ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. ศารทวิศุวต

    ศารทวิศุวต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +368
    หนึ่งเรื่องที่น่าดีใจในชีวิต คือ ได้รู้จักเสียใจอยู่นั่นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2013
  2. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    อืม...เห็นด้วยทั้งคู่
     
  3. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    มีนิทานมาเล่าให้ฟัง....ก็แค่นิทาน..

    วันหนึ่ง อาจารย์ตันซาน กับอาจารย์เอกิโด เดินทางไปตามถนนเฉอะแฉะด้วยโคลนสายหนึ่งขณะฝนกำลังตกหนัก พอเดินมาถึงหัวเลี้ยวแห่งหนึ่ง พบหญิงสาวสวยคนหนึ่งแต่งชุดกิโมโนมีพู่ห้อยยาว รีรอจะข้ามถนนอยู่


    "มานี่หนู" ตันซานเรียก แล้วตรงรี่เข้าอุ้มเธอข้ามโคลนไป


    เอกิโดตกใจมาก แต่ไม่กล้าปริปาก จนทั้งสองเดินทางมาถึงสำนักในตอนกลางคืน เอกิโดอดรนทนไม่ได้จึงพูดกับตันซานว่า
    "พระเราแตะต้องผู้หญิงไม่ได้ โดยเฉพาะสาวสวยเช่นนั้นยิ่งอันตราย ทำไมท่านกล้าทำถึงขนาดนั้น"


    ตันซานตอบว่า
    "ผมวางเธอไว้ที่นั่นตั้งนานแล้ว คุณยังอุ้มเธออยู่หรือนี่"
     
  4. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    เห็นด้วยทั้งคู่
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มี VDO clip ชุดหนึ่งที่อยู่ใน Youtube และพี่ผู้ใจดีท่านหนึ่ง
    ส่งลิงค์พร้อมถอดความมาให้ผมดู..

    https://www.youtube.com/watch?v=neIps9PblMA

    วีดีโอชุดนี้ชื่อว่า

    "Important 2012 Ascension Shift Update and Reminder"
    by Archangel Michael and Makintoch

    ความยาวทั้งหมดเกือบชั่วโมงครึ่ง ผมก็นั่งดูและฟังจนจบไปหลายวันแล้วหละครับ
    และก็มีส่วนที่ผมเห็นว่าน่าสนใจเป็นพิเศษอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน
    (อันที่จริง เรื่องทั้งหมดก็น่าสนใจครับ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ข้อมูลพวกนี้มาก่อน
    ซึ่งข้อมูลโดยรวมแล้ว ก็เหมือนๆกับข้อความจากต่างมิติทั้งหลายนี่แหละครับ
    พูดเรื่องเดียวกันเด๊ะเลย ทั้งเรื่อง Ascension, Golden Age, จักระ และอื่นๆ)

    เรื่องแรก เป็น "Mirror Technique" ครับ หรือแปลตรงๆว่า

    "เทคนิกกระจกเงา"

    ส่วนเรื่องที่สอง เป็นเรื่องเก่าที่ผมและคุณเดรดเคยโพสต์ไปนานแล้ว
    คือเรื่อง "เทคนิกการจ้องพระอาทิตย์" หรือ Sun Gazing ครับ

    ซึ่งทั้งสองส่วนนี้อยู่ครึ่งท้ายของวีดีโอชุดนี้



    1). Mirror Technique

    ที่ผมว่าน่าสนใจก็เพราะว่า ไม่เคยรู้แบบนี้มาก่อน แม้ว่าจะเคยฟัง-เคยอ่านแบบผ่านๆมาบ้างแล้วก็ตาม

    ลองอ่านดูนะครับ ผมแปลไว้ให้แล้วข้างล่างนี้ครับ..

    ............


    ถ้าคุณมีกระจกเงา ให้ไปนั่งหน้ากระจกเงา แล้วมองดูตัวเองในกระจกเงา
    ให้จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของตัวเอง และให้สังเกตดูว่า
    คุณรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง เวลาที่คุณจ้องมองเข้าไปในดวงตาของตัวเอง

    และนั่นแหละคือสิ่งที่จะบอกได้ว่า คุณรักตัวเองหรือไม่
    และคุณยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

    และคุณจะบอกได้อีกว่า คุณจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง
    เมื่อคุณมองเห็นตัวเองในกระจกเงาแบบนี้แล้ว

    ให้มองเข้าไปในกระจกเงา เพราะเมื่อคุณมองดูกระจกเงาแล้ว
    คุณจะจำได้ว่าคุณมาที่นี่เพื่อมาเป็น “ผู้นำทาง” ให้กับใคร

    นั่นแหละคือภาระกิจอย่างแรกที่สุดของคุณหละ
    คุณมาที่นี่เพื่อมาช่วยเหลือและมาเป็นผู้นำทางให้กับคนที่อยู่ในกระจกเงานั่นแหละ

    เพราะว่าผู้ที่อยู่ในกระจกเงานั้น ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองหรอก
    เพราะว่าผู้ที่คุณเห็นอยู่ในกระจกเงานั้น เป็นแค่ “ยานพาหนะ” เฉยๆ
    เป็นแค่ร่างกายเนื้อเท่านั้นเอง

    และมันก็ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองหรอก และมันก็ไม่รู้หรอกว่า
    มันควรจะทำอะไรที่ไหนเมื่อไหร่

    ดังนั้น คุณนั่นแหละคือผู้ที่จะต้องบอกมัน คุณจะต้องเป็นผู้บอกมันว่า
    ควรจะทำอะไรที่ไหนเมื่อไหร่

    ฉันรู้ว่าพวกเราส่วนใหญ่ ได้ปล่อยให้สิ่งต่างๆเหล่านี้
    มันเป็นไปแบบอัตโนมัติมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น พวกเราจึงเชื่อกันว่า
    ผู้ที่อยู่ในกระจกเงานั้น สามารถควบคุมตัวเองได้
    โดยไม่จำเป็นจะต้องได้รับความยินยอมจากคุณเลย

    แต่ว่า..คุณเองต่างหากหละ คือผู้ที่จะเป็นผู้เลือกว่า
    คุณจะรู้สึกอย่างไร และจะทำอะไร
    และด้วยการอนุญาตจากคุณ สิ่งที่คุณยินยอมให้ตัวเองทำ และรู้สึก
    ก็คือสิ่งที่คุณจะเป็นผู้ยินยอมให้มันเกิดขึ้นได้มากหรือน้อยแค่ไหนก็ได้
    และคือสิ่งที่คุณจะคล้อยตามมันไป ลึกซึ้งแค่ไหนก็ได้ด้วย

    ดังนั้น ให้มองเข้าไปในกระจกเงา แล้วถามตัวเองว่า
    ทำไมคุณถึงรู้สึกกับตัวเองแบบนี้ แล้วคุณจะเปลี่ยนแปลงมันได้อย่างไร
    และอะไรคือรากเหง้าของสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนี้กับตัวเอง

    จงพูดคุยกับตัวเอง ให้เหมือนกับว่าคุณกำลังแนะนำสั่งสอนใครซักคนหนึ่งอยู่อย่างนั้นแหละ
    ให้เหมือนกับว่าคุณกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
    ที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว และตอนนี้เพื่อนคนนี้ก็กำลังมีปัญหาหนักอยู่อย่างนั้นแหละ
    ให้คุณปลอบเพื่อนคนนี้ด้วยคำพูดที่นิยมใช้กันทั่วๆไปว่า
    “เดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปด้วยดีเองนั่นแหละ”

