ผมปฏิบัติธรรมมานานเหมือนมันไม่ก้าวหน้าเลย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย data44, 27 พฤษภาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    การปฏิบัติธรรม ความจริงแล้วเป็นเรื่องของจิต

    ปัจจัยในการปฏิบัติธรรมที่ต้องมี หรือต้องทำให้มีนั่นคือ ทาน ศีล ภาวนา เมื่อมีครบทั้งสามเหตุปัจจัยแล้วก็มาดูที่สมถะ สร้างสมาธิให้เกิดที่จิต ความก้าวหน้าจะเกิดจากการพิจารณาให้เห็นธรรม นั่นคือวิปัสสนาค่ะ

    ทีนี้ สิบปีของคุณคงเป็นเพราะคุณยังอ่อนสมถะ สติจึงไม่มั่นคงพอ เมื่อเกิดการกระทบทางอายตนะหก สติตามไม่ทันอารมณ์ต่างๆ หรือว่าทันแต่พิจารณาไม่ถูก จิตไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้น จึงมองว่าการปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าไปทางไหนเลย
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เปลี่ยนความคิด เปิดใจให้กว้าง
    อย่างจำพวกไปซอยสายลม มีคำถามถามคุณว่า ท่านได้มโนมยิทธิยัง
    คนที่จิตใจไม่เปิด ก็ตอบว่าตนไม่ได้ ก็ต้องเรียนซ้ำชั้นอยู่นาน
    ส่วนคนมีปัญญา ตอบว่า ได้มโนมยิทธิไว้ก่อน ตนก็เลยได้เข้าเรียนต่อห้อง
    ญาณแปดเรียบร้อย
     
  3. ปัญญา ณ c

    ปัญญา ณ c เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2014
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +172
    ปฎิบัติแล้วหวังผลมากเกินไปหรือเปล่าครับ อาจจะเป็นตัวกิเลสที่มันบดบังอยู่ก็ได้ครับ

    บางทีเราเผลอไปมีตัวกิเลสแต่เราไม่รู้ตัวก็มีน่ะครับ

    ปฎิบัติไปเรื่อยๆ ให้จิตใจว่างน่ะครับ ไม่ควรเพ่งในสิ่งที่ต้องการมากจนเกินไป

    จิตไม่เที่ยงครับ อันนี้เรื่องจริงเลย ต่อให้นั่งจนจิตสงบ เดี๋ยวไม่นานไปจิตมันก็กลับมาวอกแวกเหมือนเดิม เมื่อสมาธิได้หมดไป

    ขนาดตัวผมเอง ผมนั่งสมาธิจนปฎิบัติต่อเนื่องมาจนจิตนิ่งมากๆแล้ว จิตมีกำลังมากๆสติมีกำลังมากๆ

    คิดว่าคงไม่มีอะไรมากระทบจิตให้ฟุ้งซ่านได้อีก แต่พอมีเรื่องปรุงแต่งมากมายเข้ามา

    ไอ้พลังสมาธิที่สะสมมามันก็ค่อยๆลดลง กลับมาซึมเซาบ้าง

    แต่ยังดีที่ยังฝึกสติมาพอนั่งรู้นั่งดูไปเรื่อยๆ มันก็พอโอเค

    โลกมนุษย์ปรุงแต่ง สังคมแห่งการแข่งขันถ้าเราหลงเอาใจไปอยู๋ในนั้น ช่างน่ากลัวยิ่งนัก

    ทีแรกตอนผมสึกมาใหม่ๆผมเองคิดว่าอยากจะท่องโลกให้เต็มที่มากๆ แต่ไปท่องเอาจริงๆก็แค่นั้น มีแต่รูป นาม สภาวะ และสารพัดเรื่องราวต่างๆที่มีแต่ความสมมุติปรุงแต่งและไม่เที่ยงแท้ไม่มีความเป็นจริงอะไรเลย

