กรรมลิขิต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย PalmPlamnaraks, 6 พฤษภาคม 2005.

  1. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center borderColor=#f7f7f7 align=middle bgColor=#ffffff height=124>[​IMG]</TD></TR><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [/font][font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif]กรรมลิขิต[/font] [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1370 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1297>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]
    กรรมหมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา เมื่อจงใจแล้วก็ย่อมทำกรรมทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ เรียกว่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตามลำดับ กรรมจึงเป็นคำกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว แต่คนทั่วไปมักเข้าใจว่า กรรมหมายถึงบาปหรือเคราะห์ เป็นการเข้าใจไปในทางร้ายแต่อย่างเดียว เช่น คนที่เกิดมาจนหรือพิการ ก็พูดว่าคนมีกรรม

    พุทธศาสนาสอนว่า ความเป็นอยู่หรือชะตาชีวิตของคนเรานั้น ไม่ขึ้นกับเวลาตกฟาก ไม่ขึ้นกับอำนาจดวงดาว ไม่ขึ้นกับอำนาจพรหมลิขิต แต่ขึ้นอยู่กับกรรม กรรมต่างหากเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตหรืออนาคตของคนเรา ทุกคนต่างลิขิตโชคดีโชคร้าย ลิขิตความเจริญความเสื่อมให้แก่ชีวิตด้วยกรรมของตนเอง กล่าวคือ ถ้าอยากได้ดีมีความสุขความเจริญ ก็ต้องทำแต่กรรมดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าทำกรรมชั่ว ชีวิตก็จะมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน เป็นไปตามพระบาลี (เล่ม ๑๕ ข้อ ๓๓๓ ย่อว่า ๑๕/๓๓๓) ที่ว่า

    กลฺยาณการี กลฺยาณํ ทำดีได้ดี
    ปาปการี จ ปาปกํ ทำชั่วได้ชั่ว


    คนที่เชื่อมั่นในหลัก
     
  2. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center borderColor=#f7f7f7 align=middle bgColor=#ffffff height=124></TD></TR><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [/font][font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif]วิบัติ และสมบัติ[/font] [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1246 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1173>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]
    จูฬกัมมวิภังคสูตร(๑๔/๕๗๙)พระพุทธเจ้าตรัสถึงผลของกรรมดีกรรมชั่ว ๗ คู่ ดังนี้

    ๑. ผลการฆ่าสัตว์ ตายไปจะเข้าถึงอบาย หากไม่เข้าถึงอบายถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีอายุสั้น ผลการไม่ฆ่าสัตว์ ตายไปจะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ หากไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีอายุยืน

    ๒. ผลการเบียดเบียนสัตว์ ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีโรคมาก ผลการไม่เบียดเบียนสัตว์ ... ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ก็มีโรคน้อย

    ๓. ผลการเป็นคนมักโกรธ ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีผิวพรรณทราม ผลการเป็นคนไม่มักโกรธ ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีผิวพรรณงาม

    ๔. ผลการริษยาในลาภสักการะของคนอื่น ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีศักดิ์ต่ำ ผลการไม่ริษยาในลาภสักการะของคนอื่น ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีศักดิ์สูง

    ๕. ผลการไม่ให้ทาน ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็ยากจน ผลการให้ทาน ... ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ก็ร่ำรวย

    ๖. ผลของความกระด้างเย่อหยิ่ง ไม่ไหว้คนที่ควรไหว้ ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดในตระกูลต่ำ ผลของความไม่กระด้างเย่อหยิ่ง ไหว้คนที่ควรไหว้ ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดในตระกูลสูง

    ๗. ผลการไม่เข้าไปหาผู้รู้ ไม่สนใจถามเรื่องบาป บุญ ดี ชั่ว ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็โง่เขลา ผลการเข้าไปหาผู้รู้ สนใจถามเรื่องบาป บุญ ดี ชั่ว ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีปัญญาดี

    ทักขิณาวิภังคสูตร (๑๔/๗๑๑) พระพุทธเจ้าตรัสถึงผลการให้ทานว่า
    ๑. ให้ทานในสัตว์เดรัจฉานได้ผลร้อยเท่า

    ๒. ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีลได้ผลพันเท่า

    ๓. ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีลได้ผลแสนเท่า

    ๔. ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกามได้ผลแสนโกฏิเท่า

    ๕. ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้งได้ผล นับประมาณไม่ได้

    ๖. ถ้าให้ทานในพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธะ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลยิ่งไม่อาจนับประมาณได้เลย

    สัปปุริสทานสูตร (๒๒/๑๔๘) พระพุทธเจ้าตรัสถึงทาน ๕ ประการ
    ๑. ทานที่ให้ด้วยศรัทธา ทำให้ร่ำรวยและมีรูปงาม

    ๒. ทานที่ให้โดยเคารพ ทำให้ร่ำรวยและมีบุตร ภรรยา บริวาร ที่เชื่อฟัง

    ๓. ทานที่ให้โดยกาลอันควร ทำให้ร่ำรวยตั้งแต่ปฐมวัย

    ๔. ทานที่ให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ ทำให้ร่ำรวยและพอใจใช้ของดีๆ

    ๕. ทานที่ให้โดยไม่กระทบตนและผู้อื่น ทำให้ร่ำรวยและทรัพย์นั้นปลอดภัยจากไฟ น้ำ หรือการแย่งชิงของผู้อื่น

    ทานสูตร (๒๓/๔๙) พระพุทธเจ้าตรัสถึงการให้ทาน ๗ อย่าง
    ๑. การให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

    ๒. การให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ๓. การให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นยามา

    ๔. การให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะผู้ไม่หุงหา ไม่สมควร เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

    ๕. การให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนฤษีครั้งก่อน เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

    ๖. การให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจสุขใจ เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

    ๗. การให้ทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เมื่อตายแล้วย่อมเกิด ในพรหมโลก (ชั้นสุทธาวาส) ภายหลังย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง (อรรถกถาอธิบายว่า เขาไม่อาจไปเกิดในพรหมโลกด้วยทาน แต่ด้วยจิตอันประดับด้วยทานนั้น เขาทำฌานและอริยมรรคให้บังเกิด ย่อมเกิดในพรหมโลกด้วยฌาน)

    อรรถกถาธรรมบท ภาค ๔ กล่าวถึงทาน ๔ ประการ คือ
    ๑. ให้ทานด้วยตน ไม่ชักชวนผู้อื่น ย่อมได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวารสมบัติ
    ๒. ชักชวนผู้อื่น ไม่ให้ด้วยตน ย่อมได้บริวารสมบัติ ไม่ได้โภคสมบัติ
    ๓. ไม่ให้ด้วยตน ทั้งไม่ชักชวนผู้อื่น ย่อมไม่ได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวารสมบัติ
    ๔. ให้ด้วยตน ทั้งชักชวนผู้อื่น ย่อมได้ทั้งโภคสมบัติ และบริวารสมบัติ

    อรรถกถากล่าวว่า ทานที่มีผลมากประกอบด้วยองค์ ๓ คือ
    ๑. ผู้รับมีศีลมีคุณธรรม
    ๒. ของที่ให้ได้มาอย่างสุจริต มีประโยชน์และสมควรแก่ผู้รับ
    ๓. มีเจตนาบริสุทธิ์ มีจิตใจที่ยินดี แจ่มใส เบิกบาน ทั้งก่อนให้ ขณะให้ และเมื่อให้แล้ว

    อรรถกถากล่าวว่า ผลแห่งบาปจะมากหรือน้อยขึ้นกับองค์ ๓ คือ
    ๑. ถ้าคน สัตว์ หรือสิ่งของที่ล่วงละเมิด มีความดี ประโยชน์ หรือมูลค่ามาก บาปก็มาก ถ้าความดี ประโยชน์หรือมูลค่าน้อย บาปก็น้อย
    ๒. ถ้าความพยายามมากก็บาปมาก ถ้าความพยายามน้อยก็บาปน้อย
    ๓. ถ้าเหตุจูงใจคือราคะโทสะโมหะมากก็บาปมาก ถ้าราคะโทสะโมหะน้อยก็บาปน้อย
    [/font]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center borderColor=#f7f7f7 align=middle bgColor=#ffffff height=124>[​IMG]</TD></TR><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [/font][font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] กรรม ๑๒ [/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1548 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1475>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]

    คัมภีร์อรรถกถาได้จำแนกกรรมเป็น ๓ หมวดๆ ละ ๔ รวมเป็น กรรม ๑๒ คือ
    หมวดที่ ๑ กรรมจำแนกตามกาลที่ให้ผลมี ๔ คือ
    ๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาตินี้
    ๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติหน้า
    ๓. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อๆ ไป
    ๔. อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล

    หมวดที่ ๒ กรรมจำแนกตามหน้าที่มี ๔ คือ
    ๕. ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด (เป็นมนุษย์ เปรต ฯลฯ)
    ๖. อุปัตถัมภกกรรม กรรมที่สนับสนุนชนกกรรม ถ้าเกิดดี ก็ส่งให้ดียิ่งขึ้น ถ้าเกิดชั่ว ก็ส่งให้ชั่วยิ่งขึ้น
    ๗. อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้นชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมให้เบาบางลง อุปปีฬกกรรมเป็นกรรมตรงข้ามกับกรรมเดิม
    ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอนชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมให้ตกไป แล้วให้ผลตรงกันข้าม จากดีเป็นชั่ว จากชั่วเป็นดี

