อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    จะลงต่อก็ไม่ไหวแล้วครับวันนี้ เน็ตอืดมากๆครับ พรุ่งนี้จะไปสุพรรณตอนเช้า ว่าจะไปที่อุทยานแห่งชาติพุเตยครับ ถ้าเน็ตดีก็คงจะได้ลงต่อเรื่อยๆนะครับ ไม่แน่ใจว่ารูปที่ลงไปนี่เยอะเกินไปหรือเปล่า ผมชอบถ่ายไปเรื่อยๆแบบเปลี่ยนมุมถ่ายน่ะครับ รูปเลยเยอะมากๆ
     
  2. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448

    ลงได้เรื่อย ๆ ครับคุณกันต์ เท่ากับเป็นการนำประสบการณ์ที่ได้ไปในสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา มาเผยแผ่ให้เพื่อน ๆ ได้ชมกันครับ
     
  3. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,492
    ค่าพลัง:
    +53,107

    เดินทางโดยสวัสดิภาพครับพี่กัน

    ไม่เบื่อครับ จัดๆ มาเลย เผื่อมีโอกาสอยากไปบ้างครับ
    :cool::cool::cool::cool:
     
  4. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,492
    ค่าพลัง:
    +53,107
    ประวัติ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง

    ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

    ท่านมีนามเดิมว่า สิม วงศ์เข็มมา เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2452 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา เวลาประมาณ 21.00 น. ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดามารดาชื่อ นายสาน - นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 10 คน ท่านเป็นคนที่ 5

    สกุล "วงศ์เข็มมา" เป็นสกุลเก่าแก่สกุลหนึ่งของบ้านบัว ผู้เป็นต้นสกุล คือ ท่านขุนแก้ว และ อิทปัญญา น้องชาย ตัวท่านขุนแก้วก็คือ ปู่ของหลวงปู่สิมนั่นเอง เ เท้าความในคืนที่หลวงปู่เกิด ประมาณเวลา 1 ทุ่ม โยมมารดาของท่านเคลิ้ม หลับไป ก็ได้ฝันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งมีรัศมีกายสุกสว่างเปล่งปลั่งแลดูเย็นตาเย็นใจ อย่างบอกไม่ถูก ลอยลงมาจากท้องฟ้าลงสู่กระต็อบกลางทุ่งนาของนาง ต่อมาเวลาประมาณ 3 ทุ่ม นางสิงห์คำก็ให้กำเนิดเด็กน้อยผิวขาวสะอาด และจากนิมิตที่นางเล่าให้ฟัง นายสานผู้เป็นบิดาจึงได้ตั้งชื่อลูกชายว่า "สิม" ซึ่งภาษาอีสานหมายถึงโบสถ์ อันอาจบ่งบอกถึงความใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาเด็กชายสิมผู้นึ้ ก็ได้ครอง ผ้ากาสาวพัสตร์ บำเพ็ญสมณธรรม ใช้ชีวิตที่ขาวสะอาดหมดจดตลอดชั่วอายุขัยของท่าน เมื่อเริ่มเข้ารุ่นหนุ่ม อายุ 15-16 ปี ท่านมีความสนใจในดนตรีอยู่ไม่น้อย หลวงปู่แว่น ธนปาโล เล่าว่า ตัวท่านเองเป็นหมอลำ ส่วนหลวงปู่สิม เป็นหมอแคน

    สิ่งบันดาลใจให้หลวงปู่สิม อยากออกบวชคือ ความสะดุ้งกลัวต่อความตาย ท่านเล่าว่า "ตั้งแต่ยังเด็กแล้วเมื่อได้เห็น หรือได้ข่าวคนตาย มันให้สะดุ้งใจ ทุกครั้ง กลัวว่าเราจะตายเสียก่อนได้ออกบวช" มรณานุสติได้เกิดขึ้นในใจของท่านอยู่ตลอดเวลา เฝ้าย้ำเตือนให้ท่านไม่ประมาท ในชีวิต ไม่ประมาทในวัยไม่ประมาทในความตาย เป็นเพราะหลวงปู่สิมกำหนด "มรณํ เม ภวิสฺสติ" ของท่าน มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนั่นเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกบวชจวบจนสิ้นอายุขัย ของท่าน หลวงปู่สิมก็ยังใช้อุบายธรรมข้อเดียวกันนี้อบรมลูกศิษย์ลูกหาอยู่เป็นประจำ เรียกว่า หลวงปู่เทศน์ครั้งใด มักจะมี "มรณํ เม ภวิสฺสติ" เป็นสัญญาณเตือนภัย จากพญามัจจุราชให้ลูกศิษย์ลูกหาตื่นตัวอยู่เสมอทุกครั้ง

    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

    เมื่อท่านอายุ 17 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ณ บ้านบัว นั้นเอง ตรงกับวันที่ 8 กรกฎาคม 2469 ตรงกับวัน อาทิตย์ แรม 7 ค่ำ เดือน 8 ปีมะโรง โดยมีพระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาคณะกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินธุดงค์มาจากจังหวัดหนองคาย เพื่อมาเผยแพร่ธรรมปฏิบัติแก่ประชาชน โดยเดินทางมาถึงวัดศรีสงคราม ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม สามเณรสิม จึงได้มีโอกาสเดินทางไปฟังธรรม ทั้งจากพระอาจารย์ใหญ่ คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล สามเณรสิมได้เฝ้าสังเกต ข้อวัตรปฏิบัติของท่านพระอาจาย์มั่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์ มหาปิ่น และได้บังเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์ พระอาจารย์มั่น และได้ขอญัตติใหม่มาเป็นธรรมยุติกนิกาย แต่โดยที่ขณะนั้นยัง ไม่มีโบสถ์ของวัดฝ่ายธรรมยุติในละแวกนั้น การประกอบพิธีกรรมจึงต้องจัดทำที่โบสถ์น้ำ ซึ่งทำจากเรือ 2 ลำ ทำเป็นโป๊ะลอยคู่กัน เอาไม้พื้นปูตรึงเป็นพื้นแต่ไม่มีหลังคา สมมติเอาเป็นโบสถ์ โดยท่านพระอาจารย์มั่นฯ เป็นประธาน และเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม จากนั้นสามเณรสิมได้ติดตามพระอาจารย์มั่นไปอยู่จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

    เมื่อสามเณรสินอายุครบบวช ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 ตรงกับ วันอังคารขึ้น 10 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง โดยมีเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัดขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธาจาโร" จากนั้นท่านก็ได้เดินทางติดตามพระอาจารย์ของท่าน คือ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น วัดป่าบ้านเหล่างานี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า (บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน) ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และ ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสำนักอบรมกรรมฐาน แก่ญาติโยมชาวขอนแก่น

    ท่านพระอาจารย์สิงห์ ได้ออกอุบายสอนลูกศิษย์ของท่านให้ได้พิจารณา อสุภกรรมฐานจากซากศพ โดยพาพระเณรไปขุดศพขึ้นมาพิจารณา หลวงปู่สิมได้เล่า ประสบการณ์ที่ท่านได้อสุภกรรมฐานจากซากศพและว่า "นี่แหละร่างกายนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนให้กำหนดเป็นอสุภกรรมฐาน อย่าไปเห็นว่ารูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย ให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่า กัน"

    "สมมติโลกว่าสวยว่างามสมมติธรรมมันไม่สวยงาม อสุภํ มรณํ ทั้งนั้น ถึงมันจะยังไม่ตาย ตอนเด็กตอนหนุ่มก็เถอะ ไม่นานละ เดี๋ยวมันก็ทยอยตายไปทีละคน สองคน หมดไป สิ้นไป ไม่เหลือ"

