จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การทํางานทางโลกต่างจาก การทํางานทางธรรม เป็นอย่างมาก เพราะการทํางานทางโลก ต้องทําเป็นเวลา อย่างเช่น ทําเช้า เลิกเย็น และอย่างทํานาทําไร่ ก็ต้องทําเป็นช่วงของฤดูกาล เพราะนั้นเป็นงานทางโลก แต่ งานทางธรรมนั้นไม่มีเวลา ไม่กาล ไม่มีสถานที่ ขึ้นอยู่ กับผู้ปฏิบัติจะมีความขยันที่จะลงมือปฏิบัติ เพราะการทําความเพียรอยู่ตลอดเวลา นั้นเป็นงานของธรรม เพราะถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถจะรู้เท่าทันกิเลสได้ ที่มีอยู่ตลอดเวลาในใจของเราๆท่านๆ ผู้ปฏิบัติจะหาเวลาว่างได้ก็ตอนหลับนอนนั้น เป็นการพักผ่อนของร่างกายและจิต และผู้ปฏิบัติต้องมี ความพอใจที่จะปฏิบัติ เราต้องมี "วิริยะ ฉันทะ จิตตะ วิมังสา" อยู่ตลอดเวลา จึงจะไปได้รอด ไม่ใช่จะทําเป็นช่วงๆ แล้วก็หยุดไปนานแล้วพอคิดได้ก็มาทําใหม่อย่างนี้ก็ไม่ทันกับกลของกิเลส เพราะ เราต้องใช้มรรค คือ หาเหตุผลมาใช้กับเราๆท่านๆ ต้องอาศัยความเพียรเท่านั้น งานทางโลก และทางธรรมจึงแตกต่างกันอย่าง สิ้นเฉิง... สาธุค่ะ
     
  2. Amata_club

    Amata_club เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    27,064
    ค่าพลัง:
    +52,162
    อนุโทนาด้วยครับ _/\_
     
  3. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261

    ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ ทาน ศ๊ล ภาวนา อย่าให้ขาดสำหรับชาวพุทธเรา การทำบุญนั้น บางคนก็ไม่ได้หวังผล และรอคอยที่จะรับผลแห่งบุญแต่อย่างใด(ไม่มีความอยากในการทำ) แต่ทำไปเพื่อสืบทอดพระศาสนา ทำเพราะเป็นสิ่งที่ควรทำ และบางครั้งต้องการให้บริวารว่านเครือ ญาติพี่น้องและครอบครัว ได้อานิสงค์แห่งบุญด้วย ด้วยความเป็นห่วง ซึ่งยังมีอยู่ และก็เป็นเรื่องธรรมดามนุษย์เราที่ยังมีความผูกพันอยู่ในกามภพ ...

    เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่สามารถมองในมุมเดียวได้ ต้องมองให้กว้าง ...ทาน ศีล ภาวนา มีประโยชน์ทั้งนั้น จะละเลยส่วนใดไม่ได้เลย บารมี 10 ต้องเต็มพร้อม จึงจะเป็นฐานไปสู่มรรคผลนิพพานในภายภาคหน้า

    ท่านใดที่ทำบุญทำทานในพระศาสนา ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใด ผมขออนุโมทนาสาธุทุกประการ เพราะมีทาน มีศีล มีการปฏิบัติภาวนา ศาสนาพุทธจึงจะหยั่งรากและเจริญต่อไปได้..สาธุครับ
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บททดสอบจิต
    การปฎิบัติธรรมจะต้องมีบททดสอบจิตเป็นระยะๆไป ก็เหมือนตอนที่เราเป็นนักเรียน
    ถึงปลายปีก็ต้องสอบให้ผ่าน มิฉะนั้นแล้วทางโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ให้ผ่าน
    เราก็ไปต่อชั้นอื่นไม่ได้ การปฎิบัติธรรมของพวกเราก็เช่นเดียวกัน


    คำว่า "สอบไม่ผ่าน" ในการปฎิบัติธรรม หมายความว่าสอบไม่ผ่านอารมณ์ตนเอง
    ก้าวข้ามไม่พ้นกิเลสตน สอบไม่ผ่านความรู้สึก นึกคิดหรืออารมณ์จิตของตนเอง มิใช่ไปทดสอบ
    ที่ไหนกับใคร อย่างไร สอบไม่ผ่านก็เพราะตัวเราเองทั้งนั้นเลย อย่าไปหลงมัวโทษใครๆเขาเลย
    ขอให้พวกเราดูพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง ท่านทำอย่างไร เราแค่ทำตาม เท่านั้นเอง
    แต่ไม่ต้องไปบวชทั้งกายและใจก็ได้ เพราะการบรรลุธรรมเป็นเรื่องของจิตใจ มิใช่กายหรืออย่างอื่น
    เน้นเข้าไปที่จิตเราเพียงอย่างเดียว เพราะแท้ที่จริงแก่นธรรม ก็คือจิตของเรานี่เอง! มิใช่อะไรที่ไหน

