พอใจรูม

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ppojai, 3 ตุลาคม 2010.

  1. ratsameee

    ratsameee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +14
  2. ratsameee

    ratsameee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +14
    32 ข้อ ประเมินตนเอง ว่า "ตื่นรู้" มากแค่ไหน

    วันนี้ขอนำ บทความดีของ อ.วรภัทร ภู่เจริญ มาแบ่งปัน เกี่ยวกับเรื่องการฝึกสติครับ 32 ข้อ ประเมินตนเอง ว่า "ตื่นรู้" มากแค่ไหนหลายคนถามผมว่า ฝึกสติไปแล้ว วัดผลยังไง ผมก็ขอ อธิบาย ง่ายๆ เป็นข้อๆ เป็น checklist ง่ายๆ นะ นี่แหละ Key Behavior Indicators :-

    ๑) มีแนวโน้มที่จะ สดใสขึ้น ใจว่างๆ โล่งๆ (ใจดี หรือ ดีใจ ไม่เหมือน ใจโล่งๆ นะ) ไม่อมทุกข์ ไม่หน้าบึ้ง
    ๒) มีแนวโน้มที่จะ ยิ้มง่ายขึ้น ยิ้มให้คนอื่นก่อน ไม่ต้องรอให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน
    ๓) มีแนวโน้มที่จะ ไหว้คนอื่นได้ก่อน ไม่มีข้อแม้ว่า ใครต้องไหว้ใครก่อน
    ๔) มีแนวโน้มที่จะ ถ่อมตน ไม่เจ้ายศ ไม่เจ้าอย่าง ง่ายๆ ติดดิน
    ๕) มีแนวโน้มที่จะ รับผิดชอบงานมากขึ้น ไม่อ้าง ไม่หนี อดทน ยอม
    ๖) มีแนวโน้มที่จะ มีเมตตามากขึ้น ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล
    ๗) เมื่อได้ยินเรื่องราวใดๆ ก็มีแนวโน้ม ที่จะ ดู สังเกต มากกว่าที่จะ ด่วนวิจารณ์ ด่วนออกอาการ ด่วนออกอารมณ์ แม้นจะโดนด่า โดนเข้าใจผิด ก็ยัง อดทน ควบคุมตนเองได้ ง่ายๆ ปล่อยๆ ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาก็ได้
    ๘) มีแนวโน้มที่จะ เปิดโอกาสผู้อื่นพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วน "สวนกลับ" ไม่ด่วน "หักคอ" ไม่ด่วนสรุป ไม่ด่วนฟันธง ไม่แทรกแซงขณะคนอื่นกำลังพูด อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่คูมตาม เมื่อโดนคนอื่นด่า
    ๙) มีแนวโน้มที่จะ ยอมรับ เปิดใจ ยอมรับ ความคิดเห็นที่แตกต่างได้ รับฟังอีกมุมมองได้
    ๑๐) มีแนวโน้มที่จะ ขยันๆ และ "กล้า" ลงมือทำ ในเรื่องที่ดี เป็นกุศล ต่างๆ ทันที โดยไม่มีข้อแม้น ไม่เอาเรื่องในอดีตมาทำให้สะดุดในการที่จะทำ ไม่เอาเรื่องในอนาคตมาหยุดตนเอง ทำตามเป้าหมายได้ ไม่วอกแวก รู้จัก focus
    ๑๑) มีแนวโน้มที่จะ หันไป กตัญญู พ่อแม่ ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณมากขึ้น ครูเก่า เจ้านายที่เคยช่วยสอน ผู้มีอุปการะคุณ ฯลฯ
    ๑๒) มีแนวโน้มที่ สัตว์เลี้ยงต่างๆ จะเดินเข้ามาหา เพราะ คนที่ใจสงบ ตื่นรู้ บรรดาสัตว์ในธรรมชาติ เขาจะ รับรู้
    ๑๓) มีแนวโน้มที่จะ ไม่เมาบุญ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ๑๔ )มีแนวโน้มที่จะ "ให้" บริจาค จิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม มากขึ้น
    ๑๕) มีแนวโน้มที่จะ รู้สึกว่าตนเอง เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ รู้สึกว่า ผู้คนกับตัวเอง เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่รู้จะทำลายกันไปทำไม
    ๑๖) มีแนวโน้มที่จะคบ บัณฑิต หลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ดีๆ มากขึ้น ไปหา ไปฟังธรรมจากท่าน ตามโอกาส
    ๑๗) มีแนวโน้มที่จะ ห่างไกลคนพาล อบายมุข
    ๑๘) มีแนวโน้มที่จะ รักษาศีล๕มากๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ผิดกาม ไม่โกหกหลอกลวง ไม่ทานของมึนเมา
    ๑๙) มีแนวโน้มที่จะ ชื่นชม (Appreciation) ผู้คน ยินดีที่คนอื่นได้ดี หรือ มี มุทิตา นั่นเอง
    ๒๐) มีแนวโน้มที่จะ ไม่นินทาใคร ไม่ทำให้ใครแตกแยก ชวนให้คนสามัคคีกัน
    ๒๑) มีแนวโน้มที่จะ ไม่กังวล หลับสบาย หลับง่าย
    ๒๒) มีแนวโน้มที่จะ ไม่ฝันร้าย เช่น ในฝันไม่รู้สึกวิ่งยากลำบาก ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป ไม่ฟันว่าฟันหัก ไม่ฝันว่า กลับไปเป็นเด็กแล้วเครียดก่อนสอบ อีก
    ๒๓) มีแนวโน้มที่จะฝันดี เช่น เจอพระ เจอคนดีๆ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น มีความสุข
    ๒๔) มีแนวโน้มที่จะ นึกอะไร อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล ไม่นานก็จะได้ หรือ มีคนเอามาให้
    ๒๕) มีแนวโน้มที่จะยอมคน เช่น ยอมให้แซงคิว ยอมให้เอาเปรียบ ยอมให้ต่อว่า ฯลฯ
    ๒๖)มีแนวโน้มที่จะ ไม่ด่วน "ประเมิน" ตัดสิน ตัดเกรด แบ่งแยก พิพากษา (judgement) ผู้คน ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้ก่อน ดูมากขึ้น เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง
    ๒๗) มีแนวโน้มที่จะ รักผู้คนแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional love) ไม่หวังผล ให้ก็คือให้ ไม่มีข้อแม้น ไม่อิจฉา ไม่ริษยา
    ๒๘)มีแนวโน้มที่จะ รู้จักสติที่ฐานกาย ใช้ "กายรู้กาย" ได้มากขึ้น นานขึ้น ต่อเนื่องมากขึ้น รู้ๆทุกก้าว ทุกอิริยาบท
    ๒๙)มีแนวโน้มที่จะ "จับ" ความรู้สึก ที่ "ใจ" ของตนเองได้ รู้ว่าใจกุศล อกุศล
    ๓๐)มีแนวโน้มที่จะ "แยกแยะ" จิต กับ ความคิด ได้ รู้จักความคิดจร ( ความคิดนอกแผน ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ความคิดที่ชวนไปเละเทะ ฟุ้งซ่าน ออกนอกทาง ฯลฯ) เป็น นีโอ ที่ สามารถจับกระสุนความคิด ที่ กิเลสยิงใส่มาได้
    ๓๑) มีแนวโน้มที่จะ กลับไปอ่าน หนังสือธรรมะ แล้ว เข้าที่ "ใจ"มากขึ้น ร้อง "อ๋อ" มากขึ้น
    ๓๒) ไม่กลัวตาย สิ้นข้อสงสัย และ ไม่งมงายในศีลภายนอก ๓๓) อื่นๆ