    ทีแรกผมก็คิดเหมือนคุณนั่นแหละครับ อยากให้จิตสงบนิ่งเยอะๆ

    แต่เมื่อมารู้ว่าจิตนั้นไม่เที่ยงเลย ผมเปลี่ยนมาเป็นปั้มปิติรู้ลมหายใจดีกว่าครับ
     
  4. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    คุณยังดีกว่าเรานะ เราก้าวหน้าเร็วมากแต่ทิ้ง เป็นอย่างนี้มา2รอบแล้ว ทิ้งเอาดื้อๆเลย จะปฏิบัติก้อต้องเริ่มต้นใหม่อีกแล้ว คุณน่ะอย่างน้อยๆมันต้องได้ความสงบมั่งแหละ..ถ้าปฏิบัติถูกทางจริงๆ
     
  5. wasin45

    wasin45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +305
    ขอขมากรรมก่อนเลยครับ
    แนบไฟล์ให้แล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. data44

    data44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +158
    ทุกวันนี้ผมปฏิบัติโดยการพุทโธครับ พร้อมลมหายใจเข้าออก แต่ที่ผมติดอยุ่คือ
    1. ผมตั้งใจว่าพุทโธให้ได้มากที่สุดตลอดวัน โดยอาจจะเรียกว่าเป็นการบังคับให้พุทโธในขั้นเริ่มแรก ทำให้ทุกวันนี้พอว่างทีไร จะนึกถึงพุทโธพร้อมลมทุกทีเหมือนอัตโนมัติ แต่เหมือนว่ามันเป็นแบบอัตโนมัติบังคับยังไงไม่รู้หมายความว่า ว่างนึกถึงลม นึกถึงพุทโธ แต่มันไม่สบายครับ เหมือนยังบังคับอยู่ อธิบายไม่ถุก ผมจึงคิดว่าผมทำผิด

    2. หายใจเข้า พุธ หายใจออก โท แต่ไม่ต้องตั้งใจเกินไป แต่ต้องตั้งสติ แล้วถ้าไม่ตั้งใจจะทำได้ยังไง งง ครับ อธิบายด้วยครับ ขอบคุรล่วงหน้าครับ
     
  7. data44

    data44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +158
    ผมสนใจมโนมยิทธินะครับ แต่ไม่มีคนสอน ว่าจะหาโอกาสไปที่วัดท่าซุงครับ ต้องไปให้ได้ ทุกวันนี้ก็มีว้อมๆจับภาพพระไว้เหมือนกันครับ แต่มันยังติดว่า ทั้งพุทโธ พร้อมลมเข้าออก และยังภาพพระอีกจึงสับสนครับ ตีกันครับ จะแยกออกก้ไม่ออก
     
  8. data44

    data44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +158
    สาธุ ผมน่าจะทำขาดแหละครับ เพราะแต่ละวันกลับบ้านไปก็ดึกแล้วก็ได้แต่นอนภาวนาจนหลับตลอด ไม่ค่อยมีเวลานั่งถึงชั่วโมงสักทีเพราะมันหลับก่อน ตลอดวันก้นึกถึงพระภาวนาพยายามให้ได้บ่อยๆเสมอๆเท่าที่จะทำได้ครับ เหนื่อยมากครับแต่ละวัน ช่วงนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2014
  9. data44

    data44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +158
    ขอบคุณครับ
     
  10. Eric99

    Eric99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2013
    โพสต์:
    472
    ค่าพลัง:
    +1,102
    ลองสวดมนต์แล้วแผ่เมตตาด้วย ทำก่อนนอน อาจจะสวดบทมหาจักรพรรดิ์เพิ่มไปด้วยก็ได้
    เดี๋ยวจะเริ่มสัมผัสบางอย่างได้จากในความฝัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2014
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ตามที่คุณเล่ามา ไม่ผิดนะคะ ในระยะเริ่มแรกจนกลายเป็นอัตโนมัติ ต่อไปก็ให้พิจารณาสิ่งที่เข้ามากระทบทางอายตนะหก แยกแยะให้เห็น ตัณหา วิภวตัณหา อุปาทานปรุงแต่งจิต รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่างๆ เหล่านี้ เห็นสภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป พิจารณาให้เห็นได้ตลอดเวลาเลยนะคะ ไม่จำเป็นต้องไปนั่งขวาทับซ้ายแล้วจึงค่อยพิจารณา

