ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เอ๋ปากน้ำ

    เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905
    คุณphuya จองสังฆทานพิธีหล่อพระ ๑ ชุดค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยค่ะ

    จันทรกาล
     
  2. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ท่านสิทธิสัตตะจองสังฆทานหนึ่งชุดค่ะ
     
  3. kanus

    kanus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,214
    จองสังฆทานพิธีหล่อพระ ๑ ชุดค่ะ
    ขอบคุณค่ะ
     
  4. เอ๋ปากน้ำ

    เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905
    ชุดสังฆทานพิธีหล่อพระ ครบแล้วค่ะ


    สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ค่ะ
    จันทรกาล
     
  5. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ท่านสิทธิสัตตะฝากบอกว่าจะสละการจองชุดสังฆทานในพิธีหล่อพระให้กับผู้ที่ต้องการร่วมบุญค่ะ
    ใครต้องการร่วมบุญแจ้งความประสงค์ได้เลยนะคะ หากไม่มี หนูตาลขอจองค่ะ อิอิ
     
  6. kit_por

    kit_por เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,341
    จองสังฆทานหล่อพระ1ชุดค่ะ
     
  7. widya

    widya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,095
    ค่าพลัง:
    +13,214


    สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้สำเร็จในมโนปณิธานดังจิตอธิษฐานทุกประการ

    (rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2014
  8. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติชุดดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ ตอน ๑

    ประวัติดวงแก้วชุดศุภเรศวร์นวปกรณ์ เป็นประวัติที่ต่อจากประวัติจักรแก้วชุดวสไวยยนะจักร และประวัติดวงแก้วชุดดำรงดิเรกฤทธิ์

    หลังจากที่พระฤาษีชุดแรกให้เข้าสมาบัติเป็นเวลา ๑๐๐๐๐ ปี โดยมีพระอัครญาณชาตะดาบส พระพุทธวิปัสสีพุทธเจ้า พระมังคลชาตะดาบส (พระนารทธรรมราชาบดี) ,พระวสไวยยนดาบส(พระเกษรีฤาษี) –พระนวสิทธิ์ดาบส(พระอัสดงฤาษี) และพระนวเกศดาบส (พระอัสรินทร์ฤาษ๊) ขอเข้าสมาบัติพร้อมกัน

    กล่าวถึงพระสุทธิชาตะ(พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า) พระไวยวจนะดาบส(พระมหาปุสสะพุทธเจ้า) พระชีวญาณชาตะ(พระมังคลปัจเจกพุทธเจ้า)-พระญาณชาตะดาบส (พระกกุสันโธพุทธเจ้า)

    พระสุทธิมาตาดาบสินี และพระวัธนวิสสมาตาดาบสินี ภายหลังได้สั่งสอนธรรมะแก่สาธุชนทั้งหลายจนสิ้นอายุขัย เมื่อละโลกไปจุติยังสวรรค์ชั้นดุสิต
    ส่วนพระสุทธิธรรมดาบส และมโหสถนายะกะดาบส ได้เจริญอิทธิบาท ๔ เพื่อรอการออกจากสมาบัติของพระดาบสทั้ง ๕ โดยพระสุทธิธรรมดาบส มีหน้าที่ดูแลสั่งสอนเหล่าคนธรรพ์ ครุฑ และกินรีกินนรทั้งหลาย พระมโหสถนายะกะดาบสดูแลเหล่ายักษ์ทั้งหลาย

    ส่วนพระตันตปาละฤาษีมีหน้าที่ดูแลเหล่านาคทั้งหลาย ในทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เหล่าพระดาบสจะมาประชุมรวมกันเพื่อปรึกษาหารือ หรือแลกเปลี่ยนธรรมะกัน
    กล่าวถึงศีรวัตรนาคราช(คุณ am12) พระโอรสองค์ที่ ๖ ของท้าวมหาปทุมมัตรนาคราช ซึ่งเป็นพระสหายของเจ้าชายดิเรกฤทธิ์(คุณ Prapaanpong)

    ภายหลังได้ออกผนวชเป็นพระฤาษี และเข้าสมาบัติไปพร้อมกับพระไวยยจักรฤาษี พระอนันตฤาษี(ท่าน widya) พระพลโชติฤาษี (คุณ KoKowalk) และพระสัตตเภรีฤาษี”(คุณ suwat.su)

    ศีรวัตรนาคราชนั้น เสมือนขาดพระสหายคู่ใจ จึงได้กลับไปอยู่รับใช้พระตันตปาละฤาษี ซึ่งเริ่มชราภาพมาก ศีลวัตรนาคราชได้ก็ได้พบกับสิริมารตี(น้อง Marisa) จึงเกิดความผูกพันธ์ อันเนื่องจากความใกล้ชิดกันมากขึ้น เกิดเป็นความรักในที่สุด

    เมื่อพญาสิงหลนาคราช(คุณ Prapart54) ทราบข่าว ก็รู้สึกปิติยินดียิ่งนัก จึงได้ส่งสาส์นเชิญเจ้าชายศีรวัตรนาคราชมายังเมืองของตน จากนั้นได้ถามไถ่ทุกข์ ทราบความว่า ทั้งสองมีใจให้กัน จึงบอกให้เจ้าชายศีรวัตรนาคราชส่งเครื่องบรรณาการณ์มาอภิเษกกับพระธิดาสิริมารตี

    ความนี้กลับทราบไปถึงพระนางสิริธารณีเทวี แม้จะอภิเษกไปแล้ว แต่พระนางยังไม่หมดเยื่อไยกับเจ้าชายศีรวัตรนาคราช

    เมื่อทราบข่าวพระนางเกิดความเศร้าโศกเสียพระทัย ด้วยการสิ้นอายุขัยจากการเป็นนาคมาณวิกา ไม่นานพระนางก็จุติไปเป็นมนุษย์ ณ.เมืองโสฬล เป็นบุตรของคหบดี นามว่า
    สิวิกากุมารี

    ต่อมาความถึงเจ้าชายมหัทธโชติเป็นอย่างยิ่ง จึงปรารถนาจะออกผนวชกับพระตันตปาละฤาษี เพื่ออุทิศบุญกุศลแก่พระนางสิริธารณี ฝ่ายพระนางสิริรัตนาเทวีนั้น ด้วยความรักในพระสวามีมาก จึงไม่ได้คิดห้ามปราม แต่ด้วยความรู้สึกน้อยพระทัยที่พระสวามีรักพระกนิษฐามากกว่าตน นางจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ....

    “การที่ข้าพเจ้าเสียสละให้พระสวามีออกผนวชนั้น เป็นการเสียสละบุคคลอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า ขอให้ภพชาติต่อไป ไม่ว่าชาติใดภพใดก็ตาม

    ขอให้ข้าพเจ้าได้ครองคู่กับพระสวามีแต่เพียงผู้เดียว อย่าได้มีหญิงใดคิดแย่งชิงพระสวามีของข้าพเจ้า และไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ขอให้ความรักของเราทั้งสองยังหวานชื่น ดุจรักแรกพบไปทุกภพทุกชาติไป”


    เมื่อพญาสิงหลนาคราชได้ทราบข่าวจึงเสียพระทัยยิ่งนัก แต่ไม่ให้ผู้ใดแพร่งพรายเรื่องพระนางสิริธารณีเทวีจุติออกไป เนื่องจากไม่ต้องการให้เจ้าชายศีรวัตรนาคราช และเจ้าหญิงสิริมารตีเสียใจ โดยให้พระนางสิริรัตนาเทวีบอกเพียงว่า ไปถือศีลพร้อมกับเจ้าชายมหัทธโชติ

    มิได้บอกความจริงทั้งหมดด้วยพญาสิงหลนาคราชได้ให้ปิดบังไว้ ทรงคิดว่า การจุตินั้นเป็นเรื่องธรรดา แม้จะทราบไปหากทำใจได้ก็ดี แต่ถ้าทำใจมิได้ทุกข์ใหญ่จะเกิดแก่ผู้ที่ทราบข่าว ความจริงช้าเร็วก็ต้องรู้

    จนหลังจากงานอภิเษก ๑๕ วันเจ้าชายศีรวัตรนาคราชจึงได้ทราบความจากทหารคนสนิทว่า พระนางสิริธารณีได้จุติไปแล้ว ทำให้เจ้าชายศีรวัตรนาคราชรู้สึกที่ตนตัดสินใจผิดมาตลอด เป็นเหตุให้ทรงประชวร

    จากนั้นไม่นานนัก ทรงจุติเป็นมนุษย์ โดยเกิดเป็นพระโอรสองค์ที่ ๒ ของพระเจ้าสีหบดินทร์ และพระนางสุนทรีย์เทวี และเป็นพระอนุชาของเจ้าชายสีหราช(คุณ sun2555) นั่นเอง

    ฝ่ายพระนางสิริมารตีเทวีนั้น คิดว่า อาจจะเป็นวิบากของพระนางที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างพระสวามี จึงคิดปลีกวิเวกถือพรต จนสิ้นอายุขัย เมื่อละโลกไปเกิดในพรหมโลกชั้น ๑๐ ชั้นเดียวกับนางวิภาวตี
    ________
    ________________________

    ประวัติชุดดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ ตอน ๒
    กำเนิดดวงแก้ววสีจักรพรรดิ​


    กล่าวถึงพระนางสิริรัตนาเทวี แม้จะอนุญาตให้เจ้าชายมหัทธโชติออกผนวช แต่ใจของพระนางยังรักและมั่นคงต่อพระสวามี นางจึงเริ่มถืออุโบสถศีลในวันขึ้น ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ เริ่มนั่งภาวนา แต่ใจกลับนึกถึงสวามีอยู่เสมอ

    พญาสิงหลนาคราชได้ทราบข่าวพระธิดา ซึ่งเวลานี้เหลืออยู่เพียงนางเดียว เมื่อทราบว่า นางโทมนัส หลังจากเยี่ยมพระธิดาแล้ว จึงเดินทางไปพบกับพระมหัทธโชติฤาษี ขอให้ออกจากสมณเพศ เพื่อเห็นแก่พระมเหสีอีกองค์

