ร่องรอยอภิญญาใหญ่ โรดแมปสู่อภิญญาสาธารณะ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 15 พฤศจิกายน 2007.

  1. เทพ

    เทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    275
    ค่าพลัง:
    +3,099
    พูดตรงดีครับ ...

    เข้าใจว่า คุณkananun ท้าวความเดิมจากกระทู้ในอดีต ว่าทำไมถึงหยุดครับ ... เรื่องบางเรื่องก็เปรียบเสมือนการขับรถครับ ... บทจะช้าก็ต้องช้า ... บทจะเร่งก็ต้องเร่ง ... บทจะหยุดก็ต้องหยุด ไม่เช่นนั้นรถชนเสียหายไปไม่ถึงปลายทาง

    ส่วนในกระทู้นี้ เรื่องราวน่าจะต่อเนื่องไปเรื่อยๆครับ

    ผมเองก็ชอบอ่านเหมือนกันครับ (ping)
     
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ติดตามอ่านอยู่ครับคุณคณานันท์
    ตำนานเรื่องราวของคนไทยเราก็มีครูดี+วิชาดีและความสามารถทางจิตไม่แพ้ชาติใดในโลก เชื่อว่าอีกไม่นานนี้คงได้ริ้อฟื้นวิชาที่หายไปกลับมาใช้กันอีกครั้งนะครับ
     
  3. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    โมทนาครับ กาลเวลาใกล้เต็มที ควรเร่งรัดตัวเองเพื่อความไม่ประมาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2007
  4. pattarawat

    pattarawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,671
    ค่าพลัง:
    +7,982
    ผมเล่าประสบการณ์ของผมให้เพื่อนๆ ฟังนะครับ ช่วงที่ผมกลับเมืองไทย 1-9 พ.ย. 50 ที่ผ่านมา

    วันที่ 5 พ.ย. ผมเดินทางจากจังหวัดแพร่เพื่อกลับกรุงเทพฯ พี่สาวเป็นคนขับรถ ผมเป็นคนนั่งข้าง ระหว่างทางพบพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินบนไหล่ทางด้านซ้ายมือ พี่สาวผมเป็นคนใจบุญอยากถวายน้ำดื่มให้พระ ผมบอกว่าท่านคงมีน้ำสำหรับดื่มอยู่แล้วมั้ง หรืออาจมีคนถวายน้ำให้ท่านแล้ว พี่สาวผมก็ไม่ยอม จะใส่บาตรพระท่าเดียว จึงตัดสินใจเลี้ยวกลับตรงยูเทิร์น พยายามมองหาพระรูปดังกล่าว แต่ก็ไม่พบ แม้ว่าจะถอยหลังกลับไปมากกว่า 2 เท่าของระยะทางที่คาดว่าจะพบพระท่าน แต่ก็ไม่พบ ทั้งๆ ที่เป็นทางโล่ง

    ผมบอกพี่สาวตั้งแต่เริ่มรู้สึกว่าคงไม่เจอพระว่า ถ้าขับต่อไปอีกเท่าตัวนึงแล้วยังไม่เจอ แสดงว่าเป็นพระอภิญญาหรืออาจเป็นเทวดา แล้วเราก็ไม่เจอท่านจริงๆ

    เรื่องนี้ทำให้พี่สาวผมรู้สึกปีติเป็นอย่างมาก และช่วยเตือนผมให้เพียรมากขึ้น เหมือนกับว่าเรื่องราวต่างๆ กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้

    ขอโมทนา สาธุกับความดีของเพื่อนๆ ด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2007
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ลีลาในการพบเจอพระอภิญญานั้น เป็นประมาณอย่างที่คุณpattarawat ได้เล่าให้ฟังครับ

    การพบกับหลวงปู่ใหญ่นั้น มีหลายท่านที่มีประสบการณ์เล่าให้ฟังว่าบางครั้ง หากเรามีวาสนาผูกพันกับท่าน บางก็มาโปรดเราในเมืองก็มีครับ มีบางท่านอธิฐานอยากพบหลวงปู่ พอเช้าไปใส่บาตร ไม่เจอพระเลย แต่เจอเณร ก็ใส่บาตรกับเณรแต่พอก้มหน้าลงไหว้ก็สังเกตุว่า เท้าของเณร มีนิ้วยาวเสมอกัน ก็เลยเอะใจ

    เพราะวิสัยของท่านที่ได้อภิญญานั้น ท่านมาปรากฏในลักษณะใดก็ได้ แต่จากประสบการณ์ของผมเองที่ได้พบเห็นมาหลายครั้ง ท่านชอบปิดให้เราเข้าใจผิดสำคัญผิดกับท่าน แล้วจึงให้เรามาพิจารณาไตร่ตรองพบทีหลังว่าเป็นท่านหรือพระอภิญญาท่านอื่น ให้เราเขกกระโหลกเจ็บใจตัวเองเสียทุกครั้ง

    มีทริปของกลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติครั้งหนึ่งได้รับพระธุดงค์มาจากข้างทางเราก็นิมนต์ให้ท่านนั่งท้ายกะบะ กลดที่ท่านแบกทำมาจากเหล็กเส้นมีน้ำหนักมากมหาศาล จีวรท่านก็เก่าขาดปะแต่ท่านห่มเป็นปริมณฑล

    ตอนจะกลับ ท่านถามว่าเคยไปฝึกวิชาในถ้ำไหม ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร

    ไอ้ผมก็ตอบไปว่าเราก็เพิ่งกลับมาจากถ้ำวัวแดง โง่ แสนโง่ หากขอเป็นศิษย์ท่านเข้าไปฝึกในถ้ำด้วยเสียก็สิ้นเรื่องไปแล้ว

    มาพิจารณาพบก็ทีหลังทุกที บุญมีแต่กรรมบัง
     
  6. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    โปรดระวังครับทุกท่าน

    ร่องรอยของอวิชชาใหญ่มีเพียบครับตอนนี้
    คุณไสยกำลังจะแพร่หลาย
    ท่านทั้งหลายอย่าได้มองข้ามอวิชชาเหล่านี้
    ทำให้เพื่อนๆหลายท่านเดือดร้อนไปแล้ว

    ส่วนร่องรอยอภิญญาใหญ่นั้น ต้องคอยดูกันต่อไป แหม ใครๆก็อยากเห็น ลุ้นกันตัวโก่ง อยู่ครับบบบบบบบบบ
     
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เรื่องอภิญญาใหญ่นั้นเป็นเรื่อง คนละส่วนกับพระธรรมมิกราชาครับ

    แต่หากเข้าใจว่าการเป็นธรรมมิกราชาเป็นแล้วเท่ห์ ก็คงเป็นความเข้าใจผิดแต่ต้นอย่างรุนแรง และน่าระมัดระวังใจเราเองเป็นอย่างมาก


    อย่างที่ได้เตือนกันเอาไว้แต่ต้นครับว่า อภิญญาเป็นเสมือนดาบสองคม หากไม่มีสัมมาทิษฐิเป็นหลักใหญ่ พอได้อภิญญานิดหน่อยก็อาจเตลิดไปไกลได้ ไม่ต่างจากพระเทวทัตครับ
     
  8. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    อภิญญาใหญ่ น่าจะเกิดกับคนที่มีปัญญาญานเข้มแข็งและมีสติต่อเนื่องนะครับไม่เช่นนั้นคนที่ได้อภิญญานี้ไปอาจจะนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ง่ายมากครับแค่มีโทสะเพียงเล็กน้อยก็อาจคิดที่จะสั่งสอนคนที่ทำให้ตัวเองโมโหแล้ว อันนี้อันตรายมากครับ ตัวผมเองยังไม่พร้อมที่จะมีอภิญญาหรอกครับเพราะตัวผมรู้จักตัวเองดี หากผมได้อภิญญาในตอนนี้ผมมีโอกาสเป็นพยามารได้ง่ายมากอันเนื่องจากปัญญาญานของผมยังไม่เข้มแข็งครับ สติก็ยังไม่ต่อเนื่อง ผมขอแค่เพียงผมตายแบบไม่ต้องทรมาณมากนักผมก็พอใจแล้วครับ