    แรกๆ อาจจะยังไม่ทัน ก็สามารถนำอารมณ์ที่กลายเป็นอดีตมาพิจารณาในขณะที่นั่งสมาธิอีกครั้งก็ได้ค่ะ เช่น วันนี้เรามีอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย ก็นำอารมณ์นั้นขึ้นมาพิจารณาว่า วันนี้เราทำอะไรบ้าง และมีใครมาทำให้เราขุ่นมัวบ้าง ขุ่นมัวด้วยเรื่องอะไร เหตุมาจากอะไร และผลเป็นอย่างไร พิจารณาทบทวนไปมา ให้เห็น แยกสภาวะแต่ละขณะออกมาให้เห็นชัดลงไป เป็นเรื่องของปฏิจจสมุปบาท จะเห็นเป็นลูกโซ่ไป หรือคุณจะเลือกดูแค่ตัวเดียวก่อนก็ได้ค่ะ ได้แก่ ทุกขเวทนา ที่เกิดขึ้นแก่จิต จับตัวนี้ขึ้นมาพิจารณาเมื่อมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามดูแค่สภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปนี้ ให้ทันก่อน...ลองทำดูนะคะ ใช้ใจเข้าไปรู้อย่างเดียวค่ะ

    ส่วนเรื่องมโนมยิทธินั้น ไม่ได้ใช้สมาธิขั้นสูงอะไรเลย แค่ขณิกสมาธิ มีความสงบเพียงเล็กน้อยก็ฝึกได้แล้วค่ะ เพียงแค่ตัดอารมณ์ยึดกายออกไปให้ได้เท่านั้นเอง
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ลืมบอกไปค่ะ เลือกวิธีที่คุณถนัดที่สุดในการปฏิบัตินะคะ จะได้เห็นผลอย่างแท้จริง อย่าไปรักพี่เสียดายน้อง อย่าโอนเอนไปตามกระแสที่ใครบอกว่าวิธีนี้ดีกว่า วิธีนั้นดีกว่า เพราะแต่ละวิธีก็เหมาะสำหรับแต่ละคน แต่ละจริตค่ะ
     
  13. data44

    data44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +158
    ครับ คือเหตุที่ผมโอนเอนไปเพราะผมทำแนวพุทโธมานาน แต่ยังย่ำต๊อกเลยคิดว่าอาจไม่ถุกับจริตหรือเปล่าเลยอยากลองเปลี่ยนวิะีการดูบ้างครับ เพราะพอผมได้อ่านมโนมยิทธิแล้วรู้สึกชอบมากเลยครับ ทุกวันนี้เลยลองทำตามที่หลวงพ่อเคยบันทึกเทปไว้ลองดู เหมือนมันจะทำได้เพียงแต่ยังตั้งอารมณ์ไม่ถูกเพราะยังไม่มีคนสอน ว่าจะไปฝึกที่วัดท่าซุงก็ยังไม่ว่างครับ ไกล้ๆนี้ก็ไม่มีเลยครับ
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ค่ะ ยินดีด้วยนะคะ แต่ไม่ว่าจะปฏิบัติแบบไหน สุดท้ายปลายทางก็เพื่อละกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง

    เคยฝึกอยู่ 3-4 วันนี่แหละค่ะ ที่วัดพระธาตุห้าดวงเมื่อปีที่แล้ว ไปปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรม แล้วมีครูมาฝึกให้ที่วัดค่ะ วันแรกครูฝึกบอกว่าให้ไปฝึกแบบเต็มกำลังเลย เพราะที่สอนอยู่นี้เป็นมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลังซึ่งเราได้มาก่อนแล้ว ก็งงเหมือนกันเพราะไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อนเลย ปฏิบัติแนวพุทโธมาตลอด

    ครูฝึกบอกว่า ผู้ที่จะฝึกได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีหรือของเก่าด้วย บางคนฝึกแค่วันเดียวได้เลย บางคนฝึกหลายครั้งหลายคราก็ไม่ได้ค่ะ