    พระตันตปาละฤาษีได้อยู่ในช่วงเข้าสมาบัติ พระมหัทธโชติฤาษีจึงยังไม่สามารถลาสิกขาได้ ใจก็ยังคิดลังเลเรื่องพระมเหสี จิตใจร้อนรุ่ม ปรารถนาจะลาสิกขาเช่นกัน จึงบอกแก่พญาสิงหลนาคราชว่า ขอให้พระอาจารย์ออกจากสมาบัติก่อนจึงจะลาสิกขาได้

    ครั้นเวลาผ่านไป ๔๕ วัน พระอนุชาของพระตันตปาละ นามว่า “พระสันตปาละฤาษี” ได้เดินทางมาเยี่ยมพระเชษฐา ได้ทราบเรื่องของพระมหัทธโชติจะลาสิกขา

    ท่านได้ตรวจดูด้วยญาณทัสสนะว่า พระมหัทธโชติได้หมดเวลาในการครองเรือน เนื่องจากต้องบำเพ็ญเนกขัมมบารมี อีกทั้งทรงทราบว่า อีกไม่นานพระนางสิริรัตนาเทวีจะหมดอายุขัยในนาคพิภพ

    จึงได้ใช้กุสโลบายในการสอนวิชารู้ภาษาสัตว์ และวิชาเป่าแก้วแก่พระมหัทธโชติฤาษี พระมหัทธโชตินั้น เป็นผู้ที่สนใจเรื่องการศึกษาวิชาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงลืมเรื่องพระมเหสีชั่วคราว

    หลังจากทราบวิธีการอธิษฐานดวงแก้วแล้ว พระสันตะปาละจึงได้ให้เข้าสมาบัติเป็นเวลา ๓ เดือน เพื่ออธิษฐานดวงแก้ว

    หลังจากพระมหัทธโชติฤาษีได้เข้าสมาบัติไม่นานนัก พระตันตปาละฤาษีได้ออกจากสมาบัติจากสมาบัติ ท่านทราบเรื่องราวโดยตลอด จึงต้องเข้าสมาบัติเพื่อรักษาพรหมจรรย์ของพระมหัทธโชติ

    ก่อนเข้าสมาบัติได้ส่งจิตไปบอกแก่พระอนุชา คือ พระสันตปาละฤาษี ซึ่งอยู่บำเพ็ญเพียรภูเขาอีกลูก ใช้การสอนวิชา เพื่อช่วยประวิงเวลาการลาสิกขาของพระมหัทธโชติฤาษี หลังจากออกสมาบัติแล้ว ครั้งนั้นท่านได้อธิษฐานดวงแก้วขึ้นมา ๑ ดวง นามว่า...

    “ดวงแก้วสีจักรพรรดิ”


    ได้นำดวงแก้วนี้ไว้ในถ้ำที่พำนักของท่าน รอผู้มีบุญมาเป็นเจ้าของต่อไป

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2014
  9. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติชุดดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ ตอน๓


    พญาสิงหลนาคราชออกผนวช


    ฝ่ายพระนางสิริรัตนาเทวี เมื่อทราบเรื่องจากพระบิดา นางเฝ้ารอพระสวามีเวลาผ่านไปนานนับเดือนก็ไม่มีวี่แววว่า พระสวามีจะกลับมา นางจึงรู้สึกรุ่มร้อนภายในใจอย่างมาก แท้จริงแล้วความรุ่มร้อนนี้ มีเหตุว่า นางใกล้จะเคลื่อนภพจึงได้รู้สึกร้อนใจ

    กล่าวถึงพระตันตปาละฤาษี หลังจากพระมหัทธโชติเข้าสมาบัติไม่นาน ท่านก็ได้ออกจากสมาบัติ จากนั้นท่านได้ไปภพบาดาลเพื่อพบกับพญาสิงหลนาคราชให้พาไปพบพระนางสิริรัตนาเทวี พระธิดาองค์สุดท้อง
    ท่านได้สอนให้เจริญสมาธิ หายใจเข้า ภาวนา “นะมะ” หายใจออก ภาวนา “พะทะ” เพื่อปรับธาตุภายในร่างกายไม่ให้ร้อนเกินไป จากนั้นพรรณนาเรื่องของอานิสงส์ของการออกบวช

    พระนางสิริรัตนาเทวีนั้น เป็นผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลม พระนางจึงเข้าใจความหมายที่พระตันตะปาละฤาษีกล่าวถึงคือ เหตุด้วยพระสวามีของนางไม่สามารถออกจากเพศบรรชิตได้ด้วยการต้องถือเนกขัมมบารมี นางจึงน้อมใจที่จะอนุโมทนาบุญกับพระสวามี โดยอธิษฐานกำกับว่า..

    “หากแม้วาสนาบารมีของข้าพเจ้าไม่มีโอกาสจะได้พบพักตร์ของพระองค์อีกครั้ง ขอให้ข้าพเจ้าได้ครองคู่กับพระองค์ไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะถึงชาติสุดท้าย

    คราวใดที่พระองค์ลงมาเกิด ขอให้มีความเสน่หาแก่ข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และขอให้เราได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข”
    จากนั้นพระนางตั้งใจเจริญภาวนาจนได้ฌาณ ๔ จากถอยสมาธิออกมา พระนางได้ไปจุติบนสวรรค์ชั้นนิมมารดีในกาลต่อมา

    ฝ่ายพญาสิงหลนาคราชนั้น หลังจากพระธิดาทั้ง ๓ ต่างเคลื่อนภพ พระองค์จึงปรารถนาจะบำเพ็ญพรตต่อ จึงได้มอบราชสมบัติแก่พระอนุชานามว่า “พญาสุรสิทธิ์นาคราช”(น้อง Prar)ปกครองเมืองบาดาลต่อไป

    พระตันตะปาละฤาษี เห็นว่า พญาสุรสิทธิ์นาคราชมีบุญบารมีพอที่จะดูแลดวงแก้ววสีจักรพรรดิได้ จึงได้มอบดวงแก้วมณีนั้นให้พระองค์ดูแลรักษา เพื่อเนรมิตทิพยสมบัติ และทิพยวิมาน เพื่อปกครองชาวนาคพิภพต่อไป

    ส่วนพญาสิงหลนาคราชได้ติดตามพระตันตปาละฤาษีได้ศึกษาวิชาต่าง ๆ จนเชี่ยวชาญ พระตันตะปาละจึงได้ฝากให้พระสันตปาละฤาษีดูแลชาวนาคทั้งหลาย เมื่อท่านสิ้นอายุขัยได้ละโลกไปจุติในพรหมโลก

    หลังจากพระตันตะปาละฤาษีละสังขารไม่นาน พญาสิงหลนาคราชได้ปลงสังขารจากนั้น ๓ เดือนก็ได้เคลื่อนภพไปจุติบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตตวสวัตตี มีนามว่า "ท้าวธนประภาสเทวราช"มีบริวารเป็นเทพบุตรและเทพธิดานับแสนองค์


    __________
    __________________________

    ประวัติชุดดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ ตอน ๔

    กำเนิดดวงแก้วมหัทธโชติศิลาอาสน์

    กล่าวถึงพระมหัทธโชติฤาษี เวลาผ่านไป ๓ เดือนได้ออกสมาบัติ และได้อธิษฐานดวงแก้วนามว่า “มหัทธโชติศิลาอาสน์” จากนั้นท่านได้นำดวงแก้วไปเก็บไว้ในถ้ำแก้วแห่งหนึ่ง หวังว่าวันใดจะนำมาฝึกวิชาต่อไป
    ด้วยอำนาจแห่งการเข้าผลสมาบัติ ทำให้ลืมเรื่องพระมเหสีไป พระสันตปาละฤาษีได้สั่งให้ทบทวนวิชาสื่อภาษาสัตว์ วัน ๆ ท่านนั่งสมาธิ เพื่อเงี่ยหูฟังเสียงสัตว์ต่าง ๆ คุยกัน เพื่อเข้าใจความเป็นอยู่ รวมความเป็นเรื่องของการกิน การหาคู่ และการนอน วนเวียนอยู่อย่างนี้ ทำให้ท่านรู้สึกว่า วงจรชีวิตของมนุษย์และสัตว์ไม่ต่างกัน ต่างตรงที่มนุษย์มีปัญญามากกว่าเท่านั้นเอง
    วันหนึ่งท่านขณะได้นั่งอยู่ริมลำธารที่เชื่อมต่อไปยังแม่น้ำหน้าเมือง ท่านได้ยินเต่าสองตัวคุยกัน เต่าตัวเมียได้พูดว่า...

    “ท่านพี่ ช่วงนี้จะต้องจำศีล ท่านจะเป็นเหมือนฤาษีผู้นี้หรือไม่ ออกจากจำศีลแล้ว ลืมมเหสีตัวเอง น่าสงสารธิดาพญาสุรสิทธิ์ นั่นก็รักสวามีจนตัวตาย ท่านจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่”

    นางเต่าถามสามี ฝ่ายเต่าตัวผู้ก็ตอบว่า “น้องพี่ พี่ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก พระฤาษีท่านเองก็คงไม่รู้หรอกว่า พระมเหสีสวรรคตไปแล้ว”

    พระมหัทธโชติฤาษีทรงระลึกถึงพระมเหสีที่ก่อนทรงจะออกผนวชชั่วคราว จึงใช้ญาณทัสสนะดุเรื่องราวต่าง ๆ จึงทราบว่า พระมเหสีสวรรคตไปแล้ว จึงรู้สึกเสียใจ

    พระสันตปาละฤาษีทราบวาระจิตของพระมหัทธโชติ จึงได้มาปรากฏต่อหน้า และได้กล่าวว่า..