    หมวดที่ ๓ กรรมจำแนกตามความหนักเบามี ๔ คือ
    ๙. ครุกกรรม กรรมหนัก ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ สมาบัติ ๘
    ๑๐. พหุลกรรม กรรมที่มีกำลัง แต่ไม่เท่าครุกกรรม หรือกรรม ที่ทำบ่อยจนชิน ให้ผลรองจากครุกกรรม
    ๑๑. อาสันนกรรม กรรมที่ทำเมื่อจวนจะตาย ถ้าไม่มี ๒ ข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อน แต่อาจารย์บางท่านกล่าวว่า อาสันนกรรมให้ผลก่อนพหุลกรรม อุปมาเหมือนโคที่ไม่มีกำลัง แต่ยืนอยู่ใกล้ประตูคอก เมื่อประตูเปิด ก็ออกไปได้ก่อนโคที่มีกำลัง แต่ยืนอยู่ไกลจากประตู
    ๑๒. กตัตตากรรม กรรมที่ทำด้วยเจตนาอ่อน คือ ประมาท รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไม่ได้ตั้งใจไว้ ต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผล กรรมนี้จึงให้ผล

    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [/font][font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] มรณสมัย [/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1580 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1507>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC] ตะเกียงน้ำมันที่ลุกโพลงต้องดับลงเพราะเหตุ ๔ อย่าง คือ ไส้หมด น้ำมันหมด ทั้งไส้ทั้งน้ำมันหมด ไส้และน้ำมันยังมีแต่ถูกลมพัดดับ ฉันใด ชีวิตก็ดับลงด้วย มรณะ ๔ ฉันนั้น

    พระพุทธเจ้าทรงแสดง มรณะ ๔ อย่าง ได้แก่

    ๑. อายุกขยมรณะ ตายเพราะสิ้นอายุ คือสิ้นอายุขัย อายุขัยของ มนุษย์ไม่แน่นอน สมัยใดทำดีมาก ทำชั่วน้อย อายุขัยก็ยืน สมัยใดทำชั่วมาก ทำดีน้อย อายุขัยก็สั้น สมัยพุทธกาลอายุขัยประมาณ ๑๐๐ ปี ปัจจุบันประมาณ ๗๕ ปี คนที่ตายเมื่ออายุ ๗๕ ปี (ขาดหรือเกินเล็กน้อย) หรืออยู่ถึง ๑๐๐ ปี หรือมากกว่าแต่จะไม่เกิน ๑๕๐ ปี (สองเท่าของอายุขัย) เพราะอำนาจบุญที่งดเว้นการฆ่าสัตว์ ก็ชื่อว่าตายเพราะสิ้นอายุ (ไส้หมด)

    ๒. กัมมักขยมรณะ ตายเพราะสิ้นกรรม ชนกกรรมนำให้เกิดเป็นมนุษย์ และอุปัตถัมภกกรรมอุดหนุนให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้เพียง ๕ ๑๐ ๒๐ หรือ ๕๐ ปี แล้วก็ตายโดยไม่ถึงอายุขัยคือ ๗๕ ปี (น้ำมันหมด)

    ๓. อุภยักขยมรณะ ตายเพราะสิ้นอายุและกรรม ชนกกรรมนำเกิดเป็นมนุษย์ และอุปัตถัมภกกรรมอุดหนุนจนมีชีวิตอยู่ถึงอายุขัย แล้วก็ตาย (ทั้งไส้ทั้งน้ำมันหมด)

    ๔. อุปัจเฉทกมรณะ ตายเพราะถูกกรรมเข้ามาตัดรอนกรรมในที่นี้หมายถึงอุปัจเฉทกกรรม เช่น ถูกรถชนตาย ตกน้ำตาย (ลมพัดดับ)
    (กรรม โดย คณะสหายธรรม)

    เมื่อเกิดมาแล้ว ทุกชีวิตก็แก่พอที่จะตายได้ บางคนตายอย่างกระทันหันทั้งที่กำลังหลับสนิท แม้ไม่รู้ล่วงหน้า แต่ก่อนที่จะตาย นิมิต ย่อมปรากฏขึ้นเพื่อให้จิตยึดเป็นอารมณ์ของปฏิสนธิ นิมิตมี ๓ แต่จะปรากฏแก่จิตของผู้ใกล้ตายเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง นิมิต ๓ ได้แก่

    ๑. กรรม หมายถึง จิตยึดเอากรรมอย่างหนึ่งที่เคยทำไว้เป็นอารมณ์ อารมณ์นี้เป็นอารมณ์ทางใจเท่านั้น กล่าวคือจิตคิดถึงบุญหรือบาปที่เคยทำไว้ ถ้าคิดถึงบุญ สีหน้ามักจะเบิกบานแจ่มใสบอกลางแห่งสุคติ ถ้าคิดถึงบาป มักจะมีท่าทีกระสับกระส่ายบอกลางแห่งทุคติ นิมิตนี้มักเกิดกับบุคคลที่คิดอยู่เป็นนาน ก่อนจะทำบุญหรือบาป

    ๒. กรรมนิมิต หมายถึง จิตยึดเอาวัตถุที่เกี่ยวข้องกับกรรมในอดีตเป็นอารมณ์ อารมณ์นี้ได้แก่อารมณ์ ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เรื่องที่รู้ทางใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุญหรือบาปที่เคยทำไว้ โดยมีภาพวัด พระพุทธรูป ไทยธรรม เสียงสวดมนต์ กลิ่นดอกไม้บูชาพระ ฯลฯ เป็นนิมิตของสุคติ ภาพอุปกรณ์ที่ใช้ทำบาป ภาพหรือเสียงสาปแช่งของ ศัตรู ฯลฯ เป็นนิมิตแห่งทุคติ นิมิตนี้มักเกิดกับบุคคลที่ทำบุญหรือบาปโดยไม่ได้คิดล่วงหน้า

    ๓. คตินิมิต หมายถึง จิตยึดเอาอารมณ์ ๖ ที่จะได้พบเห็นหรือเสวยในภพหน้าเป็นอารมณ์ โดยมีวิมาน ฯลฯ เป็นนิมิตแห่งเทวโลก ครรภ์มารดา ฯลฯ เป็นนิมิตแห่งโลกมนุษย์ เปลวไฟ ถ้ำ ฯลฯ เป็นนิมิตแห่งอบายภูมิ นิมิตนี้มักเกิดกับบุคคลผู้ใฝ่ฝันถึงผลของบุญและบาปที่จะเกิดขึ้น
    [/font]

    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [/font][font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] นรกสวรรค์ ๓ ประเภท [/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1246 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1173>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC] พุทธศาสนาสอนว่า นรกสวรรค์นั้นมีอยู่จริง และได้แบ่งแยกนรกสวรรค์ไว้เป็น ๓ ประเภท คือ
    ๑. สวรรค์ในอกนรกในใจ ได้แก่อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าได้เสพอารมณ์ที่เป็นที่ตั้งแห่งความสุข เป็นที่พออกพอใจแล้วก็เรียกว่าสวรรค์ ตรงกันข้าม ถ้าอารมณ์ที่เสพไม่เป็นที่พอใจ ก็ถือว่าเป็น นรก เป็นนรกสวรรค์ที่เห็นกันได้ในปัจจุบันนี้ ชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า

    ๒. นรกสวรรค์ในโลกนี้ที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ได้แก่ความเป็นอยู่ภายนอกของมนุษย์ในโลกนี้ ที่มีความมั่งมีศรีสุข มีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ มีเครื่องใช้สอยประณีตเหนือมนุษย์สามัญ มีความเป็นอยู่สะดวกสบายราวกับอยู่ในสวรรค์ ตรงกันข้าม ถ้าเกิดมายากจน ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร บ้านก็ไม่มีต้องเที่ยวเร่ร่อนไป มีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากแค้น หรือมีโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย เป็นคนพิการ ตาบอด หูหนวก บ้าใบ้ ง่อยเปลี้ยเสียขา อยู่อย่างทรมานไปวันๆ อย่างนี้ก็เรียกว่านรก

    นายแพทย์ไมคลอส นีซลิ เป็นเชลยชาวยิวซึ่งโชคดีมีชีวิตรอดจากค่ายกักกันของพวกนาซี เขาได้บรรยายถึงค่ายกักกันเชลย ซึ่งมีสภาพอันทารุณโหดร้ายราวกับนรกบนดิน ความบางตอนว่า

    พวกเยอรมันบังคับให้พวกเชลยขึ้นรถไฟหลายขบวน แต่ละขบวนมีตู้รถประมาณ ๔๐-๕๐ ตู้ และแต่ละตู้ต้องเบียดเสียดกันแน่นประมาณ ๘๐-๙๐ คน แทบไม่มีที่นอนหรือเหยียดแขนขา ซ้ำร้ายภายในตู้ ก็มืดทึบและอากาศก็อุดอู้ แถมไม่มีส้วมให้ใช้ คิดดูเอาเถอะว่านี่มันนรกหรืออะไรกันแน่ พวกเชลยต้องทรมานอยู่ในตู้รถไฟ ซึ่งมีคนป่วยและคนตายนอนกองทับกันรอบตัวถึงห้าวันกว่าจะเดินทางมาถึงค่ายกักกัน

    ภายในค่ายหลายแห่ง ในแต่ละวันจะมีนักโทษประมาณ ๘๐๐-๑,๐๐๐ คน ถูกอัดเพิ่มเข้าไปในกรงขังจนแทบไม่มีที่อาศัยหลับนอน บางแห่งนักโทษยัดทะนานจนไม่สามารถเหยียดแขนขาออกไปรอบข้างได้สะดวก ในเวลากลางคืน พวกเขาจะพากันนอนหลับทั้งนอนตามยาวหรือไขว้กันโดยเอาหัวหนุนเท้า คอ หน้าอก สลับกันไป

