ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. seedandL

    seedandL สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +23
    การเชื่อมต่อกันระหว่างจิตวิญาณในตัวเรา กับ ตัวตนผู้สูงส่งภาคแรกของเรา จะเกิดขึ้นได้อย่างเด่นชัดเป็นรูปธรรมขึ้นมาจริงๆ ก็ต่อเมื่อผุ้นั้น มีความรักเป็นอารมณ์แห่งจิตที่ค่อนข้างจะเสถียรอยู่ในระดับหนึ่ง หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่มีอารมณ์เป็นบวกอยู่ตลอด มีความปิติเบิกบานเป็นอารมณ์แห่งจิต จิตจะต้องไร้ความขุ่นมัว จากกิเลสตัณหา

    เพราะการที่เรียกว่า walk in ในแนวของstarseeds จะต่างกับการเข้าสิงหรือการเข้าทรงในสมัยแบบโบราณกันอย่างสิ้นเชิง เหตุผลคือ เพราะนี่คือยุคนิวเอจ หรือยุคพลังงานใหม่แล้วน่ะครับ ไม่เหมือนเมื่อก่อนน่ะครับ ที่โลกมีค่าระดับพลังงานอยู่ที่ 3-3-3 แต่ตอนนี้ ได้ยกระดับไปที่ 6-6-6 จึงต่างกันโดยสิ้นเชิงในเรื่องของการเข้าสิงเข้าทรง

    เพราะเมื่อโลกมีการยกระดับพลังงานแล้ว แค่เรารักษาประคองจิตให้มีความเป็นบวกไว้ การเชื่อต่อในลักษณะเส้นแสง ระหว่างจิตวิญญาณในตัวเรา กับ ตัวตนภาคแรกผู้สูงส่งของเรา เขาก็จะส่งเส้นแสงเชื่อมต่อถึงกันโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้

    ขอเพียงแต่แค่เรา อย่ามีอารมณ์จิตที่ขุ่นมัวเท่านั้นเอง เพราะถ้าจิตเกิดขุ่นมัวขึ้นมา
    ก็จะเป็นอุปสรรคในการส่งเส้นแสงในการเชื่อมต่อนี้ทันที
     
  2. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    อยากรู้ ว่าง ก่ ต้องดูที่ ใจ

    อยากรู้ ใจ ก่ ต้องสัมผัสรู้ ที่ความรู้สึก

    ความรู้สึก อย่างไร ก่ ความรู้สึกที่ปรากฎ ที่เป็นกลาง

    ไม่มีความนึกคิด ในเหตุ และ ผล อะไรทั้งสิ้น

    เหตุ และ ผล ที่สร้างขึ้นมา ทั้งปัจจุบัน และ อดีต

    ไม่ใช่จริงแท้เสมอไป เพราะมิติ ของความถูกต้อง

    มีอีกมาก ที่จะอธิบาย หรือเป็นปัจจัย ของผล นั้นๆ

    หากจะยึดเอาเหตุ ที่บันทึกเป็น สรณะ ก่ คือ การ

    หลงอยู่ใน มิติ เดิมๆ ไม่ก้าวไปสู่มิติใหม่

    เมื่อยึดแต่มิติเดิม ก่ วนอยู่อย่างนั้น

    ไม่ได้ไปสู่ความ ว่าง อย่างแน่นอน

    ว่าง กับ ใจ เป็นขอบเขตที่มีระดับความละเอียด

    ที่อยู่ในแนว หรือ สายเดียวกัน อิอิ
     
  3. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    วิธีที่ดีที่สุด รู้สึกได้ที่ใจ ต้องหาเอาเองนะ เริ่มจาก เมตตา กรูุณา มุทิตา อุเบกขา อาจจะไม่ได้100% แต่ทำบ่อยๆมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ

    ตั้งจิตให้สงบ แล้วสังเกตความรู้สึก สิ่งที่อ่านๆมาแบบไหนเข้ากับตัวเองมันจะสงบ ปลอดโปร่ง โล่งๆ ไม่วิตกกังวล
     
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ตามนัยยะของกระทู้จากต่างมิติที่ผมแปลและโพสต์อยู่นี้
    ตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา ก็คือ จิตวิญญาณของเรา
    และจิตวิญญาณของเรา ก็คือ จิตอันเป็นประภัสสร
    เหตุฉไนถึงจะเป็นจิตที่โฉดชั่วได้หละครับคุณพี่

    ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การบำเพ็ญจนเข้าถึงจิตเดิมแท้ได้
    ก็หมายถึงบำเพ็ญจนเข้าถึงความโฉดชั่วไปแล้วหนะสิ

    แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ฟังแล้วไม่สมเหตุสมผลเลยก็คือ
    โลกแห่งจิตวิญญาณที่อยู่ในมิติสูงๆนั้น
    พวกเขามีความสมดุลอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
    ไร้ความเป็นทวิภาวะ ไร้ความอยากแบบมนุษย์
    แล้วพวกเขาจะมาแย่งเอาร่างมนุษย์ไปทำอะไร

    และอีกอย่างหนึ่ง ตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา
    ก็ไม่ใช่ตัวตนจากในอดีตอย่างที่พี่ท่านว่ามานี้ด้วยนะครับ
    เพราะว่าตามนัยยะของพี่ท่าน ดูเหมือนจะหมายถึง
    วิญญาณสัมพเวสี หรือ พวกเทพ พวกพรหมณ์ กะเลกะลาดแถวๆนี้ซะมากกว่า
    ซึ่งมีทั้งที่จิตใจดีงามและตกต่ำ อะไรแบบนั้น ถูกไหมครับ

    อ่านแล้วผมหละงงเลย ไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหนกัน
    เพราะว่าผมก็ไม่เคยโพสต์เรื่องแบบนี้เลยนะ

    ...........................................................
     