    ทั้งหมดนี้ มันก็เป็นวิธีที่คล้ายๆกันนั่นแหละ นี่คือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มา
    คุณแค่จะต้องไปนั่งอยู่หน้ากระจกเงาแล้วสร้างปฏิสัมพันธ์กับตัวเอง
    ด้วยการพูดคุยกับตัวเองในกระจกเงาเท่านั้นเอง
    เพื่อเตือนความทรงจำของตัวเอง ให้ระลึกรู้ถึงภาระกิจแรกสุดของตัวเอง
    ว่าคุณมาที่นี่ เพื่อมา “สร้าง” บุคคลคนๆนี้นั่นเอง

    รูปลักษณ์ภายนอกที่ร่างกายเนื้อของคุณกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้
    ก็คือผลงานการสร้างสรรค์ของคุณเองนั่นแหละ ที่คุณได้ทำกับมันมาโดยตลอด
    ไม่ว่าจะโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ออกกำลังกายเลยก็ตาม
    ไม่ว่าจะโดยการรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ หรือรับประทานแต่ของ
    ที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ก็ตาม อะไรแบบนี้ เป็นต้น

    ตอนนี้ คุณจะต้องเป็นผู้ควบคุมบุคคลคนนี้ซะทีแล้ว
    จงทำให้ร่างกายเนื้อของคุณเชื่อฟังคุณให้ได้
    จงทำให้ยานพาหนะของคุณเชื่อฟังคุณให้ได้
    จงกระตุ้นยานพาหนะของคุณซะใหม่
    ให้มันตอบสนองต่อคุณอย่างที่คุณต้องการให้ได้
    ให้เหมือนกับการที่เมื่อใดที่คุณเหยียบคันเร่ง แล้วเปลี่ยนเกียร์
    แล้วล้อมันก็ต้องหมุนเร็วขึ้น

    จงทำกับตัวเองให้ได้อย่างนั้นด้วย
    คุณจะต้องทำให้ตัวเองอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องให้ได้
    คุณจะต้องเหยียบคันเร่ง เพื่อกระตุ้นตัวคุณเองให้ดำเนินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องให้ได้
    คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองให้ได้

    คำสอนเรื่องเทคนิกกระจกเงานี้ เป็นคำสอนที่มีประโยชน์อย่างมาก
    และจะสามารถช่วยพวกเราได้อย่างมากด้วย

    แค่นั่งมองตัวเองในกระจกเงา แล้วพูดคุยกับตัวเองเท่านั้นเอง
    และบอกคนที่อยู่ในกระจกเงาว่า

    “คุณรักเขา”
    “ทุกๆอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี”

    และจงเริ่มต้นทำให้ตัวเองเป็นแบบนั้นจริงๆ

    นี่คือเทคนิกที่ทรงพลังมากๆอันหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่ายังมีเทคนิกอื่นๆอีกไหม
    ที่จะสามารถช่วยได้แบบนี้ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมีอะไรอื่น ที่จะมาเหมือนกับกระจกเงานี้
    เพราะว่ามันทำให้คุณสามารถมองเห็นยานพาหนะหรือร่างกายเนื้อของตัวเองได้จริงๆ
    และสามารถพูดคุยกับมันได้จริงๆ

    ซึ่งถ้าคุณรู้สึกว่า จะสะดวกกว่าถ้าจะทำตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วย ก็จงทำมันเสียตอนนั้น
    เพราะว่าคุณจะได้เรียนรู้ที่จะรัก และยอมรับตัวคุณเองซะก่อน
    ก่อนที่จะไปพยายามเป็นที่รักของคนอื่นๆรอบๆตัวคุณ

    คราวนี้ ถ้าคุณกล้าหาญมากพอ และต้องการที่จะชำระสะสางความกลัวมากมาย
    และพลังงานกรรมมากมายของคุณอย่างบ้าระห่ำหละก็
    สิ่งหนึ่งที่คุณควรจะต้องทำก็คือ ให้มองดูตัวเองในกระจกเงา
    แล้วพูดคุยกับตัวเองออกมาดังๆ หรือพูดคุยกับตัวเองในใจก็ได้
    เหมือนกับตอนที่เรากำลังอ่านหนังสืออยู่ ซึ่งเราจะไม่อ่านออกเสียงออกมาดังๆ
    เพราะว่าปกติเราจะอ่านอยู่ในใจเท่านั้น

    ดังนั้น ก็ให้ทำเหมือนกับว่า เรากำลังอ่านถ้อยคำที่จรรโลงใจอยู่หน้ากระจกเงาก็ได้
    เช่น ถ้อยคำที่ว่า คุณคือคนสำคัญและยอดเยี่ยมมาก เป็นต้น
    และให้บอกกับตัวเองแบบนั้นทุกๆวันและทุกๆคืน
    ให้บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณรู้กับตัวคุณเอง
    ให้ราวกับว่าคุณกลายเป็นคนดีที่สุดไปแล้ว
    ให้ราวกับว่าคุณกำลังแนะนำสั่งสอนตัวคุณเองอยู่

    คราวนี้ผู้คนก็จะรู้ว่าคุณคือผู้ที่อบรมสั่งสอนตัวเอง
    และควบคุมความรู้สึกเก่าๆของตัวเองได้แล้ว


    .................................................

    ...เดี๋ยวเรื่องที่ 2 ค่อยมาต่อวันหลังนะครับ...

    ....................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  6. ศารทวิศุวต

    ศารทวิศุวต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +368
    ไม่รู้ว่าใครโพสไปหรือยัง แต่เห็นว่าน่าสนใจดี ก๊อบเค๊ามาอีกที จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=free4u&month=08-2012&date=16&group=119&gblog=16
    ขอความคิดเห็นครับ

    ................................................................................................................................

    เด็กน้อยวัย 7 ขวบ กับข้อความต่างมิติ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2012 - 2014

    เกริ่นนำ
    ----------------------------------------------------------------------------
    Group Blog นี้จัดทำขึ้นมาด้วยความสนใจเฉพาะตัวของเจ้าของBlog
    ท่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่จำเป็นต้องชี้แนะอะไร เพราะผมจะ
    ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น เน้นความแปลก น่าสนใจ ดูแล้วมันตื่นเต้นก็พอ
    ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก หลอกลวง ทำขึ้น เพื่อจุด
    ประสงค์อื่นใดก็ตาม ขอทำความเข้าใจไว้ก่อนนะครับ
    ----------------------------------------------------------------------------

    เด็กน้อยวัย 7 ขวบ กับข้อความต่างมิติ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2012 !!!

    บทสนทนากับเดวิดจาก Inua
    วันที่ : 13 มีนาคม 2011
    เรื่อง : สิ่งที่เกิดขึ้น และจะเกิดอะไรขึ้น!
    ที่มา :Humans Are Free: David from Inua: March 2011! What is Happening and What Will Happen!

    ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของเด็ก 7 ขวบ ที่แม่ของเขานำไปพบจิตแพทย์เพราะเขาได้รับการติดต่อด้วยเสียงของมนุษย์จากดาวเคราะห์ดวงอื่น เด็กคนนี้ชื่อ"เดวิด"แม้อายุของเขาจะยังน้อยมากบนโลก แต่เขาก็ได้ถือคำตอบของจักรวาลมาด้วย ดังที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้

    เดวิดบอกจิตแพทย์ของเขาที่ชื่อ Aryana ว่า...เสียงที่เขาได้ยินนั้นมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น เขาเรียกเสียงที่เขาได้ยินว่า Aghton พวกเขาทั้งสองมาจากกลุ่มดาวอื่น ซึ่งจะทำให้มีการติดต่อนี้ต่อไป จนกว่าเดวิดจะสิ้นสุดการเดินทางของเขาบนโลก เขาจะอยู่ที่นี่ประมาณ 200 ปี หากเรานับปีเหมือนที่เราทำในตอนนี้ แต่เร็วๆนี้ เราจะเข้าใจถึงความแตกต่างกันของเวลาดังที่เป็นอยู่ และก่อนที่จะจบช่วงแรก เดวิดบอกว่า Aghton ได้ขอให้จิตแพทย์ของเขาช่วยเขียนหนังสือเพื่อที่ข้อความของเขาได้ส่งกระจายไปในวงกว้างยิ่งขึ้น. .

    เดวิตบอกว่า โลกจะถูกทำให้การสั่นสะเทือนในการกระโดดเข้าสู่มิติที่สี่และที่ห้า แต่อาจทำให้มนุษย์สับสน เพราะคิดว่าเราอยู่ในความหนาแน่นของมิติที่สาม และมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีของร่างกายมนุษย์ ที่จะทำให้ร่างกายโปร่งเบาขึ้น พร้อมกับได้รับดีเอ็นเอสายใหม่ที่กระฉับกระเฉง

    เดวิดยังกล่าวว่า ดาวเคราะห์ทุกดวงมีภารกิจแตกต่างกัน เมื่อมีก้าวกระโดดเกิดขึ้น (ที่มีการทดสอบใหม่ๆอยู่เสมอ) ภารกิจของโลกเรา คือการจะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงนี้ทั้งหมด โดยรักษารูปร่างและโครงสร้างเอาไว้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้ ยังไม่เคยมีการทำมาก่อน ดังนั้นเราทั้งหมดจะได้รับประสบการณ์นี้พร้อมกันเป็นครั้งแรก

    เดวิดกล่าวว่า โลกที่เขาจากมา เรียกว่า Inua และตั้งอยู่ใกล้กับ Orion และนี่ เป็นส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของเขา..Aryana Havah ได้พูดคุยกับเดวิดและถามคำถามที่สำคัญบางประการ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกและสิ่งที่จะมาถึง ถ้าคุณไม่ทราบว่าเดวิดเป็นใครโปรดอ่านบทความเหล่านี้ :กรุณาเก็บข้อความไว้ในใจด้วยว่า เดวิดเกิดมาในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเขาคำนึงแล้วว่าตัวเองเป็นมนุษย์ในช่วงชีวิตนี้ เมื่อเขาพูดถึงอดีต ผมสังเกตเห็นว่าเขาหมายถึงเราคนเดียว ซึ่งเพราะเป็นชาติแรกของเขาในโลก

    13 มีนาคม 2011

    Aryana : เกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม? ที่คุณได้บอกฉันว่า มนุษย์ได้เลือกแล้ว
    David : มีเวลาไม่มากนัก และมนุษย์ได้เลือกเส้นทางแล้ว

    A : เราเลือกเส้นทางที่เป็นด้านบวกหรือไม่?
    D : เส้นทางทั้งหมดเป็นบวก เพราะมันจะนำทางไปสู่สิ่งที่ดีกว่าทั้งหมด มนุษยชาติจะตื่นตัวและจะทบทวนทัศนคติของตนใหม่

    A : คุณกล่าวว่าเราจะต้องเชื่อมต่อกับการสั่นสะเทือนของโลก เราจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร ?
    D : โดยการทำความเข้าใจในธรรมชาติและดาวเคราะห์โลก

    A : ช่วยอธิบายให้ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย ว่าหมายถึงอย่างไร ?
    D : คุณเห็นมั๊ย ว่าโลกมีชีวิตและมีความตระหนักรู้ เธอรู้สึกถึงสิ่งที่คุณและผมคิด (หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ) เราถูกล้อมรอบด้วยพลังงาน และทุกอย่างที่เรารู้สึก คิดหรือทำ คือการส่งผ่านข้อมูล ทุกอย่างของความคิดเป็นรูปแบบทางพลังงาน สิ่งที่คุณให้ไป จะถูกส่งกลับมาที่คุณเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้! เมื่อเราทำให้อารมณ์ก่อตัวเป็นตัวรูปเป็นร่างขึ้น หากคุณมีความกลัว คุณก็จะได้รับความหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าคุณผลิตหรือสร้างความสงบสุข ความสงบก็จะห่อหุ้มคุณ

    A : ช่วยบอกหน่อย ว่าเราควรทำอย่างไร?
    D : ให้คิดบวก มีความเชื่อความศรัทธา และมองโลกในแง่ดี แต่คุณต้องซื่อสัตย์ในทุกสิ่งที่คุณทำ (ผู้สร้างมีความยุติธรรม) คุณไม่สามารถทำแต่สิ่งไม่ดี แต่ร้องขอเพื่อจะได้รับสิ่งดีๆได้ หรือการที่คุณโกหก แต่ขอความถูกต้อง ทุกสรรพสิ่งล้วนมีการเชื่อมต่อ สิ่งที่คุณคิด สิ่งทีคุณพูด สิ่งที่คุณทำ จะต้องเป็นบวกเท่านั้น

    A : คุณได้ทราบข่าวแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่นหรือไม่ และคุณคิดอย่างไร?
    D : ใช่ มันก็จะเกิดขึ้นและจะเกิดในที่อื่นๆด้วย โลกกำลังทำความสะอาด

    A : แล้วที่ไหนล่ะที่จะมีความปลอดภัยสำหรับฉัน ฉันควรต้องย้ายหนีหรือไม่?
    D : หากภารกิจของคุณคือการย้ายล่ะก็ จนถึงตอนนี้ คุณต้องย้ายไปก่อนแล้ว

    A : หลายคนบอกว่าเราควรจะย้ายขึ้นไปบนภูเขา หรือที่สูงๆ
    D : บางที ผู้ที่บอกว่าจริงๆเราต้องย้ายนั้น ไม่ว่าจะได้เข้าพำนักที่ใดใดก็ตาม มันก็เป็นที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว

    Alex : นี้หมายความว่าเราได้เลือกเส้นทางของเราแล้ว และสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น จะเป็นรูปแบบเฉพาะ นำความเชื่อมั่นของจิตวิญญาณผู้นำทางของคุณด้วยตนเองและทำตามที่คุณรู้สึก! ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยหลังแผนอันศักดิ์สิทธิ์ เราจะต้องสงบ มีความสมดุล และยึดมั่นอยู่ในแผน ยอมรับมันและยอมรับพลังงานใหม่ การดำรงอยู่ด้วยสมาธิมากขึ้น จะเป็นการทำให้มี"ฟอง"แห่งความรักคุ้มครองอยู่เสมอ จงมีพลังด้านบวกแห่งอนาคตอยู่ในหัวใจ จงอธิษฐานถึงมันเถิด...!