    พวกนักโทษไม่มีเวลานอนหลับสบายโดยตลอด เวลาตี ๓ มีสัญญาณแตรปลุกให้ตื่น ใครนอนขี้เซาหรือกำลังสะลึมสะลือจะถูกปลุกด้วยกระบอง หรือทั้งเตะทั้งถีบ บางครั้งถูกราดด้วยน้ำทั้งถังจน เปียกโชก ทุกคนต้องรีบวิ่งออกไปเข้าแถวนอกคุกเพื่อขานชื่อ กว่าจะเสร็จก็เวลา ๗.๐๐ น. ในขณะขานชื่อ หากแถวใดไม่ตรง นักโทษในแถวนั้นต้องเพิ่มเวลายืนนานกว่าแถวอื่นอีกหนึ่งชั่วโมง พร้อมกับชูมือเหนือศีรษะตลอดเวลา ทำให้ขาสั่นด้วยความเมื่อยล้าและหนาวเหน็บ ในกรณีที่มีคนตายในคุก ซึ่งมีวันละ ๕-๖ คนเป็นประจำ บางวันมีคนตายถึง ๑๐ คน ศพคนตายทั้งหมดจะต้องนำมาเข้าแถวขานชื่อด้วย โดยให้นักโทษสองคนช่วยพยุงศพคนตายหนึ่งศพยืนเข้าแถว ทั้งๆ ที่บางศพดูน่าเกลียดน่ากลัวหรือน่าสมเพชมากทีเดียว สภาพของศพอยู่ในลักษณะเปลือยกาย แข็งทื่อ คอพับ ส่งกลิ่นเน่าเหม็น ศพจะถูกพยุงยืนอยู่ในแถวจนกว่าการขานชื่อนักโทษทั้งหมดจะเสร็จสิ้น ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ลำเลียงศพไปยังเตาเผา โดยปล่อยทิ้งไว้ในคุกเป็นเวลานานหลายวัน ศพที่ปล่อยทิ้งไว้จะถูกนำมาเข้าแถวขานชื่อทุกครั้งจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาขนศพไปเผา

    พวกนักโทษหญิงส่วนใหญ่คิดจะหนีให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน แต่กลัวถูกตามล่าจึงจำต้องทนอาศัยอยู่ในคุกต่อไป พวกเธอต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า เน่าเหม็นยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้ว ต้องทนสู้กับความหนาวเหน็บ และความหิวกระหายที่เกาะกุมจิตใจอยู่ตลอดเวลา ในวันฝนตก หลังคาคุกรั่ว น้ำฝนไหลลงมา ทำให้นักโทษเปียกปอนไปตามๆ กัน และต้องทนใส่ชุดเปียกชื้นไปตลอดวันตลอดคืน อาหารที่ได้รับแจกสกปรกพอๆ กับน้ำล้างจาน รสชาติเฝื่อน มีกลิ่นเน่าเหม็น แต่ทุกคนต้องกล้ำกลืนเพื่อความอยู่รอด เนื่องจากอาหารไม่มีคุณภาพ สารไข่ขาวที่มีอยู่ในร่างกายขาดแคลน เป็นเหตุให้ขาของพวกเธอหนักขึ้นๆ การขาดแคลนไขมันทำให้ร่างกายบวมฉุ ระดูที่เคยมีก็ขาดหายไป ทำให้มีอารมณ์หงุดหงิด อาการโรคจิตโรคประสาทเกิดขึ้น และมีอาการปวดหัวข้างเดียว มีเลือดไหลออกทางจมูก ผลจากการขาด ไวตามินบีทำให้เซื่องซึม ขี้หลงขี้ลืม ไม่สามารถจดจำอะไรได้ง่าย พวกเธอลืมแม้กระทั่งเลขบ้านที่เคยอาศัย เหลือเพียงดวงตาเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่
    [/font]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]
    ชีวิตมนุษย์คือความพยายามต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่า สัญชาตญาณแห่งความตาย เพราะความจริงมีอยู่ว่า คนเรากลัวตาย แต่สำหรับเชลยในค่ายกักกันแห่งนี้ นักโทษส่วนใหญ่พอใจกับการที่จะถูกประหารชีวิต นี่คือเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ทำไม ? เพราะเหตุใด ?

    มีอยู่หลายครั้งที่ทำให้ชาวยิวหลายหมื่นคน ต้องนั่งรอคอยเพชฌฆาตประหารชีวิตตนเป็นเวลาหลายวัน เนื่องจากคิวเรียงแถวเดินเข้าไปยังโรงงานฆ่ามนุษย์ไม่ว่าง ทั้งๆ ที่เปลวไฟและควันกลิ่นไหม้ผมและเศษเนื้อมนุษย์พวยพุ่งออกจากปล่องของเตาเผาทั้งวันทั้งคืน

    ริชาร์ด ชีเวอร์ แห่งนครนิวยอร์ก กล่าวไว้ว่า

    สภาพความโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวในค่ายกักกันเชลยของเยอรมัน ทำให้นักโทษส่วนใหญ่ที่รอดชีวิตไปได้ต้องเสียสุขภาพจิตอย่างหนัก บางคนพยายามสร้างชีวิตใหม่หลังจากได้รับอิสรภาพแล้วหลายปี
    [/font]
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]แต่ก็ไม่อาจลืมเหตุการณ์อันเลวร้ายในค่ายกักกันเชลยได้ มันบั่นทอนสุขภาพทางจิตและทางกาย จนทำให้พวกเขาต้องประสบกับโรคภัยไข้เจ็บ นับตั้งแต่โรคประสาท โรคจิต และโรคร้ายต่างๆ ถึงกับเสียชีวิตไปในที่สุดหลายรายด้วยกัน

    หญิงสาวคนหนึ่งได้รับอิสรภาพเมื่อเธอมีอายุ ๑๖ ปีพอดี แต่นับว่าน่าเศร้ามาก ในที่สุดเธอฆ่าตัวตายที่กรุงปารีส เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๕๔ นับเป็นเวลาเกือบสิบปีหลังจากเธอได้รับอิสรภาพรอดพ้นจากค่ายนรก เธอกลับไปสู่อ้อมอกแห่งวัฒนธรรมอันดีงาม ได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่เธอรัก ฐานะการเงินของครอบครัวเธอดีมาก เธอให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ก่อนที่เธอจะพบจุดจบของชีวิต นับเป็นเวลานานถึงหกเดือนที่เธอต้องต่อสู้กับภัยที่เกิดจากจิตใต้สำนึก ซึ่งบันทึกเอาภาพอันเลวร้าย ที่เกิดจากความทรงจำในอดีตในค่ายกักกันเชลยของเยอรมัน
    (ยมทูตแห่งค่ายนรกนาซี บรรยง บุญฤทธิ์ แปล-เรียบเรียง)

    วันที่ ๖ ส.ค. ๒๔๘๘ เวลา ๘.๑๕ น. เครื่องบิน B-29 ได้บรรทุกลูกระเบิดปรมาณูมาทิ้งที่เมืองฮิโรชิมา (เกิดระเบิดในท้องฟ้าที่ระดับความสูง ๕๘๐ เมตร) ผลปรากฏว่า

    ผู้คนที่อยู่ในบริเวณใจกลางระเบิดนั้นตายในทันที ตัวดำเป็นผงถ่านไปหมดเพราะความร้อนบริเวณใจกลางระเบิดสูงถึงสิบล้านดีกรี (คงเป็นอุณหภูมิที่จุดศูนย์กลางซึ่งร้อนที่สุด อุณหภูมิที่พื้นดินราวสามถึงสี่พันดีกรี) คิดดูว่ามันร้อนสักเพียงไหน (น้ำเดือดที่ร้อยดีกรีเท่านั้น) บ้านเมืองราบเตียนเป็นเศษอิฐไปทั้งเมือง ผู้ที่ไม่ตายทันที เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่จะลุกเป็นไฟในพริบตา แขน ขา และใบหน้าก็ลุกไหม้ไปหมด ต่างพากันวิ่งไปตามถนนราวกับหุ่นที่ไร้วิญญาณ โดยไม่รู้ว่าจะวิ่งไปไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวอยู่ในสภาพลุกโพลงโชติช่วงด้วยแสงไฟ

    ครั้นแล้ว ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นเหมือนกับคนบ้าว่า ไปลงแม่น้ำกันเถิด ทุกคนเห็นดีด้วย ปรากฏว่าในวันโลกาวินาศนั้น มีคนตัวแดงๆ เพราะไฟลวกลงไปแช่ในแม่น้ำสลอนไปหมดเหมือนฝูงสัตว์ แล้วก็ค่อยๆ ตายกันไปทีละ ๑๐-๒๐ คน เพราะทนพิษความร้อนไม่ไหว จนพวกที่ยังไม่ตายรู้สึกว่าตัวมาลอยคออยู่ท่ามกลางซากศพแท้ๆ

    เมื่อแช่ไปได้สัก ๕-๖ ชั่วโมง น้ำเกิดแห้ง เลยต้องแช่จมอยู่ในโคลน เนื่องจากน้ำที่แช่เป็นน้ำเค็ม เมื่อมาถูกแผลไฟลวกเข้า ก็รู้สึกปวดแสบเหมือนเอามีดมาแทง แต่ก็เป็นมีดที่อบอุ่น ทุกคนยินดีให้มันแทง เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าไปยืนตัวแดง ๆ ด้วยแผลไฟลวกอยู่กลางถนน