    Posted Yesterday by aittichai thongpaibool
     
  3. ratsameee

    ratsameee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +14
  4. ratsameee

    ratsameee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +14
  5. ratsameee

    ratsameee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +14
  6. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
  8. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    Mind Money and Myself
    ทำไมเศรษฐีจึงหมดตัวได้?

    คนรวยมากๆ ไม่ใช่จะรวยได้ตลอดชีวิตเสมอไป ความพลิกผันในเรื่องเงินที่เกิดขึ้นกับคนเหล่านี้จนล้มละลายมีบทเรียนให้ศึกษา

    George Foreman แชมป์มวยผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในรุ่นเดียวกับ โมฮัมเหม็ด อาลี ต้องกลับมาชกมวยอีกครั้งตอนอายุ 45 ปี เพราะหมดตัวหลังจากได้เงินจากการชกมวยรวมนับร้อยล้านเหรียญสหรัฐ กลับมาคราวนี้ถึงแม้จะเจ็บตัวอยู่หลายไฟต์ แต่เขาก็พอมีเงินอีกครั้งและนำเงินไปลงทุนเปิดร้านขายแฮมเบอร์เกอร์จนไปได้ดี

    เศรษฐีอเมริกันหลายคนจบชีวิตลงอย่างยากไร้ ไม่ว่าจะเป็น Thomas Jefferson, Mark Twain, Debbie Reynolds, Mike Tyson, Michael Jackson ฯลฯ

    Mike Tyson เคยชกครั้งหนึ่งได้ 30 ล้านเหรียญ เขารวยได้เงินมานับร้อยล้านเหรียญ แต่ในปี 2004 เขาล้มละลาย โดยแจ้งต่อศาลว่า มีหนี้ 27 ล้านเหรียญ ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้คือภาษีที่ค้างจ่าย เขาบอกว่าเดือนหนึ่งต้องใช้จ่ายเงินประมาณ 400,000 เหรียญ

    Michael Jackson อีกรายที่กำลังมีปัญหาการเงิน ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเขามีหนี้ 270 ล้านเหรียญ โดยกู้มาเพื่อลงทุนซื้อลิขสิทธิ์เพลง ของ The Beatles และที่ดินนับพันเอเคอร์ที่เขาตั้งชื่อว่า Neverland ในปี 2005 เขาไม่ชำระหนี้จนจะถูกยึดที่ดินและกำลังเป็นปัญหากฎหมายกันอยู่

    เรื่องเล่าเหล่านี้เล่ากันไม่จบ มีอีกมากมายทั้งไทยและเทศ คำถามก็คือเกิดอะไรขึ้นกับคนรวยเหล่านี้จนมีหนี้ท่วมตัว? ทำไมบางคนจึงจบลงด้วยความสิ้นเนื้อประดาตัว?

    David Latko ให้คำตอบข้างต้นในหนังสือของเขาชื่อ "Every Body Wants Your Money" Latko บอกว่ามีอยู่ 5 หนทางที่ทำให้บุคคลหนึ่งร่ำรวยขึ้นมา คือ (1) รับมรดก (2) แต่งงานกับคนรวย (3) โกงเขามา (4) ถูกลอตเตอรี่ (5) ได้มาด้วยลำแข้ง

    เขาบอกว่าเฉพาะรวยจากหนทางที่ (5) เท่านั้นที่ยั่งยืน คนที่รวยจากหนทาง (1) ถึง (4) มีทางโน้มที่จะผลาญเงินที่ได้มาหมด คนที่รวยด้วยตนเองมักจะดูแลเงินที่มีเป็นอย่างดี แต่มีอยู่เป็นจำนวนมากที่รักษาความร่ำรวยไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะพวกที่ได้เงินมามากๆ ในเวลาอันสั้น ดั่งเช่น ดาราภาพยนตร์ นักมวย นักกีฬา นักดนตรี คนถูกลอตเตอรี่ ฯลฯ

    พวกนี้ถ้าไม่มีคนดูแลเรื่องเงินให้เป็นอย่างดีแล้ว มักไม่มีอะไรเหลือ ในปี 1991 Warren Buffet อภิมหาเศรษฐีอเมริกาผู้รวยจากหุ้นบอกว่า ตามที่เขาเห็นมา หนี้กับเหล้า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐีเหล่านี้สิ้นเนื้อประดาตัว เขาเห็นว่า "มนุษย์ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่ ถ้าเก่งจริงก็จะหาเงินได้โดยไม่ต้องไปกู้ยืมเขามามากมาย ผมไม่กู้เด็ดขาด และไม่คิดว่าตนเองจะมีความสุขมากขึ้นเสมอไป ถ้าได้อะไรมากขึ้น"

    ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าสาเหตุแรกของการถังแตกของเศรษฐีก็คือ คนรวยนั้นมีความแตกต่างจากพวกเราตรงที่มี Egos (ความเห็นหรือความรู้สึกเกี่ยวกับความสามารถและความสำคัญของตนเอง) มากกว่า การมีจิตวิทยาเช่นนี้ทำให้คิดว่า ตัวเองรู้ทุกอย่าง แต่ความจริงก็คือไม่ได้รู้ทุกอย่าง หลายคนจึงลงทุนผิดพลาดซ้ำซาก เพราะสิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นกับใครๆ ก็ได้ทั้งนั้น

    สาเหตุที่สองก็คือความสำเร็จทางการเงินทำให้ตนเองเกิดความเชื่อว่าตนเองยากที่จะทำอะไรผิด (หรือเป็นไปไม่ได้เลย) ถึงแม้จะมีหลักฐานว่ากำลังจะตัดสินใจลงทุนผิดพลาด หรือสิ่งที่ได้ลงทุนไว้แล้วกำลังจะมีปัญหาก็จะไม่ยอมรับ เพราะความเชื่อมั่นในตัวเองทำให้ยอมรับไม่ได้

    นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่าจะมีเงินสดไหลเข้ามาเสมอ ดังนั้น จึงสามารถใช้จ่ายเงินได้มากมายไปก่อนด้วยการกู้ยืม เพราะตนเองมีหลักทรัพย์เพียงพอที่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน หนี้ของคนรวยจึงเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เช่นนี้ และหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเพราะไม่มีเงินไหลเข้ามาเพื่อชำระหนี้ หรือถึงมีเงินไหลเข้ามาก็ถูกใช้จ่ายไปอีกจนหมด การชำระหนี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ปัญหาการเงินจึงเกิดขึ้นทันที

    นักจิตวิทยาบอกว่าเศรษฐีคนใดจะมีปัญหาหรือไม่ ให้มองย้อนไปในอดีตในตอนวัยเด็กและตอนเติบโตว่า "ข้อความ" ที่เขาได้รับเกี่ยวกับเงินแต่เยาวัยนั้นเป็นอย่างไร และให้พิจารณาประกอบกับลักษณะทางอารมณ์ของตัวเขา ทั้งหมดนี้พอบอกได้ว่าเขาจะจัดการเรื่องเงินได้ดีเพียงใดในตอนเป็นผู้ใหญ่

    ถ้าในวัยเด็กถูกสอนให้รู้จักคุณค่าของเงิน ถูกสอนว่าเงินเป็นสิ่งหามาได้ยาก ก็จะมีทางโน้มสู่การหวงแหน และทนุถนอมเงินที่ตนเองได้รับ แต่ถ้าไม่ถูกสอนเลยหรือถูกสอนว่าเงินเป็นเรื่องง่ายๆ พ่อแม่มีมากมายให้ใช้ ดังนั้น จึงขอให้ใช้ได้อย่างสบายใจ หากเป็นเช่นนี้ เมื่อโตขึ้นก็จะไม่รู้จักคุณค่าของเงิน และมีทางโน้มที่จะรักษาเงินไว้ได้ยากเมื่อโตขึ้น

    นักจิตวิทยาทางการเงินผู้ให้คำแนะนำแก่เศรษฐีบอกว่า ในสังคมที่บุคคลต้องใช้จ่าย เพื่อแสดงฐานะของความเป็นเศรษฐีของตนเอง ไม่ว่าในเรื่องการอยู่กินหรือมีบ้านมีรถยนต์เพื่อให้ได้รับการยอมรับ มีโอกาสที่เศรษฐีจะเกิดปัญหาการเงินได้ง่ายกว่าในสังคมที่การยอมรับอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม

    ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือหมดตัวนั้นโดยแท้จริงแล้วก็คือบุคคลที่ไม่รู้สึกลงตัวกับการมีเงิน

    กล่าวโดยสรุปได้ว่าถึงแม้จะเป็นเศรษฐีแต่ก็สามารถล้มละลายได้เสมอหากไม่ระวังตัวให้ดี สิ่งที่จะทำให้เป็นปัญหาก็คือ การก่อหนี้โดยเชื่อมั่นว่า มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่มากมาย จนถึงแม้จะกู้มาใช้จ่ายอย่างสนุกมือก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดปัญหาในองค์กรเองหรือจากภายนอก หลักทรัพย์นั้นอาจมีมูลค่าลดลง และ/หรือเงินสดที่ไหลเข้า อาจลดลงจนไม่พอชำระหนี้ หนี้ก็จะพอกพูนขึ้นจนในที่สุดก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้

    เศรษฐีจะรวยได้ยั่งยืนก็คือเศรษฐีหัวไม่โต รู้จักการให้ ไม่เชื่อในเรื่องเป็นหนี้ อยู่กินอย่างพอเหมาะ ไม่ลงทุนอย่างสุ่มเสี่ยงเกินไป เพราะความโลภบังตาและบังใจ ไม่เล่นการพนัน และสุดท้ายมีสติเสมอ นี่คือข้อสรุปของบรรดาผู้ไม่ได้เป็นเศรษฐีแต่เห็นชัดเพราะอยู่ข้างนอกว่าเศรษฐีหมดตัวเพราะเหตุใด

    แล้ววันนี้ คุณกำลังจะเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยหรือเศรษฐีที่หมดตัว?