    ฝากถึงทุกคนที่ปราถนาอภิญญาครับ ขอให้คิดถึงผลของมันด้วยครับว่ามันน่ากลัวขนาดไหน คุณอาจจะหมดโอกาสเดินทางในเส้นทางสายนิพพานเลยก็ได้ โชคดีจงเป็นของทุกคนครับ
     
  9. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สิ่งเหล่านี้จะค่อยเปิดเผยออกมาเป็นลำดับ
    ตามความเหมาะสมของกาลเวลาครับ

    ใครที่เคยมีกรรมต่อกัน ไม่ว่าทางใด
    ต้องมีอันให้ได้มาชดใช้กันให้หมดไปครับ

    เมื่อชดใช้กันหมดแล้ว ก็ถึงเวลาถอดถอน
    ออกมาจากกรรมผูกพันนั้นๆ
    ถึงเวลากระทำการ.....เพื่ออนาคตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
    จะค่อยๆปรากฏเป็นรูปธรรม

    ขออนุโมทนากับสิ่งที่คุณคณานันท์ ได้นำมาเผยแพร่
    และผลักดันให้ทุกท่านก้าวไปในทิศทางแห่งสัมมาทิฐิ
    มีความเสียสละ อดทน
    เพื่อนำจิตวิญญาณ ให้หลุดพ้นจากวัฏกสงสาร ได้ในที่สุดครับ
     
  10. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    <CENTER>การฝึกอภิญญา ตอนที่ ๑
    </CENTER>


    <CENTER>( ๑๘ ก.พ. ๒๕๒๘ )
    </CENTER>
    [​IMG]

    การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจจะมาฝึกพระกรรมฐาน พระกรรมฐานที่บรรดาท่านฝึกอยู่นี่ เป็นการเตรียมตัวเพื่อ " อภิญญาหก " คือ มันสูงกว่าวิชชาสาม กรรมฐานนี่ความจริงถ้าเราจะฝึกกันจริง ๆ ตามแบบ มันก็มีหลายพันแบบด้วยกัน แต่ว่าทุกแบบต้องมาลงใน ๔๐ แบบ ที่เรียกว่า " กรรมฐาน ๔๐ "
    กรรมฐาน ๔๐ นี่เป็นต้นแบบใหญ่ อย่าลืมว่ากรรมฐานไม่ได้มีแบบเดียวนะ แล้วแต่ละ ๔๐ แบบ แยกเอาการฝึกออกไปเป็นข้อปลีกย่อยได้เป็นพัน ๆ จะเป็นการฝึกข้อปลีกย่อยกี่พันแบบ หรือต้นฐาน ๔๐ แบบก็ตาม ก็ย่อเป็นกรรมฐาน ๔ หมวด ต้องเข้าหมวดใดหมวดหนึ่งให้ได้ ถ้าเข้าหมวดใดหมวดหนึ่งไม่ได้ นั่นคือ ไม่ใช่กรรมฐานของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้


    หมวดที่ ๑ เรียกว่า " สุกขวิปัสสโก " บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฝึกกันเป็นปกติ หมวดนี้ไม่มีความเป็นทิพย์ของจิต ไม่สามารถเห็นสวรรค์ เห็นเทวดา เห็นพรหมโลกได้ ไม่สามารถจะไปได้ แต่ว่ามีฌานสมาบัติได้ เป็นพระอริยเจ้าได้ ไปนิพพานได้

    หมวดที่ ๒ เรียกว่า " เตวิชโช " หมวดนี้พอจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว แล้วก็ฝึก ทิพจักขุญาณ เมื่อฝึกทิพจักขุญาณได้แล้ว ต้องเข้าไปฝึก ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติได้ เมื่อได้ทั้ง ๒ ประการแล้ว ใช้กำลังญาณทั้ง ๒ ประการเข้าช่วยวิปัสสนาญาณเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ เรียกว่า " พระวิชชาสาม " หมวดนี้สามารถเห็นสวรรค์ นรก เห็นพรหมโลก หรืออะไรก็ได้ทั้งหมด แต่ไปไม่ได้ ได้แต่เห็นอย่างเดียว นั่งตรงนี้คุยกับเทวดาหรือพรหมก็ได้ นั่งตรงนี้คุยกับสัตว์นรกก็ได้ อย่างนี้เรียกว่า " วิชชาสาม "

    หมวดที่ ๓ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติกันอยู่นี่ เป็นหมวด" อภิญญาหก " อภิญญาหกนี่เราไปไหนไปได้ตามใจชอบ จะไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน ไปนรก เปรต อสุรกาย ไปได้หมด ประเทศต่าง ๆ ไกลแสนไกลแค่ไหน ประเทศในมนุษยโลกนี่มันไม่ไกลหรอก เราสามารถไปได้ ดวงดาวต่าง ๆ ที่ฝรั่งจะไปเราก็ไปได้ไม่ต้องลงทุน อย่างนี้เป็น " อภิญญาหก "
    สำหรับ หมวดที่ ๔ " ปฏิสัมภิทาญาณ " นี่มีความรู้ฉลาดมาก ปฏิสัมภิทาญาณมีความสามารถคลุมหมด คลุมสุกขวิปัสสโกด้วยเอาไว้ในตัว เอาวิชชาสามเข้าไว้ด้วย แล้วเอาอภิญญาหกเข้าไว้ด้วย แล้วก็ฉลาดมาก คือว่า ฉลาดในธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่าง เรียกว่า " ปฏิสัมภิทาญาณ "

    สำหรับในตอนนี้ขอนำเรื่องของ " อภิญญาหก " มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท คือว่า ทุกคนเวลานี้เป็นการเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก " มโนมยิทธิ " นี่เขาถือว่าเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก เหมือนกับนักเรียนเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย เตรียมตัวไว้ก่อนซ้อมไว้


    <CENTER>อภิญญาหกจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาจจะทำได้จนเป็นสาธารณะ ต่อเมื่อถึง " พ.ศ. ๒๕๔๓ "

    </CENTER>ตอนนั้นถ้าคนไม่ขี้เกียจ จะสามารถทำอภิญญาหกได้ เวลานี้จะได้เป็นบุคคลบางคน อย่างนักเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ เวลานี้เธอสามารถใช้กำลังอภิญญาหกได้บางส่วน คือ ไปไหนก็ไปทั้งตัว จะไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ก็ยกตัวร่างกายไปเลย แต่ว่ากำลังของอภิญญาหกจริง ๆ ยังใช้หมดไม่ได้ ใช้ได้เฉพาะไปแค่รู้


    <CENTER>เพราะกำลังจริง ๆ จะเข้ามาถึง " พ.ศ. ๒๕๔๓ " ถ้าถึง " พ.ศ. ๒๕๔๕ อันนี้เป็นสาธารณะจริง ๆ
    </CENTER>สำหรับอภิญญาหก บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เราก็ไปกันอย่างที่เราฝึกนี่แหละ! เราสามารถแสดงฤทธิ์แสดงเดชได้ ต้องการจะทำอะไร แค่นึกมันก็เกิดขึ้นทันที ถ้าเราเป็นคนแก่ อยากจะให้คนอื่นเห็นเป็นคนหนุ่มสาว นึกว่าให้เห็นอย่างคนขนาดนั้น อายุแบบนั้น รูปร่างแบบนี้มันก็เป็นทันที เอากันแค่นึก ...
    อภิญญาหกนี่เขาใช้แค่นึกเท่านั้นนะ ไม่ใช่ไปนั่งเข้าสมาธิเสียเวลา ๑ นาที อันนี้ใช้ไม่ได้ แค่นึกปั๊บมันจะเป็นทันที นึกอยากจะไปไหนร่างกายถึงทันทีทันใด มันเร็วกว่าลัดนิ้วมือหนึ่ง จะไปสวรรค์ จะไปนรก จะไปประเทศไหนก็ตาม พอนึกปั๊บมันจะไปถึงเลย นี่เป็นกำลังของอภิญญาหกส่วนหนึ่ง
    วันนี้ก็ขอแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท ในด้านการเตรียมตัวก่อน การเตรียมตัวเวลานี้เราใช้กำลังของมโนมยิทธิยังไม่เต็มกำลัง ที่ใช้เวลานี้เป็นกำลังส่วนหน้า ส่วนหน้าที่ขึ้นเป็นกำลังของวิชชาสาม ถ้าใช้กำลังของอภิญญาจริง ๆ เราไปกันไม่ได้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ลดกำลังส่วนหน้าลง คือ ใช้กันแค่ " อุปจารสมาธิ "