    คำว่า "อยู่เหนือขันธ์๕" ก็เช่นกัน ผู้ปฎิบัติทุกท่านทราบดี แต่ส่วนใหญ่มักทำไม่ได้ พูดง่ายทำยาก
    คนที่ทำได้หรือไม่ได้ ตนเองต้องตอบตนเองให้ได้ ง่ายนิดเดียวก็ดูที่ใจตนเองเพียงอย่างเดียวเลย
    อย่าไปถามใครเลย ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีผู้ใดจะมาหยั่งรู้เท่ากับตนเอง ไม่มีหรอก นอกเสียจาก
    ผู้ที่รู้วาระจิตของคนอื่น แต่ถ้าหากในเมื่อเรายังไม่รู้จักตนเอง ยังไม่เข้าใจตนเองเลย แล้วเราจะไป
    เข้าใจคนอื่นอย่างไร จริงๆแล้วเราจะต้องเข้าใจตัวเองก่อน ก่อนที่เราจะไปเข้าใจคนอื่นหรือใครเขา
    หรือจะคอยให้มีใครสักคนนึงที่จะมาคอยเข้าใจเรา รักเรา เป็นห่วงเราเนี๊ย! คนส่วนใหญ่ที่ไม่ปฎิบัติ
    ก็มักไม่รู้ความจริงทั้งปวงของตนเอง แต่ก็เข้าใจดี เพราะเมื่อก่อนผู้เขียนก็เป็นเหมือนกัน เพราะว่า
    เป็นคนเป็นมนุษย์มาด้วยกันทั้งนั้นแหล่ะ ไม่มีใครเกิดมาคาบซ้อนทอง ซ้อนเงิน เกิดท้องแม่แล้วมา
    เป็นพระโสดาบันหรือพระอรหันต์กันหรอก มาฝึกมาได้กันภายหลังกันทั้งนั้นแหล่ะ เพราะฉะนั้นการ
    การปฎิบัติธรรมของพวกเราจึงทัดเทียมหรือเสมอกันหมด มันอยู่ที่ผู้ใดมีความศรัทธา ความเพียร
    สติ สมาธิ ปัญญา หรืออินทรีย์ ๕ มากกว่ากัน มิใช่ วัดกันแค่บุญหรือบารมีเก่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    แต่ถ้ามีบุญเก่าหรือบารมีเก่า แต่ขาดความเพียรก็ยากจะพัฒนาขึ้น ยิ่งผู้ใดที่รู้ว่าตนเองมีบุญบารมีเก่า
    แต่มักขี้เกียจปฎิบัติ จะรอแต่บุญเก่าเพียงอย่างเดียว ยิ่งแถมไม่รักษาศีลตน ปล่อยกาย ปล่อยใจไหล
    ไปตามกิเลสตน อันนี้ถือว่าขาดทุนมาก อย่าลืมนะ นรกไปง่าย สวรรค์หรือพรหมไปยาก ยิ่งพระนิพพาน
    ก็ยิ่งไปยากเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าผู้ที่รู้และเข้าใจ มีอินทรีย์แก่กล้า มีกำลังใจมากก็อาจไปถึงฝั่งนิพพาน
    กันได้ไม่ยาก ฆราวาสก็ไปพระนิพพานกันได้ มิใช่เป็นพระหรือภิกษุสงฆ์อย่างเดียว ก็มีให้เห็นถมเถไป
    แต่ถ้าคิดอยากจะได้บุญมาก อยากจะไปพระนิพพานกันจริงๆ ก็หนีไปบวชกันหมดมันไม่ใช่ ระวัง!ให้ดี
    พวกที่บวชแต่กาย แต่มิได้บวชจิต แทนที่จะไปสวรรค์หรือพระนิพพาน เกรงว่าจะไปผิดที่ คือนรก
    อย่าเข้าใจผิด อย่าประพฤติปฎิบัติกันผิด เราฆราวาสไม่ต้องเสี่ยงมากเท่ากับพระหรือภิกษุสงฆ์
    เพราะถ้าไม่ปฎิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่ง แทนที่จะปฎิบัติเพื่อพระนิพพาน กลับได้บาปหรือติดหนีสงฆ์
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะปฎิบัติดี จะปฎิบัติชอบ มันอยู่ที่ภายใน ก็คือจิตใจของผู้ปฎิบัติท่านนั้นต่างหาก

    คนเรานี่นะ รู้ทุกอย่าง รู้มากเสียด้วย แต่มักไม่รู้ตนเอง แต่ก็ไม่เป็นไร ถือซะว่าสอบตกเป็นเรื่องธรรมดา
    แต่อย่าสอบตกบ่อย เดี๋ยวไม่ทันการณ์คือหมดลมหายใจเสียก่อน เดี๋ยวจะยุ่ง จะขาดทุน เสียชาติเกิด
    แต่ผู้ที่สอบผ่านเพียงครั้งเดียวหรือสองครั้งนี่สิ! มันน่าแปลกใจ ประหลาดใจ ขอให้พยายาม ขอเอาใจช่วย
    ทำไปๆ ผู้ที่ละกิเลสหยาบหรือกิเลสขนาดกลางได้แล้ว ต่อไปฯก็ขอให้ละนามธรรมอันละเอียดกันต่อไป
    ขอให้พวกเรามาช่วยกัน อย่าไปตำหนิกัน อย่าคิดว่าต้องมาสอนสั่งกัน แต่มาเพื่อแลกเปลี่ยนธรรมะกัน
    เป็นเพื่อนกัลยาณมิตรกัน คือเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเพื่อนอย่างจริงใจโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 เมษายน 2013
  5. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า "ร่างกายของเรานั้นเปรียบเหมือนถุงหนังที่ห่อหุ้มไปด้วยของสกปรก"ที่มี ทวารทั้ง๙ ที่เป็นที่ระบายของเน่าเสียออกอยู่เป็นนิจ...เพราะผิวหนังของเรานี่ก็เหมือนถุงที่ห่อของไว้ แต่ของที่ห่อไว้นั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิด เพราะภายในมีแต่ของน่ารังเกียจที่เต็มไปด้วยของไม่สวยงามอย่างที่เราเห็นภายนอก ท่านจึงสอนให้เรามองเข้ามาดูข้างในของเราๆท่านๆว่ามันไม่สวยงาม ท่านก็ให้อุบาย คือ "กรรมฐาน๕" ที่เข้าไปดูให้เห็นของไม่สวยไม่งามนั้นเอง...และทวารทั้ง ๙ ที่เป็นที่ระบายออกอยู่ตลอดเวลา แต่เราก็ไม่ได้สังเกตุดูว่ามาอย่างไร? เป็นอย่างไร? เพราะจิตที่เป็นกิเลสได้ปกปิดเอาไว้ ไม่ให้เราเห็นได้นั้นเอง...ถ้าเราให้ความสนใจกับการเกิด-ดับของร่างกาย หรือ แม้แต่ของหบายๆเหล่านี้ ที่เราๆท่านๆสังเกตุเห็น เช่น เวลาเราเป็นหวัด เราก็จะต้องระบายออกทางหูจมูก ก็จะเห็นได้ว่ามีแต่ของเน่าเสีย เพราะไม่มีใครจะต้องการนั้นเอง แล้วอย่างอื่นๆละที่เราไม่ต้องพูดถึงนะมีอีกเยอะ แต่เราๆท่านๆก็รู้ดีว่า มันเป็นสักแต่ของที่เราไม่ต้องการทั้งนั้น...สาธุค่ะ
     