    ในชีวิตสมณะของท่าน ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า "โสสานิ กังคะ" คือไปเยี่ยมป่าช้าเป็นธุดงควัตร และที่วัดป่าเหล่างานี้เอง ที่หลวงปู่สิมได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอย่างใกล้ชิดกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเวลานาน 3-4 ปี ทั้งได้มีโอกาสมักคุ้นกับพระกรรมฐานองค์สำคัญๆ หลายองค์ เช่น หลวงปู่เทศก์ เทสฺรํสี, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, ท่านพ่อลี ธมฺมธโร, ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นต้น

    ปี พ.ศ. 2479 (พรรษาที่ 8) เมื่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพระอาจารย์สิงห์ ขนุตยาคโมที่วัดจักราช สมเด็จฯ ท่านได้แลเห็นจริยาวัตรของหลวงปู่สิม ขณะทำหน้าที่อุปัฏฐากรับใช้และเกิดชื่นชอบถูกใจ ถึงกับปรารถนาจะชวนหลวงปู่สิมไปอยู่ด้วย กับท่าน จึงเอ่ยปากขอตัวหลวงปู่สิม กับท่านพระอาจารย์สิงห์ ว่า "พระองค์นี้มีลักษณะเป็นผู้มีบุญบารมี ผมจะขอตัวให้ไปอยู่ด้วยจะขัดข้องหรือเปล่า" ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านก็มิได้ขัดข้อง ด้วยเห็นเป็นวาสนาบารมีของหลวงปู่สิม ที่จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพระเถระผู้ใหญ่เยี่ยงท่านสมเด็จฯ นี้ ทั้งจะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จึงได้ร่วมเดินทางมากับสมเด็จฯ ที่วัดบรมนิวาส มาจำพรรษาและศึกษาพระธรรมวินัย ในสำนักสมเด็จฯ ทำให้หลวงปู่สิม ได้รับความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยมากขึ้น หลวงปู่สิม อยู่รับใช้สมเด็จฯด้วยจริยา ดีเยี่ยม พร้อมกันนั้นหลวงปู่สิม ก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของ พระธุดงค์กรรมฐานให้แก่พระเณรจำนวนมากที่มารับการฝึกฝนอบรมจากหลวงปู่สิม
    ปี พ.ศ. 2480 ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สิม ได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา และเมื่อหลวงปู่ปรารภ ที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุติกนิกายขึ้นเป็นวัดแรกในบ้านบัว ญาติโยม จึงต่างสนองตอบ คำปรารภของหลวงปู่สิม อย่างกระตือรือร้นและเต็มอกเต็มใจ โยมอาของท่าน คือนางคำไพ ทุมกิจจะ ได้มีศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงปู่สิม จัดสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2480 สำนักสงฆ์นี้ปัจจุบันได้พัฒนาเป็น "วัดสันติสังฆาราม" พร้อมด้วยวัดและสำนักสงฆ์ สาขา เกิดอีก 9 แห่ง

    สำหรับ วัดสันติสังฆาราม จังหวัดสกลนครนี้ หลวงปู่สิม ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 จนแล้วเสร็จ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาฝังลูกนิมิตในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2523 ในโอกาสเดียวกับงานอายุครบ 71 พรรษา ของหลวงปู่สิม

    หลวงปู่สิม ได้ธุดงค์ไปในหลายจังหวัด อาทิ เช่น วัดป่าสระคงคา อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักสงฆ์หมู่บ้านแม่ดอย (ต่อมาได้พัฒนาเป็นวัด ชื่อว่า วัดป่าอาจารย์มั่น) อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (ณ ที่นี้หลวงปู่สิมได้พบ หลวงปู่มั่นฯ และได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากหลวงปู่มั่น จนการปฏิบัติธรรม ของหลวงปู่สิม ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก) เมื่อแยกจากหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่สิมได้เดินธุดงค์ ไปทางอำเภอสันกำแพง เข้าพักที่ วัดโรงธรรม ซึ่งขณะนั้น ยังเป็นสำนักชั่วคราว ที่วัดโรงธรรมสามัคคีนี้ เคยเป็นสถานที่ที่ครูอาจารย์หลายท่านเคยใช้พักจำพรรษา อาทิ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน และหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นต้น

    หลวงปู่สิม ได้พักจำพรรษาที่วัดโรงธรรมสามัคคี แห่งนี้ ติดต่อกันนานถึงห้าปี คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 ถึงปี พ.ศ. 2487 จึงย้ายไปจำพรรษาที่ ถ้ำผาผัวะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพหลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 ในระหว่างนั้น หลวงปู่สิมได้รับรู้ความคับจิตคับใจของบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย หลวงปู่สิมได้ปลุกปลอบใจของชาวบ้านที่กำลังสิ้นหวังให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้น ด้วยการหยั่งพระ สัทธรรมลงสู่จิตของพวกเขา

    ในระหว่างออกพรรษา หลวงปู่สิม ได้จาริกธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียร ณ สถานที่วิเวกหลายแห่งในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ศิษย์อาวุโสชาวเชียงใหม่ท่านหนึ่งคือ เจ้าชื่น สิโรรส (วัย 96 ปี) โดยในปี พ.ศ. 2488 เจ้าชื่น สิโรรส ได้อพยพครอบครัวหลบภัยสงครามไปอยู่ที่ถ้ำผาผัวะ ขณะที่หลวงปู่สิมธุดงค์ ไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผัวะนี้ ท่านเปรียบเสมือนที่พึ่งอันสูงสุดที่มีความหมายมาก สำหรับคนที่อยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เนื่องจากสงคราม ปลายปี พ.ศ. 2498 เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาใกล้จะยุติ เจ้าชื่น สิโรรส ซึ่งอพยพจากถ้ำผาผัวะ กลับคืน ตัวเมืองเชียงใหม่ ได้กราบอาราธนาหลวงปู่สิม ให้ย้ายเข้ามาพักจำพรรษา ที่ตึกของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กีรติปาล (คิวริเปอร์) ซึ่งอยู่ที่ถนนดอยสุเทพตรงข้าง กับถนนไปสนามบินเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันคือที่ตั้งของ ศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ณ ที่นี้เองที่หลวงปู่สิมพบกับลูกศิษย์ คนแรกที่อุปสมบทที่เชียงใหม่คือ พระมหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัด "สันติธรรม" ซึ่งได้ทำการก่อสร้างขึ้นในภายหลัง ปี พ.ศ. 2490 เมื่อสงครามสงบโดยสิ้นเชิง มีข่าวว่า เจ้าของบ้านคือ แม่เลี้ยง ดอกจันทร์ และลูกหลานที่อพยพหลบภัยสงครามไปจะกลับคืน ถิ่นฐานเดิม หลวงปู่สิม จึงปรารภเรื่องการสร้างวัด คำปรารภในครั้งนั้น เป็นแรงบันดาลใจ ให้คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์ เกิดศรัทธาขึ้นมาอย่างแรงกล้า ที่จะสร้างวัดถวายหลวงปู่สิม ด้วยพลังศรัทธานั้นเอง "วัดสันติธรรม" จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยอาศัยกำลังศรัทธา ของสานุศิษย์

    ปี พ.ศ. 2497 โยมมารดาของหลวงปู่สิม ถึงแก่กรรม หลวงปู่สิม จึงได้เดินทาง จากเชียงใหม่ลงมาที่บ้านบัวอีกครั้งหนึ่ง ครั้นเสร็จงานฌาปนกิจศพโยมมารดาแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ ไปจังหวัดนครพนมทันที เพื่อจำพรรษาที่ภูลังกา