    <CENTER>ถ้าเป็นกำลังของอภิญญาจริง ๆ ต้องใช้กำลังของ " ฌาน ๔ " เป็นพื้นฐาน
    </CENTER>แต่ว่าถึงแม้จะได้ครึ่งกำลังก็ถือว่าเป็นการเตรียมตัวเหมือนนักเรียนเตรียมปีแรก ต่อไประหว่างพรรษานี้จะเริ่มฝึกเต็มกำลัง ใครทำได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป ครูมีหน้าที่สอนเป็นเรื่องความฉลาดของคน ใครโง่มากก็ไม่ได้เลย โง่น้อยก็ได้บ้าง ถ้าไม่โง่เลยได้ทั้งหมด ถ้าหากว่าฝึกเต็มกำลังได้ นี่ถือว่ากำลังจิตของเราได้ครึ่งหนึ่งของอภิญญาหก พอหลังจากนั้นก็ไปฝึกฝนอภิญญาหกต่อไป ค่อย ๆ ฝึก
    สำหรับเบื้องต้น บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ได้แล้วก็ดี เพิ่งจะฝึกก็ดี หรือตั้งใจจะมาฝึกก็ดี ให้ใช้กำลังใจตามนี้ไว้ก่อน รักษาความดีไว้ คือ :-

    ๑. พยายามไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น ใครเขาจะดีใครเขาจะเลวแบบไหน มันเรื่องของเขา เราสนใจเฉพาะกำลังใจของเราเอง กำลังใจของเรามันดีหรือมันเลว ถ้าเรายังสนใจในจริยาของบุคคลอื่น แสดงว่าเรายังเลวมาก เพราะเราไมได้ห่วงตัวเอง เราไปห่วงคนอื่นเขาประโยชน์อะไรจะเกิดกับเรา คนอื่นเขาเลวก็เป็นเรื่องของเขา คนอื่นเขาดีก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเราไปสนใจเขา เราก็ทิ้งความดีไปหาความเลว

    อันดับแรก ให้ห่วงใจตัวเอง ว่าเวลานี้กิจที่เราจะพึงทำน่ะมันพร้อมแล้วหรือยังที่จะรักษาความดี คือ มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา คำว่ามีศรัทธาในพระพุทธศาสนานี่ ความเชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ของเราพร้อมแล้วหรือยัง ถ้าวันไหนมีความสงสัยขึ้นมาให้ชื่อว่าเราเลวเสียแล้ว...
    การกำจัดความชั่วด้านความโลภ คือ การคิดอยากได้ในทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นเขามาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม และจิตไม่คิดในการเผื่อแผ่มันเกิดขึ้นกับใจของเรา ถ้ามีก็เตือนใจบอกเราเลวไปแล้ว คือ กำลังใจของเรามี ให้คิดว่า ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สมบัติของใครก็ตามที เราไม่สามารถจะได้มาโดยชอบธรรมเราไม่เอา แล้วกำลังใจเป็น " จาคานุสสติ " คิดว่าถ้าใครเขามีทุกข์ ถ้าไม่เกินวิสัยที่เราจะช่วย เราจะช่วย ถ้ากำลังใจทั้ง ๒ ประการนี้ยังอยู่ประจำใจเสียแล้ว แสดงว่าความดีด้านโลภะ การกำจัดโลภะของเรามีในใจ โลภะ ความโลภมันก็ออกจากใจ นี่ดีมาก ทั้งหมดนี้เป็นข้อที่ ๑

    ๒.การคิดประทุษร้ายบุคคลอื่นมีไหม อยากจะคิดให้คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ อยากจะคิดเข่นฆ่า อยากจะคิดทรมานเขามีไหม ถ้ามันมีถือว่าใช้ไม่ได้ เลว! ต้องคิดว่า คนเกิดมา คนก็ดี สัตว์ก็ดี เกิดมามันต้องตายกันหมด ถ้าเราจะทรมานเขาให้ลำบากก็ไม่ต้องไปทรมาน มันลำบากอยู่แล้ว ทุกคนมีความหิว ทุกคนมีความร้อน มีความกระหาย มีการป่วยไข้ไม่สบาย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ มีการงานที่จะต้องทำ มีความแก่ลงไปทุกวัน มีความตายในที่สุด เขาถูกทรมานอยู่แล้ว ไม่ต้องไปช่วยเขา ถ้าไปช่วยเขาเราจะเลวมากขึ้น คิดอย่างเดียวว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั้งโลก แต่ก็เผลอบ้างอะไรบ้างเป็นของธรรมดา ถ้าจิตยังไม่ถึงที่สุด คิดไว้อย่างนี้ชื่อว่าความดีเข้าถึงใจเรา เป็นการทำลายความโกรธ

    ๓. ทำลายความหลง เราเมาในร่างกายเกินไปไหม เมาในทรัพย์สินเกินไปไหม ชีวิตที่เกิดมานี่มันต้องตาย จิตเราเคยคิดถึงความตายไหม ถ้ายังไม่คิดถึงความตายนี่มันเลวที่สุด เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว สมบัติที่จะพึงได้คือ แก่ทุกวัน ไอ้กำลังความแก่มีอยู่ ไอ้ความแก่ของเรานี่มันจะแก่ถึงไหนก็ไม่แน่ จะไปคิดว่าอายุ ๖๐ - ๗๐ - ๘๐ ตายน่ะไม่แน่! ให้คิดว่าความตายจะมาถึงเราในวันนี้ไว้ก่อน มันแก่มาแค่นี้ถือว่าแก่นานแล้ว แต่วันนี้อาจจะตายก็ได้ ให้กำลังใจพร้อมไว้ คือ ไม่เมาในชีวิต

    อย่างนี้องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรกล่าวว่า " เป็นผู้ทำลายความหลงในจิต " เอากันอย่างย่อนะ
    ถ้าเราคิดว่าความตาย ตื่นขึ้นมาตอนเช้าคิดว่าความตายอาจจะมีกับเราในวันนี้ เราทำอย่างไร เราอยากจะสวรรค์ หรือ เราอยากจะไปพรหมโลกเวลาตาย หรืออยากจะไปนิพพาน
    แต่ว่าสมาคมนี้ไม่ต้องการสวรรค์ ไม่ต้องการพรหมโลก ต้องการ " นิพพาน "
    ถ้าเราต้องการนิพพานก็ทบทวนความดีของเรา ที่เราฝึกกรรมฐานน่ะ วิมานของเราที่นิพพานมีหรือเปล่า .. ถ้าวิมานของเรามีที่นิพพานน่ะ! บารมีเราเต็มแล้ว เราก็ไม่ควรจะสละสิทธิ์ เพราะว่าคนที่มีบารมีเต็ม มีวิมานที่นิพพานน่ะ คนนั้นมีสิทธิ์จะไปนิพพานในชาตินี้ แต่ว่าที่ไม่ไปกันก็มีเยอะ มัวเมาในชีวิตเกินไป สละสิทธิ์นิพพานไปชาติต่อไป อันนี้โง่มาก...