  5. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    เรื่องตัวตนในอดีต คิดว่าน่าจะมี ๒ กรณีที่เป็นไปได้ครับ


    ๑. กรณีตัวตนที่ดีกว่านำทางตัวตนที่แย่กว่า แล้วนำพาไปสู่ทางที่ดีขึ้น
    ๒. กรณีตัวตนที่แย่กว่านำทางตัวตนที่ดีกว่า แล้วนำพาำไปสู่ทางที่แ่ย่ลง


    ลองดูเอาครับว่าเข้ากรณีไหน คงยังฟันธงว่าเป็นกรณีใดหนึ่งอย่างเดียวไม่ได้
    แต่คิดว่าสารน์ที่สื่อมาจากต่างมิตินั้น ไม่ได้หวังให้เราไปสู่กรณีที่ ๒ หรอกนะครับ
     
  6. love_evol

    love_evol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +87
    ก่อนอื่นต้องขอบคุณ ทุกท่านนะคะ คุณphudit999 คุณaxon47 คุณseedandL
    คุณอจิตตะ และคุณชยุตด้วยค่ะ

    เรื่องตัวตนที่สูงส่งกว่าในความหมายดิฉันคือจิตวิญญาณเดิมแท้ของเรา หรือจะเรียกว่าต้นกำเนิด หรือพลังงานดั้งเดิม หรือจะเรียกอะไรก็ไม่แน่ใจนัก เพราะตอนนี้ยังไม่สามารถสัมผัสรู้ในสิ่งนี้ได้แบบจะแจ้ง แต่มีความรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดิฉันอยากสัมผัสถึง มีความโหยหาการติดต่อสัมพันธ์อยู่ลึกๆ ไม่ได้รู้สึกกลัวการมาครอบหรือแย่งร่างหรอกค่ะ แต่เรื่องที่คุณphudit999พูดเรื่องความว่าง กับการเข้าสู่ความว่างนั้นตรงกับความรู้สึกดิฉันค่ะ

    ส่วนที่คุณอจิตตะแนะว่าเราเชื่อมต่ออยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วดิฉันก็มีความเชื่ออย่างนั้น (รันเวย์มันไม่ว่างสักทีเลยค่ะ^^)

    เหมือนที่คุณseedandLบอกค่ะว่าตอนที่มีอารมณ์ขุ่นมัวนี่มันรู้สึกชัดเจนมากจริงๆว่าเราไม่สามารถเชื่อมต่อได้แน่(แล้วดิฉันก็รับรู้อารมณ์ตอนขุ่นมัวได้ชัดเจนมากๆ แม้ภายนอกจะไม่แสดงอะไรออกไป แต่ตัวเองรับรู้มันชัดราวกับใครเอาแว่นขยายหรือกระจกมาส่องให้ดู จนบางทีเห็นตัวเองโกรธแล้วตกใจ...นี่เรากำลังโกรธหรือนี่ เลยขำและหายโกรธ555)

    อ่านมาหลายที่ค่ะคุณaxon47 และที่ชอบคือการเข้าสู่ภายในโดยการมองที่ความคิดและอารมณ์ เรียกให้หรูก็สภาวะจิต แต่คำนี้ตัวเองไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็เหมือนที่คุณaxon47บอกว่าเราชอบใจอ่านอะไร ทางไหนถามความรู้สึกตัวเองดีที่สุดจริงๆค่ะ

    ชอบการสังเกตจิตใจ อารมณ์ ความคิดของเราเองนี่แหละ บางครั้งพบความอัศจรรย์มากๆอย่างหนึ่งคือ ถ้าสังเกตบ่อยๆจนเพลิน แบบเกือบลืมๆว่าเราปล่อยความคิดและเป็นผู้สังเกตอยู่ จะเหมือนกับว่าความคิดที่ผุดขึ้นมาบางๆเบาๆนั้นไม่ได้มาจากเราน่ะค่ะ คือมันมาจากไหนไม่รู้แปลกจัง

    สังเกตแบบเพลินๆชิวๆ บางทีก็เอะใจ เหมือนเราเป็นแค่ตัวรับคลื่นความคิด มันเหมือนเราไม่เชิงเป็นเราแต่เป็นอะไรที่มากกว่านั้น เป็นสิ่งอื่นด้วย -_-'' คือพูดยากเพราะตัวเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจภาวะนี้ เพราะอย่างที่บอกค่ะว่ามันจะเบาบางมากๆ จนพอเราไปเพ่งมองมันจะหายไป จนกลายเป็นผู้สังเกตและวิพากษ์วิจารณ์ตัดสินไป เมื่อเอามาขบคิดตรึกตรอง

    คืออธิบายยากน่ะค่ะ คงเพราะยังอ่อนซ้อม ยังไม่เสถียรเหมือนที่คุณseedandLว่า แต่รู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว สำหรับตอนนี้นะคะ (ต่อไปอาจจะต้องเปลี่ยนไปหรือเปล่าค่อยว่ากันอีกที)


