พอใจรูม

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ppojai, 3 ตุลาคม 2010.

  1. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ขอบพระคุณคุณพี่สุภาทร ที่แวะมาเยี่ยมพอใจนะคร้า ๆ ๆ คิดถึงเสมอค่ะ
    ข่วงนี้ ไม่ได้ยินเสียงทาง phone เลยคะ ... รักและเป็นห่วงเสมอ..สบายดีนะคะ
    สักวัน..หามีโอกาส เราป๊ะหน้า จ๊ะเอ๋ตัวจริง...กานน่ะค่ะ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    เห็นได้ข่าวว่าออก ตจว อยู่เลยคัดว่าคงยุ่งค่ะ บางทีว่า"พรุ่งนี้" แต่มันก็มาไม่ถึงสักที่ วันนี้มาขอเพลง"จิตเกาพระ"(deejai):z10 เอ๊ยยไม่ใช่ "จิตเกาะพระ"ค่ะ(f)
     
  3. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    (k):cool:จิตเกาพระอีกแระ..คุณพี่ต้อยเรา..พอใจจะพยายามแต่งเพลงจิตเกาะพระนะคะ ..ช่วงนี้ก็เจริญสติ รู้และอยู่กับปัจจุบันเสมอ ๆ ค่ะ มีหลุด ๆ บ้าง เพราะสัมผัสกับอารมณ์มนุษย์ทางโลก แต่ก็ให้รู้เท่าทันนะคะ ก็ขอให้พานพบสุขกันเลยตั้งแต่ชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า..และท้ายสุด พอใจก็จะเกาะมือพี่ต้อยขึ้นสู่พระนิพพานเฝ้าองค์สมเด็จพ่อของพวกเราที่เคารพบูชา..(น้ำตารื้น..จะไหลอีกละ...):':)':)'(

    ขอบคุณ ๆ ๆ ที่พี่ต้อยทำให้มีวันนี้ค่ะ..
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    อนุโมทนาสาธุค่ะ พี่คิดถึงน้องเสมอค่ะ ขอให้มี"เสด็จพ่อ"อยู่ในใจตลอดเวลานะคะ ท่านดูเราอยู่ค่ะ(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)
     
  5. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    (k) ค่ะ คุณพี่ โมทนา โคมไฟระย้า จะลอยเรียงรายกันสู่ฟ้า ไม่ขาดสาย..พี่น้องเราชาวจิตเกาะพระจะมุ่งสู่พระนิพพานเพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพ่อของพวกเรานะคะ..
     
  6. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=d78YuvM4Trw]หลุดจากความทุกข์ เพราะสติรู้ตัว 1 - YouTube[/ame]​
     
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=aYMvmYImthY]ความสุขแท้ - พระไพศาล วิสาโล - YouTube[/ame]

    นิพพานคือสุขที่แท้
     
  8. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ที่มา : ดังตฤณวิสัชนา

    ถาม – บุญที่ทำให้เสียงดีมีอะไรบ้างคะ?

    มีวจีสุจริตเป็นสำคัญครับ วจีสุจริตคือเจตนาเลือกคำที่เป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษต่อผู้อื่น หรือเจตนาบริสุทธิ์ที่จะทำให้ผู้ฟังสบายใจ แยกเป็นประเภทได้ ๔ คือ

    ๑) เว้นจากการพูดเท็จ เลือกกล่าวแต่คำที่เป็นจริง ตรงจริง ผลที่เห็นได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตคือความหนักแน่นของน้ำเสียง เพราะการเลือกที่จะพูดความจริงในสถานการณ์ที่น่าโกหกเอาตัวรอดนั้น ถือเป็นการ ‘เข้าข้าง’ สัจจะความจริง พลังแห่งสัจจะความจริงย่อมย้อนมาเข้าถึงตัว เข้าถึงใจ และเข้าถึงน้ำเสียง หากเป็นผู้เว้นจากการพูดเท็จได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการไม่โกหก เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งแก้วเสียงให้หนักแน่นในชาติถัดไปด้วย

    ๒) เว้นจากการพูดส่อเสียด เลือกกล่าวแต่คำที่ทำให้ผู้ฟังสบายใจ คำที่ทำให้คนมองกันในทางดี คำที่ทำให้หมู่คณะเกิดความสมัครสมานสามัคคี ผลที่เห็นได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตคือความนุ่มนวลของน้ำเสียง เพราะการเลือกที่จะพูดออมชอมเพื่อความปรองดองขณะอยู่ในสถานการณ์น่าพูดทิ่มแทงให้เกิดความแตกร้าวนั้น จิตจะปรุงแต่งไปในทางราบรื่นเหมือนคนปรุงอาหารให้รสกลมกล่อม หากเป็นผู้เว้นขาดจากการพูดส่อเสียดได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการไม่นินทาว่าร้าย ไม่เป็นผู้ก่อความเจ็บใจด้วยคำพูด เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งแก้วเสียงให้นุ่มนวลในชาติถัดไปด้วย