    ขอให้เจริญในธรรมนะคะ
     
  15. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    การปฏิบัติทุกสาย ทุกอย่าง ต้องเทียบได้ในอริยมรรคมีองค์8ครับ ถึงจะก้าวหน้าเร็ว และมีปลายทางเป็นการสิ้นทุกข์ครับ ถ้าการปฏิบัติที่ทำๆกันอยู่ เทียบลงในอริยมรรคมีองค์8 ไม่ได้ การปฏิบัติก็ช้า และมีปลายทางไม่แน่นอนครับ
     
  16. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    เคยลองเข้า อุโบสถ์ศีล หรือยัง?
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เอาเรื่องสมาธิมาฝากค่ะ

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    ฝึกหัดทำสมาธิภาวนา จงทำเหมือนชาวนาเขาทำนา เขาไม่รีบร้อน เขาหว่านกล้า ไถคราด ปักดำ โดยลำดับ ไม่ข้ามขั้นตอน แล้วรอให้ต้นข้าวแก่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นเมล็ดไม่เห็นรวงข้าวเลย แต่เขาก็มีความเชื่อมั่นของเขาว่าจะมีเมล็ดมีรวงวันหนึ่งข้างหน้าแน่ๆ เมื่อต้นข้าวแก่แล้วออกรวงมาจึงเชื่อแน่ว่าจะได้รับผลแน่แล้ว เขาไม่ไปชักดึงต้นข้าวให้ออกรวงเอาตามชอบใจ ผู้กระทำเช่นนั้นย่อมไร้ผลโดยแท้

    การฝึกหัดสมาธิภาวนาก็เช่นเดียวกัน จะรีบร้อนข้ามขั้นตอนย่อมไม่ได้ ต้องตั้งจิตให้เลื่อมใสศรัทธาแน่วแน่ว่าอันนี้ละเป็นคำบริกรรมที่จะทำให้จิต ของเราเป็นสมาธิได้อย่างแท้จริง แล้วอย่าไปลังเลสงสัยว่า คำบริกรรมนี้จะถูกจริตนิสัยของเราหรือไม่หนอ คำบริกรรมอันนั้น คนนั้นทำแล้วมันเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำแล้วจิตไม่ตั้งมั่น อย่างนี้ใช้ไม่ได้

    ถ้าจิตตั้งมั่นแน่วแน่ในคำบริกรรมที่ตนภาวนาอยู่นั้นแล้วเป็นใช้ได้ทั้งนั้น เพราะภาวนาก็เพื่อต้องการทำจิตให้แน่วแน่เท่านั้น ส่วนนอกนั้นมันเป็นตามบุญวาสนาของแต่ละบุคคล

    ครั้งพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งไปภาวนาอยู่ใกล้สระแห่งหนึ่ง เห็นนกกระยางตัวหนึ่งโฉบปลากินเป็นอาหาร ท่านเลยถือเอาเป็นคำบริกรรมภาวนาจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นกกระยางกินปลาไม่เคยเห็นมีในกัมมัฏฐานบทใด ท่านเอามาภาวนาจนได้สำเร็จ นี้เป็นตัวอย่าง

    จิตที่ตั้งใจอบรมให้อยู่ในขอบเขตของคำบริกรรม พุทโธๆๆ ซึ่งมีสติเป็นผู้ควบคุมแล้วย่อมจะละพยศตัวเองได้ แต่เราก็ต้องฝึกฝนอบรมเพราะต้องการความสุขสงบของจิต ธรรมดาของจิตย่อมมีอารมณ์ส่งส่ายหาความฟุ้งซ่านเป็นวิสัยอยู่แล้ว ดังอธิบายมาแล้ว โดยมากมันจะส่งส่ายไปในอารมณ์เหล่านี้คือ