    และข้อมูลต่อไปนี้จะต้องส่งถึงผู้ที่ต้องการ กรุณาแบ่งปันให้กับคนที่คุณรู้จัก เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญมาก

    A : ดวงอาทิตย์จะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่?
    D : ใช่ เป็นอันตรายมาก! มันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้แย่ลง หลายๆคนจะบ้าคลั่ง เราควรจะทราบวิธีการป้องกันตัวเองเอาไว้

    A : ด้วยวิธีการใดหรือ?
    D : Aghton บอกว่า คุณมีความคิด ที่ถูกต้องอยู่แล้ว

    Alex : "Aghton" เขามีชีวิตอยู่ที่ดาว Inua ที่ยังมีการมีการติดต่อเกือบตลอดเวลากับเดวิด และคอยช่วยเขา เดวิดเป็นผู้ที่สามารถได้ยินเสียง" Aghton" เช่นเดียวกับเสียงโทรศัพท์ภายในหัวของเขา "Aghton" สามารถที่จะแสดงทุกอย่างที่เดวิดต้องการ เช่นเดียวกับภาพยนตร์ รวมทั้งอดีตของเขา เมื่อครั้งที่เขามีชีวิตอยู่บนดาว Inua โปรดอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดาวิดในลิงค์ที่ให้ไว้ข้างต้น

    A : กรงขังของฟาราเดย์?
    D : Aghton กล่าวว่าใช่ แต่ฉันเองก็ไม่ทราบว่าสิ่งนี้คืออะไร

    A : เป็นกรงโลหะที่จะสร้างเขตพื้นที่ที่ทะลุทะลวงเข้าไปไม่ได้ แต่นานเท่าไหร่ที่เราควรจะต้องอยู่ภายในนั้นล่ะ?
    D : 6 วัน สองวันต่อครั้ง -- (รวม 3 ครั้ง) --

    A : หลังจากนั้น ก็หมายความว่าจะมีไม่มีไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ ?
    D : ใช่

    A : ผู้ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นจำนวนมาก พวกเขาจะเป็นยังไง?
    D : ผมไม่ทราบ มีสิ่งหนึ่งที่แต่ละคนสามารถเลือกที่จะมีชีวิตอยู่

    A : ฉันไม่เห็นด้วย! มีคนที่ไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรและพวกเขาจะสับสนมาก
    D : พวกเขารู้สิ่งที่จะต้องทำ แต่เขาไม่สนใจมัน พวกเขาควรจะทำในสิ่งที่พวกเขารู้สึกและปรารถนา! แต่ทุกอย่างถูกตั้งค่าแล้ว มันจะเป็นวิธีการที่มันควรจะเป็นและมนุษย์จะมีการเริ่มต้นใหม่ (...)

    ผมรู้ถึงสิ่งที่จะถูกเปิดเผยให้ปรากฎ แต่ฉันไม่ต้องการที่จะบอกคุณ Aghton กล่าวว่า มันไม่ใช่ภารกิจของฉัน บรรดาผู้ที่ปกครองเหนือเราเกือบจะประสบความสำเร็จแล้ว และแผนการของพวกเขานี้เกิดขึ้นด้วยความช่วยเหลือ (มนุษย์) ของคุณ! จากนี้ไปมีเพียงผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถช่วยเราได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ขึ้นอยู่กับความดีของตัวเราเอง ซึ่งหากปราศจากสิ่งนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้จะเลวร้ายมากสำหรับมนุษย์...

    จงปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นไปตามแผน และเราจะได้รับการปลดปล่อยจากการสั่นสะเทือนเชิงลบ ฉันไม่สามารถพูดมากกว่านี้ได้ เพราะ Aghton บอกว่าคุณจะไม่เก็บเรื่องนี้ไว้สำหรับตัวคุณเอง สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำคือการนำ"ความหวัง" ไม่ใช่ "ความกลัว" ถ้าคุณเพียงแต่ขอ แต่ไม่ทำอะไรเลย มันก็ไร้ประโยชน์

    A : เราสามารถหลบหนีรังสีโดยอาศัยอยู่ในถ้ำได้หรือไม่?
    D : Aghton กล่าวว่าไม่ได้ การแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ที่จะส่งไปถึงแกนโลก แต่การ"สั่นสะเทือนส่วนบุคคล"จะมีความสำคัญมาก!

    A : วิธีการที่เราจะสามารถยกระดับการสั่นสะเทือนของเรา จะตัองทำอย่างไร?
    D : ต้องเป็นผู้มีเมตตา จิตใจดีงาม และคิดบวก

    A : มีอะไรที่คุณสามารถบอกฉันได้อีกหรือไม่ ?
    D : เมื่อใดที่ทุกๆอย่างสิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุด...มันก็จะดี...ดีมากจริงๆ ผู้คนจะแตกต่างไปจากเดิมมาก พวกเขาจะรู้ถึงสิ่งพวกเขาผิดพลาดไป โลกจะเต็มไปด้วยความเมตตา มีความเอื้อเฟิ้อเผื่อแผ่ต่อกัน มันไม่ยากเกินไปหรอก เพราะว่าพวกเราเกือบจะถึงที่นั่นอยู่แล้ว!

    ฉันต้องการจะบอกกับคุณว่า มีเส้นทางสายใหม่ที่ดีกว่าที่เราจะเดินและปฎิบัติตาม แต่ก็มีเส้นทางสายหนึ่งที่ตรงกันข้ามอย่างมากด้วยเช่นกัน โชคดีที่เราไม่ได้อยู่บนถนนสายนั้น อย่างไรก็ตาม มนุษย์ส่วนใหญ่ที่ยอดเยี่ยม จะจัดการเพื่อสร้างความปลอดภัยต่อตัวเขาเองได้

    A : และเรายังคงจะต้องเผชิญกับ 2-3 ปีแห่งความยากลำบาก?
    D : ใช่

    A : มันจะเริ่มต้น เมื่อไหร่ ?
    D : ตอนนี้มันเริ่มต้นแล้ว ตั้งแต่เดือนมีนาคม

    A : นั่นหมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเรียบร้อยในปี ค.ศ. 2014?
    D : ใช่

    Alex : พี่น้องของฉัน นี้เป็นบทสนทนาเล็กๆบางส่วน กับเดวิด ฉันไม่สามารถบอกคุณได้ว่าฉันมีความสุขขนาดไหน หลังจากอ่านมัน

    เพื่อให้เดวิดได้จุติลงมาบนโลก..ชาว Inuakis รวมทั้งสิ่งมีชีวิตจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ได้เข้ามาแทรกแซงใน Matrix ของโลก เพื่อที่จะให้วิญญาณของพวกเขาส่งเข้ามาในการจุติบนโลก พวกเขาอยู่ที่นี่แล้ว และนอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มการสั่นสะเทือนของโลกด้วยการแสดงตนของพวกเขา เพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนให้เพิ่มสูงขึ้น ก่อนและหลังการก้าวกระโดด