    555 มีเรื่องน่าสนใจหลายๆอย่างในชีวิตประจำวันที่เสียงแผ่วเบาจากภายในบอกมาตรงเป๊ะ ในใจคำตอบมันผุดอะไรขึ้นมาแล้วเป็นไปตามนั้นในเวลาต่อมาอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นมานานพอควรแล้ว แต่ที่แปลกใหม่คือบางทีเคยกำหนดจากในความคิดตัวเอง แล้วก็ปรากฏออกมาตามต้องการ แต่ไม่บ่อยนะคะ เป็นครั้งที่ไม่ตั้งใจซะส่วนใหญ่

    แต่ไม่ได้อยากมีตาทิพย์ หูทิพย์หรือพลังจิตอะไรพิเศษหรอกค่ะ สิ่งที่ปรารถนาคือ ถ้าเป็นมนุษย์ที่เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณเดิมแท้ได้ ตัวเองจะเป็นเหมือนพระเจ้าในร่างมนุษย์

    โดยส่วนตัวเชื่อเรื่องการมีอยู่ของจิตวิญญาณในโลกอื่นอยู่แล้ว กระทู้คุณชยุตยิ่งตอกย้ำความเชื่อและความรักในมิตรถาพของเพื่อนๆจิตวิญญาณ

    และหากเชื่อมต่อกับตัวตนเดิมแท้ได้ ประสบการณ์ของโลกใบนี้คงจะสุดยอดไปเลยว่าไหมคะ หากเราเป็นพระเจ้า
    ในร่างมนุษย์น่ะ555

    เราคงมีแต่ความรัก และความเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง โดยไม่ถูกจำกัดด้วยความกลัว ในการเป็นมนุษย์ เราจะเข้าใจคำว่าโลกคือมายา รู้แจ้งคำว่าเราเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ในร่างมนุษย์ได้จากหัวใจไม่ใช่เพียงในสติปัญญา นั่นมันจะน่าปลาบปลื้มสักแค่ไหนนะ ตื่นเต้นจัง^_^

    555 พิมพ์มาซะยืดยาว คงเหมือนที่คุณชยุตว่า ดิฉันต้องค่อยๆคลานต่อไปและต่อไป

    อย่างไรเสียทุกความเห็นมีประโยชน์มากๆค่ะ สะกิดใจ...ให้แนวทาง บางทีที่เสียงข้างในมันเรียกร้องให้โพสถามทุกๆท่านก็เพื่อสะกิดสะเกาใจตัวเองก็เป็นได้

    รอๆ...ความเห็นของเพื่อนๆพี่ๆอีก​
     
  7. Vking

    Vking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +1,555
    ขอแชร์ด้วยคนนะคะ ... ตัวเองก็ยังอยู่ในกระบวนการเคลียร์ตัวเองเหมือนกันนะ

    กับคำที่คุณพูดถึงเรื่อง ... คอยสังเกต ...

    การสังเกตเนี่ย... ก็เหมือนกับว่า.... ยังไม่ปล่อย ไม่วาง จริง ๆ

    ยังไม่หมดจิตหมดใจ... ยังมีตัวคอยรู้อยู่


    (หุหุ.... ใช่เลย... อาการแบบนี้ น่าจะอินเทรนด์ ใคร ๆ เขาก็เป็นกันนะ ...
    เพียงแต่ต่างรูปแบบกันไป ปัญหาของใคร ก็ปัญหาของคนนั้นนะ ...)


    การสังเกตก็เหมือนกับว่า ... ยังมีความพยายามที่จะรู้ ที่จะเห็นอยู่

    มีคำ ๆ หนึ่ง ที่เราได้ยินจากครูบาอาจารย์บ่อย ๆ คือ

    คำว่า ...
    ตรัสรู้ ท่านกล่าวว่า แปลง่าย ๆ ก็คือ ตัดซะรู้น่ะ (smile)

    นึกออกมั๊ย .... ตัด เป็นนัยยะเดียวกันกับคำว่า ปลง หรือ ปล่อย หรือ วาง

    สรุปอีกทีก็เป็นเรื่องของ การนอกเหนือ หลุดพ้น ออกจาก ประเด็นปัญหานั้น ๆ น่ะ

    จะว่าไป...แต่ละคนคงมาถึง...ด่านทดสอบเด็ด ๆ (อีกแล้ว)

    ส่วนตัวก็เจอเรื่องของการเผชิญหน้ากับจุดอ่อนที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ของตัวเอง... เฮ่อ .....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2013
  8. atitarn2009

    atitarn2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +262
    อยากขอความคิดเห็นค่ะ

    ถ้าจะลองมาคิดดู คำว่า จิตเดิมแท้ ตัวตนแก่นแท้ ตัวตนแก่นแท้ที่สูงส่งกว่า หรือ แม้แต่ความรัก(ที่เป็นรักเพื่อรัก) กับความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสรรพสิ่ง

    มันจะมีความหมายเดียวกัน คือ นิพพาน ได้รึเปล่า
    คิดว่าไงกันบ้างเ่อ่อ
    รบกวนขอความคิดเห็นหน่อยค่ะ ^ ^
     