    ๓) เว้นจากการพูดหยาบ เลือกกล่าวแต่คำที่สุภาพ ด้วยเจตนาจะทำให้ผู้ฟังรื่นหู ผลที่เห็นได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตคือความไพเราะของน้ำเสียง ยิ่งถ้าหากผูกประโยคให้ฟังสละสลวย รู้จักคำมาก ฉลาดเลือกคำให้ฟังดี ไพเราะแบบไม่ขาดไม่เกิน ก็จะยิ่งปรุงแต่งให้แก้วเสียงเพราะพริ้งยิ่งๆขึ้น หากเป็นผู้เว้นขาดจากการพูดหยาบคายได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการเป็นคนสุภาพ ไม่เป็นผู้ก่อความระคายโสตด้วยวาจาอัปมงคล เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งให้กังวานเสียงสดใสในชาติถัดไปด้วย

    ๔) เว้นจากการพูดพล่ามเพ้อเจ้อ เลือกกล่าวแต่คำที่ก่อให้เกิดสติ เมื่อคุณพูดอย่างมีสติ กระแสสติของคุณย่อมช่วยให้ผู้ฟังพลอยเกิดสติตามไปด้วย ยิ่งถ้าเป็นไปด้วยเจตนาให้สติแก่คนอื่นอยู่เนืองๆ ผลอันเป็นสติก็ย่อมตกแก่คุณอย่างแจ่มชัด ความมีสติจะปรุงแต่งเสียงให้คมชัด กล่าวถ้อยคำต่างๆได้ชัดเจนแม้จะเป็นภาษาที่ยากแก่การออกเสียง หากเป็นผู้เว้นขาดจากการพูดพล่ามเพ้อเจ้อได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการเป็นคนมีสติในการเจรจา ไม่เป็นผู้ก่อความฟุ้งซ่านให้ตนเองและใครๆด้วยวาจาเลื่อนลอยหาสาระมิได้ เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งแก้วเสียงให้คมชัด เป็นกังวานทรงพลังและมีความน่าเชื่อถือยิ่งในชาติถัดไปด้วย

    นอกจากวจีสุจริตข้างต้นแล้ว ยังมีกรรมทางวาจาอื่นๆที่เป็นปัจจัยแก่คุณภาพเสียง เช่น

    ๑) ป่าวร้องชวนคนไปฟังธรรม สมัยก่อนเมื่อถึงเวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรม จะมีธรรมเนียมซึ่งกลุ่มคนประเภทหนึ่งชอบทำกัน นั่นคือร้องเรียกคนในบ้าน หรือร้องเรียกญาติมิตรในบ้านใกล้เรือนเคียง ทำนอง ‘เจ้าข้าเอ๊ย! พระพุทธเจ้าจะแสดงธรรมแล้ว พวกเราไปฟังกันเพื่อประโยชน์ในชาตินี้และชาติหน้ากันเถอะ’ การชักชวนด้วยวาจาด้วยเสียงคะยั้นคะยออันเจือด้วยความปรารถนาดีทำนองนี้ จะทำให้เป็นผู้มีแก้วเสียงที่ดังได้ตามปรารถนา คืออยากพูดให้ค่อยก็ได้ อยากพูดให้ดังไปทั้งคุ้งน้ำก็ได้

    คนพวกนี้พอเกิดใหม่มักมีเสียงเป็นเสน่ห์ดึงดูดความสนใจได้เฉียบพลัน เรียกชื่อใครคนนั้นสะท้านไหวได้ถึงจิตถึงใจ ถ้าอยากจับความสนใจของคนหมู่มากก็แค่กำหนดเปล่งเสียงให้กว้างไกล หรืออยากคุมทิศทางผู้คนหมู่มากก็แค่ส่งพลังเสียงสะกดหน่อยเดียว พวกนี้จึงง่ายต่อการเป็นผู้มีอัตตาสูงด้วยการใช้เสียง ภูมิใจในเสียง หรืออาจถึงขั้นเชื่อมั่นในตนเองเกินเหตุ และมักอยากให้ผู้คนในวงกว้างได้ยินเสียงอันทรงพลังเปี่ยมประกาศิตของตน

    ๒) รักษาสัจจะยิ่งชีพ ปากกับใจตรงกัน พูดคำไหนเป็นคำนั้น ประกาศคำใดแล้วไม่ถอนคำเด็ดขาด จะเป็นเหตุให้มีเสียงประกาศิต กับทั้งเกิดญาณหยั่งรู้ว่าคำใดกล่าวได้ คำใดกล่าวไม่ได้ เรื่องใดจะเกิดบางทีพูดออกมาได้เองตามความเหมาะสม จึงเหมือนเป็นผู้ที่พูดแช่งหรืออวยพรใครแล้วปรากฏผลตามนั้นเสมอ

