ๒ ถึง ๓ เดือน
    มันจะข้ามไปหลักปี และกลายเป็นสิบปี และทั้งชาติก็ฝึกไม่สำเร็จครับ และจะทำให้เรา
    เบื่อและก็คิดไปว่าไม่ใช่ทาง ไม่ใช่แนว ความจริงๆก็คือเราไม่ได้ตั้งเป้าไว้อย่างที่แนะนำ
    ตั้งแต่ต้นครับ.จำไว้อย่าตั้งเป้าเพื่อพัฒนาตนเองฝ่ายเดียวครับ เพราะมนุษย์ส่วนมาก
    จะยังมีกิเลส.ติดในสัมผัส ติดในความสามารถเล็กๆน้อยอยู่เพราะฉนั้นประเด็นนี้
    ต้องระวังให้ดีครับ.และถ้าเราไม่ตั้งเป้าไว้เพื่อเป็นแนวทางเดินให้
    กับจิตอย่างนี้ไว้ก่อนเป็นทุน นอกเราอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกที่นานมากครับ.
    บางครั้งฝึกเป็นปี ฝึกอีกสิบปีหรือตลอดชาตินี้ทั้งชาติก็จะไม่สำเร็จครับ.
    รวมทั้งความสามารถของเราก็จะอยู่แต่การใช้งานได้ในนิมิตรเท่านั้น
    ก็จะเห็นได้แต่อุคนิมิตรไร้ประโยชน์ ไปเห็นโน้นเห็นนี่แบบที่ออกมาแล้ว
    ไม่ได้เสริมปัญญา มีแต่จะพอกพูนกิเลสกับสิ่งที่เห็น
    และการไร้สาระพวกนี้บางคนมักคิดว่าตนมีความสามารถสูงและ
    มักทำให้เราเผลอคิดว่าความสามารถทางจิตเราดีด้วยครับ..
    และต่อให้เราฝึกเป็นหลักหลายๆปีถึงขั้นมีพลังงานขึ้นมาได้.กว่าจะเรียกได้
    ก็ต้องรวมรวบกำลังใช้เวลานาน ต้องตั้งท่ามากแถมความสามารถในการใช้งานได้
    ของเราก็จะต่ำเช่น การใช้กสิณไฟในการรักษาคนที่ปวดศรีษะปกติจะ
    ใช้เวลาไม่เกิน ๒ นาทีอย่างมากแต่เราอาจต้องใช้เวลาเป็นวันครับ.
    หรือรักษาคนที่ได้รับบาดเจ็บ ณ เวลานั้นก็อาจใช้เวลาเป็นวันครับ...
    และภูมิต้านทานทางด้านกำลังจิตของเรา
    ต่อพลังงานภายนอกต่างๆเราก็จะต่ำ.ไม่ว่าจะเป็นวัตถุต่างๆ
    หรือว่าพลังงานภายนอกต่างๆที่มีอยู่แล้ว ตลอดจนพลังงานภาย
    นอกที่มีคนสร้างขึ้นมา.และเราจะขาดเครื่องรู้สำหรับการนำไปใช้งาน
    และเครื่องรู้พิเศษที่จะเกิดขึ้นในขณะที่เราจะใช้งานโดยที่ไม่ต้องไปถามใครครับ
    ที่สำคัญมันอาจจะทำให้เราอาจจะหลงตัวเอง
    ได้แบบไม่รู้ตัวด้วยครับ.เป็นคนขี้อิจฉา เห็นใครดีกว่าเด่นกว่าชมไม่เป็น.
    ขาดการยอมรับความจริง.คิดว่าความคิดตัวเองหรือตนเองเก่งที่สุด
    เพราะความสามารถตรงนี้ตลอดจนบางครั้งอาจเผลอคิดว่าตัวเองบรรลุโน้น
    บรรลุนี้ด้วยครับ.ประเด็นนี้คือพูดภาพรวมๆให้ฟังครับ

    แต่ไม่ใช่ตัวเจ้าของคุณนะครับ อ่านตรงนี้จบลองมาฟังข้อแนะนำ
    ต่อใน #Rep ต่อไปนะครับ.