    “มหัทธโชติ ทุกอย่างเกิดมาย่อมเป็นไปตามกรรม ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นเรื่องธรรมดา อันมเหสีทั้งสองของเจ้าก็เช่นกัน หมดอายุขัยของนางก็ย่อมไปเกิดตามบุญกรรม

    ส่วนเจ้าควรหมั่นสั่งสมบุญ และอุทิศแก่นางทั้งสอง เพื่อจะได้ไม่เป็นหนี้ต่อกัน จงวางความโศกเศร้าเสียใจเสีย แล้วตั้งใจพิจารณาธรรม แต่จนแล้วจนรอด พระมหัทธโชติหาได้ลืมความโศกเศร้าใจไปไม่ พระสันตปาละฤาษีได้ตรวจดูด้วยญาณทัสสนะ ทราบว่าเป็นวิบากกรรมเก่าที่มาขวางการปฏิบัติของพระมหัทธโชติ ท่านจึงพาพระมหัทธโชติเข้าสมาบัติเป็นเวลา ๘ เดือน

    กล่าวถึงพระสุทธิธรรมดาบส และพระมโหสถนายะกะดาบส หลังจากได้คอยสั่งสอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายแล้ว เห็นควรแก่วาระ จึงได้บอกกล่าวแก่เหล่ายักษ์ คนธรรพ์ และกินนรกินรี ได้มาประชุมรวมกัน ว่าเตรียมละสังขารในอีก ๓ เดือน


    กาลนั้น เป็นเวลาที่พระสันตปาละที่เข้าสมาบัติอยู่ พระสุทธิธรรมดาบสได้แจ้งแก่พญาเวสภูว่า
    “บัดนี้พระไวยยจักรฤาษี หรืออดีตพญาสุจิตตยักษ์ได้เข้าสมาบัติอยู่ ณ.ถ้ำแห่งหนึ่งในมัณฑบรรพต
    หลังจากเราทั้งสองละสังขารแล้วให้พญาเวสภูยักษ์ ส่งยักษ์ไปเฝ้าปากถ้ำ รอการออกสมาบัติเป็นเวลาจากนี้ ๑๐๐๐๐ ปี จะมีพระดาบสออกจากสมาบัติพร้อมกัน ๕ องค์
    มีพระไวยยจักรฤาษี พระอนันตฤาษี(ท่าน widya) พระดิเรกฤทธิ์ฤาษี (คุณ Prapaanpong) พระพลโชติฤาษี (คุณ KoKowalk) และพระสัตตเภรีฤาษี”(คุณ suwat.su) ”

    พญาเวสภูยักษ์ได้รับคำสั่งแล้วตระเตรียมพล แบ่งหน้าที่กันเพื่อดูแลถ้ำที่พระฤาษีได้เข้าสมาบัติ โดยมีฝ่ายคนธรรพ์ และกินนรเป็นกำลังเสริม เตรียมการไว้เพื่อรอเวลา

    เวลาผ่านไป ๓ เดือน พระดาบสทั้งสองได้ละสังขารโดยการเข้าสมาบัติ และเคลื่อนไปยังพรหมโลกทันที ไปจุติยังพรหมชั้น ๑๑ สร้างความโศกเศร้าเสียใจแก่บรรดายักษ์ คนธรรพ์ และกินนร ต่างคิดว่า ..

    “บัดนี้พระอาจารย์ของเราต่างละสังขารไปแล้วจะหาผู้ใดมาคอยอบรมสั่งสอน ครั้นจะรอให้พระฤาษีออกสมาบัติอีก ๑๐๐๐๐ ปี ตนอาจจะไม่มีอายุขัยถึงเพียงนั้น ต่างก็ร่ำไห้อื้ออึง”
    โดยเฉพาะเหล่านางยักขินีทั้งหลายที่มีความศรัทธาในพระดาบสทั้งสองต่างยึดติดพระอาจารย์ ต่างร่ำไห้เสียงอันดัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2014
  10. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติชุดดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ ตอน ๕

    ประภาศิรพรหมกล่าวถอนอธิษฐาน

    วันนั้นเป็นตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย เป็นวันที่ประภาศิรพรหม (อดีตนางวิภาวตี/สิริรัตนเทพธิดา/พระนางศิรวรตยักษิณี) ออกจากสมาบัติลงมาท่องเที่ยวในสวรรค์ชั้นต่าง ๆ จากนั้นลงมายังโลกมนุษย์ ได้ยินเสียงร่ำไห้ จึงได้ลงมาดู
    เมื่อประภาศิรพรหมได้ใช้ญาณทัสสนะทราบว่า ทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่เคารพเกิดขึ้นแก่นางยักขินีทั้งหลาย ท่านจึงมาปรากฏกายขึ้นและกล่าวว่า..
    “น้องหญิงทั้งหลาย เหตุใดนางจึงร่ำไห้ด้วยเหตุแห่งการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความไม่สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดมาคู่โลก ไม่ว่าเธอจะจุติในภพภูมิใดก็ตาม ไม่ว่าเธอจะจุติในภูมิที่สูงเพียงใด หากอวิชชายังมีแก่เธอ ย่อมทำให้เธอประสบทุกข์เช่นนี้ร่ำไป”
    เสียงของประภาศิรพรหมมีความเยือกเย็กทำให้นางยักขินีทั้งหลายต่างสงบระงับความทุกข์ชั่วคราว นางตรวรายักษิณี และนางปริวานารถยักษิณีนั้น เมื่อได้ยินเสียงนี้ คล้ายเสียงที่ทั้งสองต่างคุ้นเคยเสียงนี้ดี นางตรวรายักขินีจึงกล่าวว่า...
    “เสียงนี้คล้ายกับเสียงของพระนางพระนางศิรวรตยักษิณีเหลือเกิน ท่านเป็นผู้ใดกันหนอ”
    ประภาศิรพรหมจึงปรากฏกายด้วยแสงสว่างมาก และกล่าวว่า..
    “ขอเธอทั้งหลายจงดูพยับแดดที่ปรากฏขึ้นนั้นซิ เธอจงมองไป และบอกแก่เราว่า พวกเธอเห็นอะไร”
    ยักขินีทั้งหลายต่างเล่าถึงภาพที่ตนเห็นต่าง ๆ นานา ประภาศิรพรหมจึงกล่าวว่า..
    “ภาพพยับแดดเหล่านั้น ล้วนเกิดขึ้นจากอุปทานของเรา อันเกิดจากอวิชชา บันดาลให้เห็นเป็นเช่นนั้น ทำให้พวกเธอเห็นไม่ตรงกัน ดังนั้นเราจะยึดอะไรเป็นสรณะละ นอกจากคุณความดีที่เธอทั้งหลายตั้งใจอุปัฏฐากพระดาบสด้วยดีตลอดมา
    ให้นึกถึงภาพที่เธอได้ปรนนิบัติพระดาบสทั้งหลายด้วยความเลื่อมใสศรัทธาแล้ว หรือเธอจะนึกถึงพระดาบสผู้ที่เธอเคารพนับถือ เพื่อให้จิตของเธอเยือกเย็นลง
    ลองนึกถึงคุณธรรมคำสั่งสอนของท่านเหล่านั้นแล้วตั้งใจปฏิบัติตาม จิตของเธอจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย เธอจงอธิษฐานว่า ..
    “หากละจากอัตภาพในภพนี้ ด้วยบุญที่อุปัฏบากพระดาบสทั้งหลาย ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบผู้มีศีล และจิตบริสุทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ให้พ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ ได้โดยฉับพลัน”
    เหล่ายักขินีทั้งหลายได้ฟังประภาศิรพรหมกล่าวแล้ว ยังความปิติใจแก่พวกนางทั้งหลายต่างนึกถึงพระดาบสทั้งสองได้ ทำให้นางยักขินีทั้งหลายได้เคลื่อนภพไปยังวิมานของพระดาบสทั้งสอง โดยเกิดเป็นนางฟ้าบริวารของท่านตามความศรัทธาของตนบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก
    ปริวานารถยักษิณี(คุณจันทรกาล) ได้จุติเป็นนางฟ้าหัวหน้าบริวารของพระสุทธิธรรมดาบส ส่วนตรวรายักษิณี(คุณ Paktawadee) ไปจุติ เป็นหัวหน้าบริวารในวิมานของพระมโหสถนายะกะดาบส ผลบุญแห่งการอุปัฏฐากพระดาบสด้วยความเคารพศรัทธา ซึ่งขณะนั้นท่านทั้งสองได้จุติบนพรหมโลกชั้น ๑๑
    ส่วนยักขินีอื่น ๆ บางนางก็ได้จุติเป็นมนุษย์บางแต่ไม่มากนัก ฝ่ายพญาเวสภูยักษาเห็นดังนั้น จึงได้เข้ามาทำความเคารพแก่ประภาศิรพรหม โดยทราบด้วยญาณทัสสนะว่า ผู้นี้คือ อดีตพระมเหสีของพระราชาแห่งตน ได้กล่าวอนุโมทนาบุญว่า..
    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ..เป็นบุญของเกล้ากระผมได้มีโอกาสพบท่านอีกครั้ง ก่อนพระอาจารย์จะละสังขารได้สั่งเกล้ากระผมและบริวารให้ไปอารักขาแก่พระไวยยจักรฤาษี ผู้เป็นใหญ่ในถิ่นนี้ ท่านคงจะจำได้”
    ประภาศิรพรหมนั้น ทราบด้วยญาณทัสสนะว่า “ผู้ที่กล่าวถึงคือ อดีตสามีของตน แต่จิตของท่านได้ทรงฌานจึงไม่มีแรงปรารถนาที่จะพบอดีตคู่บารมี จึงกล่าวแก่พญาเวสภูยักษ์ว่า..
    “อัตภาพความเป็นหญิงนั้นสร้างทุกข์แก่เรามามาก ความเป็นหญิงจะมีจิตที่อ่อนไหวกับความรักได้ง่าย ไม่มีความเข้มแข็ง เราเห็นโทษนั้น ในภพชาติหน้าเราไม่ขอเกิดมาเป็นสตรีอีกต่อไป
    หากท่านผู้นั้นออกจากสมาบัติ ขอให้ท่านจงฝากข้อความของเราไปให้ท่านผู้นั้น ตราบใดที่ไม่ใช่เกิดจากกฏแห่งกรรม เราจะไม่ขอเกิดเป็นหญิง
    เราอธิษฐานขอให้เราเป็นผู้ที่มีจิตเข้มแข็งดุจชายชาตรี ขอไม่ตกเป็นทาสแห่งความรักอีกต่อไป ขอให้ท่านผู้นั้น จงครองตนด้วยความผาสุกเถิด ส่วนเราจะขอเดินตามทางของเรา เราปรารถนาจะแสวงหาทางดับทุกข์ และไม่ปรารถนาจะครองคู่กับชายใดอีกต่อไป