    นอกจากนั้นพวกที่รักษาสัตย์จนเกิดพลังภายใน บางทีก็มีจริงนะครับที่สามารถใช้วาจาเป็นอาวุธได้ คล้ายนักกล้ามที่ฝึกยกน้ำหนักจนกล้ามเนื้อโตผิดผู้ผิดคน ย่อมยกของที่คนทั่วไปยกไม่ไหว หรือออกแรงทำอะไรที่ไม่มีใครเชื่อว่ามนุษย์ทำได้ พอโกรธใครแล้วฟาดคำแช่งเปรี้ยงไปที่ใคร คนนั้นอาจเคราะห์ร้ายตามคำแช่งหรือใกล้เคียงคำแช่งได้ ขึ้นอยู่กับว่าคนถูกแช่งมีบุญคุ้มอยู่แค่ไหน หากบุญน้อยกว่าก็แย่หน่อย เหมือนนักเรียนประถมถูกรุ่นพี่มัธยมตบเบาะๆก็คว่ำคะมำ หากบุญเสมอกันก็อาจไม่เกิดอะไรขึ้น เหมือนคนแรงเท่ากันงัดข้อก็กินกันลงยาก แต่หากบุญมากกว่า คนแช่งนั่นแหละจะซวยเป็นทวีคูณ เหมือนนักมวยผอมแห้งแรงน้อยหาญกล้าไปชกกับนักมวยปล้ำร่างยักษ์

    อย่างไรก็ต้องเข้าใจอย่างถูกต้องด้วยนะครับ ผู้แช่งย่อมได้ชื่อว่ากล่าววาจาอันประกอบด้วยโทสะ ผลของการมีโทสะรุนแรงเป็นอย่างไร ผู้แช่งย่อมได้รับผลเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเร่าร้อนภายในหรือความเดือดร้อนที่ภายนอก และยิ่งจะเผ็ดร้อนรุนแรงกว่าคนทั่วไปที่ปราศจากวาจาสิทธิ์เป็นสิบเป็นร้อยเท่า ส่วนผู้อวยพรย่อมได้ชื่อว่ากล่าววาจาอันประกอบด้วยเมตตา ผลย่อมเป็นตรงข้ามคือเย็นทั้งนอกทั้งใน ไม่รู้จักความเดือดเนื้อร้อนใจได้ง่ายนัก

    ๓) สอนด้วยเสียง เมื่อมีความรู้ มีความเข้าใจใดๆ แล้วเกิดความปรารถนาดี ใคร่อยากให้ผู้อื่นรู้ตาม แล้วถ่ายทอดให้ผู้อื่นโดยไม่หวงแหน ฉลาดเลือกคำผูกประโยคให้ฟังง่าย เข้าใจเร็ว จะมีผลให้น้ำเสียงฟังขลัง ฟังศักดิ์สิทธิ์

    ระหว่างสอนทางโลกกับสอนทางธรรม สอนทางธรรมจะปรุงแต่งน้ำเสียงให้ฟังขลังกว่า มีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่า แต่จะเห็นชัดในชาติถัดไป นับจากเมื่อรู้ความและพูดเป็น คำพูดจะฟังน่าทึ่ง ชวนให้ผู้ใหญ่ฉงน เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะมีคุณลักษณ์เกี่ยวกับเสียงดีพร้อมทุกแง่ทุกมุม เป็นใหญ่เหนือวิบากที่มาจากวจีสุจริตทุกชนิด

    เนื่องจากเสียงเป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง เพราะมีต้นแหล่งเช่นปากคอเป็นรูปธรรม ฉะนั้นนอกจากเรื่องของกรรมวิบากแล้ว ยังมีเรื่องของรูปธรรมด้วยกันเป็นเหตุปัจจัยสนับสนุนหรือส่งเสริมคุณภาพได้ เช่นดื่มน้ำอุ่น น้ำมะนาว น้ำมะขามป้อม และผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย

    อ้อ! การฝึกพูดธรรมดาๆ ถ้าหากก่อให้เกิดสติ รู้จักจังหวะจะโคน ฝึกกระดกลิ้นออกเสียงควบกล้ำชัดๆ ตัวสติและความถูกต้องในการออกเสียงก็มีส่วนปรุงเสียงให้น่าฟังขึ้นได้เหมือนกันนะครับ แม้สติไม่อาจปรุงแต่งแก้วเสียงให้ใสกิ๊กได้เท่าวิบากทางวจีสุจริต แต่อย่างน้อยก็ทำให้ดีขึ้นแบบทันตาเห็นได้แล้ว




    ถาม – กรรมอะไรที่ทำให้ผมเป็นคนที่มีเสียงไม่เพราะ เสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ พูดจาไม่ชัด ทำให้สื่อสารกับคนไม่ค่อยรู้เรื่อง ฟังแล้วไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งๆที่มีข้อมูลและความรู้ในเรื่องที่จะพูด และมีวิธีอะไรที่จะทำให้เสียงเราดีขึ้นบ้างครับ?