    บางส่วนของโลกเรา ก็มีจิตวิญญาณเก่าแก่ที่มาจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อยู่มากมายด้วย เพื่อช่วยในมนุษย์โลกก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงในปี 2012 ซึ่งบางคนก็อาจจำอะไรไม่ได้ แต่มันมีอยู่ในโปรแกรมของพวกเขา ที่จะไม่จำอะไรจนกว่าจะได้ระลึกรู้มันอีกครั้ง ในปี 2012
    The two most important Crop Circles Decoded.mp4 - YouTube
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2013
  7. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947






    น่าสนใจ จะนำไปทดลองทำดู มีใครเคยปฏิบัติตามเทคนิคนี้บ้าง แล้วได้ผลเป็นยังไงบ้าง คืออยากอ่านประสบการณ์จริงของท่านอื่น รู้เพื่อเรียนรู้นะคะ
     
  8. pitcha_nate

    pitcha_nate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +1,369
    ไม่เคยใช้เทคนิคกระจกเงา...
    แต่เคย...รับรู้ว่าตัวตนข้างในตัวเรามีหลากหลาย...
    มีทั้งผู้วิพากษ์วิจัยวิจารณ์ ผู้เป็นอิสระ และผู้เฝ้าดูนักสังเกตการณ์
    ที่นับได้หลัก ๆ มี 3 ตัวตน...ที่เป็น "ฉัน" ผู้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    เวลานักพาก เค้าพาก เค้าสงสัย เค้าคิด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนอ่อนใจ
    และผู้เป็นอิสระอยู่้เบื้องบน มองดูไปมองดูมา หัวเราะขำ ๆ และทำท่า งง ๆ เหมือนจะเข้าใจนักพาก แต่ไม่พูดอะไร และเธอก็ร่าเริง แจ่มใส คล้ายไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่นักกพาก พาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ พล่าม ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

    สุดท้าย...
    นักสังเกตการณ์ ก็เหนื่อยใจ...เฮ่อ...มันอะไรกันหล่ะเนียะ....
    แล้วก็เมื่อถึงที่สุด...ใครสักคนที่ไม่รู้จะให้ตำแหน่งอะไร....
    ก็จะปลอบใจ...นักพาก...ด้วยความรักความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และเพราะทั้งหมดที่อบอุ่นโอ่นโยนจากคนคนนี้(ก็ฉันเองนี่แหละ) ทุกอย่างก็จะกลายเป็ํน
    สว่าง กระจ่าง ใส และเบิกบาน....
    เมื่อความสุขมา...ความทุกข์ก็จากไป....

    ไม่รู้เข้าใจอะไร...แต่ก็เข้าใจ...

    เอ...คุณชยุตเคยโพสต์สิ่งหนึ่งไว้....
    ข้อความจากต่างมิติ-–-การวางอุเบกขา-การบรรลุธรรม-และการเนรมิตให้สำเร็จดั่งใจ

    ลองอ่านดูนะคะ...
    คิดเอาเองว่า...หัวใจ...อยู่ที่...ปล่อยวาง...แล้วทุกอย่างจะเป็นไปเองอัตโนมัติ...
    แค่หมั่นสังเกตแต่จะขอเรียกว่า...เห็น...
    เห็น...ใจตัวเอง
    เห็น...ความคิดตัวเอง
    เห็น...การกระทำตัวเอง
    เห็น...ความรู้สึกตัวเอง


    เห็น...เท่านั้น...อย่าไปเพิ่มเติม...ตัดสิน...ควบคุม...บงการ...และก็ไม่ต้องกังวลเมื่อเจอนักพาก...เด๋วเค้าก็อ่อนแรงไปเอง...เมื่อเราเห็นตามจริง...ไม่ปรุัง...

    ข้อความต่างมิตินี่สนุกดีนะคะ
    เพราะ...ไม่มีใครมานั่งเถียงกันเรื่อง ถูก-ผิด....ช๊อบบ ชอบบบ
     
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772

    เพราะว่า..ถ้านับกันจนถึงวันนี้แล้ว
    ผมว่า..ผู้ที่ยังหลงเหลืออยู่ เพื่อติดตามอ่านกระทู้นี้
    ก็คงจะมีแต่คนที่มีความคิด และความเข้าใจ
    คล้ายๆกันระดับหนึ่งแล้วกระมังครับ

    ว่า..พวกเราหนะยังเป็นนักเรียนกันอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น
    ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชชาอะไร จากอาจารย์ไหน
    พวกเราก็ยินดีรับฟังไว้ได้ทั้งนั้นแหละครับ

    ผมคิดว่ายังงั้นนะครับ เพราะว่าไม่เห็นจะไปมองหาเลย
    เรื่องถูก หรือ ผิด หนะ เพราะว่ามันไม่มีอยู่จริงหรอก
    เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมอง และมาตรฐานที่ใช้วัดต่างหาก

    และโดยเฉพาะ..ถ้าพูดคุยกันข้ามมิติมาแบบนี้ด้วยหละก็
    มุมมอง และ ความเข้าใจ ก็จะยิ่งต่างกัน
    และห่างไกลกันคนละโยชน์เลยหละครับ

    ........................................
     
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ก่อนที่จะไปคุยกันเรื่องอื่น ผมมีความรู้สึกอยากจะเล่าอะไร
    เกี่ยวกับเรื่อง "การรัก และ ยอมรับตัวเอง" ของตัวเอง
    ให้ทุกๆท่านอ่านซะหน่อยหนะครับ..เผื่อว่าท่านจะได้แง่คิดอะไรบ้าง

    ตัวผมเองตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยมีความรู้สึก "ชอบ" ตัวเองเลย
    ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร
    แต่ ณ.วันนี้ ผมคิดว่าผมเข้าใจสาเหตุแล้วหละครับ

    ผมคิดว่า น่าจะเป็นอย่างที่ข้อความจากต่างมิติบางข้อความบอกไว้กระมังครับ
    ว่าพวกเราบางคน ที่มาที่นี่ ก็ไม่ได้ ground ตัวเอง
    เอาไว้กับ "ยานพาหนะ" ของตัวเองดีเท่าที่ควร
    รวมถึงมิหนำซ้ำ บางคนก็อาจจะ ไม่ได้ ground ตัวเอง
    เอาไว้กับโลกใบนี้ ได้ดีเท่าที่ควรด้วย

    ดังนั้น ผลลัพธ์ก็คือ กาย และ จิตวิญญาณ ไม่ไปด้วยกัน
    ไม่สอดประสานกันดีพอ จนเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาด้าน
    "การมีชีวิตรอด" คือ เจ็บไข้ได้ป่วย หรือ อะไรก็ตามแต่ที่คุกคามชีวิตได้ อยู่บ่อยๆ
    รวมถึง ถ้าเข้ากับโลกมนุษย์ไม่ได้ดีพอ ก็จะเบื่อโลก
    ก็จะไม่อยากทนอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป ก็จะอยากหนีไปให้เร็วๆ
    และบางคน ก็ถึงกับขวางโลก ต่อต้านสังคม ติดยาเสพติด ฯลฯ