  9. atitarn2009

    atitarn2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +262


    ตัวผู้รู้ น่าจะต้องเป็นตัวที่วางหลังสุดนะคะ คิดเหมือนกันมั้ย ^ ^ เพราะถ้าวางซะก่อนอะไรจะเกิดขึ้น หรือถ้ารู้แล้วว่าตัวผู้รู้ไม่มี ยังไงก็ต้องยืมไว้ใช้ก่อนเนอะ ให้รู้จนจบสิ้นความไม่รู้ แล้วจึงปล่อยผู้รู้ไปสู่ความว่างงงงงงง....
    อย่างงี้เห็นว่าไงคะ
     
  10. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ร่างมนุษย์ เป็นเพียงเครื่องมือ สำหรับการพัฒนาตัวตน
    ของอีกภาคหนึ่ง จะเป็นภาคไหน ก่ สุดแล้วแต่ว่า ภาคไหน
    ประจำอยู่ที่กายขันธ์

    มนุษย์จะได้รับอิทธิพลของคลื่นต่างๆ รอบตัวเอง
    Once ที่ร่างมนุษย์นั้น ๆ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคลื่น
    ที่ไม่ดี ... ร่างมนุษย์ร่างนั้นก่จะได้รับ ผลกระทบจากคลื่นที่
    ไม่ดีเช่น กัน และ ส่งผลทำให้ร่างมนุษย์ นั้น สามารถรับข้อมูล
    ที่ไม่ดี แปรความหมายที่ผิดๆ ถูกสั่งให้กระทำ หรือมีความประพฤติ
    ที่ผิดพลาด ผิดในศีล เมื่อกระทำสำเร็จ ผู้ที่ดำรงอยู่ในขันธ์ ซึ่งเป็นผู้ที่
    ต้องรับผิดชอบโดยตรงก่ จะได้รับผลกระทบจากการกระทำของร่างด้วยเช่นกัน

    ดังนั้น เมื่อมนุษย์ นั้นได้กระทำผิดพลาดไปมากๆ ก่ ผู้ที่ดำรงอยู่ก่จะได้
    รับอิทธิพลของความต่ำทราม กลายเป็นผู้ที่มีความคิดอันต่ำทรามได้เช่นกัน

    เหมือนกับ คบคนเช่นไร ก่ จะกลายเป็นคนเช่นนั้น

    เมื่อมนุษย์นั้น ชาตินั้น ตกอยู่ภายใต้ ของความต่ำทราม ก่ จะเป็นผู้ที่มีพลังงานหรือคลื่น อันต่ำทราม

    มนุษย์ จึงมี ทั้งด้านที่ดี และ ด้านที่ไม่ดี ปะปนกันไป

    โชคดี ก่ มีดีเป็นส่วนใหญ๋

    หากจะบอกว่า มนุษย์ มีแต่พลังความดีอย่างเดียว
    ก่ เป็นมุมมองที่ ด้านเดียว ....

    ดังนั้นหากจะหมายถึง ด้านดี จะมีความดีในระดับใด ก่ ได้
    เช่น บางคนบางตัวตน ก่ มีความดีอดีตระดับ พุทธะ
    บางคนบางตัวตน ก่ มีความดีอดีต ระดับปัจเจกพุทธะ
    บางคนบางตัวตน ก่ มีความดีระดับ อนาคามี ก่ มี

    และ บางคนในคนเดียวกัน ก่ มีทั้งตัวตนทั้งดีสูงสุด และ ดีต่ำสุด
    ก่ มี จะเอาอะไร ล่ะ ....

    สิ่งที่กล่าว ไม่เห็นจำเป็นต้องไปลอกเอาความคิดของใครเลย
    สังเกต จากธรรมชาติ ก่ ได้ อาทิ บางคนมีความประพฤติที่ดีงาม
    แต่บางที บางโอกาศ ความดี ก่ ไม่มีแต่กลับกลาย เป็นซาตาน
    ก่ มีเยอะ ไป ....
     
  11. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ดังนั้นการวนเวียนของชาติภพ ของมนุษย์ จึงมีบางภพ
    ก่พบความดี บางภพ ก่ พบแต่เรื่อง ไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่า
    มนุษย์ตนนั้นตกอยู่ภายใต้ อิทธิพลของอะไร ในแต่ละภพชาติ

    มนุษย์(ร่างกายเนื้อ) ทุกตัวตนจะมีความดี อยู่ภายใน
    อยู่แล้ว ในแต่ละภพชาติ ธาตุของใจ บางคน ก่ จะเรียกว่า ภาคทิพย์
    อนุภาคของความเป็นทิพย์ หรือจะเรียกว่า ตัวตนภายใน

    เมื่อไหร่ที่ทำชั่ว อนุภาคความดี ที่อยู่ในร่าง ก่ จะหลุดออกจากร่างทิพย์ ไป
    เสีย ทำชั่วมาเท่าใด อนุภาคความดี หรืออนุภาคทิพย์นั้น ก่ จะลดน้อยลงเรื่อยๆ

    จนกระทั่ง หมด ตัวตนนั้น ๆ ก่ จะกลายเป็นอมนุษย์อันต่ำทราม

    มนุษย์จริงๆ คือ กายใน ดังนั้น มนุษย์ หรือตัวตนในอดีต
    ไม่จำเป็นต้อง ประภัสสร
    ต่ำทรามระดับ โลกันตนรก ยังมี ท่านน้อง เอ้ย