    ถ้าเราคิดว่าวิมานที่นิพพานของเรามี เวลาเช้ามืดตื่นขึ้นมา ร่างกายเรามันเพลียไม่อยากนั่งก็ไม่ต้องนั่ง นอนแบบนั้นแหละ รวบรวมกำลังใจ ตัดสินใจว่าร่างกายอย่างนี้ไม่ต้องการมันอีก ความเป็นมนุษย์มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ ไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือ " นิพพาน " เพียงเท่านี้พุ่งใจไปนิพพานทันที ไปนั่งอยู่ข้างหน้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยก็ดี เข้าวิมานของเราก็ได้ ถ้าเข้าในวิมานของเราถ้าเราไม่เห็นพระพุทธเจ้า พอนึกถึงท่านปั๊บท่านจะมาทันที เราก็ตัดสินใจว่า ถ้าร่างกายมันตายวันนี้หรือเมื่อไรก็ตาม ขอมาที่นี่จุดเดียว แค่นี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ก่อนจะตายวันนั้นท่านต้องเป็นพระอรหันต์ก่อน เป็นยังไง มันเป็นเอง ไม่ต้องห่วงหรอก ทำจิตอย่างนี้กันทุกวันเป็นอรหันต์เอง แค่นี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ต้องทำให้ได้!

    ต่อนี้ไปก็จะพูดถึงการปฏิบัติที่บรรดาพุทธบริษัทเข้ามาใหม่ ๆ อันดับแรก ทุกคนต้องมี " ศรัทธา " ไว้ก่อน เรื่องของพระพุทธศาสนานี่ไม่มีศรัทธาความเชื่อนี่ ไม่มีผลเลย

    ประการที่สอง ฝึกตัดกังวล ขณะที่มาอยู่ที่วัดนี่ไม่ห่วงอะไรเลยที่บ้าน ถ้าคนฉลาดนี่เขาไม่ห่วง ไอ้คนห่วงน่ะคนโง่ ใช้ปัญญาคิดนิดหนึ่งว่า เรานั่งอยู่ตรงนี้ทางบ้านมันมีอะไรเกิดขึ้น เราเห็นไหม เรารู้ไหม เรารู้ไม่ได้ เห็นไม่ได้ แต่ว่าถ้าเราได้มโนมยิทธิ ถ้าเราห่วงเราย่องไปประเดี๋ยวหนึ่งก็ได้ และเวลานี้ต้องตัดความห่วงให้หมด ถ้าความกังวลคือ ความห่วงไม่มี จิตมันก็เริ่มเป็นสมาธิ หรือว่านิวรณ์ไม่กวนใจ

    หลังจากนั้นทุกคนคุมศีลให้บริสุทธิ์ ตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะถึงวันตาย ไม่ใช่เฉพาะวันนี้และไม่ใช่อยู่ที่วัด ถ้าหากว่าคุมศีลไม่ได้วันไหน ฌานมันก็หล่น ปฏิบัติอย่างนี้คือ :-
    ๑. จะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
    ๒. จะไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล
    ๓. จะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

    หลังจากนั้น ถ้าเรายังไม่เป็นพระอนาคามี นิวรณ์มันยังตัดไม่ได้ เอาแค่ระงับชั่วคราวคือ :-
    ๑. กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และในเพศตรงกันข้าม ยามปกติต้องมีและก็ต้องใช้ ก่อนจะทำกรรมฐานมันก็มีแล้วก็ใช้ เลิกกรรมฐานแล้วก็มีแล้วก็ใช้ อันนี้ไม่มีใครเขาว่า แต่ว่าเวลาที่เราจะเริ่มทำจิตเป็นสมาธิ ตัดกำลังนี้ออกจากใจไปชั่วคราว เราเวลานี้เราไม่ต้องการอะไรทั้งหมด

    ๒. ความไม่พอใจ อย่าให้มี

    ๓. ไอ้ความง่วงนี้ ถ้าเราโง่มันก็ง่วง ไม่โง่ก็ไม่ง่วง แล้วเวลาจะทำอย่าให้ดึกเกินไป ใช้เวลาหัวค่ำ กลางวันเวลาไหนก็ได้ เวลาทำต้องเป็นคนไม่มีเวลาแน่นอน เวลาไหนเราก็ทำได้ เวลาที่มันง่วงเพลียจัด เราก็อย่าไปทำมันซิ ไม่ให้มีความง่วง

    ๔. ควบคุมกำลังใจว่า เวลานี้ฉันจะภาวนา เวลานี้ฉันจะพิจารณา เวลานี้ฉันจะรู้ลมหายใจเข้าออก อย่างอื่นอย่าเข้ามายุ่งกับฉัน

    ๕. เราจะไม่สงสัยในผลของการปฏิบัติ
    หลังจากนั้นสมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ให้ฝึกตื่นขึ้นมาเช้าคิดไว้เสมอว่า วันนี้เราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั่วไป บุคคลใดมีความทุกข์ เราจะเกื้อกูลให้มีความสุข ถ้าหากว่าถ้ามีใครเพลี่ยงพล้ำเราจะไม่ซ้ำเติม
    แค่นี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท กำลังใจทรงแค่นี้ เราถือว่าเป็น " ผู้ทรงฌาน " ถ้ารักษาอารมณ์
    อย่างนี้ไว้ได้ ฌานทุกอย่างจะไม่มีเสื่อม มีแต่ก้าวหน้า

    [​IMG]

    ต่อไปเป็นการรักษากำลังใจ นี่เป็นเรื่องเบื้องต้นของมโนมยิทธิ จะไม่อธิบายถึงผล ผลต่าง ๆ ก็คือ ครูฝึกให้แล้ว ถ้าทรงกำลังได้อย่างนี้ คำว่าเสื่อม คำว่าถอยหลัง ไม่มี ต่อไปที่บอกไว้ในเบื้องต้นว่า การฝึกแบบนี้เป็นการเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก ทีนี้คำว่า " อภิญญาหก " นี่มันต้องมี อาสวักขยญาณ คือ ตัดกิเลส ถ้าตัดกิเลสไม่ได้ เขาเรียกว่า " อภิญญาห้า " อภิญญาห้านี่! เราจะฝึกกันทำไม ฝึกกันเท่าไรมันก็ยังคงลงนรกอยู่ อย่าง พระเทวทัต ได้อภิญญาห้าเหาะลงนรกไปเลย มันต้องเป็นอภิญญาหก คือ ตัดกิเลสให้ได้ ตัดกิเลสนี่มี ๓ ตอน คือ " สังโยชน์ ๑๐ " มีการตัดจริง ๆ ๓ ตอน ทีแรกตัดตอนต้นให้ได้

    ตอนต้น คือ อารมณ์ของพระโสดาบันและสกิทาคามี ถ้าคนที่มีวิมานที่นิพพานแล้วถ้าทำไม่ได้อย่างนี้ ภาษาจะพูด ภาษาไม่หยาบก็จะไม่พูดแต่จะพูดให้ฟังที่ว่าอยากจะพูดว่า เลวกกว่าหมานี่ นี่ไม่ได้พูดหรอก บอกให้ฟัง คือว่า ถ้ามีวิมานอยู่ที่นิพพานนี่กำลังใจของเรา บารมีมันถึงนิพพานแล้ว สังโยชน์ ๓ ตัดไม่ได้ก็เลวเต็มที สังโยชน์ ๓ มีอะไรบ้าง กำลังของพระโสดาบันกับสกิทาคามีนี่ต้องได้ กำลังของพระโสดาบัน สกิทาคามี เขามีความรู้สึกอย่างไร เอาความรู้สึกที่มีอยู่ประจำตัว คือ :-