  6. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972

    สาธุค่ะพี่ภู อิอิ ปุ๋มก็ออกตัวไปตามมรรยาทนะเนี่ยะ .. คิดถึงทุกๆๆคนนะคะ

    นี่เดี๋ยวอยากเชิญพี่ต้อยมาโซนยุโรปอยู่ค่ะ นอกจาสาวฮอลแลนด์ ยังมี สาวเบลเยี่ยม สาวเยอรมัน (คนนี้สาวจัดๆๆ) หนุ่มฮอลแลนด์แลนกับหนุ่มเบลเยี่ยม ตอนนี้เริ่มรักกัน ว่างๆ เราคงได้จิตบุญเพิ่มขึ้นอีกค่ะพี่ภู สาขาจิตบุญ เริ่มแผ่ขยายไปทั่วโลกแบบเงียบๆๆ

    วันงาน มีความสุขมากเลยค่ะ ใครๆก็ว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย แต่ ความสุขไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะ แต่อยู่ตรงที่เรา ได้ ทำอะไรเพื่อพระศาสนา ได้ทำประโยชน์สุขให้เกิดกับ ทุกๆท่านที่เข้ามาทำบุญ ต้องขอขอบคุณหัวเรือใหญ่พี่จุ๋มกับน้องริน

    และประชาสัมพันธ์กลุ่ม น้องหน่อย (แม่นางอึ้งย้ง) ที่ช่วยเรื่องการรับบริจาค ให้พวกเราได้ทุนมาทำก๋วยเตี๋ยวจิตบุญ ต่อไปในงานหน้า

    ขอบคุณพี่ภูน๊าาา ที่พาพวกเรามาจนถึง แก่นแห่งจิตบุญ

    พี่ภูจ๋า ว่างๆ ขอนิยามที่มาของกลุ่มจิตบุญได้ป่ะ จะปรินท์แล้วไปแปะไว้ที่ป้ายชื่อกลุ่ม คนจะได้ไม่มาถาม จิตบุญคือไรค๊าาาา... กลุ่มนี้เป็นไงค๊าา

    อะไรแบบเน้
     
  7. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    แค่เนี๊ย...จริงๆ !!

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2013
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความในใจ ความในธรรม
    อยากพูดแต่ธรรม อยากจะพูดแต่ความจริงให้พวกเราอ่านหรือฟังก็ได้ มิได้มาสอนสั่งกัน
    อย่าเพิ่งเข้าใจผิด แต่ก็เข้าใจ เพราะข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยเห็นหรือความจริงตามที่พระพุทธองค์
    เรียกง่ายๆก็คือ ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม แต่พอมีดวงตาเห็นตามจริงดั่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว
    ก็เลยอยากจะมาบอกกล่าว มาสื่อให้พวกเราฟัง บอกกันไปแล้วนะว่า ข้าพเจ้ามิใช่ครูสอนธรรมะ

    สรุปแล้ว ผู้ที่จะเข้าใจธรรมะ เข้าถึงพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ได้อย่างลึกซึ้ง
    มิใช่ของง่ายๆ แต่ก็ไม่ยากนัก สำหรับผู้ที่ปฎิบัติอย่างจริงๆจังๆ ตามพระพุทธองค์
    ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนั้น มิใช่จะไปดูถูกพวกเราว่าไม่มีปัญญาหรือโง่เขลา ไม่ใช่ อย่าเข้าใจผิด
    แต่พวกเราต้องยอมรับความจริงนี้กันอยู่อย่างนึงก็คือ ปกติจิตของคนส่วนใหญ่นั้นไม่นิ่ง เป็นปกติ
    เป็นธรรมชาติแห่งจิต แต่มิได้เป็นสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด
    นี่ไงจึงเป็นที่มาของพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองของพระพุทธองค์ มีจุดมุ่งหมายกันเพื่อให้พวกเรา
    ทำจิตของตนเองให้สงบก่อน ให้นิ่งก่อน เพราะจิตคนเราส่วนใหญ่นั้นไม่นิ่ง เพราะฉะนั้นเราผู้ปฎิบัติ
    จักต้องทำให้จิตตนเองนิ่งให้ได้ นิ่งให้เป็นกันเสียก่อน ผู้ปฎิบัติจึงจะรู้ธรรมะ จะเข้าใจธรรมะ หรือ
    จะเข้าถึงพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ได้อย่างลึกซึ้ง ได้อย่างอารมณ์ของพระอรหันต์
    แต่ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ก็ยากที่จะรู้เข้าใจหรือเข้าถึงพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

    ถ้าเปรียบธรรมะเป็นดั่งความรักของคนเรา ถ้าความรักขาดซึ่งความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันและกัน
    ในที่สุดความรักก็ไร้ค่า ต่อให้คนสองคนจะรักกันปานจะกลืนกินก็ตามที ที่สุดก็อยู่ด้วยกันไม่ได้
    สำหรับธรรมะก็เช่นกัน ถ้าผู้ปฎิบัติจะเอาแต่ภาวนาอย่างเดียว ไม่ยอมรักษาศีลตน การปฎิบัติจึงไร้ค่า
    ผู้ปฎิบัติจะเอาแต่ธรรมะ จะเอาแต่พระโสดาบัน จะเอาแต่พระนิพพานกัน แต่ไม่สนใจเรื่องศีลของตน
    เห็นศีลเป็นเรื่องเล็กน้อย มองไม่เห็นศีลตน ไม่ให้ความสำคัญเรื่องศีลตนเองคือมองข้ามศีลตนเอง
    ขอทายไว้ล่วงหน้าเลยว่า ไปไม่ถึงไหน ไปไม่ถึงฝั่งคือไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร ท้ายที่สุดก็ล้มเลิก