    ทั้งรูปปาก ลิ้น และแก้วเสียง อันเป็นส่วนประกอบของการเปล่งวาจานั้น เป็นวิบากที่เกิดจากวจีกรรมทั้งหมดทั้งสิ้นแหละครับ ยิ่งหากโดยรวมแล้วคุณมีปัจจัยที่ทำให้เสียงไม่เพราะ พูดไม่ชัด ก็สันนิษฐานได้โดยไม่ต้องใช้ญาณใดๆเลย คุณเคยเป็นผู้เคยประกอบวจีทุจริตไว้มากแน่นอน นี่ว่ากันตามเนื้อผ้านะครับ อย่าไปเสียใจกับตัวตนที่ลืมไปแล้วในอดีตชาติเลย มาดูและแจกแจงกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องกันดีกว่า

    วจีทุจริตมีอยู่ ๔ จำพวกใหญ่ๆ ซึ่งก็เป็นตรงข้ามกับวจีสุจริตที่ผมตอบคำถามข้างบนไป หากประกอบวจีทุจริตเป็นประจำ ภายในไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีจะเริ่มสำแดงผลในชาติปัจจุบัน และถ้าทำไปจนตาย ก็จะให้ผลชัดเจนในชาติถัดมา (ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์หรืออะไรอื่น) แจกแจงวิบากได้ดังนี้

    ๑) มักพูดเท็จ พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิบากอย่างเบาคือเป็นผู้ถูกกล่าวตู่ ถูกใส่ไคล้ อันนี้อธิบายได้ว่าพลังสัจจะหรือพลังแห่งความจริงนั้นมีความยิ่งใหญ่ ถ้าคิดทำให้ความจริงบิดเบี้ยวด้วยคำพูด ความบิดเบี้ยวนั้นก็จะย้อนกลับมาลงโทษในหลากหลายรูปแบบ นับเริ่มจากการโดนใส่ไคล้ให้ชีวิตเกิดความบิดเบี้ยว

    เมื่อกล่าวถึงวิบากเกี่ยวกับเสียง แม้เคยเสียงดีๆก็ต้องมีอันให้คุณภาพบิดเบี้ยวหรือด้อยลงจากของจริงเดิมๆ ขอแจกแจงเป็นรายละเอียดดังนี้

    หากโกหกแบบไม่เต็มใจและยังมีความละอาย ผลในปัจจุบันคือจะเป็นคนพูดจาขาดน้ำหนัก ฟังไม่ค่อยน่าเลื่อมใส เหมือนขาดความมั่นใจ เช่นพนักงานขายบางคนที่ต้องฝืนโกหกเป็นประจำ ทั้งที่พื้นเดิมไม่ใช่พวกชอบบิดเบือนความจริง

    หากปั้นน้ำเป็นตัวได้หน้าตาเฉย ผลคือเสียงจะฟังเข้มหรือห้วนผิดปกติ พูดจริงคนก็นึกว่าหลอก พูดด้วยความตั้งใจดีคนก็เข้าใจผิดนึกว่าคิดร้าย ไม่ได้ฝืนใจก็เหมือนฝืนใจ อยากพูดปลอบคนเขาก็กลับนึกว่าแกล้งเยาะเย้ย อยากพูดให้เขาดีกันคนก็นึกว่าเสแสร้งแกล้งยุแยงตะแคงรั่วแบบแยบยลเหนือเมฆ ฯลฯ พวกโป้ปดมดเท็จได้หน้าตาเฉยนี้ได้ชื่อว่าทำกรรมหนักแน่นเป็นอาจิณถึงขั้นปั้นหน้าในชาติต่อไปให้ดูโกงๆได้แล้วด้วย ถ้าเป็นดาราก็โดนเขาคัดตัวให้เป็นวายร้ายอย่างแน่นอน

    ๒) มักพูดส่อเสียด พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิบากอย่างเบาคือมักแตกคอกับเพื่อน เมื่อกล่าวถึงวิบากเกี่ยวกับเสียง ก็จำแนกเป็นรายละเอียดได้ดังนี้

    หากเห็นการนินทาลับหลังเป็นของสนุก ก็จะทำให้น้ำเสียงฟังขาดเมตตาลงเรื่อยๆ ฟังแล้วไม่น่าชื่นใจ แม้เดิมมีคุณภาพเสียงสดใสชวนรื่นหูก็ตาม บางคนพูดด่าคนอื่นทุกวันจนน้ำเสียงที่เคยขลังขาดความขลังไปได้อย่างน่าเสียดาย

    หากคนเขาอยู่ดีๆก็ไปยุแยงตะแคงรั่วให้เขาบาดหมางกัน หรือชอบใช้คำพูดเป็นชนวนความแตกร้าวของหมู่คณะ จะทำให้เสียงฟังกร้าว แม้ภายนอกดูดีก็เหมือนแฝงความเหี้ยมโหดไม่น่าปลอดภัยให้รู้สึกได้