    ช่วงปี พ.ศ. 2498-2403 หลวงปู่สิม ได้กลับไปพักจำพรรษาที่วัดสันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่ แต่ในจิตใจส่วนลึกของท่านนั้น ยังปรารภความสงบวิเวกของป่าเขาและโพรงถ้ำต่างๆ อยู่ จนต้นปี พ.ศ. 2503 ต่อมาได้มีพระลูกศิษย์ของหลวงปู่ ไปพบ ถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ที่ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่สิม จึงย้ายไปอยู่ภาวนาที่ถ้ำปากเปียงบ่อยครั้ง ด้วยเป็นที่สงบสงัดร่มรื่น ต่อมาในฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2503 ลุงติ๊บ คนบ้านถ้ำ ได้เป็นคนนำทาง พาหลวงปู่ปีนป่ายภูเขาขึ้นไปตามซอกเล็กๆ เพื่อหาถ้ำที่กว้างและอยู่สูง ตามคำปรารภของหลวงปู่สิม ที่ว่า "กิเลสจะได้เข้าหายาก" จนกระทั่งได้พบถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นถ้ำที่ท่านคิดว่าจะเป็นบ้านสุดท้ายในการบำเพ็ญภาวนาในชีวติของท่าน หลวงปู่สิม ได้ พักค้างคืนบนถ้ำผาปล่องหนึ่งคืน แล้วก็ลงไปพักที่ถ้ำปากเปียงต่อ ต่อจากนั้นท่านก็ได้แวะเวียนไปพักที่ถ้ำผาปล่องอีกเสมอ

    ในปี พ.ศ. 2504 ท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร (ท่านเจ้าคุณวิสุทธิธรรม รังสี) เจ้าอาวาส วัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัด สมุทรปราการ ซึ่งเป็นศิษย์ในสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เช่นกัน ได้ถึงแก่มรณภาพ ทางคณะสงฆ์จึงลงมติขอให้หลวงปู่รับตำแหน่งรักษาการ เจ้าอาวาส หลวงปู่จึงได้ช่วยอยู่ดูแลวัดอโศการาม ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาส จนกระทั่งปี พ.ศ. 2508 และในปี พ.ศ. 2509 หลวงปู่ได้รับการขอร้องจาก ท่านเจ้าคุณนิโรธธรรมรังษี ให้หลวงปู่ช่วยรับตำแหน่งรักษาการ เจ้าอาวาส วัดป่าสุทธาวาส หลวงปู่สิม จึงจำใจต้องรับเป็นเจ้าอาวาส ให้วัดป่าสุทธาวาสอยู่ 1 พรรษา โดยที่ใจจริงของท่านนั้นเบื่อหน่าย คิดอยากแต่จะออกธุดงค์อยู่เรื่อยไป

    ในระหว่าง พ.ศ. 2506-2509 หลวงปู่สิม ได้มีปัญหาอาพาธด้วยโรคไตมาตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2510 ด้วยปัญหาสุขภาพของหลวงปู่สิม หลวงปู่สิม จึงได้ตัดสินใจวาง ภารกิจต่างๆ โดยลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัดที่ท่านดูแลอยู่ จากนั้น ท่านก็มาจำพรรษา ณ ถ้ำผาปล่องตลอดมา

    ในปี พ.ศ. 2518 หลวงปู่สิม ได้เดินทางไปสังเวชนียสถานที่อินเดียและได้เดินทางไปอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2523 นอกจากนี้แล้วหลวงปู่สิม ยังได้มีโอกาส เดินทางไปที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตลอดถึงทวีปยุโรป และอเมริกาอีกด้วย

    หลวงปู่สิม ท่านมีความขยันและตั้งใจมั่นตั้งแต่เด็กดังเช่น พระอาจารย์ศรีทอง (พระอุปัชฌาย์ เมื่อครั้งเป็นมหานิกาย) ได้เล่าว่า ครั้งเมื่อทางวัดมีการขุดสระ สามเณรสิมก็ไปช่วยขุดและขุดจนกระทั่งใครต่อใครเขาทิ้งงานไปหมด เนื่องจากขุดลงไปลึกถึงสิบเอ็ดสิบสองวาแล้ว ก็ยังไม่มีน้ำ เมื่ออุปัชฌาย์ถามว่า "จะขุดไปถึงไหนกัน" สามเณรสิมตอบว่า "ขุดไปจนสุดแผ่นดินนั่นแหละ" ปฏิปทาของหลวงปู่สิม ที่แสดงถึงความมีเมตตาอย่างล้นเหลือต่อลูกศิษย์ ได้แสดงให้เห็นอยู่เนืองๆ หลวงปู่สิม ปกครองพระเณรลูกวัดของท่านอย่างอบอุ่น ใกล้ชิดเหมือนพ่อดูแลลูกๆ ภาพในอดีตที่ประทับใจลูกศิษย์ (คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์) ภาพหนึ่งก็คือ เวลาที่พระเณรอาพาธ หลวงปู่สิม จะนั่งเฝ้าไข้อย่างสงบ ไม่ยอมห่างจนกระทั่ง ผู้ป่วยอาการดีขึ้น ครั้งหนึ่งเณรน้อยนอนซมด้วยโรคพยาธิตัวเหลืองซูบซีดผอม เพราะฉัน อาหารไม่ได้เลย "แม่ไล" ได้เอายาถ่ายพยาธิมาถวาย เณรน้อยก็ฉันไม่ได้ อาเจียนออกมา ทำให้แม่ไลโมโหมากจะบังคับให้ฉันให้ได้ แต่หลวงปู่สิม ซึ่งนั่งเฝ้า อยู่อย่างใจเย็นได้ปลอบประโลมเณรน้อยของท่านขึ้นว่า "วันพรุ่งนี้เถอะเน้อ ไปบิณฑบาตได้กล้วยก่อน จะเอายาใส่ในกล้วยให้เณรน้อยฉัน" งานพัฒนาชุมชนที่นับว่าเป็นงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง ของหลวงปู่สิม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียงร่วมแรงร่วมใจกัน ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส และผลงานก็ได้ก่อประโยชน์เป็นเอนกอนันต์ แก่ชาวบ้านเกษตรกร ก็คือ งานสร้างฝายน้ำล้น ลำน้ำอูน ที่ท่าวังหิน ซึ่งก็คือบริเวณ สำนักสงฆ์เวฬุวันสันติวรญาณ ในปัจจุบัน โดยในปี พ.ศ. 2521 ภายหลังจำพรรษา ที่วัดสันติสังฆาราม หลวงปู่สิม ก็ได้รับอาราธนาจากชาวบ้านทั้ง 4 ตำบล ใน 2 เขตอำเภอ ให้มาเป็นประธานในการสร้างฝายน้ำล้นกั้นลำน้ำอูน งานสร้างฝายน้ำล้นชิ้นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของหลวงปู่สิม เด่นชัดมาก ในเรื่องความเป็นผู้เอาใจใส่ และรับผิดชอบในภารกิจ เมื่อที่ประชุมปรึกษาหารือกันว่าเห็นควรจะเริ่มงานกันวันใหม่ หลวงปู่สิม ก็ว่าให้เริ่มงานกันวันนี้เลย

    หลวงปู่สิม เป็นผู้มีความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง อดทน พูดจริง ทำจริง ถือสัจจะมั่นคง เป็นผู้ไม่มากโวหาร ทุกวันหลวงปู่จะพาเริ่มงานตั้งแต่ตี 4 ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นพอ 10 โมงเช้า จึงพักฉันอาหาร หลังอาหารแล้วก็เริ่มทำงานกันต่อจนมืดค่ำ พอถึงเวลา 1 ทุ่ม หลวงปู่ก็จะพาสวดมนต์และฟังเทศน์ เสร็จแล้ว ก็เริ่มท้ิงหินลงในคอกไม้ที่สร้างไว้ ตลอดแนวฝาย กว่าจะได้จำวัดก็ 4 ทุ่ม หรือบางวัน งานจะติดพันจนถึงตีหนึ่งตีสอง เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่ เดือนมกราคม จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 จนฝายน้ำล้นสร้างสำเร็จ หลวงปู่สิม จึงกลับไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง

    หลวงปู่สิม ได้รับสมณศักดิ์ "พระครูสันติวรญาณ" ในวันที่ 5 ธันวาคม 2502 และได้รับพัดยศโดยเลื่อนจากสมณศักดิ์ที่ "พระครูสันติวรญาณ" เป็น "พระญาณสิทธาจารย์" ในวันที่ 12 สิงหาคม 2535 และในคืนวันที่ 13 สิงหาคม 2535 พระเณรพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกา ได้พร้อมใจกันเจริญพระพุทธมนต์ ฉลองสมณศักดิ์ถวายหลวงปู่ ที่ถ้ำผาปล่อง หลังจากเจริญพระพุทธมนต์หลวงปู่ได้พาพระเณรและญาติโยมนั่งภาวนา ต่อจนถึงเวลาประมาณ 21.30 น. แล้วท่านก็นั่งพักดู บริเวณ ภายในถ้ำอีกประมาณ 20 นาที คล้ายกับจะเป็นการอำลา จนถึงเวลา 22.00 น. ท่านจึงกลับเข้ากุฏิที่พักด้านหลังภายในถ้ำผาปล่อง และได้มรณภาพในเวลาประมาณ ตีสาม สิริรวมอายุของหลวงปู่ 82 ปี 9 เดือน 19 วัน อายุพรรษา 63 พรรษา

    ธรรมโอวาท จาก พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์ และ ธรรมลิขิต

    1. คำว่า จิต ได้แก่ ดวงจิต ดวงใจผู้รู้อยู่ ผู้เห็นอยู่ ผู้ได้ยินได้ฟังอยู่ เราฟังเสียง ได้ยินเสียง ใครเป็นผู้รู้อยู่ในตัวในใจ นั่นแหละมันอยู่ตรงนี้ ให้รวมให้สงบเข้ามาอยู่ตรงนี้ ตรงจิตใจผู้รู้อยู่
    2. ตาเห็นรูป ก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมาไม่เข้าเรื่อง เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใดๆ เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้
    3. การปฏิบัติบูชา ภาวนานี้ เป็นการปฏิบัติภายใน เป็นการเจริญภายใน พุทโธภายใน ให้ใจอยู่ภายใน ไม่ให้จิตใจไปอยู่ภายนอก
    4. การภาวนา ไม่ใช่เป็นของหนัก เหมือนแบกไม้หามเสา เป็นของเบาที่สุด นึกภาวนาบทใดข้อใด ก็ให้เข้าถึงจิตถึงใจ จนจิตใจผ่องใสสะอาดตั้งมั่นเที่ยงตรงคงที่อยู่ ภายในจิตใจของตน ใจก็สบาย นั่งก็สบาย นอนก็สบาย ยืนไปมาที่ไหนก็สบายทั้งนั้น ในตัวคนเรานี้ เมื่อจิตใจสบาย กายก็พลอยสบายไปด้วย อะไรๆ ทุกอย่างมันก็สบายไป มันแล้วแต่จิตใจ
    5.ทำอย่างไรใจจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขึ้เกียจไงละ ให้มีความเพียร จะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคง อย่าไปถอย
    6. เพียรพยายามฝึกตนเองอยู่เสมอ บนแผ่นดินนี้ผู้มีความเพียร ผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ ไม่ว่าจะทำอะไร ย่อมสำเร็จได้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้
    7. สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละออกไปให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันเป็นความร้อน ความร้อน คือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน
    8. เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มัน ตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้นภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านก็คลานเอา
    9. พุทโธในใจ หลงใหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม นั่งก็พุทโธในใจ นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ เดินไปไหนมาไหน ก็พุทโธในใจ กิเลสโลเลละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู โลเลทางจมูก ทางกลิ่น โลเลในอาหารการกิน เลิกละให้หมด
    10. ไม่ต้องไปรอท่าว่า เมื่อถึงวันตายข้าพเจ้าจะภาวนาพุทโธเอาให้ได้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำไว้ก่อน เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน ตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้เวลานี้เป็นต้นไป
    11. ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้ ท่านให้นึกให้น้อมให้ได้ว่า ทุกลมหายใจเข้าไปก็เตือนใจของตนให้นึกว่า นี่ถ้าลมหายใจนี้เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกิดติดขัดคนเราก็ตายได้ แม้ลมหายใจออกไปแล้ว เกิดอะไรขัดขึ้นมาสูดลมหายใจเข้า มาไม่ได้คนเราก็ตายได้
    12. เราทุกคนดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้ ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ อยู่ที่ไหน กายกับใจอยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละเป็นที่ปฏิบัติบูชาภาวนา อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่ วัดก็ภาวนาได้ บวชไม่บวชก็ภาวนาได้ทั้งนั้น
    13. ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็ม ในขั้นสมถกรรมฐาน พร้อมกับวิปัสสนา กรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคนเท่านั้น ก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคน ก็ไม่ได้มีอะไรติดมา ครั้งเมื่อเราทุกคนตายไปแล้วแม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่จนกิเลสโลภะอันมันนอนเนื่องอยู่ใน จิตนี้ให้หมดเสียวันนี้ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนาจน วันตายโน้น
    14. การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริงๆ นั้น ต้องปฏิบัติดังนี้ เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา บริกรรมกำหนดลมหายใจจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไป ด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยมีทวารทั้ง 9 เป็นสถานที่ไหลออกไหลเข้าซึ่งของไม่งาม
    15. อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบาย อยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลส ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น
    16. วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป มันหมดไปทุก ลมหายใจเข้าออก
    ฉะนั้น ภาวนาดูว่า วันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่ ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง
    17. ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ใจยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในชาติตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ในบุคคล ความยึดอันนี้แหละที่ยึด ไม่ให้มีทุกข์ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่ ก็แก่เรื่อยไป ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ เมื่อจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย
    18. บทภาวนาบทใดก็ดีทั้งนั้น ถ้าภาวนาได้ทุกลมหายใจ ก็เป็นอุบายธรรมอันดีทั้งนั้น ความตั้งมั่นในสมาธิภาวนาของจิตใจคนเรานั้น ย่อมมีเวลาเจริญขึ้น มีเสื่อมลงเป็นธรรมดา ถ้าเรามารู้เท่าทันว่า การรวมจิตใจเข้าเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เป็นความสงบสุขเยือกเย็น อย่างแท้จริง ก็ให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อย่าได้มีความท้อถอย เมื่อใจไม่ท้อถอยแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เราท้อแท้อ่อนแอได้ เพราะคนเรามีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจทั้งสิ้น
    19. ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยว่าง อย่าเข้าไปยึดไปถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวข้าของข้า ตัวเราของเรา เราเป็นนั้นเป็นนี้ ตัวเราของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีแต่หลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งโลก
    20. ให้ทานข้าวของ วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ แต่ยังไม่ลึกซึ้ง ให้ทำบุญภายในใจ ให้เป็นบุญอยู่เสมอ ภาวนาพุทโธ นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน นี่แหละ บุญภายใน
    21. อวิชชา แปลว่าไม่รู้ ไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย ไม่รู้อยู่ จิตจึงได้วนเวียน หลงไหล เข้าใจผิดว่า โลกนี้ยังมีความสุขซ่อนอยู่ ความจริงแล้วในมนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ตาม พรหมโลกก็ช่าง ล้วนแล้วแต่ตกอยุ่ในกองทุกข์ กองภัย ต้องมีภัย อันตรายรอบด้าน
    22. ชีวิตของคนเราไม่นาน ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด เวลาเรายังไม่ตาย ก็ได้ข่าวคน นั้นว่าตาย ที่เขาเอาไปฝังทิ้ง หรือเอาไปเผาไฟ เพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็นจมูกเขาต่างหาก เราต้องพิจารณา ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา ทำไมพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้ง หลาย ท่านจึงเกิดอสุภกรรมฐานเห็นแจ้งในจิตในใจได้ เห็นคนก็เห็นก้อนอสุภกรรมฐาน เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น
    23. สงบแต่ปาก ใจไม่สงบ ก็ไม่ได้ ต้องให้ใจสงบ ใจสงบ ก็คือว่า เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่นก็ให้คอยระวัง นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วเป็นทุกข์อย่างนี้แหละ จะไปเอาสุขที่ไหนในโลก ที่ไหน มันก็ทุกข์เท่าๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตนเอง
    24. เวลาความตายมาถึงเข้า กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ได้ก็ไปสู่นิพพาน จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามา ตรัสรู้ในโลก มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งมากกว่าในสมัย ก่อน มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วย อวิชชา-ความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์มาเดือดร้อน วุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ
    25. ให้ละกิเลสออกจากจิตให้หมดทุกคน กิเลสนี้แหละทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ไม่สิ้นสุด กิเลสนั้นเมื่อย่นย่อเข้ามาก็คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง 3 อย่างเท่านี้ ทำไมจึงเกิดมาสร้างกิเลสให้มากขึ้นไปทุกภพทุกชาติ ทำไมหนอ ใจคนเราจึงไม่ยอมละ การละก็ไม่หมดสักที ในชาติเดียวนี้ตั้งใจละ ทั้งพระเณรและญาติโยมทั้งหลาย ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นอย่าโกรธไปตาม ถ้าไม่โกรธไปตาม มันจะตายเชียวหรือ ทำไมจึงไม่ระลึกอยู่เสมอว่า คนเราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไป ในเวลาเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีการท้อถอยในการสร้างความดี มีการรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนา ฆ่ากิเลสตัณหาให้หมดไป ใจจึงจะเย็นเป็นสุขทุกคน
    26. ภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จิตของผู้ภาวนาก็สูง คำว่าสูง ก็เหมือนกับเรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำ ลำคลองหรือที่มหาสมุทรสาคร ก็คือ จิตมันอยู่เหนือน้ำ
    27. จิตอยู่เหนืออารมณ์ เหมือนเรืออยู่เหนือแม่น้ำ มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จึงจำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มีความอดทน
    28. เวลาความสุขมาถึงเข้า เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยินยอ มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว


    [​IMG]
     
  5. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,492
    ค่าพลัง:
    +53,107
    ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก

    ครูบาอาจารย์เป็นใคร?แล้วฝึกปฎิบัติธรรมกันอย่างไร?
    คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก เริ่มก่อตั้งโดยอาจารย์หมอสมสุข คงอุไร เมื่อพ.ศ.2515ตอนนั้นยังใช้ชื่อคณะศิษย์รัศมีพรหม โดยตั้งตามคำพูดของหลวงพ่อพรหม ถาวโรวัดช่องแค จ.นครสวรรค์ หลังจากที่ปลุกเสกพระสมเด็จรุ่น ปืนแตก พ.ศ.2515 เมื่อปลุกเสก เสร็จท่านว่าพระรุ่นนี้มีรัศมีสว่างไสวเหมือนรัศมีของพรหม สว่างออกไปข้างละ 9 วา ดังนั้นอาจารย์หมอสมสุข คงอุไร จึงนำคำว่า รัศมีพรหมมาตั้งเป็นชื่อคณะ เมื่อหลวงพ่อพรหมมรณภาพลงในปี 2518 อาจารย์หมอสมสุข คงอุไร ได้เจออาจารย์องค์ที่ 2 คือครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน ท่านจึงนำฉายาโพธิโก มาต่อท้ายคำว่า รัศมีพรหม จึงกลายมาเป็น“คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก” ครูบาอาจารย์ของคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโกที่ถ่ายทอดหลักการ
    ปฎิบัติอานาปานสติอันสัมปะยุตต์ด้วยสมาธิ,ฌาน,อรูปฌาน,และวิปัสสนญาณ ให้แก่คณะศิษย์ฯ มีดังนี้
    1.หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค จ.นครสวรรค์

    2.ครูบาชุ่มโพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน

    3.ครูบาอินทรจักร อินทจักรโก วัดน้ำบ่อหลวง จ.เชียงใหม่


    4.ครูบาพรหมา พรหมจักรโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน<
    5.ครูบาขันแก้ว อุตตโม วัดสันพระเจ้าแดง จ.ลำพูน