    ต่อจากนี้ไปผู้ปฎิบัติธรรม โดยเฉพาะผู้ที่มีจิตละเอียดย่อมพบแต่ความละเอียดแห่งธรรมในจิตตนเอง
    เมื่อพบดวงจิตเดิมแท้ พบธรรมแท้ภายในจิตตนเองกันแล้วก็ย่อมมองเห็นคุณค่าของพระรัตนตรัย
    โดยเฉพาะการรับรู้ถึงในอารมณ์ของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ ทำไมกำลังใจของท่านถึงได้มากมาย
    ทำไมท่านถึงได้เลือกมาสงเคราะห์พวกเรา โดยเฉพาะผู้ที่กำลังวิ่งตามกระแสกิเลส ตัณหาและอุปาทาน
    การเข้าใจและเข้าถึงในพระธรรมหรือคำสอนของพระพุทธองค์ได้อย่างลึกซึ้ง กินใจ เกิดปิติ สุข และ
    เยือกเย็นภายในจิตใจของตนเอง เป็นต้น
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ว๊ายยย น้องดาวๆๆ ใจเย็นๆ ใจลุ่มๆก่อนนะจ๊ะๆ
    เธอไปโกรธถือโทษกับผู้ใด๋มาเนี๊ย ฮ่าๆ ช้าก่อนๆ
    แต่ถ้าเมื่อก่อน พี่ภูเห็นไม่ได้เลย เพราะจะเป็นลมทันที แต่บัดนาว เฉยๆแร๊ะ
    มันก็ไม่ต่างไปจากที่เขาขายกันที่ตลาดสดกันเลย
    เวลาปฎิบัติธรรมใหม่ ผมจะไม่เลือกกองกรรมฐานนี้เด็ดขาด เคยเลี่ยงไปทีนึงแร๊ะ แต่ปรากฎว่าถูกโดนเต๊ะโด่ง
    ตกลงมาจากเบื้องบนลงมาสู่กายหยาบ จึงมีโอกาสพบเห็นตับ ไต ใส้พุง เลือดและอวัยวะต่างๆของตนเอง
    เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดขึ้นมาทันที อีกไม่นานนักสิ่งที่จิตเราเห็นกลับมลายกลายเป็นพระ
    และเป็นผุยผงเป็นควัน นี่ไง๊จิตกำลังแสดงธรรมให้เราคือสติดู อึ้งเลยเรา
    นับแต่นั้นมาจึงเห็นคำว่า อนัตตาชัดเจนวันนั้นเอง
    ตอนนี้ผีก็คุยได้นะ ไม่กลัวแร๊ะ แม้นกระทั่งความกลัวที่ไม่ยากตายก็ไม่มีหลงเหลือแร๊ะ
    ทุกวันนี้ ที่ร่างกายเคลื่อนไหวไปมาหรือความรู้สึกนึกคิดหรืออารมณ์จิตนั้น ไม่มีอะไรเป็นของตนเองแล้ว ไม่มี
    มีแค่สติปัญญารู้เท่านั้นเอง ตัวรู้ก็ไม่ใช่ ตัวที่ถูกปัญญารู้ก็ไม่ใช่
    ขออนุญาตพูดเพื่อธรรมาทานกันตรงนี้เลย มิได้มีเจตนาอุตริมนุสธรรม เพราะทราบดีว่าเป็นเรื่องปัจจัตตัง
    ไม่สำควรมาพูดที่สาธารณะโดยเฉพาะกระทู้ ผมไม่ต้องการคนมาชม นินทาด่าว่าก็ยินดีรับหมด
    เพราะไม่มีผลต่อจิตใจของผม
    ขอฝากธรรมาทานนี้ให้กับผู้ที่กำลังตัดนามละเอียดอยู่นี้ พี่ภูเข้าใจอารมณ์ของน้องดาวเป็นอย่างดี
    เรื่องพรรนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะการสร้างสติปัญญาไม่เหมือนกัน จะด้วยเหตุผลอันใดจะไม่ขอกล่าว
    แค่อยากบอกว่า นั่นเป็นวาระกรรมของแต่ละบุคคล บทจะรู้ก็รู้ได้ง่ายๆอย่างนั้นแหล่ะ ก็ต่อเมื่อจิตมีปัญญาแล้ว
    ทุกวันเราเจริญสติก็เพื่อผลิตปัญญาให้กับจิตนี่ไง เพราะจิตเขาจะนำตัวปัญญาไปสร้างญาณ(ยาน)
    ที่จะท่องเที่ยวไปยังที่ต่างได้ ไปได้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

    ตายหล่ะน้องดาว จัดหนักซะแร๊ะ คนหายจากกระทู้แน่ และต่อไปนี้ผู้คนคงจะทานอะไรกันไม่ได้
    คงทานได้แต่หญ้าซะมั้ง ฮ่าๆ โค กระบือมีคู่แข่งแร๊ะ ขำๆ ไม่มีไร
    สงสารคนดูไม่ได้มั่งดิ..น้องดาว แต่ถ้าเป็นผมเมื่อก่อนนะ ลมใส่แน่ แต่ไม่ทันใส่อารมณ์..คริคริ

    ขอโมทนาบุญกับอาจารย์ใหญ่(ศพ) และน้องดาวด้วยนะครับ...สาธุๆๆ
    (คราวนี้คงสะใจน้องดาวแน่)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 เมษายน 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับจิตบุญที่ฮอลแลนด์ เบลเยี่ยม เยอรมันอีกครั้งนึงนะครับ
    ถึงว่าผมอยากจะทานก๊วยเตี๋ยวขึ้นมาทันทีเลย ไม่มีคนถวายให้ อิอิ

    ทำไมเธอไม่บอกคนที่ถามเขาไปเลยว่า จิตบุญก็คือจิตอรหันต์ เอ๊ย!ไม่ใช่ๆๆ
    เดี๋ยวท่านอสูร เอ๊ย!ท่านศูนย์ซีโร่ทับซ้อนจะมา ใครอย่าไปจุดธูปนะ ท่านจมูกไว

    เดี๋ยวผมจะเขียนนิยามไปให้นะครับ สั้นๆได้ใจฟาม
    ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจกันแร๊ะ ขอบใจหรือว่าสมนำหน้ากันแน่ ฮ่าๆ ล้อเล่นๆ
    เรือลำนี้สร้างมากับมือก็ทำลายกับมือได้ อะไรมันก็ไม่เที่ยงอ่ะน่ะ อย่าไปใส่ใจมากนัก มุ่งชำระจิตตนอย่างเดียวพอ
    เรือลำนี้จะไม่จมเพราะเป็นเรือติดล้อวิ่งบนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ไปแร๊ะ โดยคุณพี่สุภาทรช่วยโมดิฟายให้ครูเกษ
    ตามนโยบายของพระพุทธองค์ก็คือละชั่วทั้งปวง บำเพ็ญแต่บุญกุศลและทำจิตใจให้ผ่องใส