    ไม่เพียงแต่ร่างกายมนุษย์ที่ลุกแดงช่วงโชติเหมือนถ่านในเตาไฟ แม้กระทั่งเมืองทั้งเมืองก็แดงโร่ไปหมด ท้องฟ้าก็แดงเสียจนมองแทบไม่เห็นท้องฟ้า เลยไม่รู้กันว่าจวนสว่างแล้ว พอรุ่งเช้าทุกคนก็วิ่งฝ่ากลุ่ม ควันดำๆ ที่ฟุ้งตลบอยู่เพื่อไปโรงพยาบาล แต่ทางที่จะไปนั้นระเกะระกะไปด้วยเศษเหล็กและซากบ้านเรือนที่พังทลาย มีเสียงคนนอนร้องครวญครางไปตลอดทุกระยะน่าสยดสยอง นั่นไม่ใช่เปรตหรืออสุรกายที่ไหน คนเหมือนกัน

    ผู้คนที่เสียชีวิตอย่างน้อยมีสามแสนคน ที่เหลือก็พิการ นอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลหรือตามบ้านโดยไม่มีใครเหลียวแล ผู้รอดชีวิตโดยบาดเจ็บเล็กน้อยมีไม่มาก นายคิกกาวาเป็นหนึ่งในบุคคลที่รอดชีวิตและต้องทนอยู่อย่างทรมาน เขาเล่าถึงความหลังว่า

    ขณะที่กำลังจะผลักประตูเข้าบ้าน ทันทีที่รู้สึกว่ามีแสงประหลาด เขาก็ยกมือขึ้นปิดศีรษะ มือและหลังจึงโดนแสงนั้นเต็มที่ ต่อจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบว่ากำลังนอนอยู่ในบ้านซึ่งเต็มไปด้วยเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อย

    เมื่อออกมานอกบ้านก็เห็นเพื่อนบ้านคนอื่นๆ วิ่งออกจากบ้าน ทุกคนเหลือแต่ร่างเปลือยและตกใจเหมือนจะเป็นบ้า ตอนนั้นเขาไม่รู้สึกเจ็บ ต่อมาอีก ๒ วันจึงเจ็บมาก เป็นไข้สูง ๔๐ กว่าองศา กินอะไรไม่ได้เลยอยู่ ๑ เดือน ผมร่วงหมด เลือดออกจากจมูกและปากเสมอ เป็นเลือดดำ ไม่ใช่เลือดแดงอย่างที่เห็นกัน และมีหนอนตัวเล็กๆ ออกมา จากผิวหนัง เขานอนเจ็บอยู่ในบ้านเล็กๆ ที่ต่างจังหวัด ๖ เดือน ตลอดเวลานั้นกินได้แต่น้ำอย่างเดียว

    พ่อแม่ของเขาตายหลังจากถูกระเบิด ๒ วัน เพราะทนพิษบาดแผลไม่ได้ คนที่เจ็บเพราะระเบิดปรมาณูโดยมากตายหมด เหลือไม่ตายราวสี่พันคน พวกที่ตายถือว่าโชคดี คนโชคร้ายเท่านั้นที่รอดเหลือมา เพราะต้องผจญกับความทรมานอีกมากมาย ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีใครอุปการะ ตายเสียก็ไม่ตาย อยู่ไปก็มืดมนไร้อนาคต

    เวลานี้ (๕ ปีหลังจากถูกระเบิด) ตัวนายคิกกาวามีแผลเป็นเต็มหลัง หมอได้พยายามลอกเอาหนังที่เสียออก ๑๖ ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ลอกแล้วมันขึ้นมาใหม่ไม่เป็นหนังธรรมดาเลย แต่เป็นหนังเสียทุกครั้งไป นอกจากนี้นิ้วมือเขาก็หงิกงอน่าทุเรศ
    (โฉมหน้าอันแท้จริงของญี่ปุ่น โดย วิลาศ มณีวัต)

    ๓. นรกสวรรค์ที่เป็นปรโลก (โลกอื่น) มองไม่เห็นด้วยตา ได้แก่สวรรค์ที่เป็นโลกจริงๆ มีเทวดาอยู่เป็นตัวเป็นตน เสวยสุขอยู่จริงๆ และนรกที่เป็นโลกจริงๆ มีสัตว์นรกที่กำลังเสวยทุกข์อยู่จริงๆ นรกสวรรค์ประเภทนี้ สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่รับรองว่า โลกเรานี้เป็นสะเก็ดที่แตกออกมาจากดาวดวงมหึมา นอกจากโลกเราแล้ว ยังมีดาวดวงอื่นๆ อีก ที่คล้ายคลึงกับโลกเรา ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

    เชื่อกันว่า ดาวที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้ามีประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านดวง แต่ที่มองเห็นด้วยตาเปล่ามีไม่เกิน ๖,๐๐๐ ดวง การนับดาวนับจากภาพที่ถ่ายโดยกล้องโทรทรรศน์ แล้วใช้เครื่องนับที่ทำงานด้วยแสงเลเซอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ดวงดาวจำนวนมากมายเหล่านั้น อาจจะมีสิ่งมีชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยความประณีตสุขุม ดีกว่าโลกของเราทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร อุณหภูมิ หรือดินฟ้าอากาศ นี้แหละเรียกว่าโลกสวรรค์ ในทางตรงกันข้าม ก็อาจมีดาวบางดวงซึ่งมีสิ่งมีชีวิต ที่เป็นอยู่ด้วยความลำบากยากแค้น ยิ่งกว่าคนลำบากที่สุดในโลกของเรา อาหารก็ไม่ดี อุณหภูมิก็ไม่ดี ดินฟ้าอากาศก็ไม่ดี นี้แหละนรกที่เป็นโลกอื่น
    [/font]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    [/font]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [/font][font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] ภูมิ ๓๑ [/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1562 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1489>

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC] พระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญที่สุดของพุทธศาสนากล่าวถึง นรกสวรรค์ที่เป็นปรโลกไว้หลายแห่ง เช่น ๒๕/๒๗๓ (เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๗๓) กล่าวถึงอบายภูมิ ๔ ๑๙/๑๖๘๑ กล่าวถึงสวรรค์ ๖ ๑๑/๒๓๕ กล่าวถึง อรูป (อรูปพรหม) ๔ เป็นต้น

    ในคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า ภพหรือภูมิที่สรรพสัตว์ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดมีทั้งหมด ๓๑ ภูมิ คือ
    อบายภูมิ ๔ (นิรยภูมิ ติรัจฉานภูมิ ปิตติวิสยภูมิ อสุรกายภูมิ)

    มนุษย์ ๑

    สวรรค์ ๖ (จาตุมหาราชิกาภูมิ - ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ)

    รูปพรหม ๑๖ (ปาริสัชชาภูมิ - อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ)

    อรูปพรหม ๔ (อากาสานัญจายตนภูมิ - เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ)

    ใน ๓๑ ภูมินี้ อบายภูมิ ๔ จัดเป็นทุคติ ที่เหลือคือ มนุษย์ เทวโลกและพรหมโลกจัดเป็นสุคต
    [/font]​
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][/font]



    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center borderColor=#f7f7f7 align=middle bgColor=#ffffff height=124>[​IMG]</TD></TR><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [/font][font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] หลักฐานเรื่องนรกสวรรค์จากพระไตรปิฎก [/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1482 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1409>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]
    เรื่องนรกสวรรค์ บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ ส่วนใหญ่ของคนที่ไม่เชื่อมักจะอ้างว่า ถ้ามีจริงต้องมองเห็น เมื่อมองไม่เห็นก็แสดงว่าไม่มี คนที่รู้จักคิดย่อมไม่ด่วนตัดสินใจอย่างนั้น ในโลกนี้มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เราไม่รู้ไม่เห็น เพราะการรับรู้ของประสาทสัมผัสของคนเรามีจำกัด เรามองไม่เห็นเชื้อไวรัส แต่จะอ้างว่าไม่มีไม่ได้ เพราะนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่าเชื้อไวรัสมีจริง ในทำนองเดียวกัน เราผู้เป็นปุถุชนไม่มีฤทธิ์อำนาจ เมื่อมองไม่เห็นรูปกายที่ละเอียดของเทวดาหรือผี จะอ้างว่าเทวดาหรือผีไม่มีไม่ได้ เพราะนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของโลกคือพระพุทธเจ้าทรงรู้เห็นและตรัสรับรอง มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกมากมาย ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ค้นพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐ จะพบศัพท์ สคฺคํ (สวรรค์) ๔๐๕ ครั้ง และจะพบศัพท์ นิรยํ (นรก) ๔๘๕ ครั้ง แสดงว่าในพระไตรปิฎกมีการกล่าวถึงนรกสวรรค์อยู่เสมอ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

    พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
    ป. ก็เทวดามีจริงหรือ
    . เพราะเหตุไรมหาบพิตร (รู้ว่าเทวดามีจริงแล้ว) จึงตรัสถามอย่างนี้
    ป. ถ้าเทวดามีจริง เทวดาเหล่านั้นมาสู่โลกนี้หรือไม่มาสู่โลกนี้
    พ. เทวดาเหล่าใดมีทุกข์ เทวดาเหล่านั้นมาสู่โลกนี้ เทวดาเหล่าใดไม่มีทุกข์ เทวดาเหล่านั้นไม่มาสู่โลกนี้
    (กัณณกัตถลสูตร ๑๓/๕๘๐)