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    และข้อแนะนำในการฝึกนะครับ ณ เวลานี้ตัวจิตของคุณเริ่มที่จะสร้างความเป็นทิพย์
    ได้บ้างแล้วครับ.แต่ยังไม่ถึงกับสร้างภาพออกจากทางหน้าฝากหรือเรียกว่าทิยพ์จักขุ
    อย่างอ่อนได้.และก็มีกระแสที่เชื่อมกับครูบาร์อาจารย์ข้างบนด้วยครับ
    และสังเกตุดูได้ว่า ถ้าเราไม่ได้มองภาพเปลวไฟ หรือมองวัตถุ หลังจากเวลา
    ผ่านมาในระยะหนึ่งแล้วนั้น เวลาเรามองไปในอากาศแบบลืมตา เราจะสร้างเป็นอุคคนิมิตร
    กสิณไฟขึ้นมายังไม่ได้ครับ...แม้ว่าเมื่อก่อนจะพอมองอุคนิมิตรกสิณไฟให้ถึงระดับถึง
    ระดับปฐมฌานได้หลักสังเกตุคือ มันเหลือเป็นวงกลมสีน้ำเงินสีเดียวครับ.และภาพนิมิตร
    กสิณไฟจะไม่ได้เห็นเป็นเปลวนะครับ..การเห็นเป็นภาพเหมือนตั้งต้นนั้น จะเป็นในกรณี
    ที่เราฝึกภาพกสิณที่ใช้เหมือนบุคคลแทน เช่น ภาพพระท่านต่างๆ ภาพพระพุทธรูปต่างๆ
    และภาพที่เรามองกลับภาพที่เราเห็นตอนหลับตาหรือลืมตาปกติก็จะเป็น
    คนละสีอยู่แล้วเป็นปกติครับ.

    และกสิณบางกองก็จะเกิดอุคคนิมิตรได้ก็ต่อเมื่อเราพอมีทิพยจักขุอย่างอ่อนแล้ว เช่น
    กสิณน้ำ เป็นต้น..การมีทิพยจักขุอย่างอ่อนลองสังเกตุดูว่าถ้าไปดูภาพพระ ภาพโบสถ์
    ภาพต่างๆ เราพอมองเห็นภพภูมิต่างๆหรือนามธรรมต่างๆที่ซ่อนอยู่ในภาพหรือไม่นั่นเองครับ.
    และการที่เราเกือบเข้าถึงระดับปฐมฌานได้แล้วนั้น แต่ปัจจุบันเราไปกังวลกับตัวภาพโดยที่
    ไม่ได้ตั้งใจ ไปให้ความสนใจในตัวภาพ ทำให้เกิดกระแสความคิดที่ออกจากสมองของเรา
    มันมาดึงรั้งกระแสความเป็นทิพย์ที่จิตกำลังจะสร้างภาพให้เกิด
    ให้เรามองเห็นผ่านทางระหว่างคิ้วนั้นเองครับ.
    ภาพเลยกลับตกมาเห็น ๓ สีบ้างเห็นสีเดียวบ้าง ตลอดจนเผลอคิดมากจนเห็น
    เป็นภาพอื่นๆที่ไม่ใช่วงกลม ณ เวลานี้ครับ..
    เพราะฉนั้นเวลานี้หลังจากที่มองเปลวเทียนแล้ว ให้ละสายตา
    และไม่ว่าจะเริ่มเกิดภาพ ๓ สีอะไรก็ตามไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา..
    ไม่ว่าภาพจะไปเคลื่อนหนีเราขึ้นบนไปทางขวา หรือวิ่งไปทางขวา
    ระดับไหนก็ตาม หรือเข้ามาใกล้ตัวเรา..
    ให้เราตามภาพไปเรื่อยๆ ชนิดที่ว่าภาพไปไหนเราตามดูไปเรื่อยๆครับ.
    และในช่วงนี้ให้ระวังภาพอุคคนิมิตรที่สีมันมักสวยกว่า ภาพนิมิตรตั้งต้น
    ที่เกิดจากตอนเราละสายตาจากเปลวไฟด้วยครับ..