    แล้วค่อยพบกันใหม่ตอนเป็นรูปธรรม
    อย่าลืม! วันหน้าทำก๋วยเตี๋ยวเนื้อสดๆ แดงๆแบบน้องดาวส่งมาให้นะ..คริคริ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 เมษายน 2013
  11. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    แฮ่ะๆ ขออภัยด้วยนะค่ะ หากการเสนอภาพนี้ดูรุนแรงไป
    เห็นภาพมันชัดเจน..ได้ใจนักปฏิบัติดีอ่ะค่ะ ^^
    ไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย...ฟ้องด้วยภาพทันที !
    พูดไม่ค่อยเก่งอะค่ะ...นู๋เห่าเป็นอย่างเดียว...ฮ่าๆ
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุค่ะ ขอร่วมอนุโมทนาด้วยค่ะ ผู้เขียนทราบซึ้งถึงความปลื้มปิติ

    กับท่านชาวจิตบุญทุกๆท่านค่ะ...ท่านผู้มีจิตบุญจิตกุศล คิดและทำสิ่งใดๆ

    การเกิดปิตินั้นแหละคือบุญที่ท่านได้รับแล้ว...ผู้ปฏิบัติพร้อมทั้ง ศีล ภาวนา

    และทาน...การกระทำนั้นๆได้ชื่อว่าบุญกุศลครบถ้วนแล้วจึงขออนุโมทนาค่ะสาธุ
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุอนุโมทนาค่ะดาว...สุดยอดจริงๆ...ถ้าทุกท่านได้อ่านแล้วคงได้

    เข้าใจในตนของตนมากขึ้น...ว่าจริงๆแล้วทุกคนข้างในตัวเรามีแต่สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวนะ

    ถ้าเห็นชัดๆแบบนี้...ของอยู่ในตัวเราเกิดมาพร้อมกับเราๆยังไม่เคยเห็นของๆ

    ตนเองแม่นีบอกว่าสุดยอดจริงๆ...สำหรับเราท่านผู้ปฏิบัติจะนำมาใช้ในการ

    ปฏิบัติลองดูวิว่ามันจะเห็นไหม?...ซึ่งผู้ปฏิบัติจะต้องนำมาปฏิบัติเพื่อมอง

    ของในตัวเราไม่ต้องเอาทีเดียวทั้งหมดก็ได้...เอาทีละอย่างนะเมื่อก่อนแม่นี

    ไม่เคยนึกถึงที่ว่าจะต้องเพ่งมองของในตัวนี้ของเรา...เพราะไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้

    มีประโยชน์มากในการปฏิบัติ...ครั้งหนึ่งที่ผ่านมาแม่ไปปฏิธรรมที่วัดดอยหลวง

    ขุนวิน อำเภอสันป่าตอง...ซึ่งเป็นวัดที่ขึ้นไปลำบากมากเวลาขึ้นไปต้องใช้รถ

    ที่หล้อใหญ่ๆซึ่งเราเอารถเราขึ้นไปไม่ได้ ทางท่านพระอาจารย์ ท่านจะต้องจัด

    รถมารับ...ซึ่งวัดนี้สูงมากแต่ใจแม่นีสู้จ้ะ ได้ฟังธรรมะของพระอาจารย์ ท่าน

    ชื่อท่านพระอาจารย์จรัญ...ท่านเทศให้พวกเราฟังวันนั้น ซึ่งท่านเทศถึงแต่เรื่อง

    ของการปฏิบัติต้องมองของในร่างกายเรานั้นประมารสิบหกปีที่แล้ว...หลังจาก

    ท่านเทศจบแม่นีจึงสนทนาธรรมกับท่าน...แล้วบอกท่านว่าตั้งแต่โยมเริ่มปฏิบัติ

    มาถึงวันนี้ยังไม่เคยได้ธรรมะแบบนี้เลย...นี่แสดงว่าโยมยังไปไม่ถึงใหนเลยใช่

    ไหมค่ะ...ท่านตอบว่าโยมได้แล้วได้ที่ถามอาตมานี่ไง...ตั้งแต่นั้นมาการปฏิบัติ

    ของแม่นี...ก็เริ่มดูที่ตัวเองซึ่งมองหาสิ่งที่ง่ายที่สุดก่อน อย่างเช่นมองที่หน้าตน

    เองนี่แหละที่ทำให้แม่นีได้เห็นโดยไม่ต้องส่องกระจก...เพราะจริงๆแล้วหน้าเราอยู่บนหน้าเราๆยังมอง

    ไม่เห็นต้องไปส่องกระจกถึงจะเห็น แม่นีจ้องอยู่ตรงนั้นอย่างเดียวนานเหมือนกันที่จะ

    ทำได้เมื่อเราทำได้อย่างหนึ่งแล้วอย่างที่สองที่สามก็จะตามมาเอง...ขอให้ผู้ปฏิบัติทุกๆท่านทำดูนะคะ.

    ขออนุโมทนากับดวาที่นำธรรมทานที่ดีๆแบบนี้มาให้เป็นธรรมทานกับท่านผู้อ่าน...รวมทั้งตัวแม่นีเอง

    ด้วยที่ทำให้แม่นีได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาของแม่นีเอง...อยากเอาออก

    มาเล่าสู่กันฟังนานแล้วเผื่อจะเป็นประโยชน์ กับท่านผู้อ่านบ้างแต่ก็เริ่มต้นไม่ถูก หวังว่าคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย

    จึงขออนุโมทนากับท่านผู้อ่านทุกๆท่าน...และขอให้ผู้อ่านทุกๆท่านมีดวงตาเห็น.........

    ...ธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะสาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2013
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การปฏิบัติ ถ้าจะแยกกายนี้ออกเป็นประเภทของทุกข์ ทุกอาการของกายจะ

    วิ่งลงสู่สายทุกข์ตามกันหมด...ไม่มีชิ้นใดฝืนตัวอยู่ได้ เพื่อความประจักใจและแน่นอนกับ

    ทุกข์ในกาย ลองเอาปลายเข็มจรดลงด้านใดด้านหนึ่งของกายสักนิดหนึ่งจะทราบทันทีว่า

    ทุกข์มีอยู่ในขุมขนทั่วร่างกายของบุคคลและสัตว์ผู้หนึ่งๆดังนั้น...ผู้ใช้สติปัญญาตรวจตรอง

    อยู่กับขันธ์โดยลำดับ เพราะทุกข์ทั้งมวลไม่นอกไปจากขันธ์นี้เลย...