    พระเจ้าอังคติราชผู้เห็นผิดว่า ปรโลก (เช่น สวรรค์) ไม่มี บุญบาปไม่มีผล ทูลถามนารทฤษี (ชาติในอดีตของพระพุทธเจ้า) ว่า
    อ. ดูก่อนท่านนารท ที่เขาพูดกันว่า เทวดามี ปรโลกมีนั้นเป็นความจริงหรือ
    น. ที่เขาพูดกันว่า เทวดามี ปรโลกมีนั้น เป็นความจริงทั้งนั้น แต่ผู้หลงงมงายในกามไม่รู้ปรโลก
    อ. ถ้าท่านเชื่อว่าปรโลกมีจริง ท่านจงให้ทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะแก่ข้าพเจ้าในโลกนี้ ข้าพเจ้าจะใช้ให้ท่านพันหนึ่งในปรโลก
    น. ถ้ามหาบพิตรทรงมีศีล อาตมภาพก็จะให้ยืมสัก ๕๐๐ แต่มหาบพิตรหยาบช้า ทรงจุติ (ตาย) จากโลกนี้แล้วจะต้องไปอยู่ในนรก ใครจะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลกเล่า ผู้ใดไม่มีศีลธรรม ประพฤติชั่ว บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ให้หนี้ในผู้นั้น
    (มหานารทกัสสปชาดก ๒๘/๘๗๓)

    พระพุทธเจ้าตรัสกับชาวบ้านศาลา โกศลชนบท ความว่า

    ผู้ที่เห็นว่า ทานไม่มีผล ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี โลกหน้าไม่มี อุปปาติกสัตว์ (สัตว์ที่เกิดมาโตเต็มที่ทันที เช่น เทวดา) ไม่มี ... เป็นอันหวังได้ว่า จะไม่ประพฤติกุศลธรรม จะประพฤติอกุศลธรรมเพราะเขาไม่เห็นโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรม ไม่เห็นอานิสงส์แห่งกุศลธรรม

    ก็โลกหน้ามีอยู่จริง ความเห็นของเขาว่า โลกหน้าไม่มีความเห็นของเขานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขาดำริว่า โลกหน้าไม่มี ความดำริของเขานั้นเป็นมิจฉาสังกัปปะ
    ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากล่าววาจาว่า โลกหน้าไม่มี วาจาของเขานั้นเป็นมิจฉาวาจา
    ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากล่าววาจาว่า โลกหน้าไม่มี ผู้นี้ย่อมทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ ผู้รู้แจ้งโลกหน้า
    ก็โลกหน้ามีอยู่จริง เขายังผู้อื่นให้เข้าใจว่า โลกหน้าไม่มี การทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดของเขานั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม
    (อปัณณกสูตร ๑๓/๑๐๖)

    พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ในโลกอันกว้างใหญ่นี้ สมณพราหมณ์หรือเทวดาผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุรู้จิตคนอื่นได้ เห็นไปได้ไกลด้วย เข้าใกล้ก็ไม่รู้ตัว มีอยู่ ถ้าภิกษุคิดในทางอกุศล สมณพราหมณ์หรือเทวดาทั้งหลายย่อมทราบความคิดนั้น
    (อธิปไตยสูตร ๒๐/๔๗๙)

    พระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องคนทำบาปสิ้นชีพก็ไปเสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่ในนรก ในตอนท้ายพระองค์ทรงยืนยันว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะได้ฟังเรื่องเหล่านี้มาจากสมณะหรือพราหมณ์อื่น แล้วจึงมากล่าวอย่างนี้ก็หามิได้ แท้ที่จริงเรากล่าวเรื่องที่เราได้รู้เอง ได้เห็นเอง แจ่มแจ้งเองทีเดียว
    (ทูตสูตร ๒๐/๔๗๕)

    พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เมื่อใดเทวดาจะต้องจุติเพราะสิ้นอายุ เทวดาทั้งหลายย่อมอวยพรว่า ท่านจากเทวโลกนี้ไปแล้ว จงถึงสุคติคือเกิดเป็นมนุษย์ มีศรัทธาในพระสัทธรรม เป็นศรัทธาที่ตั้งมั่น อันใคร ๆ ในโลกทำให้คลอนแคลนไม่ได้
    (จวมานสูตร ๒๕/๒๖๑)

    พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงมีญาณทัสสนะอันประเสริฐ ๘ ประการ คือ จำโอภาส (แสงสว่าง) เทวดาได้ เห็นรูปเทวดา สนทนากับเทวดาได้ รู้ว่าเทวดามาจากเทพนิกายชั้นไหน รู้ว่าเทวดาเคลื่อนจากชั้นนี้แล้วไปเกิดชั้นไหน รู้ว่าเทวดามีอาหารและมีสุขทุกข์อย่างไร รู้ว่าเทวดามีอายุยืนยาวแค่ไหน รู้ว่าพระองค์เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่าใดบ้างหรือไม่
    (คยาสูตร ๒๓/๑๖๑)

    พกพรหมมีอายุยืนยาวมากจนเกิดมีความเห็นผิดว่า ฐานะแห่งพรหมเที่ยง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปพรหมโลกโปรดพกพรหมให้ละมิจฉาทิฏฐินั้นเสีย
    (พกสูตร ๑๕/๕๖๖)

    นันทมารดาอุบาสิกาลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง สวดปารายนสูตร ทำนองสรภัญญะ ท้าวเวสสวัณมหาราช (ซึ่งเป็นเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา) เสด็จผ่านไปด้วยกรณียกิจบางอย่าง ได้ทรงสดับเสียงสวดทำนองสรภัญญะของ นันทมารดาอุบาสิกา จึงประทับรอฟังจนจบ
    (มาตาสูตร ๒๓/๕๐)

    เมื่อมีอันตราย ๑๐ อย่าง เช่น ผีเข้าภิกษุ (อมนุสสันตราย) เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อได้
    (อุโบสถขันธกะ ๔/๑๖๓)

    ประมวลเรื่อง เทวดา เทพบุตร และท้าวสักกะจอมเทพชั้นดาวดึงส์ ที่ไปทูลถามปัญหาต่อพระพุทธเจ้า มีสูตรทั้งหมด ๘๑ ๓๐ และ ๒๕ สูตร ตามลำดับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทวดาล้วนๆ
    (เทวตาสังยุตต์ เทวปุตตสังยุตต์ สักกสังยุตต์ เล่ม ๑๕)

    พระลักขณะเดินทางไปกับพระโมคคัลลานะผู้เห็นเปรตที่มีลักษณะแปลกๆ แต่พระลักขณะไม่เห็น พระโมคคัลลานะจึงชวนท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าๆ ทรงเล่าความเป็นมาของเปรตนั้นๆ ให้ทราบ มีทั้งหมด ๒๑ สูตร เป็นเรื่องเกี่ยวกับเปรตล้วนๆ
    (ลักขณสังยุตต์ เล่ม ๑๖)

    กล่าวถึงเทพบุตรและเทพธิดาเล่ากรรมดีในอดีตที่ทำให้ตนได้เกิดในวิมาน มีทั้งหมด ๘๕ เรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ล้วนๆ
    (วิมานวัตถุ เล่ม ๒๖)

    กล่าวถึงกรรมชั่วที่ส่งผลให้ผู้ทำไปเกิดเป็นเปรต ได้รับความทุกข์ทรมานในลักษณะต่าง ๆ กัน มี ทั้งหมด ๕๑ เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเปรต
    (เปตวัตถุ เล่ม ๒๖)
    [/font]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    <TABLE borderColor=#f7f7f7 height=158 cellSpacing=2 width="80%" align=center bgColor=#f7f7f7 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center borderColor=#f7f7f7 align=middle bgColor=#ffffff height=124>[​IMG]</TD></TR><TR><TD borderColor=#fffeee bgColor=#fffeee height=26>
    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG] [/font][font=MS Sans Serif, Angsana New, sans-serif] เหตุการณ์ปัจจุบันที่พิสูจน์ว่าตายแล้วเกิด [/font][font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC][​IMG][/font]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#f7f7f7 height=1482 width="80%" align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top height=1409>[font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]
    เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ มีข่าวในหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับว่า ด.ช.บงกช พรหมศิลป อายุ ๓ ขวบ ระลึกชาติได้ เด็กคนนี้อยู่ที่ ต.ดอนคา อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ บิดาชื่อ นายอมร พรหมศิลป อายุ ๔๖ ปี เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดแรง ต.ดอนคา อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ มารดาชื่อนางไสว พรหมศิลป นางไสวเล่าว่า เมื่อด.ช.บงกช เริ่มจะพูดได้ ก็พูดบ่นและร้องไห้เสมอว่าจะไปหาพ่อแม่ เมื่อนางบอกว่าพ่อแม่ก็อยู่ที่นี่ เด็กปฏิเสธว่าไม่ใช่ เลยเกิดโทสะถึงกับตีด้วยไม้ก็มี