    นายโชค(ดี) มีพันล้าน
    https://www.facebook.com/tloketkarwe

    Credit:
     
  9. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ชื่อ สว่างวงศ์ โทธิเบศร์วงษา
    9 มค. 2011

    ถึง คนไข้เกี่ยวกับสมอง
    ย้อนเรื่อง เสียงชั่วคราวจุดอ่อนด้านขวา 2 เดือนในขณะที่มีการเพิ่มขึ้นของแขนขวา

    โพสต์แกโดลิเนียม T1W แกนเวียนวิวทัลและ PCA MRA ของลำคอ

    การศึกษาแสดงให้เห็นความรุนแรงที่ผิดปกติสัญญาณพร้อมโพสต์ลอนซ้ายกลางแสดง hyperintense บน T2W

    และ FLAIR ภาพโดยไม่มีข้อ จำกัด ของเหลวบน DWI แต่ enhnacement ต่อพ่วงหลังฉีดแกโดลิเนียม, แนว

    ทางของเวทีกึ่งเฉียบพลันของกล้ามเนื้อ บางสิ่งประดิษฐ์ susceptability เชิงเส้นพร้อม gyri ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยว

    กับภาพการไล่ระดับสีที่บ่งบอกถึงการตกเลือด petichaial corrresponding สู่ขั้นตอนของกล้ามเนื้อ ไม่มีผล

    กระทบต่อความดันหรือบวมอย่างมีนัยสำคัญเป็นที่สังเกตุ

    เสริมอีก GYRAL ABNORMAL AT CUNEUS สิทธิ์ท้ายทอย LOBE ยังจำได้สอดคล้องกับ

    HYPERINTENSITY ABNORMAL ON FLAIR แต่ไม่ได้อยู่ใน DWI

    ไม่กี่จุดที่ความเข้ม hypersignal ทวิภาคีสารสีขาวของกลีบ subcortical frontoparietal และ semiole ศูนย์

    กลางจะเห็นแนวโน้มที่จะเชิญชม ส่วนที่เหลือของสมองคือการขยายตัวของระบบ unremarkable.No กระเป๋า

    หน้าท้องเป็นที่สังเกตุ.ไม่มีการเพิ่มประสิทธิภาพที่ผิดปกติอื่น ๆ ที่มีการตรวจพบ

    MRA แสดงตีบหรืออุดตันของสาขาที่สำคัญของหลอดเลือดโป่งพองในสมอง circulation.No หรือเรือที่ผิดปกติได้

    รับการยอมรับ

    สรุป กล้ามกึ่งเฉียบพลันที่ด้านซ้ายลอนโพสต์กลางของกลีบข้างขม่อมที่เกี่ยวข้องในการจัดหาจากสาขาส่วนปลาย

    ของสาขาข้างขม่อมของหลอดเลือดแดงในสมองตรงกลางด้านซ้าย ไม่มีการตรวจพบการอุดหลอดเลือดแดงใกล้เคียง
    ขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อน้อยที่สุดของเยื่อหุ้มสมองกลีบท้ายทอยขวา(cuneus) เกินไป
     
  10. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2014
  11. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
  12. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ผักชีล้างไต

    ผักชีล้างไต โคตรสุดยอด++!!!!!!แชร์ด่วน
    วิธีล้างไตแบบง่ายๆ
    ไตมีหน้าที่กรองเกลือส่วนเกินในอาหาร รวมทั้งสารพิษที่มาใน
    อาหารและอื่นๆปีแล้วปีเล่า
    ดังนั้นถึงเวลาในการทำความสะอาดอวัยวะที่เรียกว่า"ไต"
    กันเสียที ด้วยเรื่องง่ายๆไม่เกิน 100 บาทก็ทำได้แล้ว
    โดยการนำ"ผักชี"มาล้างทำความสะอาดและสับให้ละเอียด
    หลังจากนั้นนำไปต้มประมาณ 10 นาที และกรองเอาแต่น้ำ
    แช่ตู้เย็น กินวันละ 1 แก้วใหญ่
    หรือหากใครนำมาปั่น อาจจะปั่นสดๆดื่มทันทีตอนเช้าก็ได้
    แค่นี้คุณจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง โดยการที่ไตคุณ
    ถูกล้าง สังเกตได้จากปัสสาวะที่ถูกถ่ายออกมาและความรู้
    สึกสดชื่นอย่างที่ไ่ม่เคยเป็นมาก่อน
    ฝากแชร์หน่อยครับ...
    ช่วยคนป่วย...แจ้งข่าวผู้ป่วยมะเร็งตับ
    ผลงานวิจัย กรมพัฒนาแพทย์ แผนไทยฯนำสูตรยา สมุนไพรโบราณเรียก ว่าเบญจอำมฤตย์
    มีสรรพคุณ ต้านเซลมะเร็ง ใช้รักษามะเร็งตับ ได้ผลดี รับยาฟรีได้ที่ โรงพยาบาล แพทย์ แผนไทย ที่ยศเส กทม.โทร 022243263 กด 1
    ช่วย ปชส ด้วย ได้บุญจริงๆอย่างน้อยคนไข้ก็จะได้มีช่อง ทางของความหวัง
     
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ
    ‪#‎วิธีให้อาหารเสริม‬ เริ่มกินหลัง 6 เดือนนะคะ

    ให้เริ่มด้วยข้าวกล้อง (บางคนแพ้ข้าวกล้อง กินแล้วมีผื่นขึ้น หรือ ท้องผูก ก็ให้เปลี่ยนเป็นข้าวขัดขาว) หุงรวมกับถั่ว แล้ว ค่อยๆใส่ผักทีละอย่าง ใช้ซ้ำหนึ่งเมนู นาน 4-5 วัน เพื่อการตรวจสอบว่าไม่มีปัญหาแพ้ อาการแพ้ คือ ผื่น ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ถ่ายเป็นมูกเลือด งอแง ส่วนผลไม้และน้ำผลไม้ ค่อยเริ่มเดือนถัดไป เพื่อให้รู้จักรสชาติของผักก่อน เพื่อไม่ให้ติดหวาน