    ตามที่สอบถามหมอสมสุข ไว้ว่าแต่ละองค์สอนการปฎิบัติให้แค่ไหท่านกล่าวว่าหลวงพ่อพรหม สอนถึงรูปฌาน 4 ก็มรณภาพ โดยครั้งแรก พ.ศ.2514 ที่ท่านรับอาหมอสมสุขเป็นศิษย์ ท่านบอกว่า ”สมบัติอยู่ในท้องเอ็งไปหาเอา เอ็งไปถีบลมให้ขาด” ซึ่งการถ่ายทอดทั้งหลักธรรม และบอกเล่าประวัติของท่านนั้น เวลากลางวันห้ามถาม พูดคุยเรื่องนี้ตอนกลางคืนเวลาเที่ยงคืนท่านจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดบนหัวนอน เป็นสัญญาณให้เข้าไปถามเรื่องราวต่างๆ
    ได้ทั้งประวัติท่านและหลักการปฎิบัติอานาปาฯ(หลวงพ่อพรหม เรียกพุทธคุณ)
    ครูบาชุ่ม สอนถึงอรูปฌาน3 ก็มรณภาพ เพราะอาหมอสมสุข ได้เจอท่านตั้งแต่ปี 2518 จนถึง 2519 เดือนกันยายน ท่านก็มรณภาพ เป็นระยะเวลา 11 เดือนเท่านั้น แต่การเป็นศิษย์ระหว่างครูบาชุ่มและอาหมอ นับว่าแปลกมาก กล่าวคือ ตั้งแต่หลวงพ่อพรหมมรณภาพ อาหมอสมสุขก็ตระเวนไปหาครูบาอาจารย์ตามที่ต่างๆซึ่งในขณะนั้น พ.ศ.2518มีมากมาย ทั้งอีสาน,ตะวันออก,ตะวันตก ไปหมดแต่ไม่มีองค์ไหนที่อาหมอสมสุขถามหลักปฎิบัติตามที่ หลวงพ่อพรหมสั้งสอนแล้วตอบอธิบายได้เลย เป็นเวลา 6 เดือนจึงมีลูกศิษย์ในคณะมาบอกว่า หลวงพ่อพรหมมาเข้าฝันบอกให้ไปบอกอาหมอสมสุขไม่ต้องไปหาพระองค์ไหนแล้ว ให้เอาเหรียญพระเครื่องที่สะสมไว้มาดูหลังเหรียญ เหรียญไหนมียันต์อิติปิโสแปดทิศ ให้ไปหาองค์นั้น ดังนั้น ในเดือนสิงหาคม 2518 อาหมอสมสุขจึงขึ้นไปพบครูบาชุ่มที่ วัดวังมุย เนื่องจากเหรียญวัตถุมงคลของท่านด้านหลังเป็นยันต์อิติปิโสแปดทิศ เมื่อเข้า
    ไปหาท่าน ท่านถามว่ามีธุระอะไรที่มาหา อาหมอสมสุขตอบว่าพระอาจารย์ผมที่สอนสมาธิให้ท่านมรณภาพ ผมกำลังหาคนสอนต่อ แต่หาไม่ได้ ไม่มีใครรู้แนวปฎิบัตินี้เลย ครูบาชุ่มท่านจึงพูดว่า อ๋อโยมนี่เองหรือ เมื่อคืนนี้มีพระรูปหนึ่ง แล้วท่านก์บอกลักษณะของหลวงพ่อพรหมถูกทุกอย่างออกมา มาหาอาตมาบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีลูกศิษย์ผมมาหาให้ท่านช่วยรับเป็นลูกศิษย์ถ่ายทอด หลักปฎิบัติอานาปานสติฯให้ด้วย ซึ่งอาตมาก็รับปาก ดังนั้น เมื่อเป็นโยมหมออาตมาก็ยินดีรับโยมหมอเป็นลูกศิษย์ และท่านก็สอนการปฎัติสมาธิตามหลักอานาปาฯ ให้จนมรณภาพลง และท่านยังแนะนำให้ไปหาครูบาสองพี่น้อง คือ ครูบาอินทรจักรและครูบาพรหมจักร ซึ่งท่านบอกว่าเป็นพระที่ดีน่ากราบไหว้บูชา ทั้ง 2 องค์ ก็รับอาหมอสมสุขและคณะศิษย์รัศมีฯเป็นลูกศิษย์ครูบาขันแก้วและครูบาพรหมจักร ทั้งสององค์ ก็ถ่ายทอดหลักปฎิบัติต่อมาให้แก่อาหมอสมสุขจนถึงดวงตาเห็นธรรม รวมทั้งลูกศิษย์ในคณะก็ปฎิบัติจนได้ดวงตาเห็นธรรมกันหลายคนในช่วงขณะปี พ.ศ.2523 ครูบาพรหมจักรท่านได้กล่าวเตือนไว้ว่า โยมหมอให้บอกลูกศิษย์ในคณะศิษย์ฯไว้นะ “ให้ระวังความรู้ท่วมหัวจะเอาตัวไม่รอด”ซึ่งก็จริงของท่าน ศิษย์ในคณะ
    หลายคนได้มีการกระทำที่ผิดต่อครูบาอาจารย์และแพ้จิตใจตนเอง ซึ่งมีผลทำให้คุณธรรมที่ได้เสื่อมลง(คุณธรรมของพระโสดา,สกิทาคา,อนาคา เป็นกุปธรรม ยังกลับกรอกเสื่อมถอยได้ ส่วนพระอรหันต์เป็นอกุปธรรมไม่มีการเสื่อมถอยแล้ว)ซึ่งการได้ “ดวงตาเห็นธรรม” นี้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก คือ พระโสดาบันซึ่งไม่ได้มีฤทธิ์มีเดช เหาะเหินเดินอากาศได้แต่อย่างใด แต่มีคุณธรรมอันวิเศษเกิดขึ้นในจิตใจเท่านั้น เมื่อมีจิตใจที่ตกต่ำจากคุณธรรมวิเศษนั้นก็ทำให้คุณธรรมนั้นเสื่อมจากจิตใจได้ดังนั้นบุคคลเมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วควรจะ”เดาะวิปัสสนาญาณ” ให้แก่กล้า เพื่อทำให้อินทรีย์แก่กล้า จะได้ละตัดสังโยชน์และ อนุสัยที่หลงเหลือให้หมดสิ้นไป
    ดังนั้น ครูบาพรหมจักรท่านจึงให้ปริศนาธรรม ไว้สำหรับศิษย์ผู้ได้ “ ดวงตาเห็นธรรม ” แล้วว่า“ ผู้ใดตามดูจิตโดยความเป็นธรรม ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงของมาร “ ครูบาอาจารย์ทั้ง 5 องค์ของคณะศิษย์รัศมีฯ ได้สั่งสอนหลักปฎิบัติอานาปาฯ ทั้งสมถกัมมฐานและวิปัสสนากัมมฐานทั้ง 2 อย่าง ซึ่งมีการถกเถียงกันมากมายว่าสมถะฯ เป็นโลกียะ ไม่ต้องปฎิบัติให้ปฎิบัติวิปัสสนาฯ เลยเพราะเป็นโลกุตตระ แต่พระอาจารย์ของคณะศิษย์ฯ ได้อธิบายไว้ว่า สมถะฯ และวิปัสสนาฯ เป๊นธรรมที่เกื้อกูลกัน เพราะถ้าไม่ปฎิบัติสมถะฯ ก็ไม่สามารถเข้าสู่วิปัสสนาฯ ได้ เพราะการจะเข้าสู่วิปัสสนาญาณได้นั้น ต้องเปลี่ยนบาทของสมถะฯ ในอรูฌาน 3 เพื่อจะยกเข้าสู่วิปัสสนาญาณฯ (เพื่อทำจิตให้ปราโมทยิ่ง,ทำจิตให้ตั่งมั่น ทำจิตให้ปล่อยว่าง)
    บางคนบอกว่า สมถะฯ เป็นพวกฝึกฌาน ซึ่งทำให้เกิดฤทธิ์ (สมถะฯประกอบด้วย ฌาน 4 และอรูปฌาน 4 ) ซึ่งจะขอถามผู้รู้ว่าการฝึกฌานมันเกิดฤทธิ์ตรงไหน
    ฌาน 4 เป็นธรรมที่แผดเผากิเลสอย่างหยาบ (ผลคือค่อยๆละการยึดติดในรูป เช่น การชอบรถยี่ห้อนี้ สีนี้ ,ชอบสร้อยทองเส้นนี้ ฯลฯ แต่เป็นการละอย่างช้าๆ แบบไม่รู้ตัว)
    อรูปฌาน 4 เป็นธรรมที่แผดเผากิเลสอย่างละเอียด (คือการละเกี่ยวกับนาม เช่น ชื่อเสียง , เกียรติยศ ,การชมเชย , สรรเสริญ เยินยอ เป็นต้น)
    ที่ถามว่าฌานมีฤทิ์ตรงไหนกล่าวคือ
    ฌาน 4 ประกอบด้วย
    วิตก-การยกอารมณ์ขึ้นสู่จิต
    วิจาร-การประคองอารมณ์นั้นไว้
    ปิต-ผรณาปิติ ความอิ่มเอิบ ซาบซ่านใจในการสามารถยกวิตก , วิจารขึ้นมาได้
    สุข-สุขที่เกิดจากการหน่ายปิตินั้น
    อุเบกขาเอกัตคตา-ความเป็นอารมณ์เดียวแห่งจิตหลังจากละสุขได้
    ขอถามว่า อารมณ์แห่งฌาน 4 อันประกอบด้วย วิตก , วิจาร, ปิติ , สุข , อุเบกขาเอกัตคตารมณ์ นั้นทำให้มีฤทธิ์ตรงไหน
    อรูปณาน 4 ประกอบด้วย
    1.อากาสานัญจายตนฌาน-เอาอากาศเป็นอารมณ์จึงจะก้าวล่วงรูปสัญญาทั้งปวงได้ และดับปฏิฆสัญญา , นานัตตสัญญาได้
    2.วิญญาณัญจายฌาน-การกำหนดธาตุรู้ทางใจ (มโนธาตุ)
    3.อากิญญาณัญจายฌาน-การพิจารณาว่าไม่มีอะไรในอารมณ์ (ความว่าง)
    4.เนวสัญญายตนฌาน-การพิจารณาว่ามีสัญญก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
    ดังนั้น อารมณ์ของจิตในอรูปฌาน 4ทำให้เกิดฤทธิ์ตรงไหน ครูบาอารย์ทั้ง 5 องค์ของคณะศิษย์ฯ จึงสอนวิธีปฎิบัติมาอย่างนี้ ซึ่งให้ปฎิบัติทั้ง สมถะฯ และวิปัสสนาฯเพราะธรรมทั้งสองอาศัยซึ่งกันและกัน
    หลังจากครูบาอาจารย์ทั้ง 5 นี้แล้วทาง อาหมอสมสุข ได้นำคณะศิษย์ฯ ไปกราบไหว้ครูบาอาจารย์อีกหลายองค์และมีหลายองค์และมีหลายภาคของไทย เช่น
    ภาคเหนือ-ครูบาหล้า วัดป่าตึง จ.เชยงใหม่ ,ครูบาสุรินโท วัดศรีเตี้ย จ.ลำพูน ,ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง จ.เชียงใหม่ ,ครูบาน้อย วัดบ้านปง จ.เชียงใหม่ ,ครูบาธรรมธิ วัดสันป่าตึง จ.เชียงใหม่ ฯลฯ
    ภาคกลาง-หลวงปู่เจ๊ก วัดระนาม ,หลวงปู่ผิว วัดสง่างาม จ.ปราจีนบุรี ,หลวงปู่แช่ม วัดดอนยามหอม ,หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ,หลวงปู่ทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง หลวงปู่แก้ว วัดช่องลม ฯลฯ
    ภาคตะวันออก-ท่านพ่อคร่ำ วัดวังหว้า จ.ระยอง ,ท่านพ่อสีนวล วัดเกวียนหัก จ.จันทบุรี ,หลวงปู่ชม วัดโป่ง จ.ชลบุรี หลวงเตี่ย วัดประชุมคงคา หลวงปู่พุฒ วัดเขาไม้แดง ฯลฯ
    ภาคตะวันตก-หลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม หลวงปู่ชอบ วัดเขารังเสือ หลวงปู่จ่าง วัดเขื่อนเพชร ฯลฯ
    ภาคใต้-พ่อท่านแก้ว วัดโคกโคน จ.พัทลุง ,พ่อท่านฤทธี วัดบ้านสวน ,พ่อทานแดง วัดศรีมหาโพธิ์ ,พ่อท่านปลอด วัดหัวป่า , พ่อท่านแดง วัดขุนทอง ,พ่อท่านเนียน วัดต้นเลียบ ,หลวงปู่สุภา วัดเขารัง จ.ภูเก็ต พ่อหลวงคล้อย วัดถ้ำเขาเงิน หลวงปู่กล่ำ วัดศาลาบางปูน หลวงปู่เล็ก วัดประดูเรียง เป็นต้น
    ซึ่งครูบาอาจารย์แต่ละองค์กล่าวรับรองยืยันกับทางคณะศิษย์รัศมีฯ ว่าการปฏิบัติอานาปานสติฯ อนสัมประยุตต์ ด้วยสมาธิ ,ฌาน ,อรูปฌาน ,วิปัสสนาญาณนี้ ที่พวกลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้รับการสั่งสอนจากอาหมอสมสุข มานี้ถูกต้องแล้ว เป็นการปฎิบัติที่ตรงที่สุด ไม่มีทางลัดกว่านี้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านได้วางไว้เป็นขั้นเป็นตอน พวกเราจะเข้ามรรคผลนิพพานได้ ก็ต้องเดินตามที่พระพุทธองค์ได้วางไว้แล้วเท่านั้น ไม่มีทางอื่น
    ทางอาจารย์หมอสมสุขได้กล่าวไว้ว่า “การให้ธรรมทาน (การสอนการปฎิบัติธรรม) ถ้าผู้ให้รู้จริงก็ถึงมรรคผลนิพพาน” “แต่ถ้าให้ผู้รู่ไม่จริง ก็ถึงนรกมหาอเวจีได้ง่ายๆ เหมือนกัน”
    และ หลวงพ่อพรหม ถาโร ท่านได้กล่าวกับอาจารย์หมอสมสุขไว้ว่า
    1. คนที่จะมาปฎิบัติกับเอ็ง เขาเหมือนกับน้ำเต็มแก้วมา เอ็งต้องให้เขาริมน้ำในแก้วทิ้งให้หมด แล้วเอ็งค่อยเติมน้ำใส่แก้วให้เขา ถ้าเขายังมีน้ำเต็มแก้วอยู่ เอ็งขืนริมน้ำของเอ็งเติมให้เขา น้ำในแก้วเขาล้นหมด = (คนที่มาเรียนปฎิบัติธรรมต้องลบความทรงจำเกี่ยวกับความรู้ในการปฏิบัติเก่า ๆ ที่เคยเรียนมาทิ้งให้หมดก่อน)
    2.เอ็งบอกเขาว่าสมาธิอันแท้จริงหลับตามีอยู่ลืมตาสมาธินั้นก็ต้องยังอยู่ แต่ถ้าหลับตาเอ็งมองเห็นลืมตาแล้วหายหมดอันนั้นเป็นสมาธิของปลอม = (สมาธิต้องทำได้ทั้งหลับตาและลืมตา)การปฎิบัติอานาปาสติฯ ความที่ครูบาอาจารย์ทั้ง 5 องค์ ของคณะศิษย์ฯ ได้ถ่ายทอดมาให้นี้ตรงนี้อาจสรุปได้ว่า การปฎิบัติอานาปาสติฯ ตามที่ครูบาอาจารย์ทั้ง 5 องค์ ได้ถ่ายทอดให้มานี้ ถูกต้องตามคำสั่งสอนของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้จาก หนังสือปฐมสมโภค ที่กล่าวถึงประพุทธองค์ในคืนตรัสรู้ แนวทางปฎิบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าหรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องผ่านอารมณ์แห่ง ฌาน อรูปฌาน และ วิปัสสนาญาณ ตามลำดับ ถ้ามีแนวทางอื่นแสดงว่าพระพุทธองค์ต้องบัญญัติไว้แล้วหรือถ้ามีแนวทางอื่นแสดงว่าต้องมีผู้ที่เก่งกว่าพระพุทธองค์แล้วจะมีไหมละครับ