    ...แม้คำว่าอริยสัจซึ่งถือว่าเป็นธรรมลึกซึ้ง...จึงไม่เลยความรู้สึกของผู้รับสัมผัสไปได้

    ต้องอยู่ในวงความรู้สึกของเราด้วยกัน...จะสูงก็ไม่เลยกายกับใจนี้ไปได้ สมุทัยก็ไม่ลึกเลย

    ความรู้อันนี้ เพราะความรู้สึกเป็นฐานที่เกิดของสมุทัย...สมุทัยไม่มีที่อื่นเป็นแดนเกิด นอก

    จากใจดวงนี้เท่านั้น...การพิจารณาทางปัญญาไปตามส่วนต่างๆ ของขันธ์ จึงเป็นอุบาย

    จะรื้อถอนอุปาทานคือตัวสมุทัยนั้นขึ้นมา...เพื่อให้ธรรมชาติเหล่านั้นได้อยู่เป็นปกติ ไม่ถูก

    กดบังคับจับจองจากใจ...เพื่อใจได้อยู่เป็นสุข ไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด เป็นเราเป็นของเรา

    คือ ต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างอยู่ ที่เรียกว่า ยถาภูตํ ญาณทสุสนํ รู้เห็นตามปัญญาจริงด้วย

    ความปัญญาจริงๆ ไม่เพียงจำได้และพูดออกมาด้วยสัญญา ยังสามารถถอดถอนหนามจาก

    อุปาทานของขันธ์ที่ทิ่มแทงใจได้อีก...สมุทัยที่ทำงานเกี่ยวกับกายที่ถอนตัวออกไป ส่วน

    สมุทัยที่เกี่ยวกับใจโดยเฉพาะก็เป็นวิสัยของสติปัญญาจะตามสอดรู้และทำลายเช่นเดียว

    กันฉนั้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทั้งหยาบและละเอียดเกิดขึ้นจากใจอันเดียวกันฉะนั้น

    ทุกข์ สมุทัย จึงไม่มีเกาะใดจะเป็นที่ออกตัว...ว่าผ่านพ้นสายตาของสติปัญญาไปได้ และ

    ไม่สูงต่ำไปที่ไหนนอกจากใจดวงนี้...ที่ไม่อาจมองเห็นความจริงอันตั้งปรากฏชัดอยู่ยิ่งกว่า

    ภูเขาทั้งลูก เนื่องจากการมองข้ามใจข้ามกายดวงนี้ไปเสียเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าอริยสัจอัน

    แท้จริงอยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไร เราเคยทราบมาจนชินหูว่า พระพุทธเจ้าและสาวกตรัสรู้

    มรรคผลนิพพาน...ท่านตรัสรู้อะไร นอกจากจะรู้แจ้งทุกข์ สมุทัย ที่ได้ยินแต่เสียงและรู้อยู่

    ด้วยใจทุกเวลาทุกเวลาที่เขาแสดงตัวอยู่ในห้องมืดอย่างเปิดเผยไม่เกรงขามต่อใด โดย

    การเปิดม่านออกดูด้วยมรรค คือ สติ กับ ปัญญานิโรธก็แสดงตัวออกมาในขณะม่านเครื่อง

    กั้นห้องของสมุทัยได้ถูกเปิดขึ้นเป็นความดับสนิทแห่งทุกข์ขึ้นมาเท่านั้น...

    ...ธรรมของจริงซึ่งควรรู้ภายในใจ จะเป็นอื่นมาแต่ที่ไหน ก็ต้องเป็นของจริงอยู่กับใจ

    และรู้ขึ้นที่ใจ...พ้นทุกข์ที่ใจ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าและสาวกเท่านั้นแลถ้าทำถูกตาม

    แบบท่าน...พระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.

    ...ลูกขอน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนของท่าน เพื่อการปฏิบัติต่อๆไป........

    น้อมกราบองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ...
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนาสาธุ กับ คุณพี่มาลินีด้วยค่ะ ที่ท่านได้นําธรรมะดีๆขององค์หลวงตามาลงให้พวกเราได้รับรู้ ช่างเป็นธรรมที่แจ่มแจ้งจริงๆ เพราะองค์หลวงตาท่านได้เดินรอยตามพระพุทธเจ้า แล้วท่านจึงเห็นแจ้งแทงตลอดว่า ทุกข์เกิดมาจากไหน? แล้วจะดับได้อย่างไร? ท่านก็ได้ชี้บอกเราตามข้างบนนี้แล้ว...ท่านผู้ปฏิบัติตามนี้ก็จะเข้าถึงซึ้งความหลุดพ้นไปได้...สักวันหนึ่งเป็นแน่... จึงขอกล่าวคําอนุโมทนาสาธุค่ะ "คุณพี่มาลินี" เป็นอย่างสูงด้วยเทอญ
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2013
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แด่..ผู้ที่มองข้ามศีลตนเอง
    เหล้า เบียร์ ทั้งปั่นหรือไม่ปั่นก็ตาม รวมทั้งสิ่งเสพติดหรือของมึนเมาทุกประเภท
    ถือว่าเป็นน้ำเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนสันดานของผู้ดื่ม ผู้กินหรือผู้ที่เสพเป็นอย่างดี
    คือเปลี่ยนจากมนุษย์เป็นคน หรือเปลี่ยนจากคนปกติธรรมดาๆ เป็นมิใช่คน
    อาจเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ ก็คือจากคนปกติธรรมดาๆ ก็อาจจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    เพราะผู้ที่ดื่มกินหรือเสพสิ่งที่กล่าวมาแล้วก็มักจะขาดสติ ไร้สติ ส่วนปัญญาไม่ต้องพูดถึง
    แต่ถ้าผู้ใดดื่มกินเสพสิ่งเหล่านั้น ก็มักขาดสติ ไร้สติ มีเพียงแค่ร่างกายที่เป็นมนุษย์หรือคน
    เท่านั้น นอกนั้นไม่ใช่แล้ว จิตอาจกลายเป็นอย่างอื่นตามที่กล่าวไปแล้ว

    สรุปแล้ว เหล้า เบียร์หรือของมึนเมาทั้งหลาย จะเปลี่ยนนิสัยหรือสันดานของคนเรา
    ไปในทิศทางลบมากกว่าทางบวกหรือทางดี