    หลายเดือนต่อมา เด็กไปบอกคนข้างบ้านว่า เขาไม่ใช่ลูกของนางไสว เขาคือนายจำรัส ลูกชายของนายม่านและนางศรีนวล พุภูเขียว บ้านอยู่ ต.หัวถนน อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ตายเพราะถูกแทง เขาอยากไปหาพ่อแม่ (เก่า) ขอให้พาไปด้วย เมื่อนางไสวกับสามีทราบข่าวจากชาวบ้านจึงสอบถามด.ช.บงกช เด็กบอกว่าเขาชื่อจำรัส ไม่ใช่ชื่อบงกช เขาถูกแทงตายที่ข้างศาลเจ้า ต.หัวถนน นายแบนและนายมาซึ่งเขารู้จักดี ช่วยกันแทงจนเขาตาย แล้วเอาสร้อยคอทองคำหนัก ๓ บาท แหวนทองคำ ๒ วง และนาฬิกาข้อมือของเขาไปด้วย

    ตั้งแต่เกิดมา ด.ช.บงกชชอบกินปลาร้า ผิดจากพ่อแม่และพี่น้องอื่นๆ (มี ๑๐ คน แต่ตายไป ๒ คน) ซึ่งไม่กินปลาร้า โดยด.ช.บงกชไปกินกับคนข้างบ้าน และยิ่งกว่านั้นยังพูดภาษาอีสานได้ดีอีกด้วย ทั้งๆ ที่ในหมู่บ้านนั้นไม่มี ชาวอีสานเลย และบางครั้ง ด.ช.บงกชยังขอร้องมารดาให้บวชให้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะเด็กอายุแค่ ๓ ขวบเท่านั้น

    นางไสวเล่าว่า ครั้งหนึ่งเมื่อไปตลาด ด.ช.บงกชเห็นผลฝรั่งก็อยากกิน จึงบอกนางไสวว่าอยากกินหมากสีดา นางไสวไม่เข้าใจ เด็กจึงชี้ให้ดูผลฝรั่ง นางไสวจึงได้รู้ว่า ชาวอีสานเรียกฝรั่งว่าหมากสีดา

    เรื่องการตายของนายจำรัส ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบหลักฐานจากทะเบียนคดีอาญาของอำเภอท่าตะโก ก็พบว่ามีจริง นายจำรัสอายุ ๑๘ ปี บุตรนายม่าน พุภูเขียว และนางศรีนวล ถูกแทงตายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๖ เหตุเกิด ที่บริเวณงานวัดหัวถนน ต.หัวถนน อ.ท่าตะโก

    นายม่านซึ่งเป็นบิดาของนายจำรัส ได้เล่าถึงการตายของลูกชายว่า วันนั้นมีงานที่วัดหัวถนน มัน (จำรัส) บอกผมว่าจะไปเที่ยว ตอนไปมันใส่ทองหนัก ๓ บาท นาฬิกา ๑ เรือน แหวนทองนาค ๒ วง พอ ๒ ยามเศษ ตำรวจก็มาบอกว่าลูกชายถูกคนร้ายแทงตายและชิงทรัพย์ไปหมด ผมจำได้ว่ามันสวมเสื้อขาวแขนสั้น นุ่งกางเกงสีกากี ขาสั้น นอนตายอยู่โคนต้นตะโก ข้างศาลเจ้า

    บ่ายวันรุ่งขึ้น เมื่อชันสูตรศพแล้ว ผมก็เอาไปวัดเผาเลย พอเขาตายได้ ๓ เดือนผมก็เอาจักรยานของเขาไปขายให้ทิดมี พอตกกลางคืน ลูกชายคนเล็กของผมก็ร้องไห้จนไม่ต้องหลับนอนกัน ผมเลยไปจุดธูปบอกจำรัสเรื่องรถจักรยาน เจ้าลูกคนเล็กก็หยุดร้อง ผมเลยไปซื้อรถจักรยานมาเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ แต่เสื้อผ้าของเขาผมให้ทานไปหมด เก็บไว้แต่มีดพกและกางเกงขายาวดำอีกตัวหนึ่งเพราะไม่มีคนใส่

    นายม่านเล่าเรื่องเกี่ยวกับด.ช.บงกชว่า ผมรู้เรื่องเมื่อต้นปีนี้เอง มีคนลือกันว่าลูกผมไปเกิดที่ ต.ดอนคา ผมก็ไปกับเมียผม พอไปถึงบ้านนางไสว ด.ช.บงกชก็วิ่งมาหา ดูหมาให้ผมแล้วพูดภาษาอีสานกับผม ผมนึกเอะใจก็ลองถามเขาเรื่องสีของรถจักรยานและมีดพก เขาก็บอกว่าช่วยเก็บไว้ให้เขาด้วย เขาเอามีดพกเสียบไว้ข้างฝา ผมก็งงเป็นไก่ตาแตก ยิ่งคุยถามไปเด็กก็ตอบได้ถูกต้อง เขาต่อว่าผมไม่ไปหาเขาเลย เขาคิดถึงผมตลอดเวลา เด็กตัวเล็กๆ พูดจาเหลือเชื่อ เมื่อผมถามว่าเวลาตายใส่เสื้ออะไร เขาตอบว่าใส่เสื้อขาวแขนสั้น นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี ก็พ่อเป็นคนให้ใส่จำไม่ได้หรือ ผมถึงกับน้ำตาไหล แม่ของเขาก็ร้องโฮ แล้วเขาถามถึงเกวียนที่ผมเคยซื้อ ผมบอกว่าขายไปแล้ว เขาก็ไม่ว่าอะไร และยังพูดถึงน้องๆ ของเขาอย่างถูกต้อง มันเคยตีน้องมันยังเล่าถูก ผมร้องไห้เพราะเชื่อแน่ว่าเป็นลูกผม กลับถึงบ้านผมปรึกษากับเมียว่า จะขายนาสัก ๓๐ ไร่ เอาเงินไปซื้อตัวลูกคืนมา แต่ทางฝ่ายครูอมรและนางไสวไม่ยอม ส่วนเรื่องมือมีดนั้น ตำรวจจับนายมาได้ ส่วนนายแบนหนีไป ยังจับไม่ได้ เมื่อฟ้องศาลแล้ว ศาลตัดสินให้ปล่อยตัวเพราะหลักฐานอ่อน

    นายม่านเล่าถึงนิสัยใจคอของนายจำรัสว่า เมื่อ ๒ ปีก่อนจะตาย นายจำรัสเคยปรารภว่าอยากจะบวชเณร แต่นายม่านนางศรีนวลทัดทานไว้เพราะเกรงว่าไม่มีคนช่วยทำนา เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ด.ช.บงกชในขณะนี้ ก็บ่นกับนายอมรและนางไสวเสมอว่าอยากบวช บางคราวด.ช.บงกชเอาผ้าคลุมหัวแล้วทำท่าเป็นพระ บางคราวก็บอกนางไสวว่า เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็จะบวช ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ นายจำรัสหรือด.ช.บงกชมีจิตเป็นกุศล ใคร่จะบวชในพระศาสนาอยู่เสมอ
    (๒๓ ผู้กลับมาเกิดใหม่ โดย เต็ม สุวิกรม M.A.)

    เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ดร.เจอร์เกน ไคล์ (นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน เคยเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย) ได้เดินทางมาศึกษาค้นคว้าเรื่องเด็กที่จำอดีตชาติได้ในประเทศไทยแทน ศ.น.พ.เอียน สตีเวนสัน (จิตแพทย์ชาวแคนาดา) ซึ่งชรามากแล้ว โดยมีนายสุตทยา วัชราภัย เป็นผู้ร่วมศึกษาค้นคว้า บุคคลทั้งสองได้เดินทางไปยังภาคอีสานตอนบน เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กที่จำอดีตชาติได้ โดยสืบถามข้อมูลจากญาติพี่น้อง พยานที่รู้เห็น หรือตัวเด็กที่จำอดีตชาติได้ (บางคนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) ข้อมูลที่ค้นคว้ามาได้มีมาก (ปี ๒๕๓๕-๒๕๔๑ ค้นคว้ามาได้รวม ๕๐ ราย เฉพาะปี ๒๕๔๐ มี ๘ ราย มีอีก ๗๐-๘๐ รายที่ยังไม่ได้ไปสัมภาษณ์) ผู้ที่สนใจเชิญสอบถามรายละเอียดได้จากนายสุตทยา วัชราภัย โทร.๒๕๒-๘๓๓๙ (ยินดีรับเชิญไปบรรยายเป็นการกุศล) ในที่นี้จะนำมาเสนอเพียงบางส่วนโดยย่อ ดังนี้

    กรณีด.ญ. กุ๊ก กุ๊กเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ ปัจจุบัน (๒๕๔๒) อายุ ๑๐ ปี (ญาติๆ เชื่อมั่นว่า) ชาติก่อนกุ๊กเป็น ด.ญ.เขม พ่อแม่ของเขมมีฐานะดี เมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เขมอายุ ๗ ปี เรียนอยู่ชั้นป.๒ เขมป่วยหนักเพราะไวรัสลงตับ ขณะนั้นใกล้ถึงวันเกิดของเขม พ่อแม่ถามว่าวันเกิดอยากได้อะไร เขมบอกว่าอยากได้รถโตโยต้าโคโรน่าสีเขียว (เขมชอบสีเขียวมาก เวลาเลือกซื้อของใช้ส่วนตัวจะเลือกแต่ของสีเขียว) พ่อแม่ถามว่าอยากได้ไปทำไม เขมบอกว่าจะได้พาพ่อแม่ไปเที่ยว พ่อแม่จึงสั่งจองรถ เขมนอนป่วยอยู่ใน รพ.ศรีนครินทร์ (ขอนแก่น) ๑ เดือนก็ถึงแก่กรรม รถที่ จองไว้ก็ยกเลิกไป เรื่องที่เขมอยากได้รถเก๋งสีเขียว พ่อแม่ของกุ๊กไม่ทราบเลย