    [​IMG] [​IMG]
     
  6. mayakarn

    mayakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +19,921
    [​IMG]
    เหรียญหลวงปู่นิล รุ่นนี้จริงๆ เป็นเหรียญรุ่น 2 นะครับ แต่คนส่วนใหญ่มักจะเรียกเป็<wbr>นเหรียญรุ่นแรก (โดยแกล้งทำลืมเหรียญหล่อเน<wbr>ื้อตะกั่ว ปี 14ไป)
    บางคนก็เลี่ยงบาลีโดยเรียกเ<wbr>ป็นเหรียญ รุปไข่รุ่นแรก สำหรับเหรียญที่สร้างในปี พ.ศ.2516 จะมีทั้งหมด 2 รุ่น คือเหรียญรูปไข่ สร้างช่วงต้นปี จำนวนการสร้าง 2000 เหรียญ เพื่อแจกให้กับลูกศิษย์ลูกห<wbr>าที่มากราบท่านในงานครบ 6 รอบของท่าน แต่เหรียญได้หมดไปอย่างรวดเ<wbr>ร็ว จึงได้สร้างเหรียญอีกรุ่นใน<wbr>ช่วงปลายปี โดยทำเป็นเหรียญเสมาเป็นเหร<wbr>ียญรุ่น 3 จำนวนการสร้าง 3000 เหรียญ
     
