เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเทวดาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ถึงยืนไม่นั่ง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 13 เมษายน 2014.

  1. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ
    ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว
    เทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณงาม ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
    พระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่
    ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
    [๒] เทวดานั้น ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลคำนี้
    กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์ ข้าพระองค์ขอทูลถาม พระองค์


    คือไม่ว่าอ่านไปตรงไหน เจอแต่เทวดายืนอย่างเดียว แต่ถ้าเป็น คน ไม่ว่าจะเป็น พราหม
    กษัตริย์ สาวก ก็จะนั่งที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

    มีใครรู้มั่งว่าทำไม เทวดาถึงยืน ไม่นั่ง
     
  2. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    เพราะเทวดารังเกียจมนุษย์รวมถึงโลกมนุษย์ ไม่รักกันจริงไม่มีทางมาและเมื่อเสร็จธุระแล้วก็จะรีบกลับไป
    -----------------------------------------
    ท้าวสักกเทวราชทรงทราบความที่พระอาพาธ มีอันแล่นไปแห่งพระโลหิตเป็นสมุฏฐาน(ถ่ายเป็นเลือด) เกิดขึ้นแล้วแก่พระตถาคต ในเมื่อพระองค์ทรงปลงอายุสังขารแล้ว ทรงดำริว่า "การที่เราไปสู่สำนักของพระศาสดาแล้ว ทำคิลานุปัฏฐากย่อมควร" ทรงละอัตภาพประมาณ ๓ คาวุตเสีย เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทรงนวดพระบาทด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง

    ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะท้าวสักกะนั้นว่า "นั่นใคร?"

    ท้าวสักกะ. ข้าพระองค์ คือท้าวสักกะ พระเจ้าข้า.

    พระศาสดา. ท่านมาทำไม?

    ท้าวสักกะ. มาเพื่อบำรุงพระองค์ผู้ประชวร พระเจ้าข้า.

    พระศาสดา. ท้าวสักกะ กลิ่นมนุษย์ย่อมปรากฏแก่เทวดาทั้งหลาย เหมือนซากศพที่ผูกไว้ที่คอ ตั้งแต่ ๑๐๐ โยชน์ขึ้นไป(เทวดาได้กลิ่นเน่าของมนุษย์แม้จะอยู่ห่างถึง 1600 กิโลเมตร) ท่านจงไปเถิด ภิกษุผู้คิลานุปัฏฐากของเรามี.

    ท้าวสักกะกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ดำรงอยู่ในที่สุดแห่ง ๘ หมื่น ๔ พันโยชน์ สูดกลิ่นแห่งศีลของพระองค์มาแล้ว ข้าพระองค์นี่แหละจักบำรุง"

    แล้วไม่ให้บุคคลอื่นถูกต้องภาชนะพระบังคนหนัก(อุจจาระ)ของพระศาสดาแม้ด้วยมือ ทรงทูนไว้บนพระเศียรทีเดียว นำไปอยู่ ไม่ได้กระทำแม้อาการสักว่าการสยิ้วพระพักตร์ ได้เป็นดุจนำภาชนะของหอมไป.

    ท้าวเธอปฏิบัติพระศาสดาอย่างนี้แล้ว ในเวลาพระศาสดามีความสำราญนั่นแหละ จึงได้เสด็จไป.

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  3. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ขอบคุณคับ
     
  4. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    แต่ผมสงสัยตั้งแต่ว่า ทำไมแปลปิฏกออกมาต้องใช้ภาษาให้มันยุ่งยาก ต้องมาแปลไทยเป็ยไทย และก็กำกวมในหลายๆบท ถ้าไม่เรียนบาลีแล้วแปลเอง เห็นจะถอดความให้ถูกต้องทั้งหมดได้ยากนัก "ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง" แค่ประโยคนี้ก็เครียดแล้ว อยากเห็นหน้าคนแปลเหลือเกิน

    นอกประเด็นไปไกล ย้อนมาที่เทวดา ผมไม่สงสัย เพราะไม่เคยเห็นสักที มีแต่ผีที่เคยสัมผัส ส่วนเทวดาอย่างปิฏกว่าไม่เคยพบเลย จะมีบ้างก็หลับฝันหรือไม่ก็นั่งสมาธิมโนไปเอง
     
  5. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    คงเป็นภาษาสมัยก่อนนะคับ ผ่านไปสัก 10 ปี ลักษณะการพูดก็จะเปลี่ยนแนว ไปเรื่อยๆ
    อย่างสมัยก่อนคงไม่มีคำว่า "อะ" "ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันอะ" อะไรแบบนี้
    แล้วอันนี้ มันคงนานมาก กี่หลาย 10 ปี ก็ไม่รู้

