วิธีควบคุมจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน ตัดความอาลัย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กัญจานรี, 2 มิถุนายน 2014.

  1. กัญจานรี

    กัญจานรี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2012
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +18
    สวัสดีค่ะ หนูมีความคิดอยากบวชตลอดชีวิต แต่ตอนนี้นังบวชไม่ได้เพราะเเม่เห็นว่าเราอายุยังน้อย หนูก็เริ่มฝึกสมธิรักษาศีล แต่บางทีจิตฟุ่งซ่านใช้เวลาควบคุมอยากมากค่ะ บางทียังความรู้สึกอาลัยถึงคนรักเก่า แต่หนูก็รู้ตัวน่ะค่ะว่ามันคือกิเลสแต่ความคิดมันก็ผุดขึ้นมาเลยอยากทราบวิธีคิดและขจัดวิธีเหล่านี้ค่ะ รู้สึกเจ็บหน้าอกบางทีที่ความคิดพวกนี้ผุดขึ้นมา :( หนูต้องทำยังไงบ้างค่ะ
    ขอบคุณค่ะ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    การคิดจะบวชและการมาเริ่มฝึกสมาธิรักษาศีล..ณ ปัจจุบันนี้แม้จะมีปัญหา
    เรื่องหัวใจมา.ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วครับ..ส่วนการคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาในอดีต
    ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติด้วยครับ.แม้นักปฏิบัติทุกๆคนก็ย่อมเจอได้เหมือนกันครับ
    เหตุการณ์รุนแรงหรือการกระทบกระเทือนจิตใจมากน้อยแค่ไหน
    แตกต่างกันไปตามแต่เหตุ และก็ย่อมเจอมาแล้วเหมือนกันทั้งนั้น..
    เพียงแต่ว่าเค้ารู้จักปล่อยวางและทำใจยอมรับในเรื่องที่ผ่านมาในอดีตทั้งหมด
    และเป็นไปได้เค้าก็จะลืมๆและลบมันออกจากความทรงจำซะ..
    ถ้าเราไปเผลอคิดเรื่องราวในอดีต.เมื่อสมองเรามันเริ่มทำงาน
    เนื่องจากเป็นเรื่องที่เคยฝังใจเรามา.เลยทำให้ระบบการหายใจเรามันเร็ว
    มากขึ้นกว่าปกติ.และด้วยการหายใจปกติเราจะถึงที่หน้าอก.
    เลยเป็นเหตุทำให้รู้สึกจุกอกขึ้นมาได้ครับ วิธีแก้ก็คือถ้าคิดอีก
    ก็ให้มาทำความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูก คือลมเข้าก็รู้ที่ปลายจมูก
    ลมออกก็รู้ที่ปลายจมูก.อาการจกอุกก็จะหายไปได้เองครับ


    .ต่อจากนั้นก็มาอยู่กับปัจจุบันด้วยการมาฝึกสร้างสติทางธรรม
    ด้วยการเจริญสติในชีวิตประจำวันกันครับ..เพื่อที่จะเอาสติตัวนี้
    ไปเป็นตัวควบคุมความคิดต่างๆ.
    .และเพื่อเอาไว้ควบคุมพฤิตกรรมของจิตเรา..
    เมื่อเราพอมีสติตรงนี้..
    มันก็จะสามารถคลายใจออกจากความคิดตรงนี้หรือความคิด
    ในอดีตที่ผ่านได้เองครับ..

    .เพียงแต่ว่าตอนนี้เราต้องไม่ลืมเพื่อนที่ดีที่สุดของเรานะครับ..
    เพื่อนคนนั้นก็คือ ลมหายใจ เพื่อนคนนี้เค้าจะไม่ทิ้งเราไปไหน
    จนกว่าเราจะจากโลกนี้ไป.ไม่ว่าเราจะโกรธ เกลียด รัก
    เศร้า เหงา ดีใจ เสียใจ เค้าก็อยู่กับเราตลอด
    เพียงแต่ที่ผ่านมาเราเผลอลืมเผลอนึกถึงเค้าไปบ้างก็ไม่เป็นไร
    .แต่เพื่อนคนนี้เค้าก็ไม่เคยลืมเราครับ
    .เพียงตอนนี้เราหันมาดูเค้าบ้าง มาตามดูเค้าบ้าง
    .อยู่กับเค้าในนานที่สุดในระหว่างวัน.

    เพื่อนคนนี้เค้าก็จะคอยดูแลเรา ด้วยการคอยเตือน..คอยให้สติเรา
    ให้เรารู้ทันความคิดต่างๆ.ที่ทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง
    และก็คอยควบคุมไม่ให้เรื่องเศร้าหมองนี้มาส่งผล
    ต่อใจเราได้.และนอกจากจะทำให้เราอยู่กับปัจจุบันแล้ว
    เค้าก็จะยังคอยเป็นที่ปรึกษา
    เป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปกับเราในอนาคต.
    เดินไปยังหนทางอย่างที่เราควรจะเป็น
    ในทางที่ถูกที่ควร..เพราะสิ่งที่เราเป็นในวันนี้
    ก็คืออนาคตข้างหน้าของเราเองครับ..