    เราขอโมทนาบุญกับท่านผู้นั้นในทุกบุญกุศลที่ท่านทำ คำกล่าวของเราแต่กาลก่อนบอกท่านว่า

    เราขอยกเลิกที่จะครองคู่กับท่านผู้นั้นไปทุกภพชาติ และยกเลิกความปรารถนาที่มีต่อท่านทุกประการ เราเห็นทุกข์ของความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักรูปแบบใดก็ตาม ดูอย่างนางยักขินีเหล่านั้นก็ทุกข์เกิดจากความรักความผูกพันธ์กับครูบาอาจารย์ เราไม่ปรารถนาจะมีทุกข์อันเกิดจากความรักอีกแล้ว”

    เมื่อกล่าวจบประภาศิรพรหมได้หายไป ปรากฏยังวิมานของตน พิจารณาเรื่องทุกข์เพราะรัก จากนั้นได้อธิษฐานว่า...
    “ชาติหน้าเราขอเกิดเป็นมนุษย์ ได้ออกบวช บำเพ็ญธรรมตามคำสั่งสอนของผู้รู้ ขอให้ได้มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ในที่สุด”
    จากนั้นประภาศิรพรหมได้เข้าสมาบัติต่อไป


    ____________________________________
    ประวัติชุดดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์

    ตอน ๖ กำเนิดดวงแก้วจักรวรรดิราช และพระขรรค์ ๕ สี​


    กล่าวถึงพระมหัทธโชติฤาษี หลังจากเข้าสมาบัติพร้อมกับพระสันตปาละเป็นเวลา ๘ เดือน เมื่อออกจากสมาบัติพระสันตปาละฤาษีได้อธิษฐานดวงแก้วขึ้นมา ๑ ดวง ให้นามว่า.. “ดวงแก้วจักรวรรดิราช” พร้อมทั้งอธิษฐานพระขรรค์ขึ้นมา ๕ สี มีสีแดง เขียว ขาว เหลือง และม่วง

    ส่วนพระมหัทธโชติฤาษีได้อธิษฐานดวงแก้วขึ้นมา ๑ ดวง นามว่า “ดวงแก้วอัฏฐฤทธิ์บวร”


    หลังจากอธิษฐานดวงแก้วแล้ว พระสันตปาละได้พาพระมหัทธโชติฤาษีไปยังปทุมมัตรนคร เมืองแห่งนาคพิภพ หลังจากท้าวปทุมมัตรนาคราชได้เคลื่อนภพ พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช(ท่านอัคคีตาปะโพธิสัตว์) เป็นผู้ครองนาคพิภพต่อจากพระบิดา

    ความจริงพระสันตปาละนั้น เป็นพระสหายของผู้เป็นพระอาจารย์ของท้าวปทุมมัตรนาคราช มีนามว่า พระสุรวัฒนฤาษี ซึ่งได้เคลื่อนภพก่อนหน้านี้ไปนานนับพันปี และเป็นผู้บอกกล่าวเรื่องของพระดาบส และพระดาบสินีทั้ง ๖ เข้าสมาบัติ เพื่ออธิษฐานจักรนั้น คือ พระสุรวัฒนฤาษีนั่นเอง

    พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราชได้ประกาศแก่ชาวพิภพทั้งหลาย เพื่อให้ได้ถวายทานแก่พระฤาษีทั้งสอง เป็นเวลา ๗ วัน พระฤาษีทั้งสองได้นำดวงแก้วทั้งสอง และพระขรรค์ ๕ สี มอบไว้แก่พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช เพื่อให้ดูแลต่อไป

    จากนั้นจึงได้ขึ้นจากนาคพิภพ พระมหัทธโชติฤาษี ได้พิจารณาดูแล้วว่า อายุขัยของตนอยู่ไม่นานนักจึงได้กราบลาพระสันตปาละ เข้าสมาบัติเป็นเวลา ๓ เดือน จากนั้นเคลื่อนไปจุติบนพรหมโลกชั้น ๑๑ มีวิมานห่างจากประภาศิรพรหม ประมาณ ๑๓๒ โยชน์ โดยกำหนดออกจากสมาบัติในยุคพระสุมังคลพุทธเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2014
  11. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติชุดดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ ตอน ๗

    กำเนิดแก้วมหัทธนประภาส

    กาลต่อมาพระสันตปาละฤาษีได้พิจารณาสังขาร ทราบว่า อีก ๖ เดือนจะต้องละสังขาร จึงลงไปยังนาคพิภพ อีกครั้ง เพื่อแจ้งแก่ พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช ฝากธาตุกายสิทธิ์ และดวงแก้วมณีไว้

    คราวใดที่ท่านลงจุติเป็นมนุษย์ให้พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราชนำไปถวาย จากนั้นได้ขึ้นมายังโลกมนุษย์ ได้บำเพ็ญเพียร ระหว่างเดินจงกรมจึงได้พิจารณาทุกข์ของขันธ์ ๕ ผ่านไปเป็นเวลา ๗ วัน

    ระหว่างนั้น กล่าวถึงท้าวธนประภาสเทวราช หรืออดีตพญาสิงหลนาคราช ได้เหมือนหลับแล้วตื่นกลางวิมานทราบด้วยญาณทัสสนะว่า

    ตนเองเคยเสวยเป็นนาคราช ด้วยบุญแห่งการบำเพ็ญพรต จึงทำให้เคลื่อนภพมาจุติบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตตวสวัตตี และได้ทราบว่า อีกไม่นานพระอาจารย์ของตนจะละสังขาร จึงปรากฏกายแก่พระสันตปาละฤาษี ได้ตั้งใจอุปัฏฐากพระอาจารย์โดยไม่กลับวิมานของตน
    ธรรมดาท้าวเทวราชแห่งสวรรค์ชั้น ๖ นั้น เมื่อนึกสิ่งใดเทพบุตรแห่งสวรรค์ชั้น นิมมานรดีจะอธิษฐานจิตให้

    แต่ท้าวธนประภาสเทวราช หรืออดีตพญาสิงหลนาคราช นั้น ไม่ได้ใช้การเสวยทิพยสมบัตินั้น ท่านได้กระทำทุกอย่างด้วยตนเอง เพื่อแสดงความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย

    พระสันตปาละเห็นดังนั้น เกรงจะลำบากจึงได้เข้าสมาบัติเป็นเวลา ๕ เดือน เมื่อออกสมาบัติแล้วได้ อธิษฐานดวงแก้ว ๑ ดวง เพื่อระลึกถึงความดีของท้าวธนประภาสเทวราช จึงให้นามดวงแก้วนี้ว่า..

    “แก้วมหัทธนประภาส”

    จากนั้นได้นำดวงแก้วนี้ไปยังคลังนาคพิภพ ฝากพญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช ได้บอกวว่า คราวใดที่ท้าวธนประภาสเทวราชลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อถึงเวลาสมควร ขอให้ดวงแก้วนี้ปรากฏแก่เธอ

    จากนั้นท่านได้เข้าสมาบัติ จนสิ้นอายุขัยไปจุติบนสวรรค์ชั้นดุสิต รอการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป
     
  12. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติชุดดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ ตอน ๘

    ท้าวสักกเทวราชองค์ใหม่

    ขอกล่าวถึงท้าวมหัทธโชติพรหม หรืออดีตพระมหัทธโชติฤาษีที่ได้เข้าสมาบัติไปจุติบนพรหมโลกชั้น ๑๑ วันหนึ่งอยู่ ๆ จิตก็เคลื่อนออกจากสมาบัติ รู้สึกเกิดความร้อนรุ่ม ความจริงแล้วรู้สึกประหลาดใจที่ตนจะปรารถนาจะเกิดในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป แต่จิตกลับเคลื่อนออกจากสมาบัติก่อนเวลา

    เหตุทำให้เคลื่อนจากพรหมโลกนั้น เกิดจากท้าวสักกเทวราชองค์เดิมได้จุติ เพื่อสร้างบารมีในโลกมนุษย์ ยังไม่สามารถหาผู้มีคุณสมบัติมาแทนได้

    เทวดาทั้งหลายจึงตั้งจิตอธิษฐานขอพรหมที่มีบุญบารมีมาทำหน้าที่นี้ต่อไป ด้วยสวรรค์ขาดจอมเทพไม่ได้ เป็นเหตุให้ท้าวมหัทธโชติพรหม ซึ่งเพิ่งจุติในพรหมโลกได้ไม่นาน ต้องเคลื่อนจากพรหมโลกมาดำรงตำแหน่งท้าวสักกเทวราชบนสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทันที


    จนเวลาผ่านไป๑๐,๐๐๐ ปี ขอกล่าวถึงเมืองหนึ่งมีชื่อว่า “สนทยาตรานคร” ปกครองโดยพระเจ้าวิเวกทศราช (คุณ mooom) ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรมตลอดมา ทรงมีพระมเหสีนามว่า “พระนางกันตาเทวี” มีพระโอรส-ธิดา ๓ พระองค์ ในอดีตท้าววิเวกทศราชนี้ เคยเกิดเป็นนกที่เคยอุปัฏฐากพระดาบสทั้ง ๗

    คืนหนึ่ง พระเจ้าวิเวกทศราชทรงพระสุบินร้าย เห็นภัยจะเกิดแก่นครของพระองค์ เมื่อตื่นบรรทม จึงให้พราหมณ์มาทำพิธีขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย

    ร้อนท้าวสักกเทวราชองค์ใหม่ เพิ่งดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน ตรวจดูด้วยทิพยเนตร ทรงเห็นว่า ภัยพิบัติคราวนี้ใหญ่หลวงนัก เป็นกรรมของมนุษย์โดยรวม เพียงเทวานุภาพอย่างเดียวไม่พอ ควรต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง จึงใคร่ครวญพิจารณาว่า จะมีสิ่งใดที่จะช่วยได้