    กุ๊กไม่เคยพูดว่าตนเป็นเขม แต่จากนิสัยใจคอและพฤติกรรมที่แสดงออกทำให้พ่อแม่ (และญาติ) ของกุ๊กและเขมซึ่งเป็นญาติห่างๆ กัน แน่ใจว่าเขมมาเกิดใหม่เป็นกุ๊ก พฤติกรรมที่กุ๊กแสดงออกมีดังนี้

    ๑. ขณะอยู่อนุบาล (๓-๔ ขวบ) ป้าพากุ๊กไปกรุงเทพฯ เมื่อพบโผ่ (ยาย) ของเขมเป็นครั้งแรก กุ๊กทำท่าสนิทสนม เข้าไปนวดโผ่ แล้วพูดว่า ขอเงินได้มั้ยล่ะ ทั้งที่กุ๊กไม่เคยขอเงินคนแปลกหน้ามาก่อนเลย เมื่อโผ่ควักเงินให้ ๑๐๐ บาท ป้าก็พูดว่า ไปขอเงินโผ่ทำไม โผ่แก่แล้ว กุ๊กยิ้มเฉยไม่ตอบ แต่โผ่พูดว่า ก็หลานของเขา (เขม) ขอเขาทุกวัน (เขม นวดให้โผ่เป็นประจำ นวดแล้วก็ขอเงิน) เมื่อกลับมาบ้านที่อีสาน ป้าก็เล่าเรื่องให้แม่ของกุ๊กฟัง แม่ถามว่า ไปขอเงินโผ่ทำไม ไม่รู้จักกัน กุ๊กตอบว่า รู้จักสิ รู้จักตั้งแต่อยู่ ป.๒ (ขณะนั้นกุ๊กอยู่แค่อนุบาล)

    ๒. เมื่ออยู่ ป.๑ (๖ ขวบ) เช้าวันหนึ่ง กุ๊กนั่งอยู่ที่ระเบียงโรงเรียน มีป้าและแม่ของกุ๊กนั่งอยู่ด้วย (ป้าเป็น ครูสอนภาษาไทย แม่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนนั้น) กุ๊กเปิดสมุดการบ้านที่ทำเสร็จแล้ว แล้วพูดบ่นว่า เวรกรรมแท้ๆ เคยเรียน ป.๒ แล้วต้องมาเรียน ป.๑

    ๓. เมื่ออายุ ๖ ขวบเศษ บ่ายวันหนึ่ง แม่ของเขมมารับกุ๊กไปซื้อของ และไปค้างคืนที่บ้านของเขม ขณะที่กำลังนั่งรถเที่ยวเล่น กุ๊กพูดว่า ขอให้มาม้าอายุยืนนานๆ (เขมเรียกแม่ว่ามาม้า) แม่ของเขมถามว่า กุ๊กจะทำไมหรือ กุ๊กตอบว่า กุ๊กจะซื้อรถพามาม้าเที่ยว แม่ของเขมถามว่า อยากได้รถสีอะไร กุ๊กตอบว่า คันยาวสีเขียว แม่ของเขมถามว่า ทำไมต้องซื้อคันยาว กุ๊กตอบว่า ก็มีพี่น้องเยอะจะได้พากันไปหมด (เขมมีพี่น้องมากกว่า กุ๊กมีพี่น้องน้อยกว่า)

    เมื่อลงจากรถเพื่อเดินดูของตามแผงลอยซึ่งอยู่เรียงกันเป็นแถว มีข้าวของวางไว้เป็นกองๆ แม่ของเขมเดินนำหน้ากุ๊ก ห่างพอสมควร เมื่อเห็นของสีเขียวในกองไหนก็จะหยิบซ่อนไว้ใต้กองจนหมด เมื่อกุ๊กเดินมาถึง แม่ของเขมก็ถามว่า ชอบอะไรบ้าง แล้วหยิบของเช่น กิ๊บติดผม กำไล ให้ดู แล้วพูดคะยั้นคะยอว่า ชอบไหม มาม้าจะซื้อให้ กุ๊กไม่ชอบอะไรเลย เมื่อเดินดูจนสุดทางก็ไม่ได้ของสักอย่าง ขากลับแม่ของเขมเดินนำหน้าและแอบหยิบของสีเขียวขึ้นมาไว้ข้างบนโดยที่กุ๊กไม่เห็น คราวนี้เมื่อถามกุ๊กว่า ไม่ชอบอะไรสักอย่างหรือ กุ๊กเลือกหยิบกิ๊บสีเขียว กำไลสีเขียว แม่ของเขมก็ซื้อให้

    เสร็จจากซื้อของก็มาที่บ้านเขม เมื่อกุ๊กเข้าบ้านเขมเป็นครั้งแรก ก็วิ่งเข้าวิ่งออก ขึ้นชั้นบนลงชั้นล่าง ทำราวกับเป็นเจ้าของบ้าน เที่ยวดูทุกห้องจนทั่วบ้าน เวลากินข้าวเย็น ก็แสดงอาการเหมือนว่าเคยอยู่ในบ้านมานาน เช่น พูดคุยกับปาป๊าของเขมราวกับว่าเคยคุยกันทุกวัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กุ๊กไม่ค่อยมีโอกาสพบกับปาป๊าของเขม จะพบกันบ้างก็ในงาน ซึ่งผู้ใหญ่จะทำเป็นไม่สนใจกุ๊ก

    กรณีน.ส.อ้อม อ้อมเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่จังหวัดในภาคอีสานตอนบน อ้อมจำได้ว่าชาติก่อนเป็นชาย มีชื่อเล่นว่าเรด อยู่จังหวัดเดียวกัน แต่คนละอำเภอ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ ขณะที่อายุ ๑๔ ปี วันหนึ่งเรดขี่จักรยานยนต์ไป ซื้อเมล็ดผักมาปลูกในแปลงผักที่เตรียมไว้ ปรากฏว่าเมล็ดผักไม่พอ เมื่อขี่จักรยานยนต์ไปชื้อเมล็ดผักอีกครั้งก็เกิด อุบัติเหตุชนกับรถสองแถว เรดบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดระหว่างการผ่าตัดสมอง

    แม่ของอ้อมและแม่ของเรดเป็นญาติห่างๆ กัน แม่ของอ้อมมีศักดิ์เป็นป้าของเรด เรดเรียกแม่ของอ้อมว่าป้าอั๋น ก่อนที่อ้อมจะเกิด แม่ของอ้อมเคยฝันว่าเรดจะมาขออาศัยอยู่ด้วยถึง ๒ ครั้ง ด้วยเหตุนั้นญาติๆ จึงคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของอ้อม เมื่ออ้อมอายุ ๒ ขวบ แม่ของเรดกับเพื่อนคนหนึ่งได้มาหาอ้อมเป็นครั้งแรก ขณะนั้น อ้อมอยู่กับยาย แม่ของเรดถามอ้อมว่า แม่ไปไหน อ้อมตอบว่า ป้าอั๋นไม่อยู่ ป้าอั๋นไปทำนา (อ้อมเรียกแม่ของตนเองว่า ป้าอั๋น อย่างที่เรดเคยเรียก) แม่ของเรดถามว่า ทำไมถึงเรียกแม่ (ของตน) ว่าป้าอั๋น อ้อมตอบว่า เขาเป็นเรดมาเกิด แม่ของเรดแย้งว่า ไม่ใช่หรอก ถ้าเป็นเรด ทำไมเป็นผู้หญิง อ้อมก็ตอบตามประสาเด็กว่า เป็นเพราะอัณฑะและอวัยวะเพศถูกไฟไหม้ไปหมดแล้วตอนที่เผาศพเรด แม่ของเรดฟังแล้วน้ำตาไหล ขณะนั้นยายถามว่า สองคนที่มานี้ จำได้ไหมว่าใคร อ้อมตอบว่า มาม้าคนนี้ พร้อมกับยกมือชี้มาที่แม่ของเรด

    หลังจากนั้น แม่ของเรดก็ขออนุญาตนำเด็กไปที่บ้านเพื่อทดสอบ เมื่อไปถึงบ้านของเรดซึ่งเป็นโรงงาน มีจักรยานของคนงานจอดอยู่นอกโรงงาน ๒๐ กว่าคัน แม่ของเรดก็ให้อ้อมหาว่าจักรยานของเรดคันไหน อ้อมเข้าไปดูทีละคัน และบอกว่าไม่ใช่สักคัน แล้วเดินเข้าไปหาในโรงงานจนเจอจักรยานของเรด

    เมื่อออกจากโรงงานก็เดินไปที่บ้าน ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นสำนักงานหลังจากเรดตายแล้ว อ้อมทำท่าเหลียวซ้ายแลขวา และถามว่า นี่บ้านเราหรือเปล่า ไม่เหมือนเดิมเลย

    นอกจากนี้อ้อมยังรู้ที่เก็บสมุดออมสินกับนาฬิกาของเรด รู้ว่าเรดนอนที่ไหน จำรูปถ่ายกับเสื้อผ้าของเรดได้ พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้แม่ของเรดแน่ใจว่าเรดมาเกิดเป็นอ้อม