    หากชมชอบการทิ่มแทงคนฟังขณะกำลังโกรธ จะทำให้เสียงดุร้ายเหมือนหาเรื่อง แม้พยายามพูดดีๆ คนก็รู้สึกเหมือนจะตั้งท่าเป็นศัตรู ถ้าทิ่มแทงคนดีมีศีลสัตย์ให้ช้ำใจหรือเสียหายเป็นประจำ ก็มีผลกับรูปปาก อาจบิดเบี้ยวน่าเกลียด ขยับปากพูดลำบาก แม้รูปปากดีเสียงก็อาจฟังไม่ชัด บางคนเห็นผลหนักชนิดนี้ได้ในชาติปัจจุบันทีเดียว ทางแพทย์อาจอธิบายสาเหตุเป็นต่างๆนานา แต่เจ้าตัวอาจสำนึกรู้สึกทีเดียวว่าตนพูดจาให้ร้ายแก่ผู้ทรงคุณเข้า

    ๓) มักพูดหยาบคาย พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิบากอย่างเบาคือสุ้มเสียงไม่น่าฟัง เสียงไม่น่าฟังก็อย่างเช่นที่เราคุ้นๆกัน คือกร้าวกระด้าง แหบแห้ง หรืออย่างน้อยที่สุดแม้ไม่เหมือนแย่ตรงไหน ก็แย่ตรงที่ฟังแล้วรู้สึกแย่นั่นเอง

    หากพูดหยาบด้วยความเคยชิน ไม่ได้คิดประทุษร้าย จะทำให้หางเสียงเหมือนออกไปทางกร้าวทั้งที่อาจไม่ใช่คนก้าวร้าว

    หากพูดหยาบด้วยจิตคิดประทุษร้าย จะทำให้เสียงแข็งกระด้างไม่น่าฟัง แม้พยายามพูดให้อ่อนหวานก็ฟังรำคาญหู

    ๔) มักพูดเพ้อเจ้อ พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิบากอย่างเบาคือทำให้เป็นคนพูดจาไม่น่าเชื่อถือ คุณคงเคยมีประสบการณ์มาบ้าง เห็นคนบางคนพูดแล้วทุกคนในที่นั้นอยากเบือนหน้าหนีโดยไม่นัดหมาย บางคนนี่เข้าขั้นหนักขนาดพูดทุกทีคนหันหน้าหนีทุกที ลองดูเถอะว่าคนๆนั้นชอบพูดจาไร้สติ นึกอยากพูดอะไรก็สักแต่พูดไหม นี่เป็นวิบากซึ่งไม่จำเป็นต้องรอดูชาติหน้ากันเลย

    หากพูดเพ้อเจ้อด้วยความคะนองแต่ยังพอมีสติอยู่บ้าง ผลคือทำให้เสียงเหมือนหลอกๆ ฟังแล้วขาดๆเกินๆ เชื่อได้บ้าง เชื่อไม่ได้บ้าง

    หากพูดแบบไหลไปเรื่อย คือเรื่อยเปื่อยจนฟุ้งซ่านจัด จะทำให้สุ้มเสียงเหมือนคนสับสน พร้อมพูดจาวกวน คนฟังได้ยินแล้วพลอยฟุ้งซ่านตาม จึงไม่มีใครอยากทนฟังให้จบ

    ขอให้เข้าใจว่าพูดเพ้อเจ้อนั้นเฉียดๆกัน แต่ไม่เชิงว่าหมายถึงการพูดเล่นพูดหัวระหว่างคนกันเองเพื่อหัวเราะเอาสนุก การพูดเล่นที่ประกอบไปด้วยสติ รู้จักกาลเทศะ ไม่หยาบโลนดึงใจลงต่ำ เป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่เป็นพิษภัย และไม่ต้องรับผลแบบคนพูดพล่ามเพ้อเจ้อเป็นนิสัย

    เพื่อจะปรับปรุงเรื่องเสียงและน้ำหนักความน่าเชื่อถือ ทางที่ดีที่สุดคือต้องตั้งใจมั่นว่าจะมีแต่วจีสุจริต งดเว้นวจีทุจริตให้หมด กับทั้งต้องรักษาความตั้งใจด้วยความหนักแน่นต่อเนื่องยาวนานพอสมควร

    ทางลัดหนึ่งซึ่งคนที่ลองจะประจักษ์ผลได้ในเวลาไม่กี่วัน คือฝึกสติระลึกรู้การเปล่งเสียงสวดมนต์ให้ชัดๆ บทอิติปิโสฯก็มีรูปคำที่เปล่งเสียงแล้วช่วยเกื้อกูลได้มาก ยิ่งถ้าหากคุณศรัทธาพระพุทธเจ้าหนักแน่นอยู่เป็นทุน ก็จะพบความจริงคือเสียงที่มากับศรัทธาเป็นเสียงที่ฟังเพราะเสมอ หากสวดอิติปิโสฯด้วยใจศรัทธา มีสติอยู่กับทุกถ้อยคำ เพียงเดือนหรือสองเดือนจะพบว่าคุณภาพเสียงดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาครับ
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ใจ
    ชอบที่กระทู้มีธรรมะให้อ่านด้วย
    ก็เลยมาส่งเสียงเชียร์ข้างเวทีค่ะ:cool:
     