    ผักที่ใช้มีดังนี้ แครอท ไชเท้า มันเทศ มันฝรั่ง มันม่วง มันญี่ปุ่น ถั่วลันเตา ถั่วแขก ถั่วฟักยาว ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วขาว ถั่วชิกพี ถั่วสปลิท ลูกเดือย ลูกบัว ผักกาดขาว ผักกาดเขียว ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว กะหล่ำปลี ตำลึง ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ผักโขม ปวยเล้ง บ็อคชอย มะรุม ยอดมะระ ผักหวาน ข้าวโพดอ่อน เห็ด หัวหอมใหญ่ บล็อกโครี่ กะหล่ำดอก ฟักขาว แตงกวา แตงร้าน ฟักทอง ฟักเขียว อโวคาโด เมล็ดพืช ควรเลือกผักออร์แกนิกจะได้สารพิษน้อยหน่อย ควรแช่น้ำยาล้างสารพิษ เช่น เบคกิ้งโซดา หรือ น้ำเกลือ หรือ น้ำยาแช่ผัก

    อโวคาโด เมล็ดพืช เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดงา เมล็ดแฟล็กซ์ มีโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของดีเอชเอ ช่วยบำรุงสมองและสายตา

    ส่วนของข้าวกล้องและถั่วจะสุกช้า จึงควรแช่น้ำทิ้งไว้ 24 ชม.จึงค่อยต้มให้สุกด้วยน้ำเปล่า หรือ น้ำซุปผัก ไม่แนะนำน้ำต้มกระดูกหมู เพราะจะได้ไขมันจากสัตว์เข้าไปด้วย ห้ามปรุงรสด้วยซี่อิ๊ว น้ำปลา น้ำตาล น้ำผึ้ง เพราะจะทำให้ลูกติดรสชาติ ไม่ดีกับสุขภาพ แต่ให้ใส่เกลือไอโอดีนเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ขาดสารไอโอดีน ไม่ใช่ใส่เพื่อให้มีรสชาติ เมื่อข้าวและถั่วสุกดีแล้วจึงค่อยใส่ผัก รอจนสุก ปล่อยให้เย็นแล้วตักใส่ช่องทำน้ำแข็ง เมื่อแข็งแล้วแกะใส่ถุงเก็บนม แยกเป็นแต่ละเมนู เก็บได้นาน 4 สัปดาห์ในตู้เย็นนช่องฟรีส เวลาจะใช้ แกะออกจากถุงใส่ภาชนะที่ปลอดภัยในการอุ่นด้วยไมโครเวฟ หรือ อุ่นบนเตา คนให้เข้ากันดี เพราะบางจุดร้อนจัด เดี๋ยวลวกปากลูก ไม่ควรทำอาหารจากดิบเป็นสุกด้วยไมโครเวฟ สำหรับอาหารของลูก เพราะกลัวจะสุกไม่ทั่วถึง แต่ใช้เป็นการอุ่นอาหารที่สุกมาแล้วได้ค่ะ

    ส่วนภาชนะ จาน ถ้วย ช้อน ถาดน้ำแข็ง ล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดขวดนมและน้ำเปล่า ไม่ต้องนึ่ง

    อายุ 6-7 เดือน ให้บดอาหารให้ละเอียด โดยปั่นละเอียด หรือครูดผ่านกระชอน วันละมื้อเดียว หัดให้ลูกกินน้ำจากถ้วยหรือหลอดดูด หรือ ช้อนตักน้ำป้อนเวลากินข้าวแล้วฝืดคอ ในวันแรก เริ่มป้อนเพียง 1 ชต. แล้วตามด้วยนมแม่จนอิ่ม ค่อยๆเพิ่มวันละ 1 ชต. อย่าเพิ่มเร็ว เดี๋ยวท้องอืด แล้วร้องกวนตอนกลางคืน แต่ถ้าลูกไม่อยากกิน อย่าบังคับ ให้หยุดป้อน แล้วค่อยให้ใหม่วันต่อมา จนกินได้ครบมื้อ ปริมาณ 5-8 ชต. นมมื้อนั้น จะเลื่อนการกินออกไปอีก 3-4 ชม.

    ในกรณีที่ยังไม่ทราบว่าแพ้อาหารหรือไม่ ควรให้กินมื้อเช้า หรือ กลางวัน เพราะหากป้อนมื้อเย็น แล้วมีปัญหาแพ้อาหาร ลูกอาจมีอาการผิดปกติตอนกลางคืน ซึ่งสังเกตอาการได้ยากและต้องไปโรงพยาบาลเวลาฉุกเฉิน แต่ถ้าหากทราบว่า ไม่มีอาการแพ้ อาจเปลี่ยนมาให้อาหารเป็นเวลาเย็น อาจมีประโยชน์ในแง่ อาหารทำให้อิ่มนานขึ้น ลูกอาจหลับได้ยาวขึ้น

    เริ่มใส่เนื้อสัตว์เดือนที่ 7 คือ ไก่ หมู ปลาน้ำจืด เช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลานิล ปลาทับทิม ปลากราย ปลาเนื้ออ่อน ปลาสวาย ปลาคัง ปลาตะเพียน (ระวังก้าง) ตับไก่ ตับหมู ไข่แดง (ต้องต้มให้สุกเต็มที่ หากเป็นยางมะตูม หรือ ไข่ลวกหรือไข่ที่ตอกลงไปในโจ๊ก ซึ่งสุกไม่เต็มที่ เชื้อโรคไม่ถูกทำลาย จะทำให้ถ่ายเป็นมูกเลือดได้) ปริมาณที่ใส่ต่ออาหาร 1 มื้อ คือ 1 ช้อนโต๊ะพูน ไม่ควรมากกว่านี้ เพราะไตจะทำงานหนัก บดให้ละเอียด ของใหม่ใช้ทีละอย่าง ใช้ซ้ำ 4-5 วัน เพื่อตรวจสอบอาการแพ้ ส่วนไข่ขาว และ อาหารทะเลให้เริ่มหลังจากอายุ 1 ขวบ เนื่องจากแพ้ง่าย หากเริ่มเร็วเกินไป อาจไปกระตุ้นทำให้เกิดปัญหาแพ้ภายหลังได้