    และถ้าภาพที่ตามมันหายไปก็ไม่ต้องสนใจ ให้เรามาตามลมหายใจเข้าอีกซัก
    ๓ ถึง ๔ ครั้งก็จะเป็นการตัดระบบความคิดจากสมองเราไปในตัวแบบอัตโนมัติด้วยครับ..
    การที่เราตามภาพอยู่แล้วภาพมันหายไปนั้น เพราะว่าเราเผลอไปใช้ความจำไปใช้สมอง
    ในการจำภาพนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ที่ฝึกจะต้องมีอาการแบบนี้ครับ..
    เพราะฉนั้นหลังจากตามลมหายใจแล้ว เราก็มีหน้าที่รักษาภาพให้นานที่สุดครับ.
    ถ้าหายไปอีกเพราะเผลอไปคิดก็ตามลมหายใจอีก หรือถ้าภาพมันไม่ขึ้นมาอีก
    เราก็มองเปลวไฟ แล้วหลับตาใหม่อีกรอบ จะลืมตาก็ได้ใช้หลักการในการตามภาพ
    ดึงภาพเหมือนๆกันครับ...
    ให้เราตามตรงนี้ไปเรื่อยๆเพื่อฝึกสร้างกำลังสติ เพื่อสะสมกำลังสมาธิเอาไว้เป็นทุน
    ในขณะที่จิตเราตามจนสามารถเข้าระดับปฐมฌานได้จะเกิดนิมิตรเป็นควันไฟมาจาก
    ทางด้านซ้ายและขวาของเราถ้าเราลืมตา และจะเกิดแสงสว่างจร้าถ้าเราหลับตา
    ตรงนี้ไม่ต้องสนใจเป็นเครื่องบอกว่าจิตเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับฌานเบื้องต้นครับ..
    ผ่านตรงนี้ไปให้ได้แล้วควันและแสงจะหายไป..หลังจากนั้นจิตจะก้าวเข้าสู่กำลังสมาธิ
    ระดับสูงในระดับที่จะเกิดแสงสว่างขึ้นในตัวเองจนเป็นภาพขึ้นมาได้..และให้เรารักษาอารมย์
    ตรงนี้เอาไว้ให้ได้ ระวังอย่าเข้าใกล้นิมิตร แล้วให้เราเล่นกับนิมิตรที่มีความสว่างตรงนั้นให้ได้
    ในขณะที่เราเล่นกับนิมิตรตรงนั้นแสงสว่างจะลดลงมาเล็กน้อย..ถ้าเราบังคับตรงนี้ได้
    แม้เพียงเสี้ยววินาทีจิตก็จะเกิดกำลังจิตขึ้นมาได้ครับ...
    พอเราลืมตาปกติเราจะสามารถเรียกเป็นพลังงานกสิณไฟให้ขึ้นมาหมุนบนมือของเราได้
    เป็นพลังงานที่ไม่ใช่พลังงานความร้อนเฉยๆ แต่เป็นพลังงานที่จะมีเอกลักษณะที่จะทำให้
    เราทราบได้ว่าเป็นพลังงานกสิณไฟ..เราก็จะเริ่มต้นก้าวเข้าสู่การพัฒนาเพื่อไปใช้งานได้
    ต่อไปในอนาคตครับ..แต่จะต้องผ่านด่านทดสอบอะไรๆอีกหลายๆอย่างก่อนเราถึง
    จะสามารถรู้หลักในการรวมพลังงาน หลักการหนุน การดึง ตลอดจนการส่งไปยัง
    สถานที่ต่างๆ โดยที่มันจะสามารถข้ามเรื่องมิติและเวลาได้..

    ในขณะที่ทำการฝึกนี้ ไม่ว่าจะเกิดเครื่องรับรู้พิเศษอะไรก็ตาม จำเอาไว้ว่าห้ามสนใจทุกกรณีครับ
    เพราะมันจะขวางความสามารถในการเข้าถึงโหมดการนำไปใช้งานได้ของเราให้ห่างออกไปครับ..