    ๑. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย จะตายเมื่อไรก็ช่าง คิดว่าอาจจะต้องตายวันนี้ไว้เสมอ คุมความดีไว้ แค่นี้คิดไม่ได้ก็เลวเต็มที

    ๒. ใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าเราควรเคารพนับถือไหม แค่นี้ถ้ายังสงสัยก็เลวอีกแล้ว

    ๓. ทรงศีลให้บริสุทธิ์ตามฐานะของตัว ฆราวาสนี่แค่ ศีล ๕ พอ พระก็ ๒๒๗ และก็มากกว่านั้นนะ คือ อภิสมาจารนี่มีอีกเยอะ ธรรมะนี่มีอีกเยอะ สามเณรนี่ศีล ๑๐ พร้อมกับเสขิยวัตร ๗๕ เฉพาะฆราวาสนี่แค่ศีล ๕ ทรงให้ได้ ถ้าทรงศีล ๘ ได้ก็ดี ถามว่าทรงตอนไหน ทรงตั้งแต่เวลานี้ไปจนกว่าจะหมดลมหายใจเข้าออก อารมณ์ของพระโสดาบัน สกิทาคามี มีแค่นี้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ตัดกิเลสเบื้องต้นได้แล้ว ถ้าได้อภิญญาคือ เป็นอภิญญาหกอีก ๒ จุด จะไม่พูดถึง ไม่จำเป็น เอาแค่นี้ให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเป็นการซักซ้อมไว้เพื่ออภิญญา

    ฉะนั้น การฝึกอภิญญานี่มันมี ๒ แบบ
    คนที่ไม่เคยได้มาในชาติก่อน เราฝึกอีกแบบหนึ่ง
    คนที่เคยได้แล้วในชาติก่อน เราก็ฝึกอีกแบบหนึ่ง

    วันนี้จะพูดเฉพาะคนที่ได้แล้วในชาติก่อน และคนที่ได้มโนมยิทธิมาแล้ว ทุกคนมันเคยได้มาแล้วทั้งนั้น ถ้ากาลเวลามาถึงทำไม่ได้ แสดงว่าคบความโง่ไว้มากกว่าความฉลาด เพราะเคยได้มาแล้วนี่ก็ต้องเอาของเก่ามาใช้ให้ได้ เวลานี้ " มโนมยิทธิ " ที่ฝึกได้แล้วต้องทำให้เข้มข้น อย่าปล่อย เพราะมันเป็นก้าวแรกที่จะเข้าสู่ .. " อภิญญา "
    วิธีปฏิบัติเบื้องต้น มีความสำคัญต้องทำ ให้ทรงกำลังใจตามนี้ คือ ไม่ต้องไปไล่หน้ากสิณ ทีแรกคิดว่าจะไล่กสิณเล่นโก้ ๆ พระท่านบอก

    " ไม่จำเป็น! คนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องไปไล่กสิณ เพียงแค่กำลังใจเข้าถึงฌานเท่านั้นแหละ คือ เข้าถึงเต็มกำลัง อภิญญาเก่าจะเข้าทันทีใช้ได้หมดเลย... "
    แต่ว่าต้องเป็น " พ.ศ. ๒๕๔๓ " ขึ้นไป ให้เริ่มใช้ตั้งแต่เวลานี้ เริ่มใช้ตั้งแต่เวลานี้จิตจะได้ทรงตัว ถ้าคนก็จะเป็นคนดี ถ้าพระก็จะเป็นพระดี ไอ้พระเลว ๆ ที่มันเลวมันไม่ได้ทำ ถ้าพระวัดนี้พระองค์ไหนเลวไม่พลาด " อเวจี " หรือ " โลกันตนรก "
    อย่าลืมนะ! นี่วิธีปฏิบัติกำลังใจเพื่ออภิญญา

    เมื่อตอนที่ " องค์ปฐม " ท่านมา ท่านบอกใช้อย่างนี้ ให้จับภาพพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ให้จิตทรงกำลังฌาน ๔ เป็นปกติ ไอ้ทรงฌาน ๔ เป็นปกติ ฌาน ๔ นี่เวลาเราออกจากร่างกายนี่เราเป็นฌาน ๔ แล้ว แต่นั้นเป็นฌาน ๔ เบื้องต้นที่มีกำลังอ่อน ต้องใช้ให้มีกำลังเข้มข้น นั่นก็คือ นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ นึกปั๊บเห็นทันที นึกจับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชัดเจนแจ่มใส ตามกำลังให้ได้ทุกวัน ทุกวันและทุกเวลาที่เราต้องการ ไม่ใช่นั่งรอเวลาเงียบสงัด ไม่ใช่อย่างนั้น เดินไปเดินมา ทำงานอยู่นึกปั๊บให้เห็นเลย เห็นแล้วอธิษฐานพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงโตขึ้น ใหญ่ขึ้น สว่างกว่านี้ เล็กลง อยู่ข้างบน สูงมาก สูงน้อย เราทำอย่างนั้น อย่าคิดว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ใช่ นี่อาตมาแนะนำเอง

    ขอให้ทรงกำลังใจอย่างนี้ให้เป็นปกติ เพราะการเดินไปเดินมา พระก็ตาม เวลาเดินไปบิณฑบาต เดินไปทำงานทำอะไรอยู่ก็ตาม ให้เห็นภาพพระพุทธเจ้าเป็นปกติที่ต้องการจะเห็น ถ้าอย่างนี้ทุกคนจะอยู่ในเกณฑ์สำรวม ความวุ่นวายจะไม่มีอยู่ในจิต ความเลวของคนของพระจะไม่มี ญาติโยมสังเกตไว้นะ!

    ถ้าพระองค์ไหนมันเลว มันไม่ทำแบบนี้หรอก ถ้าจับแบบนี้อารมณ์เลวไม่มี แล้วงานจะต้องเป็นไปตามปกติ นักเจริญกรรมฐานนี่เขาเคร่งครัดในการงาน เพราะต้องเป็นคนเคร่งครัดในกาลเวลา ถ้าไม่เคร่งครัดในกาลเวลามันทำไม่ได้ แม้แต่ในกรรมฐานเบื้องต้นเขาก็เคร่งครัดในกาลเวลาหรือการงาน

    รวมความว่า ถ้าจับภาพพระให้เป็นปกติ สำหรับเรื่องกสิณไม่ใช่ของแปลก และจะลองเล่นกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งไว้เป็นอดิเรก อย่าใจร้อน..

    อันดับแรก จับภาพพระพุทธเจ้าให้ชัดเจน ต้องฝึกตัวนี้ก่อน เดินไปเดินมานึกเมาอไรเห็นปั๊บทันที นอนหลับตื่นก็เห็นชัด ต้องอย่างนี้อภิญญา ไม่ใช่มานั่งทำ เขาเดินทำ เขาวิ่งทำกัน การทรงกำลังของสมาธิ เมื่อได้ทุกขณะแล้วอย่าใจร้อน เมื่อได้ตามความต้องการนึกเมื่อไรเห็นชัด ต่อจากนั้นไปก็เอากสิณอย่างใดอย่างหนึ่งมาเล่นเป็นงานอดิเรก กสิณลมนี่มันเล่นยาก ความจริงอยากจะให้เล่นกสิณลม กสิณลมนี่มันเหาะได้นะ โก้ดี แต่มันเล่นยาก ถ้าไม่ฉลาดนี่มันเล่นยาก เอาง่าย ๆ ดีกว่า เอาปฐวีกสิณก็ได้ หรือ อาโปกสิณก็ได้ เอาง่าย ๆ ..