    และยังดำรงเป็นมนุษย์อยู่บนโลก ที่ ท่านน้อง กำลังเล่านิทานอยู่นี่ล่ะ

    เพราะ ว่า ตราบใดที่มนุษย์ ยังไม่สมบูรณ์บริบูรณ์
    ก่ยังจะมีการเกิด อีกเรื่อยไป .... ล่ะ ท่านน้อง

    มนุษย์ที่สมบูรณ์บริบูรณ์ เป็นอย่างไร
    มนุษยฺ์ที่สมบูรณ์บริบูรณ์ ก่ คือ มนุษย์ที่ได้รวมตัวตน
    หรือรวมธาตุที่เป็นตัวตนของตนเอง ที่ผ่านมาในอดีต
    ทั้งดีและไม่ดี (ที่เลยระยำ) ก่ ต้องรวมให้หมด
    วิธีการรวมตัวตน ก่ ต้องปรับให้เสมอกัน
    พวกที่ไม่ดีในอดีต หรือมีตัวตนไม่ดีในอดีต
    ก่ ต้องกระทำการชำระตัวตนให้สะอาดก่อน
    จึงจะมารวมตัวตนได้ กับ ทุกตัวตน

    ดังนั้นการจะรวมตัวตนได้ ต้อง จะต้องมีตัวตน
    หลักที่สะอาด ที่บริสุทธิ์ ก่ ต้องดูที่ว่า ตัวตนในปัจจุบัน
    หรือกายในที่ แท้ ของร่างปัจจุบัน บริสุทธิ์ หรือไม่
    จึงจะนำพา เอาตัวตนในอดีต ทั้งดี และ ไม่ดี มาปรับธาตุ
    ให้สะอาด สว่าง สงบ ได้

    นี่ล่ะครับวิธีของการรวมตัวตน ... ท่านน้องทำได้ บ่

    ทำตัวตนในปัจจุบันให้ สะอาด สว่าง สงบ

    จากนั้น จึงจะนำพา ญาติตน ในอดีต มา synchronize ได้
     
  12. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    พูดง่ายๆ บ้านๆ ก็คือ


    ถ้าเราไม่แก่กล้าพอ ก็อย่าเพิ่งรวมตัวตน
    ถ้าแก่กล้าพอแล้ว (มีธรรมในตน) ก็ทำได้


    ไม่งั้นก็จะรุ่งแล้วร่วงทีหลังเหมือน ลป. เณรคลำ อิๆๆ
     
  13. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ตัวตนในอดีต นั้นที่กล่าวถึง มีจริง

    การเลื่อนละดับนั้น มีจริงมั๊ย ไม่จริงดอก หากตัวตนปัจจุบันยังไม่อยู่ในระดับ
    ที่เป็นกลาง ที่สะอาด สว่าง สงบ

    ความรู้สึกสัมผัสที่เกิดขึ้น ก่ เป็นเพียงว่า ตัวตนที่เป็นอดีต ได้มาถึง
    และส่งสัญญาณว่า ตัวตนของฉันมีอยู่ ปรากฎอยู่ และ ฉันอยู่นี้
    เพื่อให้รู้ นี่ไม่ใช่สัญญาณของการเลื่อนระดับ

    แต่เป็นการแสดงตัวตนเท่านั้น และ หากตัวตนอดีต มีภูมิธรรมที่สูง
    ระดับอนาคามี ก่ จะเหมาว่า ตัวตนเดิมแท้ประภัสสร

    โธ่ ไม่ต้อง ยาวไกลขนาดนั้นดอก
    ธาตุแท้ภายในของกายทิพย์ที่หากชำระตนเองให้สะอาด สว่าง สงบ
    มันก่ จะประภัสสร ได้ ไม่ต้องไปรอให้ตัวตนในอดีต ที่ประภัสสร มาช่วยดอก

    สำคัญที่ปัจจุบัน ทำตัวตนให้ สะอาด สว่าง สงบ เสียก่อน เถอะ
    จึงจะมีสิทธิ์ในการรวมตัวตน

    การปรากฎตัวตนในอดีต แลัวรู้สึกดีขึ้น ไม่ใช่เป็นการเลื่อนระดับดอก
    เพราะว่า มันมีอยู่แล้ว แต่ตัวตนปัจจุบัน ยังเน่าอยู่ จึง รวมตัวตน ไม่ได้

    มัน synchronize ไม่ได้ ตัวตนในอดีต มา ก่ ไร้ประโยชน์ เพราะร่าง
    กายเนื้อ จะถูกรหัสได้เมื่อ มีกายทิพย์หรือตัวตนปัจจุบัน เป็นสื่อให้
    รวมตัวตน .......
     
  14. Lastquarter

    Lastquarter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +272
    เข้าใจคำว่า high self กันจริงๆหรือปล่าวที่พูดมา?
     