    ปล.เพื่อนคนนี้จะไม่ทิ้งเราไปไหนจนกว่าเราจะจากโลกนี้ไป
    ยังไงขอให้หันมาดูเค้าบ้างตามที่แนะนำนะครับ...;)
    สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
    ..(f)
     
  3. กัญจานรี

    กัญจานรี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2012
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +18
    ขอบคุณมากค่ะ:cool:
     
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ยิ่งบีบคั้นยิ่งเป็นทุกข์
    หนทางแก้คือ มีสติรู้ตามความเป็นจริง ทันความโง่ (อวิชชา) ทุกช่องทาง
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ความคิดมันผุดขึ้นมา อันนี้ ภาวนาได้ดี

    ส่วนที่ ไปอึดอัด อันนั้น ฟังธรรมมาน้อย เลยทำให้ ไม่รู้ตัวว่า ภาวนาได้เข้าขั้น

    พอไม่รู้ตัวว่า ภาวนาได้เข้าขั้น จิตห่างจากกิเลสอยู่แล้ว ก็เลย ตกจากกรรมฐาน
    ไปคว้าเอาความ " ไม่อยากเป็น " ซึ่ง เป็นกิเลสตัวใหม่ ที่กำลังเกิดขึ้น กุมจิต

    มันสับขาหลอกเอา ให้เรา ตรึกเรื่องในอดีต แต่ อันที่จริง กิเลสตัวปัจจุบัน มันคน
    ละเรื่อง คนละตัว คนหละเหตุ

    มันสับขาหลอก จนนักภาวนา สับสน ก็เลย โบ้ยว่า " ที่เจ็บอกเพราะรักสลาย "

    ไม่ใช่หรอกครับ ที่เจ็บอก เพราะ " ไม่อยากเป็น "

    พอเมาหมัด จับผิดจุด ดูผิดธรรม คราวนี้เสร็จเลย มันเหมือนกระทืบ อกเราซ้ำ

    พอเจ็บอก ก็ยิ่ง ไม่อยากเป็น

    พอเจ็บอก ก็ยิ่ง ไม่อยากเป็น

    พอเจ็บอก ก็ยิ่ง ไม่อยากเป็น

    พอเจ็บอก ก็ยิ่ง ไม่อยากเป็น

    พอเจ็บอก ก็ยิ่ง ไม่อยากเป็น

    พอเจ็บอก ก็ยิ่ง ไม่อยากเป็น

    สุดท้าย เลยนั่งเจ็บอกอยู่นั่น ด้วยเหตุคือ ความไม่อยากเป็น

    ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ คนนั้น คนนี้ เลย เจ้าตัวนั่นแหละ โดนมันหลอกเอา จังหนับ !!!


    ****************************

    อนึ่ง พึงทราบว่า อุปทานในขันธ์ หรือการยังต้องอาศัยขันธ์5 จะมี วิบากที่ได้เสมอ คือ
    จะเหมือนโดนลูกศรแทงสองครั้ง

    Once ที่เราไปเผลอ " ไม่อยากเป็น " กายจะถูกศรดอกแรก ปักเข้ากลางหัวใจ 1 ดอก !!
    ถ้ากำหนดรู้ไม่ทัน ก็จะเกิด ความยินดี ยินร้าย เป็นการโดน ธนู ดอกที่ 2 !!

    ธนูดอกแรก การอึดอัดกาย พระอรหันต์ ก็ถอนออกไม่ได้ แต่ ธนูดอกที่สอง คนมีปัญญา
    จะไม่โดน ดอกที่ 2 ปักเข้ามาเด็ดขาด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2014
  6. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    ถ้าคู่รักอื่นที่เขาคบกันแล้วเขาเลิกกัน เราจะเสียใจกับเขาด้วยไหม แล้วถ้าคนที่เขาคบกับเรา เขาเลิกกับเรา เราจะเสียใจไหม
    คำตอบ
    - ที่เราไม่เสียใจ ไม่อาลัยอาวรณ์ เพราะเราไม่คิดว่าสิ่งนั้น เป็นของของเรา
    - ที่เราเสียใจ อาลัยอาวรณ์เพราะเราคิดว่าสิ่งนั้น เป็นของของเรา

    พระอริยเจ้าทั้งหลายในโลกนี้ ไม่คิดว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้เป็นของของเรา
    พระอริยเจ้าทั้งหลายในโลกนี้ จึงตัดซึ่งความเสียใจ (ความยินดียินร้าย) ความอาลัยอาวรณ์ ลงได้อย่างสิ้นเชิง
     
  7. กัญจานรี

    กัญจานรี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2012
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +18
    อันที่จริงความคิดที่อยากบวชตลอดชีวิตนี้มีมาก่อนที่จะมีแฟนแล้วค่ะ ความคิดนี้มีตอนที่ไปบวชชีพราหม ครั้งที่สองตอนอายุ 14เพราะเห็นว่าสงบร่มใจ แต่พอได้มีแฟนแล้วเลิกไปก็เห็นว่าชีวิตนี้มันยุ่งจริงๆ ความรักนี้เปลี่ยนเราจากคนที่สงบ กลับกลายเป็นกระวนกระวายเพราะหลงในกิเลส พอรู้ตัวเเล้วเลยเลิก แล้วหันเข้ามาศึกษาธรรมะเผื่อว่าวันข้างหน้ามีบุญบวชจริง จะได้ไม่วอกแวกเข้าสู่สมาธิโดยง่าย แต่ตอนนี้เหมือนจิตกับอารมย์มันตีกัน ตอนโกรธก็รู้ว่าโกรธคือรู้สึกอะไรรู้หมด แต่มันเป็นลำคาญเพราะมันทำให้จิตกระวนกระวายไปด้วย
    แต่ก็ขอบคุณทุกคำแนะนำน่ะค่ะ ลองทำดูแล้วก็ช่วยได้บ้างและจะพยายามฝึกต่อไปให้ได้ผลค่ะ:cool:
     