    ผมเอง ตั้งแต่เล็กจนโต ก็มีปัญหาที่เข้าข่ายที่ว่ามานี้แหละครับ
    แบบว่าชัดมากๆ เพราะว่าจำได้ว่า ตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่
    ผมจะไม่ชอบ และ ไม่เข้าใจ สิ่งที่ผู้คนทั้งหลายทำกันเลย
    ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายกัน ด้วยวิธีการไหนก็ตามแต่
    แม้แต่เพื่อเกมกีฬาก็ตามแต่ เช่น ชกมวย เป็นต้น

    ผมจะเบื่อมาก เวลาที่ชาวบ้านพากันแห่มาชุมนุมกันที่บ้านผม ในวันเสาร์-อาทิตย์
    ซึ่งเป็นร้านขายก๊วยเตี๋ยว และ เป็นหนึ่งในไม่กี่บ้าน
    ที่มีทีวีดูในสมัยนั้น แล้วคุณพ่อของผม ก็จะเปิดช่องที่มีการต่อยมวย
    ให้ชาวบ้านดูกัน ซึ่งดูเหมือนทุกคนจะชื่นชอบกันมาก และเฮฮากันมาก
    ส่งเสียงเชียร์เสียงดังลั่นหมู่บ้านไปหมด

    ส่วนตัวผม ผมจะนึกไม่ออกเลย นึกยังไงก็นึกไม่ออก
    ว่าการที่มีคนมาต่อยกันให้เราดู แล้วเจ็บปวดทรมาน
    บางครั้งจนเลือดสาดออกอย่างนั้น มันเป็นเรื่องที่น่าสนุกตรงไหน

    และจุดที่ขัดแย้งที่ชัดที่สุด และเป็นมากที่สุดของผมในสมัยเด็กก็คือ
    ผมจะไม่อยากจะโตเป็นผู้ใหญ่เลย ถ้าผมเลือกได้ ผมจะทำทุกวิถีทาง
    เพื่อที่ผมจะได้ไม่โตขึ้นมาเป็น "มนุษย์" ผู้ใหญ่
    ซึ่งผมมองว่า มนุษย์ผู้ใหญ่ ที่ว่านี้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจมากๆ
    ผมไม่เคยมีความชื่นชมยินดี กับการที่จะต้องเติบโตขึ้นมา เป็นมนุษย์ผู้ใหญ่เลย

    ดังนั้น ในช่วงวัยเด็ก ผมจึงเป็นคนที่ขี้โรคมาก ผมจะป่วยบ่อยมากๆ
    จนคุณแม่ผมคิดว่าผมจะไม่รอดซะด้วยซ้ำไป
    ปัญหาคือ ลึกๆในใจของผม ผมไม่อยากอยู่เอาซะเลย
    และ แม้ว่า ผมยังคงรอดชีวิตมาได้ทุกครั้งที่ผมป่วยหนักๆอยู่ก็ตาม
    แต่ร่างกายเนื้อของผม ก็จะผอมแห้ง แรงน้อย และอ่อนแอมาโดยตลอด
    และตัวผม ก็จะเตี้ย และเล็ก กว่าเพื่อนๆโดยเฉลี่ยในวัยเดียวกันด้วย

    และช่วงอายุราวๆ 11 - 12 ขวบ ซึ่งตอนนั้นผมก็รู้ว่าอีกไม่กี่ปี
    ผมจะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่แน่ๆ และผมก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ
    ผมรู้สึกเสียใจ และไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย
    จนผมพูดออกมาอยู่บ่อยๆว่า ผมไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่เลย
    จนผมค่อยๆเติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น และเป็นคนเจ้าอารมณ์
    เครียดอยู่ตลอดเวลา เอาแต่ใจตัวเอง และค่อนข้างจะขวางโลก ในที่สุด

    ซึ่งต่างจากสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเล็กอยู่ อย่างมาก
    เพราะว่าในสมัยที่ยังเล็กอยู่นั้น ผมจะเหมือนกับว่า
    อยู่ในโลกแห่งความฝันอยู่ เพราะตอนเด็ก
    ดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนมองโลกในแง่บวก
    ดูเหมือนว่าผมจะใช้สมองซีกขวามากกว่าซีกซ้าย
    คือผมจะรักสิ่งสวยงาม รักธรรมชาติ ชอบปลีกตัวไปนั่งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้า
    ผมจะชอบวาดภาพตามจินตนาการของผม ชอบแต่งกลอน
    ชอบเอาดินเหนียวมาปั้นโน่นปั้นนี่เต็มไปหมด

    สมัยเด็กนับตั้งแต่ชั้น ป.2 ถึง ป.6 ผมถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้นมาโดยตลอด
    เพราะว่าผมเรียนเก่งที่สุดในห้องเรียน และก็เข้าเรียนก่อนเกณฑ์ด้วย
    และตอนอยู่มัธยมต้น ผมก็ได้ที่ 1 ของห้องเรียน มาโดยตลอด
    สอบวิชาไหน ผมก็จะคุ้นชินกับเหตุการณ์ที่ว่า
    คนที่ได้คะแนน top อันดับหนึ่ง วิชาไหน ก็จะคือผม มาโดยตลอด
    ตอนนั้น ผมจะกลัวว่าตัวเอง จะสอบได้ที่ 2 อย่างมาก
    เพราะกลัวจะเสียหน้า เพราะว่าเสียแชมป์ไป อะไรแบบนั้นหนะครับ

    เล่าอ้อมไปซะไกลเลย..วกกลับมาที่เรื่องของเรากันต่อนะครับ
    พอเป็นวัยรุ่นแล้ว เพราะประเด็นของการไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่
    ผมก็เลยไม่ชอบตัวเอง ในแบบที่กำลังโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อยู่นี้
    ผมไม่ชอบ หรืออาจจะพูดได้ว่าเกลียด หรือรังเกียจ ร่างกายของตัวเอง
    รังเกียจอวัยวะเพศในแบบที่เป็นผู้ใหญ่ของตัวเองมาก
    และรังเกียจอารมณ์ทางเพศของตัวเองเป็นอย่างมากด้วย

    นอกจากนี้ ไอ้เจ้ากลิ่นตัวที่เหม็นๆแบบของผู้ใหญ่ที่ตัวเองก็มีอยู่ด้วยนั้น
    มันก็ทำให้ผมรังเกียจร่างกายเนื้อในแบบที่เป็นมนุษย์ผู้ใหญ่นี้ หนักเข้าไปอีก
    เพราะว่า ดูเหมือนว่า การที่จะต้องมาทนอยู่ในร่างกายแบบนี้
    มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับผมมาก จนผมแอบคิดและหวังอยู่เสมอว่า
    ผมอยากจะมีวันหนึ่งที่ผมจะนอนหลับไหลไปเลย แบบไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกแล้ว

    ดังนั้น แม้ว่าในขณะที่ยังเป็นวัยรุ่นช่วงต้นๆอยู่นั้น ผมจึงแตกต่างจากวัยรุ่นด้วยกันมาก
    เพราะว่าผมจะไม่สนใจในสิ่งที่วัยรุ่นสนใจ เช่น เล่นเกม แต่งตัว หรือเล่นสนุกอะไรแบบนั้น
    แต่ผมจะอยากบวช อยากหลบ และอยากหนี จนทำให้ผมกลายเป็นคนที่คิดมาก
    และดูเคร่งเครียด และไม่สดชื่น แจ่มใส เหมือนคนอื่นๆเลย

    จนเมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย ถึงเริ่มปรับตัวได้บ้าง
    แต่ก็ยังมีความคิดในแง่ลบกับตัวเองอยู่

    จนผมคิดว่า ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงทำให้ผมเริ่มเป็นโรคกระเพราะอาหารอักเสบ
    มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จนอายุ 30 กว่าปี ก็เลยเพิ่งมาหายขาดเอาเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง
    และด้วยเหตุนี้กระมัง ที่ทำใหร่างกายเนื้อของผมขาดสมดุลไปซะทุกอย่างเลย
    คือนอกจากจะผอมแห้งแรงน้อยแล้ว ยังมีสิวขึ้นเต็มหน้าไปหมด
    จนเมื่อสิวหายไป ก็ยังทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้อีกมากมาย

    จนเหมือนกับตอกย้ำ ความคิด และ ความเชื่อ ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของตัวเอง
    ว่า ผมไม่ชอบตัวเอง ผมเกลียดร่างกายเนื้อนี้ของตัวเอง ซึ่งผมต้องทนอยู่ในมัน
    อะไรแบบนั้นครับ อย่างที่ท่านว่าไว้ว่า เรามีทัศนคติ และความเชื่อแบบไหน
    จักรวาล ก็จะมีวิธีการสนองตอบ เพื่อตอกย้ำและพิสูจน์ให้เราได้เห็นเสมอว่า
    สิ่งที่เราคิด และ เชื่อนั้นหนะ มันถูกต้องแล้ว ว่า..มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

    สรุปว่า..ตั้งแต่เด็กจนโตมา..จนนับถึงวันนี้
    ผมมีสัมพันธภาพกับร่างกายเนื้อนี้ของตัวเอง ในแง่ที่ไม่ดีเอาซะเลย
    จนผมกลายเป็นคนที่ "ไม่ชอบส่องกระจก" เวลาเดินผ่านกระจก
    ก็จะไม่มองดูตัวเองให้นานนัก และจะหลีกเลี่ยงที่จะไม่สบตาตัวเองในกระจกเลย
    สรุปว่า ผมเหมือนเป็นคนแปลกหน้าของตัวเองในกระจกเงา

    และผมก็รู้อย่างที่ท่านรู้นั่นแหละครับว่า เราจะต้องรักและยอมรับตัวเอง
    อย่างหมดใจ อย่างจริงใจ และอย่างไม่มีเงื่อนไขซะก่อน
    ก่อนที่เราจะไปรักคนอื่นแบบไม่มีเงื่อนไขได้

    นี่แหละคือปัญหาข้อหนึ่ง ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของผมในตอนนี้หละครับ

    ดังนั้น ตั้งแต่ได้แปลข้อความจากต่างมิติมาก็หลายปีแล้วนี่
    ผมจึงพยายามที่จะรัก และ ยอมรับตัวเอง แบบที่ท่านสอนไว้ให้ได้
    และเมื่อผมมาเจอ technique นี้เข้า คือ Mirror Technique หนะนะครับ
    ผมจึงเริ่มทำตามดู ซึ่งก็เพิ่งจะเริ่มทำได้ไม่กี่วันหนะนะครับ

    แต่..พระเจ้าช่วย..มันเหมือนกับที่ท่านว่าไว้จริงๆเลยครับว่า
    เวลาที่ผมตั้งใจมองดูหน้าตัวเองในกระจกเงา
    และยอมสบตากับตัวเองอย่างเต็มใจแล้ว
    มันเหมือนกับว่า เรากำลังนั่งอยู่ต่อหน้าเพื่อนเก่าของเรา
    มันเหมือนกับว่า เราได้มานั่งอยู่ต่อหน้าเพื่อนรัก เพื่อนสนิท หรือคู่ชีวิตของเรา
    ซึ่งไม่ได้เจอกันมานานแล้ว นานตลอดชีวิตของเราเลยทีเดียวก็ว่าได้

    ผมมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และให้นึกสงสาร
    คนที่นั่งอยู่ต่อหน้าผมในตอนนั้นเป็นอย่างมาก ผมรู้สึกผิดต่อเขามากๆๆๆ
    ผมอยากจะขอโทษเขา ผมอยากจะสารภาพผิดต่อเขา
    ว่า..คนที่ผิดหนะ คือ ผมเองแหละ ไม่ใช่เขาหรอก แต่ผมดันไปโยนความผิด
    และไปกล่าวโทษเขา มาตลอดชีวิตของผม
    ผมไปตั้งแง่รังเกียจเขา มาโดยตลอด เพียงเพราะว่า
    เขาเป็น "ร่างกายเนื้อของมนุษย์ผู้ใหญ่" คนหนึ่ง เท่านั้นเอง

    ซึ่งนั่นก็แค่เป็นธรรมชาติของเขา ที่เขาจะต้องเป็นไป
    แม้ว่าผมจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็ยังคงจะเป็นไปแบบนั้นอยู่ดี

    วันนั้น ผมรู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาอย่างมาก
    และผมก็นึกไปถึงคนอื่นๆ ที่ผมเคยรัก และยังรักอยู่หลายๆคนด้วย
    ว่า..คนเหล่านั้น แม้ว่าจะเป็นคนอื่นแท้ๆ แต่ผมก็ยังมอบความรักให้
    แบบจริงใจ และ จริงจังอย่างมาก จนยอมทน และยอมให้อภัยพวกเขาได้ทุกอย่าง
    แม้ว่าจะมีหลายครั้งหลายหน ที่พวกเขาทำให้ผมต้องเจ็บช้ำน้ำใจก็ตาม

    ก็ดูเอาเถิดครับ ผมทำเพื่อคนอื่น ยอมคนอื่น รักและเมตตาคนอื่นได้ถึงเพียงนี้
    แล้วกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมในกระจกเงาตรงนี้หละ
    ผมเคยให้อะไรกับเขาบ้าง นอกจากกล่าวโทษเขา ว่าเขาน่ารังเกียจ
    ว่าเขาเหม็น ว่าเขาหยาบ ว่าเขาไม่สวย ไม่งาม และไม่น่าอยู่ร่วมด้วย

    หลังจากผมเริ่มฝึกเทคนิกกระจกเงานี้แล้ว เป็นครั้งแรก
    ตลอดทั้งวัน ผมก็จะคิดถึง "เขาคนนั้น คนที่นั่งอยู่ในกระจกเงาคนนั้น" โดยตลอด
    คิดวนไปวนมาถึงเขา นึกสงสารเขา และนึกขอโทษเขา
    และปลอบใจเขาด้วยว่า เอาหละต่อจากนี้ไป เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้วนะ
    มีอะไรเราก็จะไม่ทอดทิ้งกันนะ มีอะไรเราก็จะค่อยๆพูดค่อยๆจากันนะ
    เราจะเข้าใจซึ่งกันและกัน เราจะรักซึ่งกันและกัน และฯลฯ

    จนผมนั่งสมาธิเมื่อเช้านี้ มันก็มีความรู้สึกแว๊ปหนึ่งเข้ามาในใจ
    ว่า..ทำไมผมไม่จินตนาการ และนึก และ รู้สึกกับตัวเอง
    ให้ได้เหมือนกับที่ ผมรู้สึกกับ "น้องคนนั้น" คนที่ผมรักนักรักหนาหละ??
    มันจะไม่ดีกว่าเหรอ ที่ผมจะรู้สึกรักใคร่และเอ็นดูตัวเอง
    ให้ได้เทียบเท่า หรือมากกว่า ที่ผมรักน้องคนนั้นหนะ??