    เมื่อตรวจดูทราบว่า จะมีพระดาบส ๕ ตนใกล้ออกสมาบัติอีก ๑๕ วันในนาคพิภพ จึงสั่งการให้เทวดาไปตรวจดูการออกสมาบัติของพระดาบสทั้ง ๕ โดยตั้งใจจะนำข้าวทิพย์ไปถวายในวันที่ออกสมาบัติ เพื่อขอวัตถุมงคล

    __________________________________
    ประวัติชุดดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์
    ตอนจบ พระดาบสทั้ง ๕ อธิษฐานดวงแก้ว

    กล่าวถึงนาคพิภพเป็นเวลาที่พระอัครญาณชาตะดาบส( พระพุทธวิปัสสีพุทธเจ้า) พระมังคลชาตะดาบส (พระนารทธรรมราชาบดี) ,พระวสไวยยนดาบส(พระเกษรีฤาษี) –พระนวสิทธิ์ดาบส(พระอัสดงฤาษี) และพระนวเกศดาบส (พระอัสรินทร์ฤาษี) ได้ออกจากสมาบัติ
    กาลนั้นพญาอัสรินทร์ตาปะนาคราชได้รับเลือกเป็นจอมกษัตริย์แห่งนาคพิภพ ต่อจากพระบิดา ได้พาเหล่าชาวนาคพิภพทั้ง ๗ เมือง รอรับการออกสมาบัติของพระดาบสทั้ง ๕
    ท้าวสักกเทวราชได้เคลื่อนจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พร้อมเทพบุตรเทพธิดาจำนวนมหาศาล ได้นำน้ำทิพย์ ข้าวทิพย์ และผ้าทิพย์ไปถวายแด่พระดาบสทั้ง ๕

    เมื่อออกสมาบัติมาแล้ว พักผ่อนตามอัธยาศัยแล้ว ได้รับอาหารทิพย์และผ้าทิพย์จากท้าวสักกเทวราช พระอัครญาณชาตะดาบส( พระพุทธวิปัสสีพุทธเจ้า) ได้ทราบเจตนาแห่งท้าวสักกเทวราช จึงได้มอบหมายให้ พระมังคลชาตะดาบส (พระนารทธรรมราชาบดี) และพระวสไวยยนดาบส(พระเกษรีฤาษี)พระนวสิทธิ์ดาบส(พระอัสดงฤาษี) และพระนวเกศดาบส (พระอัสรินทร์ฤาษี)

    ให้อธิษฐานดวงแก้วมณี เพื่อมอบแด่ท้าวสักกเทวราช ส่วนพระองค์ได้อธิษฐานดวงแก้วมณีขึ้นมานามว่า..
    “ดวงแก้วสหัสสไตรโภคทรัพย์ พร้อมกับดวงแก้วอมรรัตน์ปัญจกาล” มอบแด่พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช

    พระมังคลชาตะดาบส (พระนารทธรรมราชาบดี) ได้อธิษฐานดวงแก้วมณีขึ้นมานามว่า..
    “ดวงแก้วอภิบาลบุญญฤทธิ์” ขนาด ๕๐ กก.( ยังไม่ขึ้นมา) มอบให้ท้าวสักกเทวราช

    พระวสไวยยนดาบส(พระเกษรีฤาษี) อธิษฐานดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ – ดวงแก้วนิรมาณเทวฤทธิ์ มอบให้ท้าวสักกเทวราช

    พระนวสิทธิ์ดาบส(พระอัสดงฤาษี) ได้อธิษฐานดวงแก้วนามว่า “นวสิทธิ์อมรเทพ” มอบให้ท้าวสักกเทวราช

    พระนวเกศดาบส (พระอัสรินทร์ฤาษี) ได้อธิษฐานดวงแก้วนามว่า “แก้วนวเกศศุภมงคล” มอบให้ท้าวสักกเทวราช เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่ทำความดีมีศีลธรรมต่อไป

    ต่อมาพระอัครญาณชาตะดาบส( พระพุทธวิปัสสีพุทธเจ้า) ได้อธิษฐานพระขรรค์ ๙ สี มอบไว้แก่พญาอัสรินทร์ตาปะนาคราช โดยสั่งการไว้ว่า

    “หากวันใดท้าวสักกเทวราชต้องการนำไปใช้ เพื่อสงเคราะห์มนุษย์ที่ทำความดี ขอให้มอบให้พระองค์ต่อไป”

    จากนั้นพระดาบสทั้ง ๕ ทราบว่า ถึงกาลต้องเคลื่อนภพ จึงได้เข้าสมาบัติเคลื่อนไปยังสวรรค์ชั้นดุสิต รอการมาเกิด เพื่อสร้างบารมีต่อไป

    จบประวัติดวงแก้วชุดศุภเรศวร์นวปกรณ์ค่ะ ต่อจะเป็นยุคการออกสมาบัติของพระดาบสอีก ๕ ตนค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ
    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2014
  13. Phuya

    Phuya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    608
    ค่าพลัง:
    +10,966
    กราบอนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวลกับทุกๆท่านค่ะ...ที่ร่วมบุญกันอย่างสม่ำเสมอและรวดเร็ว หลังจากที่ phuya โพสต์กระทู้เสร็จก็ออกไปทำธุระ ข้างนอก ไม่คิดว่าบริวารกฐิน 3 วัดจะมีผู้จองร่วมบุญได้เร็วขนาดนี้ จนพี่น้ำใส และคุณจันทกาลต้องช่วยเป็นธุระสรุปให้...ขอให้มีสมบัติอัศจรรย์ทันใช้ แบบไม่ขาดสายกันเลยนะคะ​

    ขออนุญาติสรุปรายการร่วมบุญ ตามตารางของพี่น้ำใสเลยค่ะ​



    [​IMG]


    ----
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2014
  14. Giant 1

    Giant 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    1,014
    ค่าพลัง:
    +9,211
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพบริวารกฐิน ๓ วัด ในครั้งนี้ด้วยครับ งานบุญนี้รวดเร็วมากครับ ใช้เวลาเพียงแค่ ๔ ชั่วโมง ๓๖ นาทีเท่านั้น กับบริวารกฐินจำนวน ๓๒ ชุด อดปลื้มใจแทนไม่ได้ สมแล้วกับคำกล่าวของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า การบำเพ็ญกุศลผล ความดีในศาสนาของเรานี้ จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง คือเร็วๆ ไวๆ"


    ขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าเมือง คุณ Numsai คุณ Phuya และทุกๆท่านอีกครั้งครับ ดีแล้ว ชอบแล้ว สาธุ
     
  15. sun2555

    sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +6,619
    ธรรมปฏิบัติบทที่ ๓ ตอนจบ​


    [​IMG]


    ความนึกคิด สองอย่างนี้มีความสำคัญแก่เรา ความนึกคิดเป็นส่วนประกอบทำให้จิตมีการปรุงแต่ง การปรุงแต่งแห่งจิต ทำให้เกิดความเป็นไปแห่งสังขาร มีกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร จะตั้งใจก็ตาม หรือไม่ตั้งใจก็ตาม จะเกิดสังขารขึ้นมาใหม่หมด เป็นการเกิดดับแห่งรูปนาม หรือจะเรียกว่า ภพก็ได้ จิตจะเกิดในภพต่าง ๆ มี กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตเกิดขึ้นในภพทั้งสามอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่จิตมีการปรุงแต่ง ความนึกคิดเป็นตัวกำหนดให้เป็นไป

    การปฏิบัติธรรม ก็จะต้องแยกแยะความนึกคิดออกจากกันเสีย ให้มีแต่นึกอย่างเดียว ส่วนความคิดให้ทิ้งไปอย่าให้มี ให้มีแต่การนึกอย่างเดียว การนึกเป็นตัวสติสัมปชัญญะ เราอยากจะรู้อะไร เราก็นึกรู้ในสิ่งนั้น นึกอย่างเดียว อย่าเอาคิดมารวมกับความนึก ถ้าเราอยู่กับความนึกนาน ๆ สติก็จะเกิดขึ้นกับเรา ความนึกเป็นปัจจุบัน ความคิดเป็นอดีตและอนาคต ความนึกเป็นธรรม ความคิดเป็นโลกีย์ธรรม การปฏิบัติธรรม เราจะต้องหัดให้อยู่แต่ในความนึกเท่านั้น ต่อไปก็หัดเลิกความนึกเสียอีก เรียกว่าเลิกนึกคิด ถ้าใครเลิกนึกคิดได้ จิตของผู้นั้นก็จะเกิดโลกุตตรธรรม ใช้ตัวสติหรือญาณแทนตัวนึกคิด ญาณสติเป็นตัวให้รู้อะไร ๆ แทนความนึกคิด ที่พูดมานี้ก็จะมีคนสงสัยกัน แต่ไม่เป็นไร (เราจะขออธิบายนอกรอบ) จะไม่พูดถึง จะพูดถึงเฉพาะสิ่งที่ควรรู้ก่อน