  8. comxeoo

    comxeoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +214
    อนุโมทนาด้วยนะครับ กับความคิดที่ว่าอยากบวชตลอดชีวิต ซึ่งจะได้มีโอกาสบวชหรือไม่ ก็ไม่เป็นไรครับแล้วแต่เหตุ
    ปัจจัยแต่ละคน แต่ละเวลากันไป เพียงแค่มีความคิดที่จะพาตัวออกจากกาม อันนี้เป็นกุศลแล้วครับ

    ส่วนเรื่องแฟน นี่เป็นธรรมดาครับ เรามีความรัก ความพอใจในสิ่งใด ก็เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น.. แต่ถ้าเกิดมีไปแล้ว ก็ไม่ต้อง
    ไปผลักไสก็ได้ครับ เรายังเป็นชาวบ้านคนธรรมดา ก็อยู่กับสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ อย่างรู้เท่าทันก็พอ ไม่หลงไหลไปกับสิ่งนั้น
    แต่ยังอาศัยประโยชน์จากสิ่งนั้นอยู่... ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ให้เราทำตัวขวางโลก หรือขัดกับโลก แต่ธรรมะสอน
    ให้เราอยู่กับโลกได้ แต่ใจไม่หลงไปกับโลก ให้ใจเราอยู่เหนือโลก คือไม่ว่าสังคม คนรอบข้างจะมีปัญหายังไง มากแค่ไหน
    ใจของเราก็ไม่ทุกข์ ไปตามสิ่งสมมุติที่เกิดขึ้นนั้น

    ส่วนเรื่องตัดความกระวนกระวาย ความฟุ้งซ่าน การเอาสติมาอยู่ที่ลมหายใจ อันนี้แก้ได้ครับ ... พอจิตกลับไปคิดถึงเรื่อง
    "แฟนเก่า " หรือเรื่องที่ทำให้ฟุ้งซ่านอะไรก็ตาม ... พอรู้ว่าจิตมันคิดไป ก็รีบตัดความคิดนั้น หรือที่คนเค้าชอบเรียกว่า
    "ปล่อยวาง" ไม่เพลินไปในความคิด (ที่จริงจะคิดไปทางสุข เราก็เพลิน หรือแม้แต่ความไปในทุกข์ เราก็เพลินเหมือนกัน)
    พอมีสติรู้ว่า "ฟุ้งซ่าน" ก็วางความคิดลง ให้จิตมีที่ได้มีที่อยู่ .. ฝึกใหม่ๆจะรู้ว่าความฟุ้งซ่าน ขาดเป็นช่วงๆ คือ เดี๋ยวเห็นว่า
    ฟุ้งซ่าน เดี๋ยวมารู้ที่ลม เดี๋ยวกลับไปฟุ้งซ่านอีก แต่ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ การตัดของอารมณ์ต่างๆ ก็จะสั้นลงไปเอง บางครั้ง
    แม้อารมณ์โกรธแรงๆ มีสติรู้ว่าโกรธ กลับมาอยู่ที่ลมหายใจ จิตมันวางอุเบกขาเลยทันที... เมื่อมันถูกตัดตั้งแต่ในจิต คราวนี้
    การที่เราจะทำผิดทางกาย ทางวาจา ก็ไม่มี อย่างนี้เรียก "ผู้มีอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ" พระพุทธองค์กล่าวสรรเสริญไว้
    ค่อยๆปฏิบัติไปครับ จะเอาของดีก็ต้องเพียรไม่หยุด แต่ไม่ใช่เอาเป็นเอาตาย ไม่กินไม่นอนนะครับ แต่เพียรไม่หยุด คือ
    ทำอย่างต่อเนื่องทุกเวลา ทุกวัน ไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์สำหรับการภาวนา ... แล้วสิ่งที่มากระทบ หรือ ความฟุ้งซ่านใดๆ
    ก็จะๆไม่มีอิทธิพลเหนือใจเราได้ครับ
     