    ที่พูดให้ฟังเป็นภาพรวมแบบกว้างๆ
    นอกจากนี้ในชีวิตประจำวันต้องพยายามตัดทุกๆเรื่อง
    ที่มันจะขึ้นมารบกวนจิตใจเราให้ได้ด้วยครับ
    หรือทุกๆเรื่องที่มันจะทำให้จิตใจเราไม่สงบครับ.
    เพราะไม่งั้นเรื่องพวกนี้มันจะผุดขึ้นมาขวางเรา
    ตอนที่จิตเราเริ่มจะไต่ระดับฌานเบื้องต้นครับ..
    อืมๆๆๆ และยังไงถ้าคุณว่างๆ ลองเข้าไปอ่านในกระทู้นี้ดูเสริมความรู้ไว้ก่อนได้ครับ.
    ในส่วนรายละเอียดต่างๆปลีกย่อยมากกว่านี้ค่อยมาว่ากันภายหลังครับ

    กดที่ชื่อกระทู้ข้างล่างได้เลยครับ

    http://palungjit.org/threads/กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ.534235/
     
  6. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,631
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน(๖)

    Posted by ศูนย์พุทธศรัทธา on July 18th, 2011 Comments Off <center>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]</center> <center>หลวงพ่อฤๅษี ตอบปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน</center>
    ผู้ถาม:- “หลวงพ่อครับ กสิณนี่เป็นมโนภาพใช่ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “กสิณไม่ใช่มโนภาพนะ กสิณนี่ต้องใช้นิมิตตรง”
    ผู้ถาม:- “ต้องใช้ดูวัตถุ ใช่ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “ใช่ ต้องใช้ดูวัตถุแล้วจำภาพ ไม่ใช่มโนภาพ ถ้าเราจะตั้งก็ได้ แต่เป๋ ถ้าดูวัตถุยังไม่ค่อยจำ นี่เล่นมโนภาพ ระวังกสิณโทษจะเกิด
    อย่างเราเจริญปฐวีกสิณ จะต้องเอาจิตจับไว้เฉพาะปฐวีกสิณอย่างเดียว ถ้าภาพอื่นข้ามาแทรกต้องตัดทิ้งทันที นั่นเขาถือว่าเป็นกสิณโทษ จนกว่ากสิณกองนั้นเข้าถึงฌาน ๔ แล้วก็คล่องตัว จึงจะย้ายไปเป็นกสิณกองอื่นต่อไป
    ถ้ากสิณกองต้นเราได้แล้ว ถ้าภาพอื่นเข้ามา เราตัดเลย เพราะว่าเราเจริญปฐวีกสิณ ดูดิน ถ้าบังเอิญกสิณอย่างอื่นเข้ามาแทน เช่น กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ มันแจ่มใสกว่า เราจะยึดเอาไม่ได้ ต้องตัดทิ้งทันที จนกว่ากสิณกองนั้นจะจบถึงฌาน ๔ ให้มันคล่องจริง ๆ ไม่ใช่แต่ทำได้นะ
    คำว่าคล่องจริง ๆ หมายความว่า ถ้าเรากำลังหลับอยู่ ถ้าเราตื่นขึ้นมา เราจะจับฌาน ๔ ถ้าคนกระตุกพั้บเราจับฌาน ๔ ได้ทันที กสิณกองนั้นจึงชื่อว่าคล่อง
    ถ้าเหน็ดเหนื่อยมาแต่ไหนก็ตาม ถ้าจะจับฌาน ๔ ต้องได้ทันทีทันใด เสียเวลาแม้แต่ ๑ วินาที ใช้ไม่ได้ ถ้าคล่องแบบนี้ละก็กสิณอีก ๙ กอง เราจะได้ทั้งหมด ไม่เกิน ๑ เดือน เพราะว่าอารมณ์มันเหมือนกัน เปลี่ยนแต่รูปกสิณเท่านั้น
    ฉะนั้นการได้ กสิณกองใดกองหนึ่ง ก็ต้องถือว่าได้ทั้ง ๑๐ กอง เป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ยาก ของเหมือนกัน แต่เพียงแค่เปลี่ยนสีสันวรรณะเท่านั้นเอง มันจะขลุกขลักแค่ครึ่งชั่วโมงแรก เดี๋ยวก็จับภาพได้ แล้วจิตก็เป็นฌาน ๔ นี่เราฝึกกันจริง ๆ นะ ถ้าฝึกเล่น ๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง”