  15. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ไม่ต้องไปเที่ยว วิจารณ์ ผู้อื่น มีความเป็นตัวตนสูง ดอก

    ให้มองที่ตัวตนเอง ได้มีการพัฒนาให้เกิดองค์ความรู้

    องค์ความรู้ ที่ไม่ได้เกิดจากกระบวนการคิด

    องค์ความรู้ที่เกิดจากธรรมชาติ

    ดังนั้น หากมีภูมิความรู้ ก่ จงแสดงให้ประจักษ์

    หากไม่มี ภูมิในความรู้ ที่เกิดขึ้นจากใจของตนเอง

    แต่ เที่ยววิจารณ์

    ก่ แสดงว่าไม่มีภูมิความรู้



    หากมีภูมิความรู้ ก่ น่าจะแสดง

    ให้เป็นประจักษ์ จะดีกว่าเที่ยว กล่าวหา คนโน้น

    มีภาวะตัวตนสูง .... ก่ เสมือนกับว่า ยกตนเองว่า

    เป็นผู้มีความสามารถ เป็นผู้อยู่ในภาวะไร้ซึ่งตัวตน


    การจะมองจากตำรา แล้วก่ หลงอยู่ในมิติของตำรา

    ไม่ได้มองที่ความเป็นจริง ก่ เหมือนผู้ที่พายเรืออยู่ในอ่าง

    ปิด ไม่ได้ก้าวออกจากมิติ (ความคิด) เดิม ๆ

    ถามว่า ท่านชยุต สามารถก้าวออกจากมิติเดิม ๆ มั๊ย

    จากที่เขียน ก่ กล้าในระดับหนึ่ง เพราะเชื่อในสิ่งที่เป็นความรู้ใหม่

    แต่สำหรับคนที่เที่ยววิจารณ์ ผู้อื่น โดยที่ไม่ได้แสดงธรรม

    ที่ตนเองเกิดขึ้น ก่ เหมือน .....อะไรเห่า ใบตองแห้ง

    -----------------------------------------------

    ขยายความ

    อะไรที่เห่าใบตองแห้ง หมายถึงอะไร

    อะไรที่มันได้ยิน เสียงของใบตองขยับ หรือ เคลื่อน นิดๆ หน่อยๆ
    ก่ นึกว่าจะมีอะไรมา มันก่ จะเห่าก่อน โดยไม่ได้คิดพิจารณา หรือตามไปดูให้ชัดเจนก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2013
  16. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    คนที่มีคุณค่า ก่ มักจะเขียนสาส์น อะไรมาถึง

    แต่สำหรับคนที่ไม่มีคุณค่า ก่ จะไม่ไปแตะต้อง อะไร

    อีกกรณี

    คนที่ทำผิดต่อผู้อื่น ก่ จะเขียนสาส์น ไปถึง

    เพราะไม่ปรารถนาให้ทำผิดอีก .... ซึ่งก่แล้วแต่

    วาสนาพาส่งให้รู้
     
  17. ศารทวิศุวต

    ศารทวิศุวต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +368
    โธ่!!!ไม่น่าไปเปิดพรมเลยครับ!
     
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ผมเข้าใจแล้วหละครับ ว่าท่านพี่หมายความว่าอย่างไร
    แต่มันก็ยังต่างจากความคิด และ สิ่งที่ผมรู้มาอยู่ดีนั่นแหละครับ

    และถ้าจะขออนุญาตแชร์ไว้ตรงนี้ ก็คิดว่าทุกๆท่านคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ

    เท่าที่ผมรู้มานะครับ ก็ทำนองเดียวกับที่พี่ Phudit999 ว่ามานั่นแหละครับ
    คือมนุษย์เรานี้ แต่ละคนมีหลายภาคมากๆ ทั้งในอดีตและในอนาคต
    และก็ยังมีทั้งภาคมืด และ ภาคสว่างอีกมากมายก่ายกองอีกด้วย
    ขึ้นอยุ่กับว่า ชาติภพไหน จะไปทำอะไรไว้

    ไม่เพียงเท่านี้หรอกนะครับ แม้ใน "ปัจจุบันชาตินี้" โดยเฉพาะในยุคพลังงานใหม่นี้
    พวกเราหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่อาสามาเล่น "บทผู้ร้าย" ก็ยังมีกายมนุษย์
    อยู่ในหลายๆกายในเวลาเดียวกันอีกด้วย! อันนี้เป็นข้อมูลจากชาว Arcturian หนะนะครับ

    และข้อมูลที่ผมรู้มาเกี่ยวกับการรวมตัวตนทุกๆภาคของตัวเอง เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว
    ก็คล้ายๆกับที่พี่ท่านพูดไว้ คือ ยังไงเสีย เราก็จะต้องผสานรวมคุณสมบัติต่างๆ
    ของตัวตนทุกๆภาคของเรา ทั้งในอดีต และ ปัจจุบัน และ อนาคต เข้ากันให้ได้
    เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของกระบวนการเลื่อนระดับขึ้น
    ที่เมื่อความเป็นขั้วค่อยๆล่มสลายลงแล้ว สิ่งที่อยู่ปลายขั้วทั้งหลาย
    ก็จะต้องค่อยๆถูกผสานรวมเข้าด้วยกันเป็นธรรมดา

    แต่สิ่งที่แตกต่างจากที่พี่ท่านพูดไว้ ที่ผมอยากจะชี้แจงก็คือ
    "มันไม่ต้องรอคอยให้เราสมบูรณ์ หรือ พร้อม แล้วก่อน แต่อย่างใดเลย"
    เพราะว่ากระบวนการเลื่อนระดับขึ้นนี้ มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกชั่วขณะอยู่แล้ว
    และดังนั้น มนุษย์ทุกๆคน ในขณะนี้ ในวินาทีนี้ จึงกำลังอยู่ระหว่าง
    การชำระสะสางตัวเองอยู่ ซึ่งหมายความว่า กำลังถูกกระตุ้นให้พลังงานด้านมืด
    หรือคุณสมบัติด้านมืดของตัวเอง โผล่ขึ้นมาสู่ระดับพื้นผิวอยู่ เพื่อที่จะถูกปลดปล่อยไปอยู่