  7. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326


    รูปวัดที่ลง จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้หลายๆคนอยากไปวัดนะคร๊าบบ และถ้าจะให้ดีขอรูปคุณกันต์ชัดๆซักรูปน๊าาา[​IMG]
     
  8. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]


    สวัสดียามเช้าครับพี่วรรณ พี่เอ๊ะ พี่กูน พี่ตี๋ พี่โญ พี่ชาญ พี่รัก พี่ช้าง พี่รุ่ง พี่อ้วน คุณบอย น้องโอ๊ต น้องเอ็ม น้องเขี้ยว คุณหนุ่ม น้องเอ๋ คุณวุฒิ น้องนิก คุณกันตปัญโญ คุณsellcat คุณjamitcom น้องกานต์ คุณpp2 น้องแพน น้องนาย คุณผักหวาน5 คุณอาณัติ คุณคนกลางสวน คุณน้ำหว้าและพี่ๆน้องๆทุกท่าน ขอบคุณทุกภาพสวยๆและเรื่องราวดีๆจากทุกท่านครับ
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    [​IMG]
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    อรุณสวัสดิ์ครับคุณปู คุณโญ พี่ตี๋ใหญ่ พี่อ้วน คุณเอ๊ะ คุณกันต์ คุณวุฒิ คุณแจม คุณบอย คุณกูน คุณชาญ คุณตุ้ม คุณเอ็ม น้องเอ๋ น้องกานต์ คุณนาย คุณเคี้ยว คุณโอ๊ต คุณอีกยาวนาน และทุกๆท่านครับ




    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/GIF/post-9735-sup-cat-gif-just-chillin-chill-r4ic.gif.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/GIF/post-9735-sup-cat-gif-just-chillin-chill-r4ic.gif" border="0" alt=" photo post-9735-sup-cat-gif-just-chillin-chill-r4ic.gif"/></a>
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC04880.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC04880.jpg" border="0" alt=" photo DSC04880.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC04881.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC04881.jpg" border="0" alt=" photo DSC04881.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC04883.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC04883.jpg" border="0" alt=" photo DSC04883.jpg"/></a>
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,701
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC03676.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC03676.jpg" border="0" alt=" photo DSC03676.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC03680.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC03680.jpg" border="0" alt=" photo DSC03680.jpg"/></a>
     
  13. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326



    สวัสดียามเช้าคร๊าบบพี่วรรณ สองสามวันนี้ฝนทิ้งช่วงแดดเปรี้ยงกลางวันร้อนเลยคร๊าบบ
     
  14. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326


    พระผงที่สร้างหลังรุ่นสุปฏิปันโนส่วนใหญ่จะผสมผงพระธาตุที่เหลืออยู่ น่าบูชามากคร๊าบบพี่กูน และพระรุ่นนี้ก็ได้สร้างตามที่ครูบาท่านออกแบบไว้คร๊าบบ...




    [​IMG]




    [​IMG]




    ขออนุญาติ เล่าเรื่องพระอุปคุต กับ พระพิมพ์นี้ช่วงสายๆ ของประมาณเดือน มีนา หรือ เมษา จำพศ.ไม่ได้ หลังครูบาว่างจากรับแขก ก็นั่งคุยกับครูบา รับใช้ท่านตามปกติ ถามท่านเรื่องพระอุปคุต ท่านก็บอกว่าพระอุปคุต จะคอยระวังภัยในพระพุทธศาสนา ครูบาท่านทำท่า อุปคุตจกบาตรให้ดูด้วย ท่านบอกว่า ขนาดฉันข้าว ยังต้องคอยมองท้องฟ้า ป้องกันไม่ให้พวกมารมาทำอะไรพระพุทธเจ้า (ครูบาท่านเอาพระอุปคุตไม้แกะของผมไปอธิษฐานให้หน้าที่บริเวณท่านสวดมนต์...ตอนหลังผมก็ลืม ทิ้งไว้นานเป็นสองปี ถึงไปเอาคืน)


    ใครไปวัดห้วยต้มจะเห็น ว่า ครูบาท่านจะตั้งศาลพระอุปคุตไว้ บริเวณศาลาพรหมจักรโก เวลามีงานพิธีอะไรต่างๆท่านจะเชิญพระอุปคุตทุกครั้งครูบาท่านให้ความสำคัญกับพระอุปคุตมาก


    ส่วนที่มาพระพิมพ์นี้ เคยถามท่านว่า..ครูบาอยากให้ทำพระพิมพ์ไหนอีกไหมครับ(ในช่วงนั้น)ท่านบอกให้ผม ถ้าจะทำให้ทำพิมพ์นี้ ท่านบอกให้ทำเป็นพิมพ์อุปคุต1พิมพ์ และ สังกัจจาย์ 1พิมพ์ อีกด้านเป็นรูปครูบาท่าน ขนาดเท่าเล็บหัวแม่มือท่าน ตอนแรกตั้งใจจะทำ แต่โยมอีกคนที่รู้ข่าว ขอไปทำถวายท่านก่อน แต่สรุปว่าพระพิมพ์นี้ เป็นพระที่ทำตามแบบที่ท่านบอกนั่นเอง ส่วนการอธิษฐานครูบาท่านคงทำไว้อย่างดีแล้ว



    โพสต์โดย คุณhero_ultra กระทู้รวมพระเครื่องและวัตถุมงคล หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา
     
  15. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    สวัสดียามเช้า คุณปู คุณวรรณ คุณเอ๊ะ คุณเอ็ม อ.โญ คุณกันต์ คุณกูน คุณวุฒิ คุณรักษ์ คุณโอ๊ต คุณอ้วน คุณเอ๋ คุณกานต์ คุณรุ่ง คุณบอย น้องนาย คุณชาญ คุณเหน่ง คุณแจม คุณอาณัติ คุณเปลวสีเงิน คุณพีพี2 คุณแพน คุณจายา คุณบุศรินทร และทุกๆท่าน

    ทำการงานใด ทำมาค้าขายใด ขอให้เจริญรุ่งเรือง ปลอดโปร่ง ราบรื่นกันนะครับ
    ขอบคุณกับภาพสวยๆ พระงามๆ เรื่องราวดี ที่ทุกๆท่าน นำมาให้ได้ชม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2014
  16. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    ลป.เจียม สุรินทร์ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  17. kravity

    kravity เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,472
    ค่าพลัง:
    +34,745
    morning คร๊าบบบบบบ พี่ๆสมช. ทุกท่าน ^__^

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  18. ddd445

    ddd445 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7,468
    ค่าพลัง:
    +38,819
    สวยครับ
     
  19. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    สวัสดีตอนเช้าครับพี่ตี๋ พี่ปู พี่วรรณ พี่วุฒิ พี่โญ พี่เอ๊ะ คุณเอ็ม และทุกๆท่าน กำลังเตรียมตัวไปสุพรรณครับ
     
  20. วุฒิ สิงห์

    วุฒิ สิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +13,055
    สวัสดีครับพี่ปู..
    สวัสดีครับพี่วรรณ..
    สวัสดีครับพี่ตี๋..ขอรับพรของพี่ครับ
    สวัสดีจ้าตากานต์..
    สวัสดีครับพี่เอ๊ะ พี่โญ พี่กูน พี่อ้วน พี่รัก พี่รุ่ง พี่ชาญ พี่น้อม คุณเอ็ม คุณเหน่ง คุณกันตฯ คุณโอ๊ต คุณเอ๋ คุณบอย คุณแจม และพี่น้องทุกๆท่านครับ..
    คอมพ์ผมเป็นไรไม่รู้เอาภาพจากกล้องลงไม่ใด้เลยสองวันแล้ว..สงสัยใกล้เจ๊ง..:':)':)'(
     

แชร์หน้านี้

Loading...