    ถ้าปฐวีกสิณ ก็จับดินขึ้นมา เอาดินสีอรุณขึงไว้ทำวงกลมให้โตพอที่ตามองเห็น แล้วไม่เห็นขอบวงกลม จับภาพให้ทรงตัว แต่ก็ไม่สะดวกอีก ต้องอาโปกสิณดีกว่า

    อาโปกสิณ เล่นง่าย ถ้ามันทำได้อย่างใดอย่างหนึ่งมันได้หมด ถ้าอาโปกสิณเอาน้ำมาใส่แก้วหรือใส่ขัน จับภาพพระพุทธเจ้า เดินไปเดินมาก็เห็นชัด นั่งก็เห็นชัด พอจับภาพพระพุทธเจ้าเห็นชัดเจนแจ่มใส แพรวพราวเป็นระยับเป็นฌาน ๔ ทรงตัว ขอพระองค์โตขึ้น เล็กลง อย่างนี้สะดวกมากได้แน่นอน จิตไม่วอกแวกตามกำลัง ตั้งเวลาไว้ ๑๐ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที ให้ทรงตัวให้ได้ ถ้า ๓๐ นาทีมันไหลไป อย่างนี้จิตใช้ไม่ได้แล้ว ยังเล่นกสิณไม่ได้ ถ้ามันทรงตัวได้จริง ๆ ภาพทรงตัว เวลานั้นก็เอาน้ำมาตั้ง จับภาพพระพุทธเจ้าให้ชัดเจนแจ่มใสเต็มกำลังของฌาน ๔ คือ แพรวพราวเป็นระยับของฌาน ๔

    หลังจากนั้นถอยหลังมา ขอกำลังบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า น้ำในแก้วหรือในขันนี้ขอให้แข็ง จิ้มไปตรงไหนตรงนั้นแข็ง แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ จับภาพพระพุทธเจ้าใหม่ทำใจเฉยไว้ ถอยหลังมาอีกทีทรงจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ อธิษฐานว่าน้ำนี้จงแข็ง แล้วจิ้มปั๊บมันแข็งหรือยัง ยังไม่แข็งก็แล้วไป เพราะเวลามันยังไม่ถึง ซ้อมไว้จนกว่าจะถึง " พ.ศ. ๒๕๔๓ " ทำไปทุกวัน ๆ เล่นแบบนี้ เล่นเป็นปกติ ไม่ช้าก็จะมีการทรงตัว พออธิษฐานไปอธิษฐานมา น้ำเกิดแข็งมาตามความชอบใจ เราต้องใช้เวลาอยู่ ยังเป็นกำลังของอภิญญาไม่ได้ ยังอ่อนมากไป

    ถ้าจะเป็นกำลังของอภิญญาจริง ๆ ก็จับน้ำมา น้ำที่ไหนก็ตาม น้ำในแม่น้ำ น้ำในคลอง น้ำในบ่อก็ตาม นึกว่าน้ำที่จับไปจงแข็ง แหย่ปั๊บทันที แข็งทันที อย่างนี้เป็นตัวอภิญญาแน่ หลังจากนั้นก็ใช้กำลังของกสิณให้พอใจ กำลังของกสิณก็คือ :-

    ๑. ปฐวีกสิณ อธิษฐานของอ่อนให้เป็นของแข็ง อยากจะเดินบนน้ำก็อธิษฐานว่า เท้าที่เราก้าวไปตรงไหนให้น้ำแข็งเหมือนดิน เฉพาะที่เท้าก้าวนะ อย่าไปเสือกอธิษฐานให้หมดทั้งคลองนะ! มันไม่ถูก..การจราจรเขาเสีย อย่างนี้ก้าวไปได้สบาย อยากจะเดินไปในอากาศ อธิษฐานว่าเท้าที่ข้าพเจ้าก้าวไปในอากาศ เหยียบตรงไหนให้แข็งเหมือนดิน เดินได้สบาย...
    ๒. อาโปกสิณ ทำของแข็งให้เป็นของอ่อน หินมันแข็งทำให้เป็นของอ่อน เหล็กมันแข็งให้มันอ่อน แล้วฝนไม่ตกทำให้ฝนตกได้ทุกอย่าง
    ๓. เตโชกสิณ ไฟนี่! ถ้ามันหนาวเกินไป อธิษฐานเตโชกสิณ ให้มีความอุ่นแค่นั้นแค่นี้ ต้องการให้ไฟลุกล้อมใครเสียก็ได้ ใครพูดไม่ดีอธิษฐานให้ไฟล้อม มันเดินไม่ได้อยู่ตรงนั้นแหละ ถ้ามันไม่ขอขมาก็ไม่เลิกกัน อย่าไปเล่นแบบนี้นะ ถ้าไปเล่นแบบนี้กสิณเสื่อม หรือบางทีความมืดก็ใช้เตโชกสิณช่วยให้แสงเกิด
    ๔. วาโยกสิณ กสิณเหาะ! นึกอยากจะให้เราไปไหน นึกแป๊บเดียวมันจะไปถึงทันที นึกอยากจะให้ใครมาหาเรา ก็คิดถึงวาโยกสิณปั๊บหอบคนนั้นมา มันจะมานั่งปุ๊บนั่งข้างหน้าเลย เอาแค่นึกไม่ใช่ตั้งท่านะ ตั้งท่าใช้ไม่ได้
    ๕. ปีตกสิณ ถ้าของสีดำ สีแดงก็ตาม ต้องการคิดให้เป็นสีเหลือง สีทอง และแผ่นดินนี่ต้องการให้เป็นสีทองเมื่อไหร่ มันจะเป็นทองได้ทันที ไอ้บ้านหลังนี้ถ้าเป็นตึกเป็นไม้ เราคิดจะให้เป็นสีเหลือง สีทอง มันก็เป็น...
    ๖. โอทาตกสิณ โอทาตกสิณนี่ถ้าของมันขาว มันเขียว มันแดงนี่ ต้องการให้มันขาว นึกให้มันขาวมันจะขาวเลย
    แต่ก็มีกสิณอีกเยอะ! รวมความว่ากำลังของกสิณทั้งหมดเป็นเรื่องเล็ก ๆ ถ้าเราทำเบื้องต้นได้
    ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเตรียมฝึกเพื่ออภิญญา เวลานี้จะเตรียมใช้กำลังใหญ่ไว้ได้เลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าทำอย่างนี้มโนมยิทธิของทุกคนจะไม่มีคำว่าเสื่อม จะมีความทรงตัวแล้วจะเข้มแข็งขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังที่จะตัด " สังโยชน์ ๓ " ต้องทำให้ได้ อันนี้ไม่ใช่คำขอร้อง เป็น " คำสั่ง " ว่าคนที่ต้องการความดีถึง " นิพพาน " หรือ " อภิญญา " ก็ตาม ต้องทำ " สังโยชน์ ๓ " ให้ได้ คือ :-

    ๑. มีความรู้สึกไว้ทุกวัน เวลาตื่นเช้าว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าตายแล้วเราไม่ยอมไปอบายภูมิ
    ๒. เราจะยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจของเราด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
    ๓. จะทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์

    เท่านี้แหละ! แล้วหลังจากนั้นก็ใช้กำลังใจของพระอรหันต์ไว้ประจำใจ คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษยโลกมันเป็นทุกข์เราไม่ต้องการมันอีก พรหมโลกกับเทวโลกสุขจริง แต่ไม่นาน ไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือ .. " นิพพาน " อย่างนี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์ รักษากำลังใจตามนี้ไว้ เมื่อถึงอายุขัยเมื่อไร ก่อนจะตายจะเป็นอรหันต์เมื่อนั้น เมื่อตายเมื่อไรก็ไปนิพพาน ...