    แต่ถ้าผู้ใดอยากจะเปลี่ยนนิสัยหรือสันดานของเราไปสู่ในทิศทางที่บวกมากกว่าทางลบ
    หรือเป็นบุญเป็นกุศลนั้น เห็นจะมีแต่ พระกรรมฐานของพระพุทธองค์เท่านั้น นอกนั้นไม่มี
    คือหาดีไม่ได้ หรือหาได้แต่ไม่ดี

    เพราะฉะนั้นพวกเราที่เป็นคนดี เป็นผู้เจริญทั้งหลายย่อมมีสติปัญญาแยกแยะดี-ชั่ว ถูก-ผิด
    และสิ่งสำคัญนั้นก็คือ ควรเลือกพึงกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม
    ผู้ที่ไร้สติ ไร้ปัญญาเท่านั้น ที่พึงเลือกกระทำหรือนำตนเองไปสู่ในทิศทางที่ตกต่ำ
    ชอบเปลี่ยนนิสัยสันดานตนเองไปในทิศทางลบมากกว่าบวก หรือชอบทำตัวเองให้ไร้ค่า
    ในเมื่อเราไม่พยายามสำรวมจิต(ไร้สติ) ก็ยากแท้ที่คำพูดหรือการกระทำภายนอกจะออกมาดี

    เอ๊า! ข่าวดีสำหรับผู้ที่(อยาก)เป็นคนดี เป็นผู้เจริญทั้งกายใจ อยากเป็นลูกหลานพระพุทธเจ้า
    ให้พากันรักษาศีลทำภาวนา มีทางเดียวที่เราจะเป็นคนดีตามในพระพุทธศาสนาได้บัญญัติไว้
    คือเปลี่ยนจิตตนให้ได้ก่อน แต่ถ้าเปลี่ยนจิตจากปกติที่จิตไม่นิ่งจนนิ่งสงบสงัดพอสมควรแล้ว
    ต่อไปจิตมีปัญญาหรือมีตัวผู้รู้เป็นของตนแล้ว เดี๋ยวจิตเราก็จะพาไปพบธรรมหรือธรรมในจิตเรา
    และธรรมของเรา(ธรรมในจิต)คือธรรมที่อยู่ภายในจิต(จิตในจิต)เราเท่านั้น ที่จะมาสอนสั่งเรา
    เพราะไม่มีผู้ใดที่จะสอนจิตของตนเองได้ ไม่มีสิ่งใดจะเปลี่ยนนิสัยหรือสันดานของตนเองได้
    นอกจาก พระกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองของพระพุทธองค์ เท่านั้น

    ขออนุโมทนาสาธุล่วงหน้ากับผู้ที่กำลังปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบโดยเฉพาะผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม
    เพราะบุคคลกลุ่มนี้จะเห็นความทุกข์ได้ชัดเจนกว่าคนปกติ ทุกข์มีอยู่แต่ลดน้อย เบาบางลงไป
    ถือว่าเป็นผู้ที่ออกจากทุกข์ได้ขั้นแรก สามารถพากันละกิเลสหยาบและกลางได้
    ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม ขอให้ปฎิบัติต่อไป อย่าได้หยุดยั้งหรือละความเพียรของตนเองเสียก่อน
    เพราะด่านสุดท้ายนั้นหินมาก ผู้ปฎิบัติที่ทำไม่จริงจังก็อาจสอบไม่ผ่าน เพราะกำลังใจเป็นสำคัญ
    ผู้ที่สอบผ่านนามธรรมละเอียด คือจะต้องมีความขยันหมั่นเพียรมาก คือต้องบ้ากว่าตัวเจตสิก
    มีสติธรรมดาไม่พอแน่ ต้องมีสติระดับเข้มข้น(สัมปชัญญะ)สำคัญจะต้องมีสติสัมปชัญญะต่อเนื่อง
    ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว หากสติเราผลิตตัวปัญญาให้กับจิตไม่ทัน จิตเรามีปัญญาไม่มากพอ
    การปฎิบัติเราก็จะติดๆดับๆอะไรประมาณนั้น สอบผ่านบ้างไม่ผ่านบ้าง ในขณะที่มีสิ่งกระทบจิต
    แต่ถ้าสอบไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร อย่าไปตกใจ ให้ตั้งหลักใหม่ไวๆ อย่าช้าทำไปคงจะมีเข้าสักวัน
    ที่เรามีทั้งสติและปัญญาเพรียบพร้อม เราก็สอบผ่านกันได้ เมื่อนั้นเราก็ถึงบางอ้อ บางอ้าว
    การปฎิบัติธรรม พวกเราจะต้องอาศัยความเข้าใจมาก เรียนรู้วิธีหรือขั้นตอนให้ถูกต้องเสียก่อน
    ถ้้าไม่อย่างนั้นเราจะหลงปฎิบัติ หลงมรรคผล โดยเฉพาะคำว่า"พระนิพพาน" ก็น่าจะไกล
    สำหรับผู้พูด เพราะหลงไปทำอย่างอื่น คือหลงไปเอาเปลือกหรือกระพี้กันมาก เหตุผลหลัก
    ก็คือกำลังใจ ทางพระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านเน้นเฉพาะแต่ ตัดหรืออยู่เหนือขันธ์๕เท่านั้น
    ที่เคยคิดว่าเป็นเรา เป็นของเรานี้ละให้เด็ดขาด เราถึงจะแยกจิตออกมาจากขันธ์ ๕ ได้