  9. Jan2014

    Jan2014 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +143
    บวชยังงัยก็ยังไม่หายทุกข์ ถ้าเราเห็นไม่ได้ ว่าทำไมเราถึงทุกข์ แต่ถ้าเกิดหนูเห็นแล้ว ไม่ว่าบวชหรือไม่บวชหนูก็ไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์เพราะอะไร เพราะเห็นแล้ว ว่าอะไรที่เป็นเหตุที่ทำให้ทุกข์ จากเรื่องราวที่หนูยกมานี้ มันก็เป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดี ว่าความทุกข์นี้ มันเกิดจากการอาลัยถึงคนรักเก่า หนูก็พิจารณาให้เห็นโทษเสียเลยสิ นี่งัย โทษของความสุขล่ะ เวลาสุขมันก็สุขเสียจริงๆ โน้มน้าวชักชวนช่วยทำให้กายใจไหลตามรื่นรมไปตามความพอใจนี้เสียจริงๆ นี่แหละเป็นสุขที่อยู่ในความทุกข์แบบไม่รู้ตัวล่ะ สุขแล้วก็ชอบ สุขแล้วก็เพลิน สุขแล้วก็อยากดึงไว้เก็บไว้ พอบังคับฝืนให้มันอยู่กับตัวไม่ได้ มันก็ทุกข์ เห็นไหม นี่ล่ะ โทษของความสุข ที่ถ้าไม่มีสติเห็นทันให้ดีแล้ว ใจก็มีแต่จะไหลเพลิดเพลินไปกับความสุข โทษของการยึดมั่นถือมั่นในสุข อย่างแทบจะไม่รู้เนื้อรู้ตัวล่ะ
    เห็นหนูบอกด้วยว่า “บางทีจิตฟุ่งซ่านใช้เวลาควบคุมอยากมากค่ะ”
    ถ้าเราพยายามควบคุม มันจะยิ่งอึดอัด ยิ่งฟุ้งซ่าน ที่จะแนะนำก็คือ ให้หนูลองปล่อยใจให้สบายดู อาการเหมือนหัวมันตื้อๆว่างๆเหมือนไม่ได้คิดอะไรน่ะ เป็นอาการที่ไม่มีความคิดอะไรอยู่ในหัวเลย บวกก็ไม่มี ลบก็ไม่มี พอใจก็ไม่มี ไม่พอใจก็ไม่มี มีแค่ความรู้สึกกลางๆว่างเปล่า ถ้าทำได้อย่างนี้ พอความคิดอะไรโผล่ขึ้นมาในหัวปั๊บ มันจะเห็นทันที ว่าความคิดที่เกิดขึ้นในหัวนี้ เป็นบวกหรือเป็นลบ เป็นพอใจหรือไม่พอใจ หรือเป็นอาการความรู้สึกแบบ เฉยๆ เห็นแม้กระทั่งว่าไอ้นี้ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ อันนี้มันจะเป็นเหตุ ที่จะเป็นเหตุแห่งทุกข์ เห็นแล้วมันก็จะสักแต่ว่าเห็น เพราะใจจะรู้ ว่าไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะไปเกาะเหนี่ยวยึดติดทำไม ใจจะไม่ไปตามอารมณ์ที่เห็น หรือถ้ามันจะตาม มันก็จะตามแค่แว๊บเดียว แล้วมันก็จะกลับมากลางๆเหมือนเดิมอีก ทำอย่างงี้ ใจจะไม่ทุกข์เลย
    สิ่งที่จะแนะนำ จากประสบการณ์จริงของเราก็คือ ตั้งใจรักษาศีลให้เด็ดขาด นั่งสมาธิ สวดมนต์ (คาถายอดพระกัณฑ์ฯ นี่ต้องสวดให้ได้ห้ามขี้เกียจ ห้ามข้าม ห้ามพลาด) แล้วก็ตั้งใจอธิษฐานจิตเข้า ขอให้ตัวข้าพเจ้าเองนี้ ไม่เป็นทุกข์ ขอให้มีปัญญาเห็นธรรมเพื่อช่วยทำให้ตัวเองไม่เป็นทุกข์ เพื่อเมื่อมีกำลังแล้ว จะได้ช่วยเหลือผู้อื่น ได้ช่วยทำให้พวกเขาเหล่านั้นไม่เป็นทุกข์
     
  10. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    เกิดที่เหตุ ต้องแก้ที่เหตุ
    เหตุแห่งความฟู้คืออะไร พิจารณาใคร่ครวญหาคำตอบ ด้วยพื้นฐานแห่งความเป็นสมาธิ เมื่อรู้เหตุแล้วก็ปล่อยไปอย่าได้อาลัย คือการวาง หรือตัดให้หมดไป เท่านี้ก็จะไม่มีอะไรให้ฟุ้งอีก เอ ถ้ายังฟู้งอีก ก็หาเหตุแห่งการฟุ้งนี่แหละ แล้วตัดออกอีก จนไม่เกิดอีกแล้วคือทางพ้นทุกข์ ครับ เกิดแต่เหตุ ต้องดับเหตุแห่งความฟุ้งซ่าน ครับ อย่ากลัวอย่าหลบกับเรื่องฟุ้งซ่าน พอสติจับปับ ความฟุ้งซ่านจะหาย ทันที ครับ เรียกว่าอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่บังคับให้หยุดฟุ้งนะ แต่ให้พิจารณาหาเหตุ แล้วดับมันซะ ขออนุโมทนา
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    สวัสดีค่ะ หนูมีความคิดอยากบวชตลอดชีวิต แต่ตอนนี้นังบวชไม่ได้เพราะเเม่เห็นว่าเราอายุยังน้อย หนูก็เริ่มฝึกสมธิรักษาศีล แต่บางทีจิตฟุ่งซ่านใช้เวลาควบคุมอยากมากค่ะ บางทียังความรู้สึกอาลัยถึงคนรักเก่า แต่หนูก็รู้ตัวน่ะค่ะว่ามันคือกิเลสแต่ความคิดมันก็ผุดขึ้นมาเลยอยากทราบวิธีคิดและขจัดวิธีเหล่านี้ค่ะ