    ผู้ถาม:- “การปฏิบัติพระกรรมฐาน ถ้าเราจะไม่ใช้กสิณ แต่เราใช้กำหนด อัสสาสะ ปัสสาสะได้ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “ได้ ถือว่าอัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้าออก
    คือ จริตของคน พระพุทธเจ้าทรงจัดแยกไว้เป็น ๖ อย่าง คือ ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธจริต และก็พระพุทธเจ้าตรัสพระกรรมฐานไว้ ๔๐ แต่ว่าเป็นกรรมฐานเฉพาะจริตเสีย ๓๐
    อย่างพวก ราคะจริต ถ้าใช้ อสุภ ๑๐ กับ กายคตานุสสติ ๑ เป็น ๑๑
    และพวก โทสะจริต มีกรรมฐาน ๘ คือ มีพรหมวิหาร ๔ แล้วก็กสิณอีก ๔ สำหรับกสิณ ๔ คือ กสิณสีแดง กสิณสีเหลือง กสิณสีเขียว กสิณสีขาว
    สำหรับ วิตกจริตกับโมหะจริต ให้ใช้กรรมฐานอย่างเดียวคือ อานาปานุสสติ อย่างที่โยมว่า อัสสาสะ ปัสสาสะ
    แล้วก็ ศรัทธาจริต ใช้กรรมฐาน ๖ อย่าง คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ แล้วก็เทวตานุสสติ
    ต่อไปเป็น พุทธจริต พุทธจริตนี่ก็มีกรรมฐาน ๔ คือ มรณานุสสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุตธาตุวัตถาน อุปสมานุสสติ
    รวมแล้วเป็น ๓๐ เหลืออีก ๑๐ เป็นกรรมฐานกลาง
    ฉะนั้นการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าหากเดินสายสุกขวิปัสสโก จะต้องใช้กรรมฐานให้ถูกกับจริต ถ้าไม่ถูกกับจริต กรรมฐานนั้นจะมีผลสูงไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังหักล้าง
    ทีนี้ถ้าหากว่านักเจริญกรรมฐานทั้งหมด ไม่ต้องการอย่างอื่น จะใช้อานาปานุสสติก็ได้ ถ้าคนทุกคนคล่องในอานาปานุสสติกรรมฐาน จะมีประโยชน์
    เมื่อป่วยไข้ไม่สบาย เมื่อทุกขเวทนามันเกิดขึ้น ถ้าใช้อานาปาเป็นฌาน ทุกขเวทนามันจะเบามาก จะไม่มีความรู้สึกเลย นี่อย่างหนึ่ง
    แล้วก็ประการที่สอง คนที่ชำนาญในอานาปาจะรู้เวลาตายของตัว แล้วก็จะรู้ว่าตายด้วยอาการอย่างไร
    แล้วก็ประการที่สาม อานาปานุสสติสามารถควบคุมกำลังฌาน สามารถเข้าฌานได้ทันทีทันใด ประโยชน์ใหญ่มาก”
    ผู้ถาม:- “เมื่อกำหนดลมหายใจด้วย ภาวนาด้วย สมาธิมันวอกแวก ๆ ครับ…”
    หลวงพ่อ:- “ก็แสดงว่าจริตของคุณโยมหนักไปในด้าน วิตกจริต กับ โมหะจริต ฉะนั้นคนที่มี วิตกจริต ต้องใช้ อัสสาสะ-ปัสสาสะ ไม่ต้องภาวนา ขืนภาวนาแล้วยุ่ง พระพุทธเจ้าทรงจำกัดไว้เลยว่า เรามีจริตอะไรเป็นเครื่องนำ ต้องใช้เป็นกรรมฐานอย่างนั้นเฉพาะกิจ ถ้าใช้ผิดก็ไม่ได้ ผลมันไม่มี ที่โยมถามก็เหมาะสำหรับคุณโยม”
    .
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๖๐-๖๒ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    Tags: กรรมฐาน, ปัญหาธรรม
    Posted in: หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...