    พอเริ่มบริกรรมพุทโธๆๆ เอาจิตไปตั้งไว้ที่พุทโธๆๆ เท่านั้นแหละ มันจะไม่อยู่ในพุทโธ มันจะวิ่งไปหาการงานที่เราเริ่มจะทำหรือกำลังทำอยู่ ปรุงแต่งทำนั้นทำนี้วุ่นวายกันไปหมด กลัวมันจะไม่ดีไม่งาม กลัวมันจะไม่สำเร็จ การงานที่เรารับจากคนอื่นหรือเรารับเฉพาะส่วนตัวมันจะเสียผลประโยชน์ หรือขายขี้หน้าเขาเมื่อเรารับแล้วไม่ทำตาม ฯลฯ นี่เป็นเรื่องรบกวนใจไม่ให้เป็นสมาธิของผู้อบรมใหม่อย่างหนึ่ง

    เราดึงเอาจิตมาไว้ที่พุทโธๆๆนั้นอีก บอกว่านั้นไม่ใช่หนทางแห่งความสงบ ทางสงบแท้จริงต้องเอาจิตมาตั้งไว้ที่พุทโธแห่งเดียว แล้วบริกรรมพุทโธๆๆ เรื่อยไป ฯลฯ

    เดี๋ยวส่งไปอีกแล้ว โน่นคราวนี้ไปถึงครอบครัว ส่งไปหาลูกไปหาภรรยาไปหาสามี เขาจะอยู่อย่างไร เขามีสุขภาพพลานามัยดีหรือไม่หนอ ได้บริโภคอาหารดีมีรสหรือไม่หนอ ถ้าอยู่ห่างไกลกันก็คิดถึงที่อยู่ที่นอน จะอยู่จะกินอย่างไร ผู้จากไปก็คิดถึงผู้อยู่ทางบ้าน ผู้อยู่ทางบ้านก็คิดถึงผู้ไปไกล กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย กลัวคนอื่นจะมาข่มเหง ไม่มีผู้อยู่เป็นเพื่อน กลัวจะเหงาหงอย ฯลฯ คิดไปร้อยแปดพันเก้า สุดแท้แต่จิตจะปรุงแต่งไป ซึ่งเกินกว่าเหตุทั้งนั้น

    หรือถ้ายังเป็นโสด ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ก็จะปรุงแต่งไปในทางสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่กับหมู่เพื่อนที่เคยเที่ยวสนุก เฮฮาไปในที่ต่างๆ บางคนถึงกับอุทานออกมาเป็นเสียงดังหัวเราะก๊ากก็มี กิเลสตัวนี้มันร้ายยิ่งกว่าเพื่อน เมื่อภาวนาพุทโธๆๆ มันเห็นว่าไม่ได้การแล้ว เขาจะหนีจากเราไปแล้ว มันก็สรรหาสิ่งที่จะผูกมัดให้เราติดมั่นเข้าทุกที เราเกิดมาตั้งแต่เด็กจนโต เราก็ไม่เคยมาฝึกหัดสมาธิภาวนาเลย มีแต่ปล่อยให้จิตไปตามอารมณ์ของกิเลส เพิ่งมาฝึกหัดเดี๋ยวนี้เอง เมื่อภาวนาพุทโธๆๆเข้า จิตมันจะมารวมอยู่ที่พุทโธๆๆ จิตมันจึงดิ้นเหมือนกับบุคคลโยนปลาขึ้นจากน้ำไปบนหาดทราย ปลาย่อมดิ้นหาน้ำเป็นธรรมดา เราดึงเอาจิตให้เข้ามาหาพุทโธๆๆอีก

    พุทโธๆๆ เป็นของเย็น เป็นทางที่ให้เกิดสันติสุข มีทางเดียวเท่านั้นที่ทำให้พ้นจากทุกข์ในโลกนี้ได้