    บางทีเขาอาจจะต้องการความละเอียดด้วย เช่นถ้าว่า ยืนอยู่ ก็รู้ว่ายืน แต่ไม่รู้ยืนตรงไหน
    แต่ถ้า ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ก็คือยืนในที่ๆ เหมาะสม อะไรแบบนี้
     
  6. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    "ส่วนข้างหนึ่ง" ก็คงเหมือนกับ "อะ" คือไม่ได้มีความหมายในตัว แต่เป็นคำสร้อย
    ไม่เข้าใจ = ไม่เข้าใจอะ
    ยืนอยู่ ณ ที่ควร = ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง = ยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม (ภาษาปัจจุบัน)
     
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    เห็นด้วยกับคุณ lovepyou ที่ตอบในประเด็นนี้นะครับ จริงๆแล้วภาษาไทยที่แปลพระไตรปิฏกในยุคแรกๆนั้นต้องยอมรับนะครับถ้ามองกันตามภาษาไทย ถือว่าเป็นการใช้ภาษาที่สละสลวยนะครับ เป็นภาษาไทยที่ใช้คำน้อยกินความหมายมาก ตลอดจนถึงความสวยงามและการใช้ภาษา จะสังเกตว่ามีหลายคำตลอดจนรูปแบบประโยคที่ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ในบทประพันธ์ต่างๆ หากแต่กาลเวลาที่เปลี่ยนไป ทำให้ภาษาในหลายๆส่วน ไม่ว่าจะเป็นคำ วลี ประโยค ต่างๆเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ตามยุคตามสมัย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของภาษา ในยุคปัจจุบันเราใช้คำให้ง่ายขึ้นแต่ลืมคำนึงว่าบางคำส่วนใหญ่เป็นคำยืมมาจากภาษาต่างประเทศ(ซึ่งในยุคปัจจุบันเน้นหนักทางภาษาของชาติตะวันตก) ทำให้ความเป็นไทยขาดหายไป ซึ่งค่อยๆเป็นไปจนผู้ใช้ภาษาอาจไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ จนบ้างครั้งเกิดอคติว่าสิ่งที่เป็นไทย สิ่งที่เป็นต้นกำเนิด สิ่งที่เป็นรากเหง้าของตนเป็นสิ่งที่ไร้คุณค่า

    ยิ่งพระไตรปิฏกที่แปลมาในยุคเก่าๆ เช่น ภาษาไทยสยามรัฐ ฉบับนี้เป็นฉบับต้น ทำมาแต่ช่วงยุครัชกาลที่ ๗ ภาษาที่ใช้ในสมัยรัชการที่ ๗ กับสมัยนี่แน่นอนหละครับว่าต้องต่างบ้าง ถ้าคุณอยากเห็นหน้าพระเถระผู้แปลก็คงต้องย้อนไปดูท่านในอดีตด้วยอตีตังสญาณ หรือก็ค้นรูปเอาหละครับอาจหาไม่ได้แล้วก็ได้ แต่ทว่าในยุคนั้นก็ถือว่าท่านเหล่านั้นเป็นปราชญ์ใหญ่อันดับต้นๆของไทยแล้วหละครับ

    ถ้าคุณจะศึกษาเอาที่อ่านง่ายๆหน่อยก็ต้องอ่านเอาจากพระไตรปิฏกฉบับแปลเป็นภาษาไทยที่ใกล้ยุคปัจจุบันมากที่สุด ก็คือ ฉบับ มจร. อันนี้ภาษาจะอ่านง่ายกว่าฉบับเก่าๆครับ เพราะใช้ภาษาค่อนข้างจะยุคปัจจุบัน....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2014
  8. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    เทวดาก็ยืนในที่ๆควรยืนนะท่าน เพราะแต่ละจุดแต่ละเขตจะเป็นตำเหน่งของเทพเทวดาแต่ละองค์เหมือนกัน ท่านมีบารมีมาก ท่านก้ได้ยืนใกล้สุดเหมือนกัน ส่วนผู้ที่ยังมีบารมีน้อยก็จะห่างออกไปเองโดยอัตโนมัติ ส่วนทำไมต้องยืน เด๋วพระองค์เสร็จมาก็นั่งเองแหละ
     
  9. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    เทวดาที่ท่านนั่งก็มี ยืนก็มี แต่กายทิพย์และจิตก็นอบน้อมพระพุทธองค์ด้วยความเคารพยิ่ง ...
     