    พิมพ์ไปพิมพ์มา ยาวจนได้ เป็นคนไม่ชอบภาษาสมมุติ ชอบพูดตามจิต เพราะพิมพ์ไม่ทันจิต
    บอกด้วยนะครับถ้าไม่มีคนอ่าน จะได้เลิกพิมพ์ธรรมะเพราะมันอิ๊ด มีแค่คนเดียวที่อ่านก็ไม่เป็นไร
    ส่งรูป ส่งเพลงง่ายกว่ากันเยอะเลย ฮ่าๆ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2013
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พูดไม่ค่อยเก่ง แต่รักหมดใจ..คริคริ
    งี้แหล่ะคนพูดน้อยต่อยหนัก บุญบารมีเธอมันมากนักแลฯ
    คนเรามีอวัยวะเท่าเทียมกันหมด แต่อาจจะมีสติปัญญาไม่เท่ากัน
    แต่ตัวแปรพอจะบอกได้ ก็คือบุญบารมีเก่า โดยเฉพาะความศรัทธาความเพียรในชาติปัจจุบัน
    คงไม่ว่ากันเน๊อะ แต่ถ้ามีปัญญา ปัญญาญาณเมื่อไหร่ก็ถึงบางอ้อกันเมื่อนั้น ทำไปๆ
    ตราบใดยังมีลมหายใจย่อมมีโอกาสได้ดวงตาเห็นธรรม หรืออาจไปถึงพระนิพพานกันชาตินี้ฯ
    สู้ๆๆ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ROGil0KEKik]MV.พูดไม่ค่อยเก่ง โตโน่ The star - YouTube[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2013
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ชาติสุดท้ายสำหรับเรา
    ตัววิปัสสนาญาณเห็นจะไม่ต้องพูดกัน ในเมื่อศีลบริบูรณ์ สมาธิบริบูรณ์
    จิตมันทรงมัดกดอารมณ์ของความชั่วไม่ให้ฟูขึ้น นี่ตัวนี้เป็นตัวที่มีความสำคัญที่สุด
    เป็นด่านแรกที่เราจะกดอารมณ์ของเราไม่ให้เกิดขึ้น
    ในเมื่อกดกันได้แล้วก็ฟันมันเสียด้วยปัญญา ห้ำหั่นคือไม่มีเจตนาต้องการอะไรทั้งหมด
    ร่างกายของเราๆก็ไม่ต้องการ ร่างกายของบุคคลอื่นเราก็ไม่ต้องการ
    คนที่มีสามีภรรยาแล้วก็อยู่กันไปตามหน้าที่ แต่ก็คิดว่าอาการอย่างนี้ไม่มีกับเราต่อไปในชาติหน้า
    มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เราก็ไม่ต้องการ
    อารมณ์ที่เราต้องการคือพระนิพพานอย่างเดียว
    ถ้าอารมณ์สมาธิเต็ม เรื่องวิปัสสนาญาณง่ายนิดเดียว ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้ง่าย

    สำหรับวันนี้ก็ขอแนะนำแต่เพียงเท่านี้ แต่ขอให้ทุกคนอย่าลืมนะ ต้องทรงตามนี้คือ
    อานาปานุสสติอย่าทิ้ง
    พรหมวิหาร ๔ อย่าทิ้ง
    ถ้าไม่ทิ้งของ ๒ อย่างนี้ คำว่าชั่วจะไม่มีกับใครเลย

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความทุกข์คือบุญขั้นแรกของเรา

    เราอย่าไปท้อแท้ เราอย่าไปสิ้นหวัง เมื่อความทุกข์ของเรามาเยือน
    แต่หารู้ไม่เรากำลังโชคดีมหาศาลต่างหาก ยิ่งกว่าถูกล๊อตเตอรีเสียอีก
    แถมมูลค่ามิได้ เพราะความสุขแบบนี้ถึงมีเงินสิบล้านก็หาซื้อไม่ได้
    ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะว่า ความทุกข์ของเรามีค่ายิ่ง เปรียบดั่งธรรมะ

    ดั่งคำพุทธสุภาษิตว่า "ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม.." เป็นต้น

    สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์อยู่ในขณะนี้ เราจงเข้าใจเสียใหม่ว่า
    เรากำลังมีดวงตาเห็นธรรม เรากำลังจะรู้ความจริงของทุกข์ตนเอง
    เรากำลังได้มรรคผลหรือพระนิพพานในวันข้างหน้าอันใกล้นี้ โดยเฉพาะ
    ผู้ที่หันหน้าเข้าหาธรรม เท่านั้น มิใช่วิ่งหาความตาย วิ่งหาอบายมุข หรือ
    หันหน้าไปพึ่งพาอาศัยเหล้าหรือยาเสพติด อันนั้นสำหรับผู้ที่ไม่มีบุญเก่ามาก่อน?
    แต่ถ้าคิดว่าเราไม่มีบุญเก่าเลย เราจะออกจากทุกข์ตนเองได้ไหม แค่คิดก็แพ้ไปครึ่งทางแล้ว
    บุญเก่าหรือจะมาสู้ความเพียรในชาติปัจจุบันได้ มีสิบุญเก่ามีด้วยกันทุกคนแหล่ะ
    ถ้าไม่มีบุญเก่าก็ไม่มาเกิดเป็นคนแล้ว อาจเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานไปแล้ว
    เพราะฉะนั้น อย่าพยายามหาสิ่งมาตัดรอนกำลังใจตนเอง อย่าพยายามค้นหากรรมเก่า
    อย่าพยายามมองหาแต่สิ่งเลวร้ายให้กับตนเอง ...
    นี่ไงเล่าบอกไปแล้ว..ไม่มีใครทำร้ายเราได้เท่ากับตัวเราเอง

    แค่เรามีความทุกข์ พระอริยเจ้าท่านเคยบอกว่า นี่เรายังไม่ทันจะได้ก้าวบันไดขั้นแรกเลย
    เราแค่รู้จักคำว่า ทุกข์ กันเฉยๆ ยังมิได้เรียนรู้เลย ความทุกข์คืออะไร เหตุแห่งทุกข์คืออะไร


    พอก่อนเดียวยาวอีกฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2013
  20. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    "ภูมิแห่งธรรมหรือปัญญาภูมิ" แตกต่างกันไปตามความละเอียดของผู้ปฏิบัติว่าผู้ใดได้เข้าถึงแก่นแห่งธรรมนั้น ก็จะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ผู้จะได้รู้เร็ว เห็นเร็ว แต่การได้รู้เห็นเป็นไปด้วยตนเอง แบบบอกใครไม่ได้เพราะต้องเห็นเองเป็นเอง...แต่พอถึงจุดหมายเดียวกันท่านผู้ปฏิบัติก็จะเห็นเอง เหมือนแม่นํ้าที่ไหลลงรวมไปที่ทะเล ก็มีแค่รสเดียว คือ"รสเค็ม"จะแยกไม่ออกว่ามาจากแม่นํ้าสายไหนก็ตามแต่พอมาถึงมหาสมุทรแล้วก็มีแค่รสเดียวเท่านั้น ผู้ปฏิบัติจึงรู้ด้วยตนเองเท่านั้น...สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...