    เมื่ออ้อมอายุประมาณ ๓ ขวบ วันหนึ่ง อ้อมกับแม่ และแม่ของเรดเอาข้าวไปสีที่โรงสี อ้อมเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งชื่อ เชษฐ์ ยืนอยู่ที่นอกโรงสี อ้อมไม่เคยพบนายเชษฐ์มาก่อนเลย แต่กลับร้องบอกแม่ (ด้วยสำเนียงอีสาน) ว่า แม่ บักเซด แม่ของอ้อมพูดว่า ไปเรียกเขาว่าบักเซดทำไม เขาโตแล้ว (บักเป็นคำอีสานที่ใช้เรียกชายรุ่นเดียวกัน) อ้อมพูดว่า ทำไมเรียกไม่ได้ เพราะเป็นเพื่อนกัน ไม่เชื่อลองถามดูสิ เขายังเป็นหนี้เรดอยู่ ๙ บาท ที่เล่นโยนหลุมกัน พูดจบ อ้อมก็วิ่งไปหานายเชษฐ์ๆ อุ้มหนูอ้อมขึ้นมาโดยที่ไม่รู้จัก อ้อมบอกทันทีว่า ฉันคือเรด และถามนายเชษฐ์ว่า จำได้ไหม เป็นหนี้ที่เล่นโยนหลุมอยู่ ๙ บาท นายเชษฐ์บอกว่า จำได้ แล้วหยิบเงินให้เด็ก ๑๐ บาท
    เมื่อรอจนสีข้าวเสร็จแล้วต่างก็พากันกลับบ้าน (จากคำบอกเล่าของสุตทยา วัชราภัย น.บ., M.P.A.)
    [/font]

    [font=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC] ชื่อจริงและที่อยู่ของกุ๊กกับอ้อม (รวมทั้งเขมกับเรด) ยังเปิดเผยในขณะนี้ไม่ได้ ศ.น.พ.เอียน สตีเวนสัน ให้ เหตุผลว่า การเปิดเผยชื่อและที่อยู่จะเป็นผลเสียอย่างมากแก่การค้นคว้าในภายหน้า

    การที่เด็กเหล่านี้จำอดีตชาติได้ สาเหตุสำคัญเข้าใจว่าเนื่องมาจากตายแล้วไม่นาน (ส่วนมาก ๑-๒ ปี อย่างมากไม่เกิน ๑๐ ปี) ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก คนส่วนมากจำอดีตชาติไม่ได้เพราะเวลาผ่านไปนานกว่าจะได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ จึงลืมเรื่องในชาติก่อน อย่างไรก็ตาม การที่คนส่วนมากจำอดีตชาติไม่ได้มิได้หมายความว่า ชาติก่อนไม่มี หรือตายแล้วสูญ เพราะถ้าตายแล้วสูญ ผู้ที่จำอดีตชาติได้ก็จะไม่มีเลย แต่ความจริงมีอยู่ว่า ผู้ที่จำอดีตชาติได้มีอยู่ทั่วโลก ทุกศาสนา ทุกเผ่าพันธุ์

    ศ.น.พ.เอียน สตีเวนสัน ใช้เวลา ๓๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๔๑) รวบรวมข้อมูลจากผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั่วโลกประมาณ ๒,๖๐๐ ราย ข้อมูลแต่ละรายมีความน่าเชื่อถือมากน้อยต่างกัน แต่มีหลายรายที่หลักฐานแน่นแฟ้นน่าเชื่อถือมาก ซึ่งศ.น.พ.เอียน สตีเวนสัน ได้นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ ๒๐ กรณีศึกษาที่บ่งชี้ว่าตายแล้วเกิด (Twenty Cases Suggestive of Reincarnation) จะเห็นได้ว่ายิ่งวิทยาศาสตร์เจริญขึ้นก็ยิ่งสนับสนุนคำสอนในพระพุทธศาสนา เพราะพุทธธรรมเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้เสมอ

    หลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่บ่งว่าตายแล้วเกิดคือเรื่องเด็กอัจฉริยะ

    สำนักงานใหญ่ เกรท เวิลด์ กินเนส แห่งนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน แถลงว่าได้พบเด็กอัจฉริยะคู่หนึ่ง เป็นฝาแฝด คนพี่เป็นหญิงชื่อ จ้วง เซฟาง คนน้องเป็นชายชื่อ จ้วง เซเจ็ง อายุเพียง ๓ ขวบ แต่สามารถอ่านอักษรภาษาจีนได้ถึง ๒,๔๐๐ ตัวและอ่านภาษาอังกฤษได้ ๑,๐๐๐ คำ อักษรภาษาจีนนั้น ตัวหนึ่งคือคำหนึ่ง เพราะเขาเขียนแบบผสมอักษรสำเร็จรูป

    บิดาของเด็กเล่าว่า เด็กอัจฉริยะคู่นี้อ่านหนังสือพิมพ์ได้ตั้งแต่อายุแค่ ๑ ขวบ โดยไม่ได้เรียนหนังสือเลย นับเป็นบุคคลที่อ่านหนังสือออกผู้มีอายุน้อยที่สุดในประเทศจีน ซึ่งมีมาตรฐานว่า ใครสามารถอ่านตั้งแต่ ๑,๐๐๐ คำขึ้นไป เป็นผู้อ่านหนังสือได้ (น.ส.พ.ไทยรัฐ ๑๙ ม.ค. ๒๕๓๙)

    มิเชล โดโช อายุ ๒ ขวบ เด็กหญิงชาวบราซิล อยู่ในเมืองอูนาโปลิส สามารถเล่นเปียโนได้ดีอย่างน่ามหัศจรรย์ โดยไม่เคยหัดเรียนเลย โน้ตเพลงก็อ่านไม่ออก เพลงที่แกเล่นเป็นเพลงคลาสสิคของไชคอฟสกี้ หรือเพลงคลาสสิคอื่นๆ เพลงสากลหรือเพลงพื้นเมืองสำหรับเด็กๆ เพียงแต่มิเชลได้ยินคนเล่นให้ฟังสักครั้ง หรือสองครั้งเท่านั้น ก็เล่นได้

    ศาสตราจารย์ของวิทยาลัยดนตรีซึ่งขึ้นกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติของบราซิล ได้กล่าวถึงหนูน้อยมิเชลว่า ความสามารถในการเล่นเปียโนของแกยอดเยี่ยมมาก แกรับความรู้ทางดนตรีได้รวดเร็วเพียงแต่ได้ยินเท่านั้น นับเป็นปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติ แกอายุเพียง ๒ ขวบเท่านั้น ผมเชื่อว่าแกมีพรสวรรค์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทาน หนูมิเชลมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศในฐานะนักเปียโนอัจฉริยะ และเป็นนักเปียโนอายุน้อยที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน
    (น.ส.พ.ไทยรัฐ ๒๒ มิ.ย. ๒๕๒๔)
    เด็กชายทอมตาบอด (Tom the Blind) แห่งสหรัฐอเมริกา เล่นเปียโนได้อย่างน่าอัศจรรย์ตั้งแต่เป็นเด็ก โดยไม่ได้เรียนรู้จากใครมาก่อน ทอมเป็นลูกทาสที่มาจากป่าลึกแห่งอาฟริกา ยิ่งสืบสายบรรพบุรุษไกลออกไป ก็ยิ่งห่างเปียโนออกไปทุกที (แสดงว่าความสามารถทางดนตรีไม่ได้สืบทอดมาทางสายเลือด)
    (ตายแล้วเกิด โดย ศ.แสง จันทร์งาม)

    อัจฉริยภาพไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง หรือเป็นพรที่ได้รับประทานจากสวรรค์ แต่เป็นความรู้ความสามารถที่เคยฝึกฝนอบรมในอดีตชาติจนชำนาญ และอาจสืบทอดมาจนถึงชาติปัจจุบัน ดังนั้น การที่เด็กๆ เหล่านี้อ่านหนังสือหรือ เล่นดนตรีได้ โดยไม่เคยเรียนหนังสือหรือเล่นดนตรีมาก่อน จึงไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ที่ผิดวิสัยมนุษย์ ถ้าตั้งใจจริงและ ได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างเพียงพอ ทุกคนก็เป็นอัจฉริยะได้ ความรู้ความสามารถที่สั่งสมไว้ในชาตินี้จะกลายเป็น อัจฉริยภาพในชาติต่อๆ ไป

    หลักฐานจากพระไตรปิฎกและหลักฐานที่เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันดังกล่าวมานี้ ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า นรกสวรรค์มีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง แต่ถ้าใครไม่เชื่อ ก็ไม่แปลกอะไร เพราะในเรื่องเดียวกัน คนเราอาจมีความเห็นต่างกันได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งใดที่เป็นจริงแล้ว แม้คนทั้งโลกจะไม่เชื่อก็ไม่สามารถทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นเท็จไปได้ ในสมัยก่อน แม้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าโลกแบน ก็ไม่สามารถทำให้โลกแบนได้เลย ความจริงย่อมเป็นความจริงและทนทานต่อการพิสูจน์เสมอ ปรโลก เช่น นรก สวรรค์ ก็มีอยู่จริงในอดีต ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ ถึงในอนาคตก็จะยังมีอยู่ และจะไม่กลับกลายเป็นอื่นไป เพราะความเชื่อหรือไม่เชื่อของบุคคลใดๆ เลย

    ต่อไปจะนำเรื่องต่างๆ จากพระสูตรและอรรถกถา รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน มาเสนอท่านผู้อ่าน เพื่อนำไปพิจารณาดูว่า เข้ากันได้เพียงไรกับกฎเกณฑ์ที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    [/font]



    ที่มา http://www.dhammajak.net/dharmabook_02/kam01.htm
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    ศึกษาดูครับ
     
  7. ศานติ าณ

    ศานติ าณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,063
    อนุโมทนาด้วยค่ะ...เพียรดีจริงๆ เลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...