    เราดึงเอาจิตเข้ามาอยู่ในพุทโธๆๆอีก หากคราวนี้พอสงบลงไปได้บ้าง พอรู้สึกว่าจิตมันอยู่ พอเห็นลางๆว่าจิตมันอยู่ มีความสุขสบาย จิตสงบ ไม่มีความเดือดร้อน ตั้งใจระวังเอาสติประคองอารมณ์นั้นไว้ เอ้า…..ไปอีกแล้ว โน้น……คราวนี้ไปยึดเอาผลประโยชน์มาเป็นเครื่องอ้าง ถ้าสิ่งนั้นเราไม่ทำหรือเราไม่แสวงหาก็จะเสียโอกาสอันมีค่ามหาศาล แล้วก็เอาจิตไปจดจ่ออยู่เฉพาะสิ่งนั้นแทนคำบริกรรมพุทโธ ส่วนพุทโธมันเลยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ว่าพุทโธหายไปแล้ว มันก็สายเสียแล้ว จิตนี้เป็นของดิ้นรนกระเสือกกระสน รักษาได้ยากเหมือนกับลิงอยู่ไม่เป็นสุข

    นั่งสมาธิภาวนานานๆเข้า กลัวโลหิตจะไม่เดินหรือเดินไม่สะดวก เส้นประสาทจะตาย เกิดเป็นเหน็บชา ในที่สุดเป็นอัมพาต ถ้าไปภาวนาไกลบ้านหน่อยหรือในป่าก็ยิ่งกลัวใหญ่ กลัวเสือจะมากิน กลัวงูจะมากัด กลัวผีจะมาหลอกทำท่าทีต่างๆนานาใส่ ความกลัวตายยุบยิบไปหลายอย่างหลายประการ ล้วนแล้วแต่ตัวเองหลอกตัวเองทั้งนั้นแต่เกิดมาจนป่านนี้ยังไม่เห็นเสือกินคน เลยสักคนเดียว ผีก็ไม่เคยเห็นหลอกเลยสักที แม้แต่ตัวผีก็ไม่เคยเห็นเลยสักที ไม่ทราบว่าตัวมันเป็นอย่างไร แต่ก็ปรุงแต่งขึ้นมาหลอกตัวเอง

    อุปสรรคของการภาวนาที่ชักตัวอย่างมาอธิบายนี้พอเป็นบางอย่างเท่านั้น ความจริงแล้วมันมีมากกว่านี้ตั้งหลายเท่า ผู้ภาวนาแล้วจะรู้ด้วยตัวเอง

    แต่เราก็ยึดพุทโธๆๆ มาไว้ที่ใจ แล้วเอาสติควบคุมจิตให้อยู่กับพุทโธอันเดียว ภัยอันตรายทั้งปวงจะไม่มีมาแผ้วพาน

    ขอให้เชื่อมั่นในพุทโธจริงๆเถอะ รับรองว่าไม่มีอันตรายแน่นอน เว้นเสียแต่กรรมเก่าที่เขาเคยได้กระทำไว้ นั่นเป็นของสุดวิสัยแม้พระพุทธเจ้าก็ป้องกันให้ไม่ได้
    ผู้ภาวนาทั้งหลายแรกๆศรัทธายังอ่อน ไม่ว่าจะบริกรรมอะไรก็แล้วแต่เถอะ จะต้องถูกกิเลสเหล่านี้รบกวนด้วยกันทั้งสิ้น เพราะกิเลสเหล่านี้มันเป็นพื้นฐานของโลก เมื่อเรามาทำภาวนาทำจิตให้เป็นอันเดียวเท่านั้นแหละ กิเลสมันเห็นว่าเราจะหนีจากบ้าน กิเลสเหล่านั้นมันมารุมล้อมไม่ให้เราหนีจากโลกนี้ได้

    ผู้มาเห็นโทษของมันว่ามันร้ายแรงอย่างนี้ แล้ว ทำใจให้กล้าหาญ ศรัทธาให้หนักแน่นมั่นคง คิดเสียว่าเราได้หลงเชื่อกิเลสมาหลายภพหลายชาติแล้ว คราวนี้เราจะยอมเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาพุทโธ ไม่ให้จิตหนีจากพุทโธ เมื่อเราตั้งปณิธานไว้อย่างนั้นแล้ว จิตก็จะดิ่งลงสู่อารมณ์อันเป็นหนึ่งเข้าถึงสมาธิได้
    ด้วยอำนาจจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียวนั่นแหละเป็นเหตุนำจิตให้เข้าถึงสมาธิได้