  10. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    (k):cool:สวัสดีเช้าวันพฤหัสสดใสนะคะ คุณครูติง ติง
    ดีใจที่แวะมาทักทายค่ะ..
    พี่ใจก็ชอบร้องเพลง อ่านธรรมะ ชอบพูดคุย
    คงเหมือนกับสมาชิกหลาย ๆ ท่านในบอร์ดพลังจิตนี้นะคะ
    ก็เข้ามารีแล๊กซ์จากงานประจำที่ทำอยู่..
    อินเตอร์เนท เครือข่าย ใยแมงมุม แหล่งเรียนรู้ไม่มีวันหมด
    แต่เวลาส่วนใหญ่เราก็จะขลุกอยู่แต่พลังจิต..
    ม่ายปายหนาย..ช่ายหมายคะ..

    ครูติง ติง พูดคุยชอบแต่งกลอน..
    แต่พี่ใจ ร้องเพลงท้างวาน..ค่ะ..
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ที่มา : ดังตฤณวิสัชนา

    ถาม – บุญที่ทำให้เสียงดีมีอะไรบ้างคะ?

    มีวจีสุจริตเป็นสำคัญครับ วจีสุจริตคือเจตนาเลือกคำที่เป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษต่อผู้อื่น หรือเจตนาบริสุทธิ์ที่จะทำให้ผู้ฟังสบายใจ แยกเป็นประเภทได้ ๔ คือ

    ๑) เว้นจากการพูดเท็จ เลือกกล่าวแต่คำที่เป็นจริง ตรงจริง ผลที่เห็นได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตคือความหนักแน่นของน้ำเสียง เพราะการเลือกที่จะพูดความจริงในสถานการณ์ที่น่าโกหกเอาตัวรอดนั้น ถือเป็นการ ‘เข้าข้าง’ สัจจะความจริง พลังแห่งสัจจะความจริงย่อมย้อนมาเข้าถึงตัว เข้าถึงใจ และเข้าถึงน้ำเสียง หากเป็นผู้เว้นจากการพูดเท็จได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการไม่โกหก เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งแก้วเสียงให้หนักแน่นในชาติถัดไปด้วย

    ๒) เว้นจากการพูดส่อเสียด เลือกกล่าวแต่คำที่ทำให้ผู้ฟังสบายใจ คำที่ทำให้คนมองกันในทางดี คำที่ทำให้หมู่คณะเกิดความสมัครสมานสามัคคี ผลที่เห็นได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตคือความนุ่มนวลของน้ำเสียง เพราะการเลือกที่จะพูดออมชอมเพื่อความปรองดองขณะอยู่ในสถานการณ์น่าพูดทิ่มแทงให้เกิดความแตกร้าวนั้น จิตจะปรุงแต่งไปในทางราบรื่นเหมือนคนปรุงอาหารให้รสกลมกล่อม หากเป็นผู้เว้นขาดจากการพูดส่อเสียดได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการไม่นินทาว่าร้าย ไม่เป็นผู้ก่อความเจ็บใจด้วยคำพูด เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งแก้วเสียงให้นุ่มนวลในชาติถัดไปด้วย

    ๓) เว้นจากการพูดหยาบ เลือกกล่าวแต่คำที่สุภาพ ด้วยเจตนาจะทำให้ผู้ฟังรื่นหู ผลที่เห็นได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตคือความไพเราะของน้ำเสียง ยิ่งถ้าหากผูกประโยคให้ฟังสละสลวย รู้จักคำมาก ฉลาดเลือกคำให้ฟังดี ไพเราะแบบไม่ขาดไม่เกิน ก็จะยิ่งปรุงแต่งให้แก้วเสียงเพราะพริ้งยิ่งๆขึ้น หากเป็นผู้เว้นขาดจากการพูดหยาบคายได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการเป็นคนสุภาพ ไม่เป็นผู้ก่อความระคายโสตด้วยวาจาอัปมงคล เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งให้กังวานเสียงสดใสในชาติถัดไปด้วย