    ถ้าใครปฏิบัติได้ ปฏิบัติถึงก็จะรู้เอง เราจะบอกเฉพาะคนที่ปฏิบัติได้ถึงเท่านั้น ความนึกคิดมีความสำคัญ ถ้าใครมีจิตอยู่กับความนึกอย่างเดียว ผู้นั้นชื่อว่ามีสมาธิจิต ถ้าผู้ใดอยู่กับความคิด ผู้นั้นชื่อว่าไม่มีสมาธิจิตเรียกว่า จิตฟุ้งซ่าน เมื่อจิตฟุ้งซ่าน จะเอาสมาธิมาจากไหน ถ้าใครสงสัยก็ลองทำดู จะจิรงหรือไม่จริง การที่เราอยู่แต่ในความนึกอย่างเดียว จิตจะเกิดสมาธิอย่างสูงถึงขั้นอัปปนาสมาธิเลยทีเดียว สมาธิอย่างนี้เป็นจุดเริ่มที่จะทำวิปัสสนา ถ้าเทียบอารมณ์ก็จะเป็นอารมณ์ปัจจุบัน ถ้ามองจิต จิตก็จะเป็นปรมัตถ์แห่งจิต ถ้ามีจิตมีอารมณ์อย่างนี้ ก็วิปัสสนาได้ จะมองรูปนามขันธ์ ๕ ก็จะเห็นสิ่งที่เป็นไปตามสภาวธรรมที่เป็นสังขตธรรม และอสังขตธรรม ถ้าละความนึกคิดออกหมด จิตก็จะเป็นโลกุตตรธรรม ความรู้เห็นในสิ่งต่าง ๆ จะไม่ต้องใช้ความนึกคิดอีกต่อไป จะใช้สัมมาทิฏฐิแทน ความนึกคิดทุกครั้งที่เห็นอะไร จะทำอะไรก็จะใช้มรรคตรวจเสียก่อน ถ้าเห็นชอบก็จึงทำในทุก ๆ สิ่ง ถ้าไม่เห็นชอบก็จะไม่ทำในสิ่งนั้น สติเป็นตัวรู้ เป็นตัวกำกับในการเห็น

    การที่พูดมานี้ก็พูดได้ แต่คนบางคนจะไม่รู้ไม่เข้าใจ ธรรมเป็นปัจจัตตัง ถ้าใครได้ใครถึงก็รู้เอง จะบอกกันให้รู้จะไม่ได้ เพราะจิตของผู้นั้นยังไม่ถึง การที่พูดมานี้เป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธพร้อมกันทั้ง ๓ อย่าง ใครถึงปริยัติ ก็จะรู้แต่เพียงปริยัติเท่านั้น ส่วนใครปฏิบัติได้แค่ไหน ก็จะรู้แค่นั้น ส่วนคนที่ได้ถึงปฏิเวธ ก็จะรู้ว่าธรรมเหล่านี้เป็นปฏิเวธ เป็นธรรมอันสูงสุด

    คนเราจิตไม่เท่ากัน มีอารมณ์ไม่เหมือนกัน จะรู้ไปตามจิตตามอารมณ์แห่งจิตของตน คนที่จะถามเรา เราจะบอกเฉพาะคนที่ปฏิบัติเท่านั้น คนที่ไม่ได้ปฏิบัติ เราจะสอนธรรมขั้นต้นให้ ถึงจะบอกก็คงไม่รู้ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเล่านิทานให้ฟังเท่านั้น ธรรมถ้าจะพูดกันวันหนึ่งก็พูดไม่หมดครบ ธรรมมีการต่อเนื่องกันทั้งหมด เว้นแต่จะมีสองพวก พวกใครพวกมัน จะไม่ก้าวก่ายกัน ถ้าฝ่ายไหนได้ช่องได้โอกาส พวกนั้นก็จะเข้าไปทำหน้าที่ ในสังขารของตนนั้น รูปร่างกายสังขาร มันก็ท่อนไม้เราดี ๆ นี่เอง ไม่มีอะไร เว้นแต่จะมีธรรมสองพวกนี้เท่านั้น ที่จะทำให้กายสังขารเป็นไปในทางของธรรมนั้น ๆ คนบางคนก็ไม่รู้จักคำว่าธรรม ธรรมคืออะไร ถ้าจะไม่มีธรรมจะไม่ได้หรือ ขอตอบว่าไม่ได้ ถ้าจะไม่มีธรรม ก็จะต้องไม่มีการกระทำในสิ่งต่าง ๆ ตามที่เรากระทำกันอยู่ทุกวันนี้ การกระทำในสิ่งต่างๆ นั้นแหละคือธรรม แล้วจะพูดว่าไม่เห็นมีธรรม คนโง่ที่ไม่รู้จักว่าตัวมีธรรม มิใช่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือมีธรรมอยู่ตามวัดกัน ธรรมมีอยู่ทั่วไป ธรรมคือความดีความชั่ว ความดีความชั่วนั่นแหละคือธรรม แล้วพวกเราพูดว่า ไม่รู้จักได้อย่างไร ทำความดีก็เรียกว่าธรรมดี ทำความชั่วก็เรียกว่าทำชั่ว คนเราก็มีการกระทำสองอย่างนี้เท่านั้น ไม่ทำดี ก็ทำชั่ว ทุกคนก็จะต้องทำอย่างนี้ด้วยกันทุกคน จะไม่มีเว้นที่ทำอย่างนี้เขาเรียกว่ากรรม กรรมเวร-เวรกรรม ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ถ้าใครทำเวรกรรม ก็จะต้องไปใช้เวรกรรมที่ตัวกระทำไว้ จะไม่เว้นว่าใคร ผู้ใดก็ไม่เว้น ถ้ากระทำลงไปในสิ่งนั้น ๆ ก็จะได้รับผลตอบแทนในสิ่งนั้น จะมากหรือน้อยนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง คนเราทำอะไรก็คิดกำไรกันมิใช่หรือ

    เวรกรรมก็เหมือนกัน เขาก็จะต้องคิดกำไรกับเราเหมือนกัน ถือว่าเป็นเงาตามตัว การกระทำของเรานั่นแหละชื่อว่า เวรกรรม เวรกรรมบางอย่างก็จะต้องใช้กันในชาตินี้ก็มี ในชาติหน้าก็มี และในชาติต่อ ๆ ไปก็มี ถ้าใช้ไม่หมดก็จะต้องใช้ต่อ ๆ ไป จนกว่าจะใช้หมดเมื่อไรเท่านั้นจึงชื่อว่าหมดเวรกรรม ก็คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ทำเวรกรรมอะไรไว้กี่อย่างกี่หน ก็จะต้องใช้ให้ครบทุกอย่างที่กระทำ บางคนจนในชาตินี้แล้ว ชาติหน้าก็จะต้องจนต่อไปอีก หรือไม่ก็จะจนติดต่อกันไปหลาย ๆ ชาติ เพราะทำกรรมชั่วไว้มาก ใช้หนี้ไม่หมดในชาติเดียว ก็จะต้องใช้ต่อไปจนกว่าจะครบ ความชั่วอย่าทำ ถ้าทำความชั่วคน ๆ นั้นก็จะจน ความดีไม่ทำกันแล้วก็มาบ่นว่าจน คนเราเกิดมามี ๒ อย่างเท่านั้นที่จะกระทำกัน ความดี ความชั่ว บางคนก็ทำความดีไม่ได้เพราะเหตุไร ชอบทำแต่ความชั่ว มีใครเขาบังคับหรือ ก็เปล่าเราทำของเราเอง เห็นผิดเป็นถูกเห็นชั่วเป็นดีไป ก็จะต้องได้รับเวรกรรมที่กระทำ จะมานั่งบ่นอยู่ทำไม ถ้าเราทำดีเสีย ก็จะมิต้องมานั่งบ่นอยู่อย่างนั้น เราทำชั่วใคร ๆ ก็ช่วยเราไม่ได้ จะช่วยได้ก็แต่พูดบอกให้ทำความดีเสีย เพื่อเป็นการแก้ตัว ถ้าไม่เอาก็ช่วยไม่ได้เลย ใคร ๆ ก็ช่วยไม่ได้ พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้

    ธรรม พวกเรารู้จักธรรมกันหรือยัง ถ้าพูดแล้วยังไม่รู้จักก็ขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ธรรม ก็คือความดี ความชั่ว ที่พวกเรากระทำกันอยู่ กำลังนี้แหละคือธรรม ถ้าจะพูดอีกทีก็คือกรรม หรือกรรมเวร ที่พวกเรากระทำความดีความชั่วกัน ธรรมหรือพระธรรมพวกเราจะมิต้องไปไหว้กัน เขามีไว้เพื่อปฏิบัติกันต่างหาก ถ้าเราไปนับถือ หรือไปไหว้กันเสียแล้ว ก็เข้าใจว่าดีแล้ว พอแล้ว พวกเราก็จะไม่ปฏิบัติกัน ธรรมหรือพระธรรม เขามีไว้เพื่อปฏิบัติกัน มีการละความชั่วประพฤติความดีกันต่างหากเล่า เราไปเห่อนั่งไหว้นอนไหว้มันจะได้อะไร ยึดถือปฏิบัติกันไม่ถูก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะไม่ไหว้ก็ได้ เราจะไหว้หรือไม่ไหว้มันอยู่ที่เรา แต่ขออย่างเดียวขอให้เราปฏิบัติกันให้เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กันขึ้นมาให้ได้เท่านั้น จะปฏิบัติอย่างไรนั้น มันอีกวิธีหนึ่ง จะต้องรู้ด้วย เราปฏิบัติเพื่อให้ตัวเราเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อตัวเราเป็นพระแล้ว จะได้ไม่ทำความชั่ว จะได้ทำความดี พระใคร ๆ ก็เป็นได้ ขอให้ปฏิบัติกันให้ถูกวิธีเถิด จะไม่เว้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ คนแก่ คนเฒ่า ผู้หญิง ผู้ชายก็เป็นพระได้ทั้งนั้น เป็นพระมิใช่โกนหัวห่มผ้าเหลืองเท่านั้นถึงจะเป็นพระได้ คนที่คิดอย่างนี้คิดผิด