    ผู้เข้าถึงสมาธิทีแรกจะมีอาการอย่างนี้ เราจะไม่ทราบเลยว่าสมาธิหรือจิตเป็นเอกัคคตารมณ์เป็นอย่างไร เราเพียงแต่ตั้งสติให้แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว ด้วยอำนาจจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียวนั่นแหละเป็นเหตุนำจิตให้เข้าถึง สมาธิได้ แล้วก็ไม่ได้นึกว่าอาการของสมาธิเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และอยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันเป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ ใครๆ จะบังคับให้เป็นไม่ได้

    ในขณะนั้นจะมีความรู้สึกเหมือนกับเราอยู่อีกโลกหนึ่ง(โลกจิต) มีความสุขสบายวิเวกหาอะไรเปรียบมิได้ในโลกนี้

    เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว จะรู้สึกเสียดายอารมณ์อันนั้น แลจำอารมณ์อันนั้นได้แม่นยำ ที่พูดกันอยู่ทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่จิตถอนออกมาจากอารมณ์ทั้งนั้น ในขณะที่จิตกำลังรวมอยู่นั้น ใครจะพูดจะทำอะไรไม่รับรู้ทั้งหมด

    เราต้องฝึกหัดจิตให้เข้าถึงสมาธิอย่างนี้อยู่บ่อยๆเพื่อให้ชำนิชำนาญ แต่อย่าไปจำอารมณ์เก่า อย่าอยากให้เป็นอย่างเก่า มันจะไม่เป็นอย่างนั้นซ้ำจะยุ่งใหญ่ เป็นแต่เราคอยบริกรรมพุทโธๆๆให้จิตอยู่ในคำบริกรรมนั้นก็แล้วกัน มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน

    จิตเป็นสมาธิใหม่ๆ เมื่อมันเป็นอีกมันจะไม่เป็นอย่างเก่า แต่ก็ช่างมัน มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ขอให้มันเป็นสมาธิก็แล้วกัน ที่มันเป็นหลายอย่าง มันจึงได้ความรู้กว้างขวางและมีอุบายมาก

    ที่อธิบายมาโดยย่อนี้พอเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์ ขอผู้ทำตามนี้จงอย่าได้เอามาใส่ใจ มันจะเป็นสัญญา ภาวนาจะไม่เป็นไป เพียงแต่จำไว้เป็นเครื่องเทียบเคียงในเมื่อเราภาวนาเป็นไปแล้ว

    ผู้ภาวนาทั้งหลาย ไม่ว่าจะภาวนาพุทโธ หรือยุบหนอพองหนอ หรือสัมมาอะระหัง อะไรแล้วแต่ เมื่อจิตจะรวมเป็นสมาธิแล้ว ไม่ว่าจิตเราจะรวมหรือกำลังรวมอยู่ หรืออะไรทั้งหมด แต่มันรวมของมันเองโดยอัตโนมัติ แม้ที่สุดแต่คำบริกรรมอยู่นั้นไม่ทราบมันวางแต่เมื่อไหร่ มันจะมีแต่ความสงบสุขอยู่อันหนึ่งต่างหาก ซึ่งมิใช่โลกนี้แลโลกอื่นหรืออะไรทั้งหมด และไม่มีใครหรือสิ่งอะไรทั้งหมด เป็นสภาพของมันต่างหาก (ซึ่งเรียกว่าโลกของจิต)

    ในที่นั้นจะไม่มีคำว่าโลกนี้หรืออื่นใดๆทั้งสิ้น สมมติบัญญัติในโลกอันนี้จะไม่ปรากฏในที่นั้น เพราะฉะนั้น ในที่นั้นมันจะไม่เกิดบัญญัติอะไรทั้งสิ้น เป็นแต่หัดจิตให้เป็นสมาธิไว้เทียบเคียงกับจิตที่ไม่เป็นสมาธิว่าผิดแปลก ต่างกันอย่างไร จิตเข้าถึงสมาธิแล้วเมื่อถอนออกมาพิจารณาในทางโลกกับทางธรรม มันต่างกันอย่างไรกับจิตที่ไม่ได้เป็นสมาธิ
     
  18. art

    art เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +407
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ ผมทำสมาธิทุกวัน ๆ ละ หนึ่ง
    ชั่วโมง มาเป็นเวลา ๒๐ ปีแล้วครับ มันไม่ไปเหนือ
    ไปใต้เลย ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร หรือมีกรรมเวร
    ประเภทไหนมาปิดบัง ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยแก้ไข
    หน่อยเถิดขอรับ?