    ๔) เว้นจากการพูดพล่ามเพ้อเจ้อ เลือกกล่าวแต่คำที่ก่อให้เกิดสติ เมื่อคุณพูดอย่างมีสติ กระแสสติของคุณย่อมช่วยให้ผู้ฟังพลอยเกิดสติตามไปด้วย ยิ่งถ้าเป็นไปด้วยเจตนาให้สติแก่คนอื่นอยู่เนืองๆ ผลอันเป็นสติก็ย่อมตกแก่คุณอย่างแจ่มชัด ความมีสติจะปรุงแต่งเสียงให้คมชัด กล่าวถ้อยคำต่างๆได้ชัดเจนแม้จะเป็นภาษาที่ยากแก่การออกเสียง หากเป็นผู้เว้นขาดจากการพูดพล่ามเพ้อเจ้อได้ตลอดชีวิต ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งมั่นในการเป็นคนมีสติในการเจรจา ไม่เป็นผู้ก่อความฟุ้งซ่านให้ตนเองและใครๆด้วยวาจาเลื่อนลอยหาสาระมิได้ เงากรรมจะตามตัวไปปรุงแต่งแก้วเสียงให้คมชัด เป็นกังวานทรงพลังและมีความน่าเชื่อถือยิ่งในชาติถัดไปด้วย

    นอกจากวจีสุจริตข้างต้นแล้ว ยังมีกรรมทางวาจาอื่นๆที่เป็นปัจจัยแก่คุณภาพเสียง เช่น

    ๑) ป่าวร้องชวนคนไปฟังธรรม สมัยก่อนเมื่อถึงเวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรม จะมีธรรมเนียมซึ่งกลุ่มคนประเภทหนึ่งชอบทำกัน นั่นคือร้องเรียกคนในบ้าน หรือร้องเรียกญาติมิตรในบ้านใกล้เรือนเคียง ทำนอง ‘เจ้าข้าเอ๊ย! พระพุทธเจ้าจะแสดงธรรมแล้ว พวกเราไปฟังกันเพื่อประโยชน์ในชาตินี้และชาติหน้ากันเถอะ’ การชักชวนด้วยวาจาด้วยเสียงคะยั้นคะยออันเจือด้วยความปรารถนาดีทำนองนี้ จะทำให้เป็นผู้มีแก้วเสียงที่ดังได้ตามปรารถนา คืออยากพูดให้ค่อยก็ได้ อยากพูดให้ดังไปทั้งคุ้งน้ำก็ได้

    คนพวกนี้พอเกิดใหม่มักมีเสียงเป็นเสน่ห์ดึงดูดความสนใจได้เฉียบพลัน เรียกชื่อใครคนนั้นสะท้านไหวได้ถึงจิตถึงใจ ถ้าอยากจับความสนใจของคนหมู่มากก็แค่กำหนดเปล่งเสียงให้กว้างไกล หรืออยากคุมทิศทางผู้คนหมู่มากก็แค่ส่งพลังเสียงสะกดหน่อยเดียว พวกนี้จึงง่ายต่อการเป็นผู้มีอัตตาสูงด้วยการใช้เสียง ภูมิใจในเสียง หรืออาจถึงขั้นเชื่อมั่นในตนเองเกินเหตุ และมักอยากให้ผู้คนในวงกว้างได้ยินเสียงอันทรงพลังเปี่ยมประกาศิตของตน

    ๒) รักษาสัจจะยิ่งชีพ ปากกับใจตรงกัน พูดคำไหนเป็นคำนั้น ประกาศคำใดแล้วไม่ถอนคำเด็ดขาด จะเป็นเหตุให้มีเสียงประกาศิต กับทั้งเกิดญาณหยั่งรู้ว่าคำใดกล่าวได้ คำใดกล่าวไม่ได้ เรื่องใดจะเกิดบางทีพูดออกมาได้เองตามความเหมาะสม จึงเหมือนเป็นผู้ที่พูดแช่งหรืออวยพรใครแล้วปรากฏผลตามนั้นเสมอ

    *****************************************
    ยกให้น้องพอใจหมดเลยค่ะchearr
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2013
  12. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    :cool:(k)(k) ขอบพระคุณ คุณพี่ต้อย-สุภาทร..มาก ๆ เลยค่ะ..ก็เพียรพยายามรักษาธรรมดังกล่าวข้างต้นให้ได้ทุก ๆ ข้อนะคะ..

    [​IMG]
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    วางลงหรือยังคะ ขอให้ใจใส เบาๆ สบายๆค่ะ;39;aa2
     
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    (k):cool:ขอบพระคุณค่ะ คุณพี่ต้อย สุภาทร ..
    วางค่ะ ต้องวาง ..ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไร..เที่ยง..

    กายนี้ยืมเขามาใช้ชั่วคราว..สุดท้ายก็คืนเขาไปค่ะ..
     
  15. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490

    พี่ต้อยคะ..

    จำได้ชั่วฝึกจิตเกาะพระ ได้อ่านตำราท่าน อ.ใหญ่ภู..
    เรื่องการฝึกปิดเปิดสวิชท์จิตแบบอัตโนมัติ .. ช่วงบ่าย ๆ นอนหลับเคลิ้ม ๆ อยู่บนเก้าอี้นอนเล่น..
    เหมือนกายแยกออกมายืนมองดูร่างตัวเอง ที่นอนอยู่หงิก ๆ งอ ๆ เป็นศพแห้ง ๆ เหมือนสีตอไม้..กายที่ยืนมองร้องไห้ สะอึก สะอื้นฮัก ๆ อย่างแรงเหมือน อาลัย อาวรณ์ ในร่างหงิก ๆ งอ ๆ นั้น..