    เดือนที่ 7 เริ่มผลไม้ปั่นละเอียดและเติมน้ำลงไปด้วย จะได้ไม่ฝืดคอและไม่หวานเกินไป เป็นอาหารว่างอีก 1 มื้อ ปริมาณ 3-4 ชต. เช่น แอปเปิ้ล สาลี่ แคนตาลูป ชมพู่ แตงไทย แตงญี่ปุ่น ลูกพลับ ลูกพีช ลูกแพร์ พุทรา กล้วย มะม่วงสุก มะละกอสุก (หากกินผัก ผลไม้ สีเหลือง สีส้ม มากๆ อาจทำให้ผิวสีเหลือง ไม่อันตราย กินต่อไปได้ ถ้าหยุดกินแล้ว กว่าจะหายเหลือง จะใช้เวลานานประมาณ 6 เดือน) ส่วนผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว กีวี สัปปะรด มะเขือเทศ บลูเบอรี่ สตรอเบอรี่ ให้เริ่มหลัง 1 ขวบ เนื่องจากแพ้ง่าย

    ไม่แนะนำให้ขนมทุกชนิดใน 2 ขวบแรก แม้แต่ขนมปัง หรือ ที่เขาว่าเป็นขนมสำหรับเด็กฝึกถือกินเองก็ตาม เพราะจะทำให้ลูกติดใจรสชาติ ไม่ชอบกินข้าว ฟันผุ เป็นโรคอ้วน และขนมปังก็มีสารอาหารน้อยกว่าข้าว จึงไม่ควรให้รู้จัก ถ้าลูกเป็นเด็กมีปัญหากินข้าวยาก นอกจากนี้ขนมปังเป็นอาหารแปรรูป มีการปรุงแต่งใส่รสชาติ สารกันบูด นมเนยชีส และตัวแป้งสาลีก็ถือเป็นอาหารก่อภูมิแพ้

    เดือนที่ 8 – 9 ให้เพิ่มข้าวเป็น สองมื้อ เริ่มป้อนอาหารเนื้อหยาบขึ้น คือ ไม่บดละเอียด แต่ตุ๋นให้นุ่ม เวลาป้อนให้ใช้หลังช้อนบด แต่ต้องดูด้วยว่า ลูกสามารถกินได้หรือไม่ ถ้าเคี้ยวแล้วกลืนได้ ไม่ติดคอ ไม่คายออกมา ไม่อมเอาไว้ในปากโดยไม่กลืน แสดงว่ากินได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ ให้กลับไปบดละเอียดเหมือนเดิม แต่ทำให้ข้นมากขึ้นเล็กน้อย แล้วเดือนหน้าค่อยลองป้อนใหม่

    มื้อที่สาม ให้เริ่มเมื่ออายุ 11-12 เดือน และเริ่มทำอาหารแบบไม่ต้องตุ๋น เพียงแค่ต้ม แล้วดูว่าลูกกินได้หรือไม่ เด็กหลายคนเริ่มกินข้าวสวย และข้าวเหนียวได้ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ เริ่มปรุงรสอ่อนๆได้ แต่ต้องดูด้วยว่า ไม่มีปัญหาท้องผูก หรือ ถ่ายออกมาเป็นอาหารไม่ย่อย เนื่องจากการกินอาหารที่หยาบมากขึ้น

    เวลาเดินทาง แนะนำให้ใช้อาหารสำเร็จรูปบรรจุในกระปุกแก้ว ที่เปิดฝาแล้วตักกินได้เลย เลือกชนิดที่ไม่เติมน้ำตาล สารกันบูด และนมผง แต่ถ้าอยู่บ้าน แนะนำให้กินอาหารทำเองแช่แข็ง จะมีคุณค่ามากกว่าอาหารสำเร็จรูป ไม่แนะนำอาหารที่เป็นผงชนิดก่อนใช้ให้ผสมน้ำบางยี่ห้อ เนื่องจากมีน้ำตาลและนมผงผสมอยู่ และอาหารที่เป็นผง จัดว่าเป็นอาหารที่มีการดัดแปลงมากเกินไป เนื่องจากผ่านกระบวนการความร้อนที่ทำให้เป็นผง จึงเหลือคุณประโยชน์น้อยลง

    ควรฝึกให้ลูกได้ตักอาหารกินเอง ตั้งแต่อายุ 9 เดือน ไม่ต้องกลัวเลอะเทอะ โดยให้นั่งเก้าอี้ (high chair) และมานั่งกินพร้อมผู้ใหญ่ จะได้เลียนแบบท่าทางของผู้ใหญ่ ไม่ควรกินข้าวพร้อมกับเล่นของเล่น หรือ ดูทีวี หรือ เดินตามป้อนหน้าบ้าน เพราะจะทำให้ติดเป็นนิสัย ไม่มีสมาธิกับการกินข้าว อมข้าว และใช้เวลานานเกินไป

    ตำราทำอาหารบางสูตร แนะนำให้ใส่เนย มาการีน ชีส หรือ นมวัว หรือ นมผง ลงไปในอาหาร แต่ป้าหมอไม่แนะนำ เนื่องจากทำมาจากนมวัว ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้

    ส่วนกรณีที่ต้องการเอานมแม่ที่สะสมไว้มาประกอบอาหาร อาจมีที่ใช้ใน 2 กรณี คือ หนึ่ง ลูกไม่ยอมกินนมที่สะสมไว้ หรือ สอง ลูกไม่ยอมกินอาหาร ดังนั้นการเอานมแม่มาผสมกับอาหาร อาจทำให้ยอมรับสิ่งที่ไม่ยอมกินได้ง่ายขึ้น แต่หากลูกยอมกินนมที่สะสมอยู่แล้ว และยอมกินข้าวดีอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องละลายนมเพื่อนำมาใช้ประกอบอาหาร ให้ยุ่งยากหลายขั้นตอน แต่หากลูกมีปัญหาดังกล่าว วิธีเอานมแม่แช่แข็งมาใช้ประกอบอาหารคาว ให้ทำอาหารให้ข้นกว่าปกติ หลังจากที่อุ่นอาหารพร้อมจะกินแล้ว ให้ละลายนมแม่มาราดบนอาหาร เพื่อให้ได้อาหารที่มีความเข้มข้นเหมาะสม จะไม่เอานมแม่ไปต้มกับอาหารตั้งแต่ต้น เพราะจะเสียคุณค่าและมีกลิ่นเหม็น หากต้องการนำนมแม่แช่แข็งมาทำเป็นอาหารหวาน คือ เอาก้อนนมแม่แข็งมาปั่นกับผลไม้ที่ต้องการ แล้วตักป้อนให้กินเป็นไอศกรีมผลไม้