    +++ "แต่ความคิดมันก็ผุดขึ้นมาเลยอยากทราบวิธีคิดและขจัดวิธีเหล่านี้ค่ะ" สำคัญที่สุด ก็ไอ้ตรงนี้แหละ วิธีเบื้องต้นก็คือ "ดักจับมันแบบ ตรงไปตรงมาเลย ว่า "มันผุด" จากบริเวณไหน"

    รู้สึกเจ็บหน้าอกบางทีที่ความคิดพวกนี้ผุดขึ้นมา หนูต้องทำยังไงบ้างค่ะ

    +++ น่าจะเป็นที่ "ลิ้นปี่" มากกว่ามั้ง เพราะมันชอบ "ผุด" ออกมาจากตรงนั้น

    +++ ดูให้ทันว่า "มันผุด" จากบริเวณไหน หามันให้เจอก่อนก็แล้วกัน "เหตุคร่าว ๆ" มันอยู่ตรงนั้นแหละ

    อันที่จริงความคิดที่อยากบวชตลอดชีวิตนี้มีมาก่อนที่จะมีแฟนแล้วค่ะ ความคิดนี้มีตอนที่ไปบวชชีพราหม ครั้งที่สองตอนอายุ 14เพราะเห็นว่าสงบร่มใจ

    +++ อือม์....... ดี... จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แค่ "คิดไปคิดมาเฉย ๆ" ลองทบทวนดูว่า มันคล้ายกับอาการ "ตะหงิด ๆ อยู่ในใจ" ว่า "อยากบวช" ใช่หรือเปล่า ลองสังเกตุดูนะ

    แต่พอได้มีแฟนแล้วเลิกไปก็เห็นว่าชีวิตนี้มันยุ่งจริงๆ ความรักนี้เปลี่ยนเราจากคนที่สงบ กลับกลายเป็นกระวนกระวายเพราะหลงในกิเลส พอรู้ตัวเเล้วเลยเลิก

    +++ โลกมนุษย์ในปัจจุบัน มีสักกี่ % กันแน่ที่ แต่งงาน (ไม่แต่งแยะกว่า) และ ในส่วนที่แต่งแล้วไม่หย่ามีกี่ % เอาเป็นว่า เกิน 20 ปี เหลืออยู่เท่าไรจาก % ทั้งหมด แล้วที่เรียกันว่า "กิ่งทองใบหยก ตัวจริง" (กิ่งลวดใบตำแย ไม่นับ) ที่ไม่เคยทะเลาะกัน มีอยู่จริงสักเท่าไร ดู ๆ ไปแล้ว "อยู่กับตัวเองจริง ๆ ทำได้สักกี่คน" ลอง ๆ พิจารณาดูนะ

    แล้วหันเข้ามาศึกษาธรรมะเผื่อว่าวันข้างหน้ามีบุญบวชจริง

    +++ บวชจริง "เป็นรูปแบบ" แต่ บวชใจ "เป็นเนื้อหา" จิงป่ะ

    +++ ต่อให้ บวชจริงแต่ไม่ยอมบวชใจ ก็ป่วยการเสียเวลาเปล่า แต่ถ้า บวชใจจริง ๆ มันก็ไปของมันได้ จิงป่ะ

    จะได้ไม่วอกแวกเข้าสู่สมาธิโดยง่าย

    +++ ตรงนี้เรียกว่า "โดนความคิด เข้าเบียดเบียน"

    แต่ตอนนี้เหมือนจิตกับอารมย์มันตีกัน

    +++ ตรงนี้ก็เหมือนกัน เรียกว่า "ความคิดมันก่อกวน ทำให้ความรู้สึก ไร้เสถียรภาพ" เพราะยามใดที่ ความรู้สึกมีเสถียรภาพไร้การก่อกวนใด ๆ ยามนั้นเรียกว่า "ฌาน"

    ตอนโกรธก็รู้ว่าโกรธคือรู้สึกอะไรรู้หมด

    +++ ถ้า "โกรธก็รู้ว่าโกรธคือรู้สึกอะไรรู้หมด" ก็ทำให้ "รู้สึกทั้งหมด ถูกรู้ ส่วนเรา รู้อยู่" ตรงนี้เรียกว่า "วิปัสสนา"

    แต่มันเป็นลำคาญเพราะมันทำให้จิตกระวนกระวายไปด้วย

    +++ รำคาญและจิตกระวนกระวาย เกิดจาก "การก่อกวนของ ความคิด" ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

    +++ หากไม่อยาก "อยู่กับความคิด" ก็ให้ "อยู่กับความรู้สึกทั่วทั้งตัว" แทน เพราะตรงนี้ "เราเลือกได้ และ เราเป็นผู้เลือก"

    แต่ก็ขอบคุณทุกคำแนะนำน่ะค่ะ ลองทำดูแล้วก็ช่วยได้บ้างและจะพยายามฝึกต่อไปให้ได้ผลค่ะ