    หลวงพ่อ สมาธินี่ถ้าทำเฉย ๆ ก็ไม่ไปไหนนะ
    มันก็อยู่แค่ ฌาน ถึงฌานหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่ากลัว
    จะไม่ถึงฌาน น่ากลัว ตะเกียกตะกายอยู่ข้างฌาน

    มันขึ้นฌานไม่ไหว ไต่บันไดแกร๊ก ๆ แต่ความจริง
    ถ้าเรื่องสมาธิจริง ๆ นะ ถ้าหากว่าได้จริง ๆ ก็อยู่แค่
    ฌาน ๔ ฌาน ๔ แล้วก็ไม่ไปไหนละ ก็ทรงตัวบ้าง

    เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ไปข้างหน้า ๑ ก้าว
    ถอยหลัง ๕ ก้าว ทีนี้ผลการปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่ได้
    มุ่งสมาธิ ต้องหวังตัด สังโยชน์ ถ้าจะบอกว่า

    วิปัสสนาญาณก็จะมากเกินไป ความจริงถ้ามุ่ง
    ตัดสังโยชน์ ก็ต้องดูอารมณ์ใจตัวตัด ไม่ใช่ดูสมาธิ

    อันดับแรก ความโลภ อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่น
    มีในเราหรือเปล่า เบาลงไปไหม ประการที่ ๒ ความโกรธ
    เบาไหม ประการที่ ๓ ความหลง เบาลงไหม สิ่งที่มี
    ความสำคัญคือ

    1. ลืมความตายหรือเปล่า
    2. เคารพพระไตรสรณคมน์จริงจังไหม
    3. มีศีล ๕ บริสุทธิ์ไหม
    4. หวังพระนิพพานจริงจังหรือเปล่า...?

    เขาดูตรงนี้นะ มุ่งเอาสมาธิกลุ้มใจตาย มันไม่มีการทรงตัว
    เวลาใดร่างกายดีไม่มีอารมณ์กลุ้ม สมาธิก็ทรงตัวใช่ไหม...
    ร่างกายอ่อนเพลียหน่อย สมาธิก็ทรุดตัว เอาแต่สมาธิ
    ไปไม่รอด

    ผู้ถาม เมื่อภาวนาไปไม่ได้ อย่างนี้จะมีโอกาสบรรลุธรรม
    เบื้องสูงหรือเปล่าครับ?

    หลวงพ่อ ทะลุธรรมแน่ จุดหมายปลายทางเขาคือสังโยชน์

    ผู้ถาม ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าตั้งใจว่า
    ตายเมื่อไหร่ไปนิพพานเมื่อนั้น พอจะไปได้ไหมครับ
    หลวงพ่อ?

    หลวงพ่อ พอเห็นทาง...แต่ไม่เข้าทาง

    ผู้ถาม ๒๐ ปีแล้วนะครับ

    หลวงพ่อ ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ ถ้าเข้าทางจริงต้องคิดว่า
    ๑.ชีวิตนี้จะต้องตาย ตัวสักกายทิฏฐินะ
    ๒.วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า
    พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ๓.มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และก็
    ๔.มีจิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน อันนี้ถึงจะได้
    อันนี้ถึงจะเข้าทางหรือเข้าเขตเลย
     
  19. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    ว่างๆลอง วาโย กสิณัง ครับ

    เบื่อเมื่อไร ก็มาอ่าน ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
     
  20. data44

    data44 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +158

    อันนี้ผมทำอยู่แล้วครับ ขอบคุณครับ แต่บทจักรพรรดินี่ยังไงครับ ใช่ของหลวงปู่ดู่ไหมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...