    ถ้าขี้เกียจอ่าน ฟังคลิปได้จากลิ้งค์นี้ค่ะ อาหารเด็กนมแม่ - YouTube
     
  15. ยากูซ่าา

    ยากูซ่าา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +808
    อรุณสวัสดิ์ เช้าวันสุนทรภู่ค่ะพี่พอใจ
    กระทู้พี่พอใจมีสาระน่าสนใจมากๆเลยนะคะ
    วันนี้น้องแวะมาทักทายและให้กำลังใจพี่พอใจค่ะ
     
  16. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    :cool:(k)ขอบคุณค่ะน้องยากูซ่า ที่แวะมาเยี่ยมเยียนและทักทายนะคะ
    ส่วนใหญ่พี่พอใจเก็บกระทู้มาจากไลน์ที่เพื่อนๆ ส่งมาให้ค่ะ ความรู้สาระพัดทั้งนั้นเลย อ่านแล้วได้ความรู้ ความรู้สึกซึ้ง ๆ ค่ะ
     
  17. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    22:52 Boonserm IPad
    ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

    ตัวชี้วัดว่า“ตื่นรู้” มากแค่ไหน (Key Behavior Indicator)

    ๑) สดใสขึ้น ใจว่างๆ โล่งๆ (ใจดี หรือ ดีใจ ไม่เหมือน ใจโล่งๆ นะ) ไม่อมทุกข์ ไม่หน้าบึ้ง


    ๒) ยิ้มง่ายขึ้น ยิ้มให้คนอื่นก่อน ไม่ต้องรอให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน

    ๓) ไหว้คนอื่นได้ก่อน ไม่มีข้อแม้ว่า ใครต้องไหว้ใครก่อน

    ๔) ถ่อมตน ไม่เจ้ายศ ไม่เจ้าอย่าง ง่ายๆ ติดดิน

    ๕) รับผิดชอบงานมากขึ้น ไม่อ้าง ไม่หนี อดทน ยอม

    ๖) มีเมตตามากขึ้น ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล

    ๗) ดู สังเกต มากกว่าที่จะ ด่วนวิจารณ์ ด่วนออกอาการ ด่วนออกอารมณ์ แม้นจะโดนด่า โดนเข้าใจผิด ก็ยัง อดทน ควบคุมตนเองได้ ง่ายๆ ปล่อยๆ ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาก็ได้

    ๘) เปิดโอกาสผู้อื่นพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วน “สวนกลับ” ไม่ด่วน “หักคอ” ไม่ด่วนสรุป ไม่ด่วนฟันธง ไม่แทรกแซงขณะคนอื่นกำลังพูด อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่ตูมตาม เมื่อโดนคนอื่นด่า

    ๙) ยอมรับ เปิดใจ ยอมรับ ความคิดเห็นที่แตกต่างได้ รับฟังอีกมุมมองได้

    ๑๐) ขยันๆ และ ”กล้า” ลงมือทำ ในเรื่องที่ดี เป็นกุศล ต่างๆ ทันที โดยไม่มีข้อแม้ ไม่เอาเรื่องในอดีตมาทำให้สะดุดในการที่จะทำ ไม่เอาเรื่องในอนาคตมาหยุดตนเอง ทำตามเป้าหมายได้ ไม่วอกแวก รู้จัก focus

    ๑๑) กตัญญู พ่อแม่ ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณมากขึ้น ครูเก่า เจ้านายที่เคยช่วยสอน ผู้มีอุปการะคุณ ฯลฯ

    ๑๒) สัตว์เลี้ยงต่างๆ จะเดินเข้ามาหา เพราะคนที่ใจสงบ ตื่นรู้ บรรดาสัตว์ในธรรมชาติ เขาจะ รับรู้

    ๑๓) ไม่เมาบุญ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร

    ๑๔) "ให้" บริจาค จิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม มากขึ้น

    ๑๕) รู้สึกว่าตนเอง เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ รู้สึกว่า ผู้คนกับตัวเอง เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่รู้จะทำลายกันไปทำไม

    ๑๖) คบ บัณฑิต หลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ดีๆ มากขึ้น ไปหา ไปฟังธรรมจากท่าน ตามโอกาส

    ๑๗) ห่างไกลคนพาล อบายมุข

    ๑๘) รักษาศีล ๕ มากๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ผิดกาม ไม่โกหกหลอกลวง ไม่ทานของมึนเมา

    ๑๙) ชื่นชม (Appreciation) ผู้คน ยินดีที่คนอื่นได้ดี หรือ มี มุทิตา นั่นเอง

    ๒๐) ไม่นินทาใคร ไม่ทำให้ใครแตกแยก ชวนให้คนสามัคคีกัน

    ๒๑) ไม่กังวล หลับสบาย หลับง่าย

    ๒๒) ไม่ค่อยฝันร้าย เช่น ในฝันไม่รู้สึกวิ่งยากลำบาก ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป ไม่ฟันว่าฟันหัก ไม่ฝันว่า กลับไปเป็นเด็กแล้วเครียดก่อนสอบ อีก

    ๒๓) ฝันดีบ่อย เช่น เจอพระ เจอคนดีๆ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น มีความสุข

    ๒๔) นึกอะไร อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล ไม่นานก็จะได้ หรือ มีคนเอามาให้

    ๒๕) ยอมคน เช่น ยอมให้แซงคิว ยอมให้เอาเปรียบ ยอมให้ต่อว่า ฯลฯ แต่คิดเตือนอย่างนุ่มนวล