    ร้องอยู่สักพัก ก็สงบ..เหมือนปล่อยวางได้..
    เสียงร้องสะอึก สะอื้นค่อย ๆ หายไป..
    จิตเหมือนสว่างวาบ ๆ เข้าใจในสังขาร ..
    ทุกอย่าง ที่เกิดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ แล้วก็ดับไป..
    มันก็เป็นเช่นนั้น...แล..ดังพระพุทธองค์ทรงกล่าวตัดไว้..
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    นี่ยังไงคะ อ่านแล้วทราบทันทีว่าจิตเขาเข้าใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ของเขาเพราะเขาหลงมานานหลายภพหลายชาติ พอเสียทีหลงรูปหลงกาย กิเลสทั้งหลาย ที่สุดก็ไม่มีอะไร หมดห่วงหมดกังวล อนุโมทนาสาธุค่ะ ทําไปเรื่อยๆก็จะถึง"นิพพาน"เป็นที่สุดค่ะ "จิต"มาถูกทางแล้ว ขอให้โชคดีและผ่านข้อทดสอบทุกๆอย่างค่ะ จะมีมาทั้งสุข(จะลืมตัว)และทุกข์ค่ะ:cool:(y);aa57
     
  17. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490

    (k):cool: อาสวะนิสัยที่สะสมคุ้นเคยมานาน ก็ยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ..
    จิตก็ยังต้องการความสนุก หล่อเลี้ยงทางจิตใจบ้างนะคะ..พี่ต้อย ก็ค่อยฝึก ๆ ๆ
    พัฒนาไปค่ะ..ก็พยายามรู้ตัวตลอดเวลา หลุดบ้าง ก็ตั้งสติกันใหม่..

    สุข สงบ สว่าง หาได้ คือ ภายใน ตัวเรานี่แหละค่ะ ไม่ต้องไปวิ่งหาที่อื่น ๆ ให้เหนื่อยแรง ใจสงบ รอบข้างก็เงียบสงัดค่ะ..
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    พัฒนาไป

    **********************************
    hello10จริงค่ะ ตราบใดที่เรายังมีขันธ์๕ มีครอบครัว ยังต้องมีธุระทางโลกอยู่ เราจะปลีกตัวไปย่อมเป็นไปไม่ได้ ก็ทําๆไป สายกลางค่ะ สนุกบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง แต่ก็เช่นน้องว่าค่ะ ทุกอย่างคือสิ่งแท้จริงที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ค่ะ สิ่งที่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอน สาธุธรรมค่ะ
     
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    :boo:({)ช่วงนี้ เข้ามาอบรม ที่ กทม อีกแว๊วค่ะ พี่ต้อย ธุระทางโลกยังไม่หมดไม่สิ้นค่ะ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป

    ขอขอบพระคุณกัลยาณมิตร คุณพี่ต้อยที่ช่วยแนะนำให้พอใจได้พบธรรมอันลึกซึ้ง. เป็นบุญที่ได้เรียนรู้และศึกษาก่อนหมดลมหายใจค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤษภาคม 2013
  20. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ท่านพุทธทาส และท่าน ป.ปยุตโต
    ได้เขียนอธิบายความสัมพันธ์ การเป็นเหตุปจจัยต่อกันไว้ในหนังสือพุทธธรรมปฏิจจสมุปบาท


    เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี
    อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ
    เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จีึงเกิดขึ้น

    อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ
    เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี

    อิมัส๎î๎สะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ
    เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนจีึ้งดับไป

    ยะทิทัง
    ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ

    อะวิชชาปัจจะยา สังขารา
    เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย
    จึงมีสังขารทั้งหลาย

    สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง
    เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

    วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง
    เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

    นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง
    เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

    สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส
    เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

    ผัสสะปัจจะยา เวทะนา
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

    เวทะนาปัจจะยา ตัณหา
    เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

    ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง
    เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

    อุปาทานะปัจจะยา ภะโว
    เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ

    ภะวะปัจจะยา ชาติ
    เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ

    ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ

    เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน

    ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

    อะวิชชายะเต๎ววะ อเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ
    เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานนั้นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร

    สังขาระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ
    เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ

    วิญญาณะนิโรธา นามะรูปะนิโรโธ
    เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป

    นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ
    เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ

    สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ
    เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ

    ผัสสะนิโรธา เวทะนานิโรโธ
    เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา

    เวทะนานิโรธา ตัณหานิโรโธ
    เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา

    ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ
    เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน

    อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ
    เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ

    ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ
    เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ

    ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะ ทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ
    เพราะมีความดับแห่งชาตินนั่ แล ชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลายจึงดับสิ้น

    เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะนิโรโธ โหตีติ
    ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีิ ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...