    คุณสมบัติด้านมืดของมนุษย์แต่ละคน ที่ไม่ว่าจะมาจากภพชาติไหนก็ตามแต่
    ถ้ามองจากมุมมองของมิติที่สูงกว่า ซึ่งไร้กาลเวลาแล้ว มันจะเหมือนกับว่า
    มันก็มีอยู่แล้ว และถูกเก็บรักษาเอาไว้ ใน "จิตใต้สำนึก" หรือ "จิตไร้สำนึก"
    ของพวกเราเองนี่แหละ ซึ่งหมายถึงมันอยู่ใน DNA ของเรา
    ซึ่งเป็นผู้ที่กำลังอยู่ในปัจจุบันชาตินี้ นี่แหละ

    ดังนั้น ณ.ขณะนี้ พวกเราจึงกำลังอยู่ระหว่างการผสานรวมกับตัวตนด้านมืดของตัวเองอยู่
    และรวมถึงตัวตนด้านสว่างของตัวเอง ทั้งที่อยู่ในมิติที่สูงกว่า และ ต่ำกว่าไปพร้อมๆกันด้วย

    พวกเขาบอกว่า การที่มีพลังงานแสงสว่างจากใจกลางกาแล็กซี่ถูกส่งเข้ามายังโลกมากขึ้นเรื่อยๆอยู่นี้
    ทำให้ทั้งโลกและมนุษย์ได้มีโอกาส "เลือก" ที่จะรับเอาแสงสว่างเข้ามาสุ่ตัวเองมากขึ้นด้วย
    และแสงสว่างนี้เอง ก็จะช่วยให้ร่างกายเนื้อของเรามีการปรับตัวมากขึ้น
    และสามารถยอมรับเอาพลังงานที่มีระดับความสั่นสะเทือนที่สูงกว่าของตัวตนที่สูงกว่าของตัวเราเอง
    ได้มากขึ้นตามไปด้วย และในทางกลับกัน พลังงานที่สูงกว่าที่ว่านี้ ก็จะไปช้วยให้
    ร่างกายเนื้อของเรามีพัฒนาการมากขึ้น และ ไปขุดเอาพลังงานด้านมืดของเราเอง
    ออกมาชำระสะสางได้มากขึ้นตามไปด้วย มันเหมือนงูกินหาง วนไปวนมาอยู่แบบนี้หนะครับ

    ดังนั้น ผมถึงบอกว่า มันกำลังเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าท่านจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม
    แต่ท่านก็กำลังผสานรวมกับส่วนต่างๆของความเป็่นตัวตนของท่านเองอยู่แล้ว
    ไม่ว่าจะเป็นด้านมืดหรือด้านสว่างก็ตาม

    และเพราะฉะนั้น พวกเขาถึงบอกว่า ตอนนี้พวกเราหลายคน ที่มีระดับจิตอยู่ในมิติที่ 4 แล้ว
    กำลังอยู่ในระหว่างการ "สร้างอุโมงค์แห่งแสงสว่าง" เพื่อทะลุผ่าน "โลกทิพย์ชั้นล่าง"
    (Lower Astral plane) หรือ นรก หรือ ส่วนที่เก็บสะสมพลังงานด้านมืด ของตัวเอง
    ออกไปให้ได้อยู่ ดังนั้น มันจึงมีความทุกข์ และ อารมณ์ความรู้สึกด้านลบปรากฎขึ้นกับเราอยู่บ่อยๆ
    ให้เราต้องเผชิญมัน ให้เราต้องตั้งสติรับมือมันให้ดี ให้เราต้องใช้การวางอุเบกขา
    และทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์ดูมันเฉยๆ โดยปราศจากการชี้ถูกผิดให้กับมัน
    และที่สำคัญที่สุดก็คือ ให้เรา "ยอมรับ", "ให้อภัย" และ "รัก" มัน (ตัวเราเอง)
    อย่างไม่มีเงื่อนไขให้ได้นั่นเอง แล้วจากนั้น ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ
    พลังงานแห่งความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเป็นพลังงานที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในจักรวาล
    เหนี่ยวนำให้มัน ซึ่งก็คือพลังงานด้านลบเหล่านั้น เปลี่ยนสภาพไปสู่ความเป็นกลาง
    และกลับไปสู่แสงสว่างในที่สุดต่อไป

    ดังนั้น มันจึงไม่ต้องมีการรอคอยแต่อย่างใดเลย แต่จะว่าอย่างนี้ก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก
    เพราะว่าอันที่จริงแล้ว กระบวนการแต่ละขั้นตอนทั้งหลายแหล่นี้ มันจะเกิดขึ้นได้
    ก็ต่อเมื่อมันถึงเวลาของมันแล้วเท่านั้น ดังนั้น ถ้าอยากจะเรียกว่า มันจะต้องรอให้พร้อมก่อน
    ก็อาจจะไม่ผิดนัก เพราะว่าความจริงมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ใช่ในนัยยะที่ว่า
    ต้องรอคอยให้ชำระสะสางตัวเองให้ใสสะอาดบริสุทธิ์แล้วซะก่อนแต่อย่างใดเลย
    เพราะว่าทุกๆวันนี้ พวกเราก็กำลังทำการชำระสะสางตัวเองไปพร้อมๆกับการผสานรวมเอา
    คุณสมบัติต่างๆของตัวเราเองไปพร้อมๆกันด้วย อยู่ทุกเวลานาทีอยู่แ้ล้ว