    ๒๖) ไม่ด่วน ”ประเมิน” ตัดสิน ตัดเกรด แบ่งแยก พิพากษา (judgement) ผู้คน ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้ก่อน ดูมากขึ้น เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง

    ๒๗) รักผู้คนแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional love) ไม่หวังผล ให้ก็คือให้ ไม่มีข้อแม้ ไม่อิจฉา ไม่ริษยา

    ๒๘) รู้จักสติที่ฐานกาย ใช้ “กายรู้กาย” ได้มากขึ้น นานขึ้น ต่อเนื่องมากขึ้น รู้ๆทุกก้าว ทุกอิริยาบท

    ๒๙) ”จับ” ความรู้สึก ที่ “ใจ” ของตนเองได้ รู้ว่าใจกุศล อกุศล

    ๓๐) “แยกแยะ” จิต กับ ความคิด ได้ รู้จักความคิดจร ( ความคิดนอกแผน ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ความคิดที่ชวนไปเละเทะ ฟุ้งซ่าน ออกนอกทาง ฯลฯ) เป็น นีโอ ที่ สามารถจับกระสุนความคิด ที่ กิเลสยิงใส่มาได้

    ๓๑) กลับไปอ่าน หนังสือธรรมะ แล้ว เข้าที่ “ใจ”มากขึ้น ร้อง “อ๋อ” มากขึ้น

    ๓๒) ไม่กลัวตาย สิ้นข้อสงสัย และ ไม่งมงายในศีลภายนอก

    ขอให้ทุกท่านมีความสุข
    ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ
     
  18. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    11:56 Chanpen ชอบมาก รถไฟ...ชีวิต !!!!

    ชีวิตเหมือนกับการเดินทางโดยสารรถไฟ... มีสถานีต่างๆ... มีการเปลี่ยนเส้นทาง... มีกระทั่งอุบัติเหตุ......

    เราขึ้นรถไฟขบวนนี้ตอนเราถือกำเนิด.... พ่อแม่ คือคนที่ตีตั๋วให้เรา...

    เราเชื่อว่าท่านจะเดินทางด้วยรถขบวนนี้ กับเราตลอดไป....

    แต่แล้ว..ที่สถานีใด สถานีหนึ่ง
    ท่านทั้งสองก็ต้องลงรถจากไป... ปล่อยเราไว้เพียงลำพังกับการเดินทางนี้....

    วันเวลาผ่านไป... จะมีผู้โดยสารอื่นๆขึ้นรถ มาเรื่อยๆ... หลายคนจะเป็นคนที่เรารัก และผูกพัน.. เป็นพี่เป็นน้อง.. เป็นเพื่อน.. เป็นลูกเป็นหลาน หรือกระทั่งเป็นที่รัก แห่งชีวิตของเรา....

    หลายคนลงรถไปกลางทาง... ทิ้งไว้แค่ความทรงจำความอ้างว้างและคิดถึงอันถาวรในชีวิตเรา..

    หลายคนจากไป... อย่างที่เราไม่ทันได้ สังเกตด้วยซ้ำว่า... เขาลุกจากที่นั่ง และลงรถไฟไปแล้ว !

    การเดินทางโดยรถไฟชีวิตขบวนนี้ จึงเต็มไป ด้วยความรื่นรมย์... ความโศกเศร้า... ความมหัศจรรย์...ความสมหวัง... คำสวัสดี...คำอำลา... และคำอวยพรให้โชคดี

    การเดินทางที่ดีที่สุด คือ การได้ช่วยเหลือ... ได้รัก...ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน ผู้โดยสารทุกคน ...จงแน่ใจว่าเราได้ให้ สิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้การเดินทางของพวกเขา มีความราบรื่นและสะดวกสบาย

    ความน่าพิศวงของการเดินทางอันวิเศษยอดเยี่ยมนี้คือ... ตัวเราเองก็ไม่รู้ล่วงหน้า ว่าเราจะต้องลงจากรถไฟที่สถานีไหน.....

    ฉะนั้น...เราต้องมีชีวิตให้แจ๋วที่สุด...ปรับปรุงตัวเอง...รู้จักลืม...รู้จักอภัย...ให้สิ่งดีที่สุด ที่เรามีแก่คนรอบข้าง

    สำคัญเหลือเกิน ที่เราควรทำอย่างนี้...
    เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราต้องลุกจากที่นั่ง..เพื่อลงจากรถไฟไป เราจะได้ทิ้งความทรงจำ ที่สวยงามไว้แก่ผู้คน ที่ต้องเดินทาง โดยสาร รถไฟขบวนชีวิตนี้ต่อไป

    ขอบคุณมากๆ ที่มาเป็นผู้โดยสารคนหนึ่ง ในขบวนรถไฟชีวิต ของกันและกัน

    ขอให้ผู้ร่วมทางทุกท่านพบพานแต่ความรื่นรมย์ในการเดินทางบนขบวนรถไฟสายชีวิต... ที่ครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาหนึ่ง ณ สถานีใด สถานีหนึ่ง เรามีโอกาสได้เดินทางร่วมกัน
    11:56 Chanpen Stickers
     
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มิถุนายน 2014
  20. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    การปฏิบัติธรรม ความจริงแล้วเป็นเรื่องของจิต-nuok


    ปัจจัยในการปฏิบัติธรรมที่ต้องมี หรือต้องทำให้มีนั่นคือ ทาน ศีล ภาวนา เมื่อมีครบทั้งสามเหตุปัจจัยแล้วก็มาดูที่สมถะ สร้างสมาธิให้เกิดที่จิต ความก้าวหน้าจะเกิดจากการพิจารณาให้เห็นธรรม นั่นคือวิปัสสนา



    ทีนี้ สิบปีของคุณคงเป็นเพราะคุณยังอ่อนสมถะ สติจึงไม่มั่นคงพอ เมื่อเกิดการกระทบทางอายตนะหก สติตามไม่ทันอารมณ์ต่างๆ หรือว่าทันแต่พิจารณาไม่ถูก จิตไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้น จึงมองว่าการปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าไปทางไหนเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มิถุนายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...