    สิ่งเหล่านี้มันเป็นเครื่องแบบต่างหาก ใครอยากจะเป็นอะไรก็แต่งเครื่องแบบเข้า ก็เป็นอย่างนั้นได้ ถ้าชาวพุทธที่แท้จริงเขาจะไม่ถือย่างนั้น ถ้าใครเป็นพระจริง ก็จะต้องปฏิบัติธรรม เขาถึงจะยอมรับว่าเป็นพระ ถ้าแต่งเครื่องแบบกันอย่างนี้เป็นพระ ศาสนาพุทธก็ไม่มีความหมายอะไร ก็หาเครื่องแบบแต่งกันมันก็เท่านั้น ศาสนาเสื่อมเพราะคนเสื่อม คนเสื่อมจึงทำให้ศาสนาเสื่อม คนเสื่อมมีแยะ ต่อไปก็จะเยอะมากขึ้น ศาสนาก็จะหายไปเอง โดยไม่มีคนปฏิบัติเป็นพระกัน เพราะศาสนามันอยู่ที่คน ถ้าคนไม่นับถือศาสนา ศาสนาก็หมดไปไม่มี ศาสนาจะเอาไปให้กับต้นไม้ ก้อนหินดินทราย จะไม่ได้ จะต้องเอาไว้ที่คน จะเป็นชาติไหนภาษไหนไม่สำคัญ ขอให้เป็นคนอย่างเดียวเท่านั้น จิตเจตสิก รูป นิพพาน มันมีอยู่ที่คน ความดีความชั่วมันก็มีอยู่ที่คน คนเป็นคนทำให้มีขึ้น ทุกสิ่งในโลกนี้คนเป็นคนทำให้มีขึ้น จะดีเลวประณีตสักแค่ไหน ก็ไม่พ้นคนไปได้ ผีสางเทวดาพระเจ้า พระอินทร์ พรหม สิ่งเหล่านี้จะมีได้เกิดขึ้นมาก็เพราะคน คนเป็นคนทำให้มีขึ้นเกิดขึ้น ถ้าไม่มีคนแล้ว ขอถามหน่อยว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดจะมีกันหรือเปล่า อย่าว่าแต่พระเจ้าเลยความดีความชั่วนี่แหละ ถ้าคนไม่มีดูทีหรือว่าความดีความชั่วจะมีกันหรือเปล่า ความดีความชั่วคนเป็นผู้กระทำ โลกถึงได้มีขึ้นเกิดขึ้น ถ้าคนไม่ทำความดีความชั่วกัน โลกจะเกิดขึ้นมาไหม ถ้าเกิดโลกความดีอย่างเดียว ผู้คนก็สบาย ถ้าโลกมีแต่ความชั่ว โลกจะอยู่ได้หรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ขอให้ใคร่ครวญกันดู จะผิดถูกอย่างไรก็คิดกันดู

    ธรรม ก็คือการกระทำ กรรมก็คือผลแห่งการกระทำ การกระทำก็จะต้องได้รับผลแห่งการกระทำ จะทำอะไรก็ช่าง ก็จะต้องได้รับในสิ่งนั้นตอบแทนเสมอ นี่ชี้ให้เห็นถึงกฎแห่งการกระทำ กฎแห่งกรรม มิใช่พูดกันแต่ปาก พูดว่าฉันมีศีลธรรม มันจะมีได้อย่างไร ศีลธรรมจะมีได้มันอยู่ที่จิตเท่านั้น แล้วก็จิตอยู่ที่ไหน รู้จักจิตกันแล้วหรือว่าจิตมีรูปร่างอย่างไร หน้าตาอย่างไร ศีลธรรมมันอยู่ที่จิตอยู่กับจิต ถ้าจิตไม่มีศีลธรรม คนนั้นก็ไม่มีศีลธรรม ศีลธรรมมันอยู่กับโลกธรรม ๘ ถ้าใครละโลกธรรม ๘ ได้ ผู้นั้นก็มีศีลธรรม ก็โลกธรรม ๘ มีคนจะได้กี่คน คนพวกนี้ถึงได้พูดว่า มีศีลธรรมกัน

    คนเรายังอยากได้ลาภได้ยศกันอยู่ ก็กระทำในสิ่งที่ผิด ๆ กัน เพราะลาภยศสรรเสริญ คนที่ต้องการสิ่งเหล่านี้จะเป็นคนดีมีศีลไปไม่ได้ ถึงมีก็มีอยู่ไม่นาน ศีลธรรมมีอยู่ที่การทำด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ด้วยใจบ้าง ๓ อย่างนี้เป็นตัวแสดงออกให้เห็นว่าใครมีศีลธรรมหรือไม่มีศีลธรรม ยิ่งคนที่พูดไม่จริงด้วยแล้ว จะหาศีลธรรมไม่ได้เลย ข้าราชการ นักการเมือง คนพวกนี้ไม่มีศีลธรรม หาศีลธรรมได้ยาก เพราะชอบพูดโกหก ชอบพูดส่อเสียดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา แล้วจะมีศีลธรรมได้อย่างไร ปากพูดว่ามีศีลธรรม ก็พูดไปอย่างนั้นเอง ถ้าใครหลงเชื่อคนเหล่านี้ ก็จะถือว่าผู้นั้นเป็นคนโง่งมงาย เป็นคนด้อยคุณภาพ เป็นคนชั้นเดียวกัน ชั้นที่ไม่มีศีลธรรมด้วยกันทั้งคู่

    คนพวกนี้เขาเรียกว่านักบุญใจบาป หน้าไหว้หลังหลอก อะไร ๆ เหล่านี้ ศีลธรรมมิใช่อยู่ที่ปาก ศีลธรรมมันอยู่ที่ใจของคน ศีลธรรมจะมีหรือไม่มี มันจะแสดงออกด้วยการกระทำของเขา มิใช่ใช้ปากพูดว่าฉันมีศีลธรรม ศีลธรรมมันอยู่ที่กายจะไม่เบียดเบียนใครด้วยกาย อีกอย่างมันอยู่ที่วาจา จะไม่พูดโกหก พูดส่อเสียดใคร ๆ จะไม่กล่าวคำหยาบต่อใคร ๆ สิ่งเหล่านี้ ถ้าเว้นได้ไม่กระทำ คนผู้นั้นก็จัดว่ามีศีลธรรม อีกอย่างผู้นั้นจะต้องเลี้ยงชีพในทางที่บริสุทธิ์ ไม่หลอกลวงใคร ๆ เขาเลี้ยงชีวิต ถ้าใครละสิ่งเหล่านี้ได้ ผู้นั้นชื่อว่า มีศีลธรรม สิ่งเหล่านี้ก็หายาก จากพวกข้าราชการ และแก่นักการเมืองจะมีบ้างก็มีเพียงเล็กน้อย ยิ่งพวกที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงยิ่งแล้วเชียวศีลธรรมหายาก คนพวกนี้มักได้ เห็นแก่ตัวอย่างมากที่สุด การกระทำทุกอย่างที่กระทำไปนั้นจะแฝงด้วยอุปเท่ห์เล่ห์เหลี่ยม แฝงไว้ด้วยทุจริต จะพูดให้เป็นปัญหาไปต่าง ๆ นานา

    จบตอน ธรรมปฏิบัติบทที่ ๓
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00290d1a.jpg
      DSC00290d1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      214.8 KB
      เปิดดู:
      381
  16. am12

    am12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +7,701
    มีผู้ร่วมจองบุญบริวาณกฐิน เต็มอย่างรวดเร็วมากครับ
    อนุโมทนาสาธุ บุญกับทุกๆท่าน ด้วยครับ
    หากมีการถวายเพิ่มเติม ขออนุญาติ จองร่วมบุญ 1 ชุด ครับ ขอบคุณมากครับ
     
  17. Giant 1

    Giant 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    1,014
    ค่าพลัง:
    +9,211
    ผมและครอบครัวขอร่วมบุญเป็นเจ้าภาพบริวารกฐินรายการที่ ๑ - ๔ จำนวน ๑ ชุด (ลำดับที่ 17)

    แจ้งโอนปัจจัยจำนวน ๑,๖๑๑ บาท (เข้าบัญชีวันที่ 04/09/2014 เวลา 17.30 น ครับ)

    ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา

    ขอน้อมถวายบุญนี้แด่

    1. สมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์สาวกทุกๆพระองค์
    2. พระอมิตาภะพุทธเจ้า พระศากยะมุณีพุทธเจ้า พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์ พระสมันตภัทรมหาโพธิสัตว์
    พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิมและพระมหาโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ พร้อมเหล่าเทพองค์รักษ์ทุกองค์
    3. เทวดาผู้ดูแลดวงแก้วจุลจักรพรรดิพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆองค์ พระฤาษีทั้ง ๕๐๐ รูป ที่ได้อธิษฐานดวงแก้วพระปัจเจกพุทธเจ้า
    4. ท่านท้าวสักกเทวราช พระมเหสีทั้ง ๔ มเหสักข์เทพทุกพระองค์ ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ท่านอินทกะทั้งหลาย และบริวารทั้งหลายของท่าน
    ท่านมุจลินทร์เทวบุตร พระสยามเทวาธิราชทุกพระองค์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี และเหล่าบริวารทั้งหมด
    5. ท่านเซียนทั้ง ๑๐๘ องค์และเหล่าบริวาร เหล่าเทพเซียนทั้งหลายในอนันตจักรวาลและเหล่าบริวาร
    6. ท่านสหบดินทร์ครุฑา ท่านพญาครุฑและบริวารผู้ดูแลเหรียญครุฑทุกเหรียญ ตลอดจนท่านพญานาคทั้ง ๗ เมืองและเหล่าบริวารทั้งหมด
    7. หลวงปู่ฤาษีเกษรี พระสุทธิอันตรฤาษี ครูบาอาจารย์สืบ ๆ กันมา โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆังฯ หลวงปู่ทวด วัดช้างให้
    หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่พวง วัดน้ำพุสามัคคี หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง เป็นที่สุด
    8. พรหมเทพเทวดาทั้งหลายทั่วสากลพิภพ เจ้าพ่อหลักเมืองทุกจังหวัด เทวดาประจำตัวของข้าพเจ้า เทวดาที่รักษาคนในครอบครัวของข้าพเจ้า
    และเทวดาที่รักษาที่อยู่อาศัยของข้าพเจ้าทุกๆองค์
    9. เจ้าพ่อหลักเมืองทุกจังหวัด องค์เทพยดาอารักษ์ทุกเส้นทางทุกๆองค์พร้อมเหล่าบริวารทั้งหลาย เจ้าแม่คงคาทุกสายน้ำและเหล่าบริวารทั้งหมด
    10. พระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกๆพระองค์
    ตลอดถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆพระองค์
    11. ท่านพระยายมราช ท่านสุวรรณ ท่านสุวาณ และนายนิริยบาลทุก ๆ ท่าน
    12. ท่านผู้เป็นบิดา-มารดา-ครูบาอาจารย์ บุตรของข้าพเจ้า บุคคลในครอบครัวและท่านที่เกี่ยวข้องเป็นญาติทั้งหลายทุกภพทุกชาติของข้าพเจ้า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
    13. นางแก้วทั้งหลาย ตลอดจนมิตรสหายและบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้าทุกภพทุกชาติ
    14. เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินมาแล้วทุกภพ ทุกชาติ

    ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายและอุทิศนี้ ขอท่านอนันตกเทวบุตร และคณะได้โปรดบอกกล่าวบุญนี้ และขอทุก ๆ ท่านได้โปรดตั้งจิตประหนึ่งท่านทั้งหลายที่กล่าวมาได้กระทำด้วยตนเองทุกประการด้วยเถิด สาธุ

    ขอท่านทั้งหลายได้โปรดโมทนา และเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเถิด สาธุ

    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ ครูบาอาจารย์สืบ ๆ กันมา โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆังฯ หลวงปู่ทวดวัดช้างให้ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่พวง วัดน้ำพุสามัคคี หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ และพระราชพรหมยานเถระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง ตลอดทั้งครูบาอาจารย์ในสายธาตุกายสิทธิ์ มีหลวงปู่อาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เกษรีฤาษี และคณะเป็นที่สุด

    ข้าพเจ้าขอรวบรวมบุญบารมีทั้ง ๓๐ ทัศน์ นับอสงไขยไม่ถ้วน ระลึกได้ก็ดีระลึกไม่ได้ก็ดี ขอให้ข้าพเจ้าเกิดมาพบพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรือง ในทุกภพชาติให้ได้เกิดในตระกูลสัมมาทิฐิ มีกัลยาณมิตรเป็นบัณฑิตให้เป็นผู้มีความบริสุทธิ์ ทั้งกายวาจาใจยิ่งๆ ขึ้นไปมีศีล ๕ บริสุทธิ์ พร้อมด้วยวิชชา ๓ ญาณ ๘ อภิญญา ๕ และจรณะ ๑๕

    ขอให้ข้าพเจ้ามีจิตใจเยือกเย็นเป็นสุข ขอให้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่องไว้ใช้สร้างบารมีอย่างไม่รู้หมดสิ้น ขอให้มีบริวารดี และธุรกิจการงานเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป

    ขอให้มีคู่ครองที่เสมอกันด้วย ทาน ศีล ปัญญา และจาคะเสมอกัน ขอให้ครอบครัวมีความสุข สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงสามารถปฏิบัติธรรมได้โดยสะดวก เดินทางไปไหนขอให้ปลอดภัยทั้งไปและกลับ

    ขอให้ข้าพเจ้ามีพลังใจสูงส่งมีกำลังใจไม่สิ้นสุด ดุจเดียวกับพระบรมโพธิสัตว์ กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำความดี คำว่า ท้อแท้ อย่าได้มี ขอให้มีดวงปัญญาสว่างไสว รู้แจ้งแทงตลอดทั้งทางโลกและทางธรรม ขอให้ได้ผลญาณ และวิชาความรู้เก่าๆ กลับคืนมา ตราบใดยังไม่เข้าสูพระนิพพาน ขอคำว่า เจ็บป่วย ยากจน ไม่ได้ ไม่รู้ ไม่มี ไม่สำเร็จ อย่าได้ปรากฏเลย สาธุ

    ขอให้เกิดในตระกูลสูง มีสัมมาทิฐิ และระลึกชาติได้โดยทันที เพื่อสร้างบารมีได้รวดเร็วด้วยเถิด สาธุ

    หากบุญของข้าพเจ้ายังไม่ถึงพร้อมจะเข้าพระนิพพาน ขอให้ข้าพเจ้าไปจุติบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตตวสวัตตี เพื่อรอการมาเกิดในยุคของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาอย่างดีแล้วตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ขอให้สัตยาธิษฐานของข้าพเจ้า จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเรจ ด้วยเถิด สาธุ

    ขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าเมือง คุณ Numsai คุณ Phuya และญาติธรรมทุกๆท่านด้วยครับ สาธุ

    [​IMG]

    รายการเสร็จสมบูรณ์
    โอนจากบัญชี XXX-X-XXX64-8
    เลขที่บัญชีผู้รับโอน 304-2-12239-5
    ธนาคารผู้รับโอน ธ.ไทยพาณิชย์ - SCB
    ชื่อบัญชีผู้รับโอน PHOORICHAYA H
    จำนวนเงิน (บาท) 1,611.00
    วันที่ได้รับยอดเงินโอน 04/09/2014 17.30 น.
    วันที่ตัดยอดเงินจากบัญชี 03/09/2014
    หมายเลขอ้างอิงรายการ tmbi64526485
     
  18. KoKoWalK

    KoKoWalK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +7,888
    โอนร่วมบุญประมูลดวงแก้วนิรมาณเทวฤทธิ์ ๓๕,๑๐๐ บาท
    วันที่ ๓/๙/๒๕๕๗ เวลา ๑๔.๔๕ น.
    โอนร่วมบุญบริวารกฐิน ๓ วัดกับคุณ Phuya ๔,๘๐๐ บาท
    วันที่ ๓/๙/๒๕๕๗ เวลา ๑๖.๔๒ น.


    • ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญกุศลนี้เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และน้อมบูชาแด่พระมหาโพธิสัตว์ทุกพระองค์
    • น้อมถวายบุญกุศลนี้แด่ท้าวสหัมบดีพรหม ท้าวมหาพรหมทุกพระองค์ และพรหมทุกพระองค์ ตลอดถึงบริวารทั้งหลายของท่าน
    • น้อมถวายบุญกุศลนี้แด่ท้าวสักกเทวราช พระมเหสีทั้ง ๔ มเหสักข์เทพทุกพระองค์ องค์เง็กเซียน องค์เจ้าพ่อกวนอู ปรมาจารย์เซียนทั้ง๑๐๘ พระเสวียนจั้ง เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และองค์เทพเซียนทุกพระองค์ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ท่านอินทกะทั้งหลาย และบริวารทั้งหลายของท่าน ท่านมุจลินทร์เทวบุตร พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อหอกลอง เจ้าพ่อเจตคุปต์ เจ้าพ่อหลักเมืองทุกจังหวัด และเทพเทวาทุกพระองค์ทั่วสากลพิภพ อนันตจักรวาล
    • น้อมถวายบุญกุศลนี้เป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย เดช และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ ตลอดถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
    • น้อมถวายบุญกุศลนี้แด่บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ทุกภพทุกชาติของข้าพเจ้า มีหลวงปู่ฤาษีเกษรี หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ หลวงปู่โตวัดระฆังฯ หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่ปานวัดบางนมโค หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ดู่วัดสะแก หลวงพ่อสดวัดปากน้ำฯ และหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุงเป็นที่สุด
    • น้อมถวายบุญกุศลนี้แด่ พระโพธิสัตว์ พระฤาษี พรหม เทพ เซียนทุกพระองค์ที่อธิษฐานและดูแลดวงแก้ว พระเขี้ยวแก้วเนรมิต ธาตุกายสิทธิ์ที่พี่น้ำใสได้นำมาให้บูชา พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ พระพุทธปฏิมา พระสังฆปฏิมา มงคลวัตถุทั้งหลายที่ข้าพเจ้าบูชารักษาอยู่ ตลอดถึงเทวดาที่รักษาตัวข้าพเจ้า ที่รักษาคนในครอบครัวของข้าพเจ้า และที่รักษาที่อยู่อาศัยของข้าพเจ้า
    • น้อมถวายบุญกุศลนี้แด่ท่านพยายมราช ท่านสุวรรณ ท่านสุวาณ นายนิริยบาลทุกท่าน
    • น้อมถวายบุญกุศลนี้แก่ยักษ์ ครุฑ นาค คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ กินนร และบริวารทั้งหลาย
    • ขออุทิศบุญกุศลนี้แก่นางแก้ว ญาติ มิตรสหายและบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้า
    • ขออุทิศบุญกุศลนี้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้าและคนในครอบครัวข้าพเจ้า และสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วอนันต์จักรวาล

    ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายและอุทิศนี้ จงมีผลแก่ท่านทั้งหลายที่กล่าวมา ตลอดถึงผู้ที่ร่วมอนุโมทนาในบุญนี้ ประหนึ่งได้ร่วมบำเพ็ญบุญกุศลนี้เองทุกประการ ขอท่านทั้งหลายได้โปรดอนุโมทนา และเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลในครั้งนี้ของข้าพเจ้า และอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญฯ

    ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแต่อดีต ตลอดถึงบุญกุศลที่ได้ทำครั้งนี้เป็นที่สุด ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความมั่นคง แน่วแน่ ไม่คลอนแคลนในการทำความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป ขอให้มีกำลังใจสูงมีกำลังใจไม่สิ้นสุด ขอให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี ขอให้ได้วิชาเก่ากลับคืน ขอให้มีความคล่องตัวทั้งทางโลกทางธรรม เมื่อปรารถนาในความดีใดแล้วขอให้มีแต่ทางสำเร็จ มีผู้คอยช่วยเหลือเกื้อหนุนค้ำชู ศัตรูหมู่มารทั้งหลายจงหลีกทางห่างไกล ไร้ซึ่งอุปสรรคใหญ่น้อยคอยขัดขวาง ตราบเท่าถึงที่สุดแห่งความปรารถนาสำเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในเบื้อง หน้านั้นเทอญ ฯ

    ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ
     
  19. เอ๋ปากน้ำ

    เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905
    มอบเงินสดกับพี่phuya ที่ร่วมบุญบริวารกฐิน 1600 บาท แล้วค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านค่ะ

    จันทรกาล
     
  20. กึกก้อง

    กึกก้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2009
    โพสต์:
    609
    ค่าพลัง:
    +3,478
    โอนเงิน ธ. ไทยพาณิชย์ วันนี้ เวลา ๗.๑๔ น. จำนวนเงิน ๔,๘๐๐.- สำหรับกฐิน ๓ วัดแล้วครับ
    ขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...