    ถ้ายังไม่ไปนิพพานเพียงใด ถ้าโอกาสมี ถ้าเราสามารถใช้อภิญญาได้ แต่ว่าการใช้อภิญญานี่ต้องใช้ให้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระ ถ้าไม่มีคนเห็นใช้ได้ ถ้ามีคนเห็นใช้ไม่ได้ แล้วก็มีประโยชน์มาก
    สำหรับคำแนะนำการฝึกอภิญญาหก ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ สวัสดี

    [​IMG]














    http://www.palungjit.org/smati/apinya6/apinya1.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2007
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ผมเองก็ไม่ได้ศึกษาเรื่องของอภิญญามามากเท่าไหร่ ได้แต่ฟังจากเพื่อนครับ
    เลยต้องไปค้นข้อมูลมาอ่านเพื่อความกระจ่างว่าความหมายที่แท้จริงคืออย่างไร? ฟังจากหลวงพ่อฯดีที่สุดครับ
    เมื่อก่อนเคยคิดว่าเป็นเรื่องของพลังลึกลับฤทธิ์อำนาจอะไรแนวนั้นเหมือนกัน
    ตอนนี้คิดว่าความหมายที่แท้จริงน่าจะหมายถึง สภาวะความเป็นธรรมชาติและสติปัญญาของจิตวิญญาณที่บังเกิดขึ้นในบุคคลหนึ่งๆจากการฝึกฝนอย่างมุ่งมั่น เต็มกำลังจนสามารถเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานต้นกำเนิดได้ เมื่อนั้นจึงเป็นพลังจากอภิญญาที่ปรากฎออกมาอย่างเป็นธรรมชาติทึ่สุด คิดสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น
    แต่อาจมีตัวช่วยจากพลังอำนาจสนามแม่เหล็กโลกที่ปรับเปลี่ยนค่าสูงขึ้น..ทำให้ระยะทาง ช่องว่าง และกาลเวลาของโลกเปลื่ยนไป ข้อจำกัดทางกายภาพที่เคยมีก็เปลี่ยนไป มนุษย์โดยรวมจึงทำอะไรได้มากขึ้นกว่าเดิม เช่นหากมิติเปิดจะเห็นมิติคู่ขนานและโลกของจิตวิญญาณได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้หลังวิกฤตผ่านไปแล้วใกล้มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ ยังไงก็ขอให้สอบผ่านกันไปทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2007
  12. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    หากยุคอภิญญาใหม่เข้าสู่สาธารณาจริง เพียงแค่คิดก็สามารถสร้างมโนกรรมแก่กันได้แล้ว
    คนที่มักคิดไปในทางอกุศลบ่อยๆควรระวังตัวอย่างยิ่ง เพราะหากหลงทำกรรมประเภทนี้แล้ว
    ผลจะสนองกลับรวดเร็วยิ่งกว่ากายกรรม และ วจีกรรมมากนัก ดังนั้นนอกจากการฝึกสมาธิแล้ว
    ควรจะฝึกใจของตนให้คิดแต่ทางกุศลด้วยครับ ฝึกเมตตา ฝึกกรุณา ฝึกมุทิตา และ ฝึกอุเบกขา

    ปล. บางคนอาจสงสัยว่า ผลตอบสนองกลับมารวดเร็วแล้วไม่ดียังไง ตามปกติทำกรรมเอาไว้เช่นใด
    ย่อมได้รับผลตอบแทนเช่นนั้น ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน อย่าลืมว่าในช่วงที่กรรมไม่ดียังไม่ให้ผลนั้น
    เรายังอาจยังสามารถทำกรรมดีมาเจือจางได้อยู่ แต่ถ้ากรรมให้ผลทันที หากเราเผลอคิดไม่ดีต่อใคร
    อีกฝ่ายที่เขาก็ล่วงรู้ถึงใจเรา เขาก็คิดไม่ดีกลับ แช่งกันไปแช่งกันมา แย่กันทั้งคู่ครับ
    ขนาดโพสกันช้าๆใน Internet ยังด่ากันไปด่ากันมาจนถึงขั้นจะกินเลือดกินเนื้อกันก็ยังมีเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2007
  13. The Shadow

    The Shadow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    557
    ค่าพลัง:
    +1,732
    ไม่ลองตอบผมหน่อยหรือครับ คุณคนา ว่าทำไมต้องถามพระทุกเรื่องไป

    อยากรู้นะเผื่อฝากถาม ผมเองไม่ใช่สายหลวงพ่อฤาษี ไม่มีมโน

    ไม่ได้ปรามาสนะครับ แต่เท่าที่เคยพบน่ะ เชื่อว่าคุณมีความมั่นใจในทางที่เดินอยู่มาก เมื่อมั่นใจขนาดนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไร้ความศักดิ์สิทธิ์

    เพราะใจเกิน100 แล้วจะไปถามทำไมพระ

    แล้วพระที่ว่าเนี่ย เป็น หลวงพ่อฤาษี หรือ องค์ปฐม หรือพระพุทธเจ้าของเราครับ

    ถ้าคิดว่าล่วงเกิน ก้าวก่าย ก็ขออภัยกันละกัน
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    คือครูบาอาจารย์ผมท่านสอนว่าอย่าใช้กำลังใจของตนเองครับ

    ผมเองก็ยังเลวอยู่มาก ไม่ได้ดี ได้เก่งอะไร ดังนั้นทำอะไรก็ตามเราก็ถามผู้ใหญ่ท่านเอาไว้ แล้วก้าวตามที่ท่านสั่ง ท่านสอน

    ผลของการปฏิบัติ ตามที่ท่านสอนท่านบอก เราก็พึงรู้ได้ด้วยตนเอง

    ทางที่ดีที่สุดก็คือการปฏิบัติรู้เห็นให้ได้ด้วยตนเอง เป็นดีที่สุดครับ

    อย่างไรก็ตาม ขอให้เข้าถึงความเป็นสัมมาทิษฐิโดยเร็วครับ
     
  15. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    คุณคนานัน ไม่ตอบข้อความผมหน้าที่แล้วเลยอ่าครับ อยากรู้ครับ
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สำหรับอ.ชมนั้นเมื่อก่อนท่านเปิดสอนวิชชาต่างๆที่บ้านของที่ ในย่านบางโพ ครับ
    แต่ตอนนี้เนื่องจากท่านสูงอายุมากแล้วจึง ไม่ได้สอนอีก ลูกหลานให้ท่านไปอยู่คอนโด ผมก็ติดต่อไม่ได้ครับ

    วิชาที่ท่านสอนก็เป็นการแสดงฤทธิ์โดยใช้สมาธิขั้นต้น พวกวิชาคงกะพัน ดับพิษไฟ เสกปรอทเข้าทางฝ่ามือเพื่อรักษาโรค กับสมาธิขั้นกลาง พวกเอามือรูดโซ่เผาไฟแดง เสกใบไม้เป็นต่อแตน ครับ

    ขอโทษที่ตอบช้าครับ
     
  17. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    Cyill นักมายาจิต สุดยอดเหมือนกันครับ


    อยากให้เพื่อนๆดูอะไรแปลกๆดูบ้าง จะได้เป็นกำลังใจในการปฏิบัติ
    เพื่อนๆคิดว่า ทุกวันนี้มีนักมายาจิต เกิดขึ้นกี่คนครับ แหะๆ​




    ยังมีอีกน๊ะครับ ถูกใจมั่กๆๆ​




    และยังมีอีกน๊ะดูได้เล้ย http://www.thaivdoclip.com/index_MV....=4&gclip=magic


    เพื่อนๆ คิดว่ามายาจิตนี้ มาจากการฝึกกสิณหรือไม่ครับ คิดว่าไงหละ อิอิอิ​


    โพสต์โดยคุณ
    UFO99<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_823530", true); </SCRIPT>
    สมาชิก​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2007
  18. kosabunyo

    kosabunyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,045
    ของจริงต้องพิสูจน์ได้
     
  19. lasomchai

    lasomchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,036
    ขออนุโมทนากับผู้ตั้งกระทู้และผู้ร่วมอนุโมทนาทุกท่านเป็นอย่างยิ่งครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    [​IMG]
    คลิ๊กดูคริปวิดิโอได้ที่นี่ครับ

    http://www.crainium.net/jdjArchives/2006/01/hamburger_trick.html

    [​IMG]