    ประเด็นเกี่ยวกับหลวงปู่เณรคำ หรือ พระรูปไหนๆ ที่กำลังเป็นข่าวอื้อฉาวอยู่นี้ก็ตาม
    ผมเชื่อว่า น่าจะมีหลายคนที่เป็นคนอ่านกระทู้นี้ประจำ ที่คิดเหมือนผม
    คือ ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นการตกร่วงลงมา หรือเป็นการล้มเหลวแต่อย่างใดเลย
    หรือถ้าจะใช้คำพูดที่หรูหน่อยก็จะประมาณว่า ผมไม่มีความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่
    ผิด หรือ ถูก แต่อย่างใดเลย เพราะว่าคำว่า ผิด หรือ ถูก นั้น สำหรับผมแล้ว
    มันมีความสำคัญน้อยลงมากๆแล้ว เพราะว่า ผมรู้ว่ามันเป็นเกณฑ์ที่แต่ละสังคมตั้งขึ้นมาเท่านั้นเอง
    ดังนั้น มันจึงเป็นสมมุติบัญญัติที่หยาบมากๆ (ไม่ละเอียดอ่อน) อันหนึ่งเท่านั้นเอง
    ไม่ต่างอะไรกับกฎระเบียบของโรงเรียน ของบริษัท และ อื่นๆ ซึ่งเราจะเปลี่ยนเสียเมื่อไหร่ก็ได้
    และถ้าเราไม่ใช่คนของสังคมนั้นๆ กฎระเบียบ หรือ ความเชื่อ หรือ เกณฑ์ เหล่านั้น
    มันก็แทบจะไร้ความหมาย หรือ ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิงซะด้วยซ้ำไป

    สรุปว่า ผมมองว่า ทุกๆคนในโลกนี้ รวมถึงพระหลายรูปเหล่านั้นด้วย
    ตัวท่านเอง ท่านก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางด้านจิตวิญญาณของท่านเองเหมือนกัน
    ดังนั้น ท่านก็เลยกำลังมีการชำระสะสางตัวตนด้านมืดของท่านเองอยู่เช่นเดียวกัน
    และก็กำลังผสานรวมเอาตัวตนหลากมิติของตัวเองเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่เหมือนกัน

    แต่เพราะว่า ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว และ ยิ่งสูงก็ยิ่งต้องเจอข้อสอบที่หนักและยากมากกว่าเป็นธรรมดา

    ดังนั้น ผมเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆเลย
    ไม่มีผิด ไม่มีถูก ในแง่ของวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ
    จะมีผิด และ ถูก ก็เฉพาะในแง่ของ กฎ และ เกณฑ์ ที่มนุษย์ในสังคมนั้นๆ
    ตกลงร่วมกันเอาไว้เท่านั้นเอง ซึ่งแน่นอนว่า มันเป็นกฎเกณฑ์ทางโลก
    และอยู่ในมิติที่ 3 นี้เท่านั้นเอง!!
    (แม้ว่าใครจะเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญทางธรรมมากแค่ไหนก็ตาม)

    ปล.ถ้อยคำใดๆที่ออกแนวดูถูกภูมิความรู้ของผู้อื่นนั้น
    ผมว่า..ตอนนี้..ผมลด-ละ-เลิก ไปได้มากแล้วนะครับ
    จึงแอบหวังอยู่ในใจลึกๆว่า ทุกๆท่านก็จะด้วยเช่นกันนะครับ..
    เพราะว่ามนุษย์ทุกๆคนนั้น ล้วนมีศักดิ์และสิทธิ์
    แห่งความเป็นมนุษย์เสมอเหมือนกันหมด
    เพียงแต่ว่า กำลังเดินอยู่บนเส้นทางด้านจิตวิญญาณของใครของมัน
    อยู่เท่านั้นเอง ซึ่งอาจจะแตกต่างกัน และ อาจจะไม่เท่ากันก็ได้

    และยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ทุกๆคนล้วนมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง
    เหมือนๆกันหมด

    การเที่ยวไปตัดสินชี้ถูกผิดคนอื่นนั้น จึงเป็นสิ่งที่ต่างมิติบอกนักบอกหนา
    ว่าให้ ลด-ละ-เลิก ซะ ไงหละครับ


    และก็นี่ไม่ใช่หรือ..คือสิ่งบ่งชี้อย่างหนึ่ง
    ถึงระดับพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณของเรา?



    ...........................................................

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2013
  19. โลน้อย

    โลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +695
    phudit999 สุดยอดมาก แต่ผมว่าเราควบคุมได้นะ
     
  20. Vking

    Vking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +1,555
    ขออนุญาตค่ะ .... ประเ็ด็นนี้ขอคุยทางพีเอ็มกับคุณ atitarn2013 นะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...