    +++ ทุกคำตอบจากทุกคนในกระทู้นี้ "มีเจตนาอันเป็นกุศล" ทั้งสิ้น ดังนั้น ให้เลือก ๆ ปฏิบัติเอา ตรงไหน work ก็เอาตรงนั้นไปก่อนก็แล้วกันนะ
     
  12. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    การปฏิบัติบวชใน มีวิธีการอย่างไร ทำอย่างไรให้ได้ผลดี มีหลักสูตรอย่างไรบ้างครับ

    บวชใน คือ บวชกับผู้ที่จะไม่เกิดฮะ ผู้ที่จะไม่เกิด แต่ว่ายังทำงานอยู่
    ยังมีครอบครัวอยู่ ยังทำธุรกิจอยู่ ยังมีภาระอยู่

    ให้อธิษฐานบวชในกับพระ หลวงปู่ หรือกับใครก็ได้
    เริ่มจากการจุดเทียนฮะ ธูปถ้ามันห้องแอร์ก็ไม่ต้องจุดหรอก
    จุดเทียนฮะ
    ข้าพเจ้าขอตั้งสัจอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ต่อหน้าหลวงปู่ดู่ ต่อหน้าหลวงปู่ทวด หรือใครก็ได้อาจารย์เรา
    ขอท่านบวชในให้ นึกว่าตัวเองเป็นพระ นึกออกไหม เป็นพระ
    ห่มผ้าเหลืองเนี้ย
    ทีนี้เริ่มแล้ว เวลาทำกรรมฐานทุกครั้ง ต้องคิดตัวเองเป็นพระทุกครั้ง
    จะรักษาศีลเจริญภาวนาเนี่ย สวดมนต์ไปไหนเนี่ย ให้นึกว่า
    ตัวเองเป็นพระ ใหม่ๆก็จะลืมมั่ง ไม่ลืมมั่งล่ะ นานๆเข้าหลายปีเข้าๆเนี่ย
    มันจะฝันว่าตัวเองเป็นพระ นั่นเริ่มแล้ว นานเข้า ก็ต้องแก่นะฮะ
    คนต้องแก่ทุกวัน นานไปเรื่อยๆ เนี่ย การกระทำเริ่มเป็นพระแล้ว
    คำพูดเริ่มเป็นพระแล้ว ท่านเรียกว่า ข้างในออกข้างนอก
    ฝึกข้างในเนี่ยออกข้างนอก นั่นแหละผลจะเกิดตรงมันออกมาข้างนอกน่ะ
    นี่คือการบวชใน ข้างในเขาออกข้างนอก

    แต่ถ้าหลวงตาเนี่ย เขาบวชนอกเข้าหาข้างใน ใช่ไหม
    จะไปไหนก็ลำบาก จะไปดูหนังก็ไม่ได้ เพราะข้างนอกมันไปใช่ไหม
    แต่ถ้าบวชในคุณไปดูหนังได้นะฮะ ไม่มีใครรู้ นั่นคือการบวชใน

    สังเกตได้ง่ายๆเลย ท่านบอกว่าการกระทำเอ็งเป็นพระเมื่อไร
    คำพูดเนี่ย นั่นคือสมบูรณ์แบบนะฮะ ไม่ใช่เขาไม่ศึกษานะฮะ
    เขาบวชในเนี่ย มีหลายคนนะฮะ ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่
    เขาศึกษาพระไตรปิฏกนะฮะ เวลาเขากรรมฐานเขาคิดว่า
    เขาเป็นพระทุกครั้งอ่ะ ไม่ต้องเสียสตังค์ท่านบอก
    ไม่ ถ้าบวชข้างนอกเนี่ยไม่ต่ำกว่าหมื่นนะฮะ
    ถ้าบวชข้างในเนี่ยเทียนเล่มเดียว หรือไม่ต้องก็ได้ ใช้ตั้งสัจจะ
    ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอธิษฐาน แล้วก็อย่าลืมนึกก็แล้วกัน
    นึกบ่อยๆ นึกจนชินนะฮะท่านว่า นั่นคือการบวชใน

    มีคนกระซิบถามว่า ถ้าบวชในแล้ว ฉันหลังเพลได้ไหมครับ
    แอบฉันเย็นได้ไหมครับ

    มันไม่เกี่ยวกับเรื่องกินฮะ กินมันเป็นเรื่องของธาตุ
    การบวชในไปเรื่อยๆเนี่ย อธิบายเมื่อกี้แล้วไง
    การกระทำมันเป็นพระไง ใช่ไหม มันไม่หิวหรอกฮะ
    ถ้าจิตมันถึง ปิติมันถึงข้างในจริงๆ มันไม่หิวหรอกฮะ
    มันจะเบิกบาน มันจะเป็นผู้รู้ฮะ มัน โอ้โฮ ฝึกยากฮะ
    ยากแต่มันง่ายท่านบอก ท่านบอกง่ายในยาก
    ยากง่ายๆ พิจารณากลับไปกลับมานะฮะ

    ผู้หญิงบวชในได้หรือไม่

    ไม่มีเพศอยู่แล้วฮะ สมัยหลวงตาบวชเมื่อก่อนนี้
    ก็บวชผู้หญิงคน ผู้ชาย 2 คน แต่ตอนหลังหลวงตาสึกแล้วฮะ
    สึกจากข้างในแล้วฮะ เพราะทีแรกเนี่ยนึกว่าจะไม่เกิดไง
    ว่าจริงๆแล้วว่าจะไม่เกิดนะฮะ พอมาอยู่ถ้ำ 3-4 ปีฮะ
    มันไม่ได้หรอกฮะ เพราะเราอธิษฐานอะไรไว้เยอะแยะไปหมดเลย
    มันไปไม่ได้ มันก็เลยมาเนี้ย มาเนี่ย