  10. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    แสดงว่า มนุษย์นี้เหม็น และจมูกของเทวดา มีความไวสูง แล้วเทวดามีกลิ่นตัวหรือเปล่า หอมไหม สงสัยครับ
     
  11. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    เทวดามีกลิ่นหอม คือหอมด้วยศีล หิริโอตาปะ แต่ถ้าเทวดาองค์ใดเริ่มมีเหงื่อที่รักแร้ แสดงว่าท่านหมดบารมี ใกล้ลงมาจุติแล้วคะ (หลวงพ่อฤาษีท่านบอก)
     
  12. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    เมื่อได้จุติบนสวรรค์จะได้พรสิบประการครับ หนึ่งในนั้นคือโผสสัมผัสทิพย์ครับ และกายทิพย์ของเทวดาหรือนางฟ้าส่วนใหญ่มีแต่ธาตุไฟครับ ไม่เหมือนมนุษย์ที่ส่วนใหญ่คือธาตุดินครับ ส่วนที่ว่าทำไมเทวดาเมื่อลงมาจากเบื้องบนแล้วไม่ยอมนั่งเป็นเพราะหนึ่งในพรสิบประการของเทวดาคือยศทิพย์ครับ
     
  13. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ผมจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็แล้วกันนะ
    มาดูที่ประโยค
    "ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ"
    คำว่าอภิวาท แปลว่า กราบ
    ไม่มีใครยืนกราบได้หรอกนะครับ ต้องนั่งเท่านั้น

    ต่อไป มาดูที่คุณlovepyouสงสัยว่า กราบแล้วทำไมต้องยืน? ยืนตรงไหน?
    ตอบว่า
    1.จำนวนเทวดาที่มากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต่ำกว่าล้านน่ะครับ ถ้ามีเทวดาองค์ไหนกราบแล้วนั่งแช่อยู่ ก็จะขวางทางเทวดาท่านอื่นๆที่จะมากราบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะครับ

    2.เทวดาท่านมีความเป็นทิพย์ ดังนั้นกราบแล้ว ไม่จำเป็นต้องลุกเดินออกจากวิหาร เพราะจะทำให้ช้า ท่านกราบเสร็จ ท่านก็หายตัวแว๊บ ออกมายืนอยู่นอกวิหารเลยครับ เทวดาบางท่านมีงานหรือหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบอยู่ ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ท่านก็ไปทำงานต่อครับ

    หวังว่าคงเข้าใจนะครับ
    ถ้าไม่เข้าใจก็ตัวใครตัวเผือก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2014
  14. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    ไม่ค่อยเข้าใจ
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว

    ได้กราบ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2014
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    <CENTER>(๓) ธัมมเทสนาปฏิสังยุต (หมวดว่าด้วยการแสดงธรรม)
    มี ๑๖ สิกขาบท
    </CENTER>
    สิกขาบทที่ ๑ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ.
    สิกขาบทที่ ๒ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ.
    สิกขาบทที่ ๓ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีศัสตรา (ของมีคม) ในมือ.
    สิกขาบทที่ ๔ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธ (ของซัดไปหรือยิงไปได้) ในมือ.
    สิกขาบทที่ ๕ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท้า (รองเท้าไม้).
    สิกขาบทที่ ๖ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า.
    สิกขาบทที่ ๗ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน.
    สิกขาบทที่ ๘ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน.
    สิกขาบทที่ ๙ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า.
    สิกขาบทที่ ๑๐ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ.
    สิกขาบทที่ ๑๑ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ.
    สิกขาบทที่ ๑๒ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรานั่งอยู่บนแผ่นดิน จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่บนอาสนะ (ผ้าหรือเครื่องปูนั่ง).
    สิกขาบทที่ ๑๓ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรานั่งอยู่บนอาสนะต่ำ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูง.
    สิกขาบทที่ ๑๔ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรายืนอยู่ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่
    สิกขาบทที่ ๑๕ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราเดินไปข้างหลัง จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า. สิกขาบทที่ ๑๖ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราเดินไปนอกทาง จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง.

     
  17. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    กราบทูลไม่ใช่กราบ คนละคำกัน
    เทวดาแสดงความเคารพด้วยการยืน
    คนยืนแล้วจะเมื่อยก็เลยนั่ง
     
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [​IMG]

    คนทำบุญนอกพระพุทธศาสนาตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีอานิสงส์น้อยกว่าคนที่ทำบุญในพระพุทธศาสนา


    "..ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ บ...นสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีท่านพระอินทร์มาคอยต้อนรับอยู่ก่อน ต่อมามีเทวดาอีก ๒ องค์เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นมาก็มาก่อนเทวดาอื่น คือ ท่านอังกุรเทพบุตร มานั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของพระพุทธเจ้า กับ ท่านอินทกเทพบุตร มานั่งข้างพระบาทข้างขวา เมื่อมีเทวดาองค์อื่นมาท่านอังกุรเทพบุตรก็ถอยจากจากที่นั่งเดิม แต่ท่านอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิม ต่อมาเทวดามาหมดชั้นดาวดึงส์ปรากฏว่าท่าน อินทกเทพบุตรนั่งหัวแถวตามเดิม ส่วนท่านอังกุรเทพบุตรถอยไปนั่งอยู่ท้ายสุดเป็นเทวดาหางแถว

    ผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนากับในพระพุทธศาสนา
    พระพุทธเจ้าทรงต้องการประกาศผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนา กับในพระพุทธศาสนาให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่คอยพระองค์อยู่หลายโกฏิในเมืองพาราณสี ได้ยินได้ฟังทั้งหมด จึงทรงบันดาลเสียงของพระองค์ และเสียงของเทวดาที่สนทนากันให้ดังถึงเมืองมนุษย์ สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "อังกุระ เมื่อตถาคตมาถึงตอนแรก เธอนั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของตถาคต ครั้นเทวดาองค์อื่นมาหมดดาวดึงส์ เธอเป็นเทวดาท้ายแถวนั่งไกลที่สุด อยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำบุญอะไรไว้"



    ท่านอังกุรเทพบุตรจึงกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐี เวลานั้นคนมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี อีก ๒๐,๐๐๐ ปี ก่อนที่จะตาย ได้ตั้งโรงทาน ๘๐ แห่ง ๑ โยชน์ตั้ง ๑ แห่ง ให้ทานคนยากจน คนกำพร้า คนเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน สิ้นเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี แต่อาศัยว่าเวลานั้นไม่มีพระพุทธศาสนา คนทั้งหมดไม่มีศีลไม่มีธรรม จึงได้อานิสงส์น้อย ตายจากความเป็นมนุษย์มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด มีวิมานทองคำเกลี้ยงเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร"

    แสดงให้เห็นว่า การบำเพ็ญกุศลแจกแก่คนที่ไร้ศีลไร้ธรรม ก็ยังเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ส่วนท่านอินทกเทพบุตร เมื่อเข้าไปถึงใหม่ๆ ก็นั่งข้างพระบาทข้างขวาของพระพุทธเจ้า เมื่อเทวดามาทั้งหมดชั้นดาวดึงส์ ท่านก็ไม่ถอยให้ใครนั่งอยู่หัวแถวตามเดิม ถ้ายกเว้นท่านพระอินทร์ก็ต้องถือว่าเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ศรีใหญ่ในดาวดึงส์ ไม่มีใครใหญ่กว่าและไม่มีใครมีบุญมากกว่า พระพุทธเจ้าใคร่จะประกาศอานิสงส์แห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนาให้ทราบ

    จึงถามท่านอินทกเทพบุตรว่า "อินทกะ เมื่อตถาคตมาใหม่ๆ เธอก็นั่งตรงนี้ แต่ทว่าเมื่อเทวดามาหมดดาวดึงส์ เธอก็นั่งตรงนี้ตามเดิม เธอเป็นเทวดาที่มีมเหสักขา (คือมีฤทธิ์มาก มีบุญมาก) มากกว่าเทวดาองค์อื่น นอกจากท่านพระอินทร์แล้วไม่มีใครยิ่งไปกว่าเธออยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้ จึงมาเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมากอย่างนี้"

    ท่านอินทกเทพบุตรได้กราบทูลองค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นลูกคนจน ต่อมาบิดาตายก็ต้องเลี้ยงแม่ (คำว่าเลี้ยงแม่ เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ สนองความดีของแม่ที่ท่านเลี้ยงมา อันนี้มีอานิสงส์สำคัญมาก สูงมาก)

    ต่อมาพระสงฆ์ในสำนักขององค์สมเด็จพระบรมครูเดินเฉียดบ้านไปก่อนเพล จึงได้นิมนต์พระสงฆ์ทั้งหมดประมาณ ๔ รูปมาถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านจนมาก มีโอกาสบำเพ็ญกุศลถวายสังฆทานคราวนี้คราวเดียวกับเลี้ยงแม่ให้มีความสุขตามฐานะเพียงเท่านี้ข้าพระพุทธเจ้าตายจากความเป็นมนุษย์มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกมีวิมานแก้ว ๗ ประการสวยสดงดงามมากเป็นที่อยู่มีความสุขมาก และมีนางฟ้า ๑ แสนเป็นบริวาร"

    เป็นอันว่า การบำเพ็ญกุศลในศาสนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมมีอานิสงส์สูงกว่าการบำเพ็ญกุศลแก่คนนอกพระพุทธศาสนามาก แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าเทวดามีจริง นางฟ้ามีจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง พระนิพพานมีจริง นรกมีจริง ตายแล้วมีสภาพไม่สูญจริง.."

    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    วัดจันทาราม (ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ๖๑๐๐๐

    https://www.facebook.com/photo.php?...41829.447952658612437&type=1&relevant_count=1
     
  19. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ตัวใครตัวเผือก อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...