    มายากล

    ศูนย์รวม DVD มายากลระดับโลก และแผ่นสอนเล่นกลมากมายหลายรายการ สำหรับผู้รักมายากลในรูปแบบ ของ dvd ใช้แผ่นอย่างดีไรท์มีสกีนแผ่นพร้อมทั้งปกและกล่องสวยงามเหมาะสำหรับการสะสมมาก ส่งฟรี ทั่วประเทศหรือรับสินค้าที่ BTS แล้วค่อยชำระเงิน ต่างจังหวัดสามารถส่งทางพัสดุเก็บเงินปลายทาง ( รับประกันคุณภาพทุกแผ่น หากมีปัญหาสามารถเปลี่ยนได้ทันที ) จะทยอยนำมาอัพเดทเรื่อย ๆ ครับ สำหรับผู้ที่รักมายากล

    *** สินค้า SET A เป็นการแสดงของนักมายากลชื่อดังระดับโลก หลายคนเลยครับ แต่ละกลที่เล่นน่าเหลือเชื่อทั้งนั้น ตอนนี้มีทั้งหมด 13 รายการ***

    1.Cyril Magazine 1,2,3 : สุดยอดนักมายากล แนวการเล่นแบบ Street Magic ไม่ใช้อุปกรณ์แบบกลบนเวที เล่นตามสถานที่ต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่น แต่ละกลสุดยอดจริง ๆ ความคมชัดเหมือน DVD9 เลยครับ มีทั้งหมด 3 แผ่น และมีการสอนวิธีเล่นกลขอCyril ด้วยช่วงท้ายแผ่น(เอาไปโชว์ได้เลย ) ทั้งหมดราคา 260 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    2.Cyril ชุด Special 1 : อันนี้เป็นรูปแบบที่ฉายในรายการ TV ที่ประเทศญี่ปุ่น กลที่เล่นก็อย่างเช่น ปาไพ่ทะลุตู้ปลา แล้วเอามือล้วงทะลุเข้าไปหยิบไพ่ในตู้ปลา , เสกจรเข้จริง ๆ ออกมาจากเสื้อแบรนด์เนม , ผ่าแอปเปิ้ลแล้วกลายเป็นส้มกับแตงโม สนุกมากดูแล้วทึ่งสุด ๆ ทั้งหมดราคา 110 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    3.Cyril ชุด Special 2 : อันนี้ที่ฉายในรายการ TV ของญี่ปุ่นเหมือนใน Cyril ชุด Special 1 (แต่ไม่ซ้ำกัน) กลที่เล่นก็อย่างเช่น ใส่เหรียญทะลุขวดแก้ว , น้ำไหลออกมาจากภาพจริง ๆ , เสกของให้หายไป , เสกปลาตากแห้งให้เป็นปลาจริง ๆ ดูแล้วทึ่งทุกชุด ชุดนี้มี 1 แผ่น ราคา 110 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    4.Cyril ชุด Special 3 : ชุดนี้กลที่เล่นก็ยังน่าทึ่งเช่นเดิม เช่น เอาแฮมเบอร์เกอร์ออกมากจากป้ายโฆษณาแล้วนำมากินได้จริง ๆ เสร็จแล้วใส่กลับไปในป้ายเหมือนเดิม กลเหรียญทะลุกระจก เสี่ยงตายเข้าไปอยู่ในลัง แล้วล็อคไว้ทั้งมือและเท้า ต้องพยายามออกมาก่อนที่ลังจะจมน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งหมดราคา 110 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    5.Cyril ชุด Special 4 : ชุดนี้Cyril ยังไปเล่นกลตามสถานที่ต่าง ๆ เหมือนเดิม กลที่เล่นก็เช่น ทำให้โทรศัพท์มือถือทะลุไปอยู่ใต้ลานเสก็ตน้ำแข็ง เอียงตัวขนานกับพื้นได้โดยไม่ล้ม ย้ายหลุมกอล์ฟ และกลใหม่ ๆ อีกหลายกล ทั้งหมดราคา 110 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    6.Criss angel (Mindfreak complete season 1 ) : สุดยอดนักมายากลระดับโลกอีกคนหนึ่ง เล่นแนวดนตรี Rock กลที่เล่นส่วนใหญ่เป็นแบบหวาดเสียวสุด ๆ เช่น เผาตัวเองแล้วหายตัว , นอนบนตะปูให้รถทับ ฯลฯ เป็น DVD 2 แผ่น ราคา 220 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    7.Criss angel (Mindfreak complete season 2 ) : อันนี้เป็นรูปแบบที่เหมือนกันกับ season 1 แต่ละกลที่เล่นก็เหลือเชื่อทั้งนั้นครับ เป็น DVD 3 แผ่น ราคา 290 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    8.David copperfield illusion : นักมายากลระดับโลกที่ทุกคนรู้จักกันดี รวมการแสดงต่าง ๆ ของ David เช่น การเสกรถไฟให้หายไป เดินทะลุกำแพงเมืองจีน แยกร่างและการหนีตาย ภาพคมชัดมาก ชุดนี้มี 2 แผ่น ทั้งหมด 190 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    9.Siegfried & Roy The collection : สองพี่น้องนักมายากล ที่แสดงกลขนาดใหญ่บนเวที และโชว์ที่อลังการ กับสัตว์ดุร้าย กลที่เล่นส่วนใหญ่จะอลังการมากครับ เป็น DVD 2 แผ่น ราคา 200 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    10.David blaine ชุด Mystifier : นักมายากลที่มีฝีมือระดับโลกอีกคนหนึ่ง โดยเฉพาะการเล่นแบบ Street magic เล่นกลไพ่และเหรียญได้เนียนมาก ๆ เล่นตามสถานที่ต่าง ๆ น่าสะสมมากสำหรับผู้รักมายากล เป็น DVD 1 แผ่น ราคา 110 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    11.David blaine ชุด Showman : ชุดกลแสดงการเสี่ยงตายในการเข้าไปอยู่ในก้อนน้ำแข็ง 62 ช.ม. ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ดูแล้วทึ่งมาก มีการเล่นกลแบบ Street magic อยู่ด้วย เป็น DVD 1 แผ่น ราคา 110 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    12. T.H.E.M. ( Totally hidden extrem magic ) : เป็นการรวมกลุ่มนักมายากลที่มีฝีมือ มี Cyril Takayama ด้วย ใช้มายากลเล่นแกล้งผู้คนตามสถานที่ต่าง ๆ ดูแล้วทึ่งจริง ๆ ในแผ่นยังมีมายากล ชุด " The magic of jesus " ด้วย รวมทั้งแผ่นประมาณ 1 ช.ม.ครึ่ง คุ้มมากครับ ชุดนี้มี 1 แผ่น ราคา 110 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    13. Magic' Biggest secrets finally revealed : เป็น vcd เฉลยกลที่นักมายากลระดับโลกแสดง เป็นการเฉลยทุกขั้นตอนของการแสดงมายากลระดับโลกหลาย ๆ ชุด ที่ทำให้ทุกคนตะลึงมาแล้ว แล้วคุณจะทึ่งกับการเฉลย ทั้งหมดมี 3 แผ่น ราคา 150 บาท พร้อมปกและกล่องอย่างดี ส่งฟรีทั่วประเทศ หรือรับสินค้าที่BTS

    ที่มา http://www.buydvd.tht.in/contact_us.html

    หมายเหตุ

    ไม่ได้ต้องการมาเสนอขาย DVD ,VCD มายากลอะไรนะครับ แต่อยากจะให้ผู้ที่สนใจเรื่องการฝึกอภิญญาว่า เป็นสิ่งที่ทำกันได้จริงๆ ในยุคสมัยนี้กันแล้วครับ อีกทั้งยังเป็นการยืนยันคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ว่าอภิญญาจะสามารถฝึกกันได้จนเป็นสาธารณะ ในยุคสมัยที่เรายังมีชีวิตกันอยู่นี้แหละครับ



     

แชร์หน้านี้

Loading...