    ถ้าหลวงตาบวชในเนี่ย ป่านนี้ไม่ได้มาหรอกฮะ ไม่ทำอะไรแล้วฮะ
    นอนที่ถ้ำ ไม่ทำอะไรแล้วฮะ เพราะไม่เกิดจะทำทำไมล่ะ
    ใช่ไหม เออ มีประโยชน์อะไร ท่านบอก ถ้าเอ็งไม่เกิดเอ็งดูที่ตัวเอง
    ไม่ต้องดูใครเลย เข้าตัวเองเลย ปลายเข็มท่านบอก
    จิตเท่าปลายเข็ม ถ้าเอ็งยังเกิดเท่าแผ่นดิน ถ้าไม่เกิดเท่าปลายเข็ม
    ดูที่ตัวเอง กิเลส ตัณหา อุปาทาน เอากำลังมาตัดออกไป
    เอาออกไป เอาออกไปให้หมด มันไม่ได้ ภาระมันเยอะเลย
    อธิษฐาน ก็เลยออกมาเนี่ย ออกมาแนวทางหลวงปู่ดู่ ก็เลยต้องสึกใน
    เรื่องของเรื่องนะ

    ที่มา : หลวงตาม้าตอบปัญหาธรรม 26 มีนาคม 2556
     
  13. vichayut

    vichayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +661
    ทิษฐิในใจเราเองสร้างตัวตนของเรา
    ทุกๆเหตุการณ์ของความทุกข์เราสร้างขึ้นมาเอง
    มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกนี้
    คิดดีแล้วทำดีเริ่มที่เจตนาที่ดี
    กุศลจิตเริ่มแรกมีอยู่แล้ว
    อย่าแพ้มารในใจเราเอง
    พระศาสดาท่านว่าเหตุและปัจจัยทั้งหลาย
    ล้วนอยู่ที่การกระทำของเราเอง

    ขออนุโมทนาในธรรมครับ
     
  14. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    อกหักแล้วหนีไปบวชนี่แก้ปัญหาไม่ตรงจุดนะ ควรจะหาแฟนใหม่สักคนมาดามหัวใจถึงจะถูก
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถูกหลอก...
     
  16. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ตัดความกังวล ต่อบคคลรอบข้าง

    "....ตอนเกิด ก็ต่างคน ต่างมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาจากไหน....

    เมื่อเกิดมาแล้ว จึงมาพบกัน เป็นการผกพันกันเพียงชั่วคราว

    ...ตอนไป ก็ต่างคน ต่างไป ต่างก็ไม่รู้ที่ไป ชีวิตคนเรานี้สั้นนัก อย่าประมาทในชีวิต

    พึงกระทำสิ่งที่ควรทำ ทาน ศีล ภาวนา ผลคือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    จะทำให้ รู้ เข้าใจ และยอมรับได้ ในที่สุด
     
  17. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ความฟุ้งซ่านเป็นนิวรณ์ธรรม ทั้งเป็นสภาวธรรมขั้นสูงด้วย แม้นว่าตอนนี้ไม่มีต่อไปอย่างไรก็ต้องเจอ วันนี้เจอแล้วก็ต้องสู้กับมัน
    มันเกิดมาก็นั่งดูมัน ถามมันไปด้วยแต่ก่อนเคยเป็นไหม เคยดับไหม ดูอาการของมัน ว่ามันเป็นอย่างไร ผมแนะนำให้สู้ครับ
    เจริญในธรรม
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เอามาฝากค่ะ

    วิธีดับความฟุ้งซ่าน เมื่อฟุ้งซ่าน สมัยใดที่ควรข่มก็ควรข่ม สมัยใดที่ควรประคองก็ให้ประคอง สมัยใดที่ร่าเริงก็ให้ร่าเริงในธรรมในกุศล สมัยใดที่ควรวางเฉยก็ควรวางเฉย สมัยใดที่ยินดีในวิมุตติให้ยินดีในวิมุตติ สมัยใดยินดีในพระนิพพานก็ให้ยินดีในพระนิพพาน วิมุตติ คือ การหลุดพ้น คือ ยินดีในการกำหนดญาณ คือ ทวนญาณยินดีในมรรคในผล

    เมื่อความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมาควรใช้โพชฌงค์ปรับ จะอย่างไร ต้องใช้โพชฌงค์ข้อใดมาปฏิบัติ คือ ต้องใช้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เมื่อเวลาอุทธัจจะเกิดขึ้นให้ใช้โพชฌงค์ทั้ง 3 อย่างนี้

    คำว่า โพชฌงค์ นั้นแปลว่า องค์แห่งการตรัสรู้ องค์แห่งการบรรลุธรรม เมื่อจิตเราฟุ้งซ่านเราต้องทำจิตใจให้มีความสงบ ความตั้งมั่น และความวางเฉย จิตของเราก็สงบ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเหมือนไฟกองใหญ่ลุกโพลงขึ้นมา เราต้องหาเครื่องปฏิปักษ์ต่อไฟนั้นเครื่องปฏิปักษ์ต่อไฟ คือ ใบไม้ที่ดิบ ๆ และก็ผ้าที่เปียกและน้ำนมเอามาดับไฟนั้น เปรียบดังเรา ถ้าเราฟุ้งซ่าน ถ้าเราเจริญสมถะอยู่ก็ให้พิจารณาอสุภ คือ พิจารณาถึงของโสโครกในตัวเราในคนอื่น ว่ามีแต่สิ่งโสโครก มีอาหารเก่า อาหารใหม่ อุจจาระ ป่าช้าของหนอนทั้งหลายเป็นต้น เมื่อเราพิจารณาแล้วจิตก็จะสงบ ถ้าเจริญวิปัสสนา เมื่อความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ก็ให้เรากำหนดความฟุ้งซ่านอันนั้น ยกความฟุ้งซ่านสู้อารมณ์ กำหนดฟุ้งหนอๆ ประคองจิตไว้ให้ดี

    สมัยใดที่จิตมีความร่าเริง ก็ให้มันร่าเริง ร่าเริงในธรรม ในกุศล เรานี้มีบุญได้เกิดมาในพระพุทธศาสนา ได้ทำทาน รักษาศีล ได้เจริญภาวนา ได้ปฏิบัติธรรม ได้บวช ได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ สมัยใดควรวางเฉย ก็วางเฉย ไม่ต้องไปยินดียินร้ายกับเรื่องราวต่างๆ สมัยใดที่ความยินดีในพระนิพพาน ก็ยินดีในพระนิพพาน พระนิพพานนั้นเป็นแดนอันเกษมพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า “นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา” พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมอันยอดยิ่ง ให้มีความยินดีในพระนิพพาน อย่าให้มีความเบื่อหน่าย พยายามปลุกปลอบใจตนเองในนิพพาน ให้พอใจความพ้นทุกข์.
     
  19. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,728
    ค่าพลัง:
    +3,243
    เอาเข้าจริงๆความฟุ้งซ่านจะระงับ
    ในแบบพระพุทธศาสนาก็ต่อเมื่อ
    1องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่าดับ
    2เป็นบรรลุปัจเจกพุทธเจ้า แล้วรับรองตัวเอง
    3 เป้นพระพุทธเจ้าเอง

    นอกนั้นได้แต่เห้นว่าฟุ้ง เป็น ทุกข์ ไม่มีวันหาย ถ้าไม่ได้มีเหตุสามอย่างที่ได้ยกตัวอย่าง
    ให้ตายยังไงก็ไม่หาย
    กัปล์ไหน กัลป์ไหนก็ไม่หาย

    ยิึงไปขมขืนกันเอง ยิ่งฉิบหายกว่าเก่า
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ที่คุณบุญยงกล่าวมาถูกต้องค่ะ ความดับไม่เหลือนั้นก็คือนิพพาน และผู้ที่เข้าถึงความดับไม่เหลือมีเพียงองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและอรหันต์เท่านั้น ปัจจุบันไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว มีเพียงพระธรรมวินัยและคำสอนในพระไตรปิฎก ตอนนี้ ขณะนี้ คงยังไม่ต้องการคำพยากรณ์หรอกค่ะ เพราะแค่ปฏิบัติกันในเบื้องต้นเท่านั้นเอง แค่รู้กายรู้จิต รู้สภาวะธรรม

    หากจะมองว่า ถ้างั้น เราๆ ปุถุชนก็ไม่ต้องหาอุบายในการดับอารมณ์ต่างๆ เลยซิ ปล่อยให้มันดำเนินต่อไปใช่มั้ย ถึงแม้จะรู้ว่าร้อนก็ปล่อยให้มันเผาต่อไปหรืออย่างไร ไม่ใช่แน่ค่ะ สำหรับนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก็ต้องไตร่ตรองพิจารณาดับความฟุ้ง (อุทธัจจะกุกกุจจะ) ที่เป็นเครื่องกั้นความก้าวหน้าในทางธรรม (นิวรณ์ 5) เพื่อให้จิตดำเนินไปสู่ความรู้ที่สูงขึ้นไป สู่สมาธิอีกระดับ จริงไหมคะ

    ถึงแม้จะเพียงแค่ระงับได้ชั่วคราว แต่ในระหว่างเวลาชั่วคราวนั้น จิตก็สามารถดำเนินไปได้ในอีกระดับ ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ เหมือนเติมน้ำวันละหยด สักวันน้ำก็เต็มตุ่มเอง หากตุ่มไม่รั่วไปซะก่อน

    พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้หมดแล้ว เราเพียงแค่นำคำสอนเหล่านั้นน้อมมาปฏิบัติให้เห็นจริง เมื่อได้น้อมนำไปปฏิบัติแล้วจึงจะเห็นจริง ยกเว้น ผู้ที่อ่านแต่ไม่ได้น้อมนำไปปฏิบัติจึงไม่เห็นจริง แล้วก็มาตะแบงเพื่อเอาชนะคะคานกันเอง ไม่มีประโยชน์อันใดเลย

    ขอให้เจริญในธรรมค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...