    ดังนั้น ผมจึงเริ่มมีความรู้สึกว่า ผมได้วิธีการคิดกับตัวเองแล้วหละ
    ว่าผมจะมองเห็นตัวเอง ประหนึ่งว่า ผมคือน้องคนนั้น คนที่ผมรักนักหนานั่นเอง

    อันนี้ก็..เล่าให้ฟังเฉยๆนะครับ..
    เพราะว่า รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆบ้าง
    เท่านั้นเองครับ..
    ..........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  11. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    .
    เราก็มีเทคนิคกระจกเงา ขอเอามาแลกเปลี่ยนกันดูนะครับ
    มีอยู่ที่หน้าแรกของกระทู้นักรบแสง ความว่า

    มีอยู่วันหนึ่ง ข้าบังเอิญจ้องกระจกแห่งเลมูเรีย
    ที่เต้บไม่เหาะ บังเอิญเอามาให้ข้านานแล้ว
    บังเอิญข้าว่าง เลยจ้องอยู่นาน บังเอิญสงสัย เราเคยเป็นใคร
    บังเอิญเหมือนคิดได้ จ้องไปย้อนเวลา
    บังเอิญหนักหนา จ้องไปจ้องมา หน้าข้าเหมือน...


    คือช่วงนั้นไปอ่านอะไรมาไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว
    คร่าวๆ คือว่า ถ้าเราถ่ายเอกสารหน้าของเราไปเรื่อยๆ
    แล้วหน้าเราจะคล้ายๆ กับมนุษย์ต่างดาว จำถูกป่าวไม่รู้นะ

    เลยเอามาทดลองดูกับกระจกเงาดู
    ด้วยหัวใจของนักวิทยาศาสตร์ทางจิต
    แต่ปรับค่าตัวแปร เป็นการมองย้อนไปในอดีต

    สั่งตาตัวเองว่า ให้มองไปมาระหว่างตาของเราที่สะท้อนในกระจก
    มองๆ ไปให้มันเร็วกว่าแสง ย้อนกลับไปเรื่อยๆ ในอดีต
    ทำจิตให้รู้สึกว่าแสงมันวิ่งไปมา สะท้อนตาเรา กับตาในกระจก
    ย้อนลึกลงไปเรื่อยๆ สภาพจิตตอนนั้นคงใกล้ระดับฌานล่ะมั้ง นะ

    เพ่งจนตาลาย เวียนหัวตึ้บๆ ก็ฝืนไปเรื่อยๆ
    ซักพักปรากฏว่า เห็นหน้าตัวเองเหมือนมนุษย์ต่างดาวเลยแฮะ
    มีตาโตๆ จมูกเหลือนิดนึง ใบหน้ารีๆ สะดุ้งในใจเลยล่ะครับ

    น่าจะยี่สิบปีได้แล้วล่ะมั้ง นะ ที่ลองเล่นดู
    เคยลองแค่ครั้งเดียว ก็เกินพอแล้วล่ะ
    เห็นโพสท์นี้แล้วเลยนึกออก ขอเอามาให้อ่านกันเล่นๆ ละกัน นะ


    วิญญานกระต่ายป่า ข้างวัด

    .
     
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มันเป็นคนละประเด็น และ คนละจุดประสงค์กันหนะครับ
    เทคนิกที่เรากำลังคุยกันอยู่ในที่นี้
    เพื่อให้กลับไปมีสัมพันธภาพที่ดีกับร่างกายเนื้อของตัวเราเองใหม่อีกครั้ง
    คือเพื่อให้เรารักและยอมรับตัวเราเองให้ได้อย่างที่เป็นอยู่นี้
    อย่างไม่มีเงื่อนไข

    แต่กรณีการเล่นกับกระจกอย่างที่ว่ามานั้น ผมก็เคยอ่านเจอ
    และก็เคยเล่นเหมือนกันแหละครับ
    แต่ประโยชน์จากการเห็นว่าหน้าเราจะเพี้ยนไปเป็นมนุษย์ต่างดาว
    อย่างที่ว่ามานั้น มันคงจะไม่ใช่ประเด็นเดียวกันกับ
    ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฝึกเทคนิกที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ อย่างแน่นอนครับ

    เราจะได้ประโยชน์อะไร จากการมองเห็นหน้าตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาว??


    ...................................
     
  13. AntLace

    AntLace เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2013
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +462
    สรุป ภัยพิบัติ เหนือธรรมชาติ จอมเทพนำมนุษย์เข้ากฤดายุคหรือยุคทอง

    โปรดดูวีดีโอจาก Youtube และรับฟังคำบรรยายได้ข้างล่าง โดยก่อนอื่นขอสรุปว่า

    เรื่องของยุคเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก ทั้งทางความเชื่อ
    คือ กฤดายุค(ยุคทอง) ทวาบรยุค(ยุคเงิน) ไตรดายุค(ยุคบรอนซ์) กลียุค(เหล็ก)
    ซึ่งครั้งนี้จะกลับมาที่ กฤดายุคอีกครั้ง
    และความเข้าใจในทางวิทยาศาสตร์ คือ ยุคทอง ยุคเงิน ยุคบรอนซ์ และยุคเหล็ก

    ถ้าท่านได้ศึกษาค้นคว้า จะทราบว่า มนุษย์เริ่มต้นด้วยยุคทองจริง

    เรื่องที่จะกล่าว ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อ เพราะข้อมูลที่นำมาสามารถพิสูจน์ความจริงได้

    จอมเทพคือ God หรือ พระเจ้าผู้สร้าง หรือชื่อเรียกตามภาษาของชนในที่ต่างๆ
    พระองค์มาจุติเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน (มีหลักฐานบ่งไว้ชัดเจน)
    โดยมีความประสงค์จะช่วยมนุษย์
    สร้างสันติสุขและสันติภาพที่แท้จริงขึ้นบนโลกให้อยู่ได้ตลอดไป

    ชาวโลกรู้จักจอมเทพในชื่อต่างๆ พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระองค์
    ในหลายชื่อ ที่เราคุ้นเคยคือ สักกะจอมเทพ หรือท้าวสักกะเทวราช

    ตามพุทธทำนาย "คำทำนายของพระพุทธเจ้าโคตม" และพยากรณ์โลกของศาสนาหลัก
    รวมทั้งผู้มีญาณทิพย์ เช่น นอสตราดามุส ต่างได้บ่งบอกเรื่องราวของจอมเทพที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไว้เหมือนๆ กัน สรุปได้ว่า
    จอมเทพมาจุติเป็นมนุษย์และตรัสรู้ในปัจจุบัน โดยพระพทธเจ้าตรัสเรียกว่า พระเมตฺเตฺย
    หรือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 ในภัทรกัป หรือกัปประเสริฐในปัจจุบัน
    คนไทยอาจรู้จักในชื่อ พระศรีอารย์ หรือพระศรีอริยเมตไตรย์ หรือพระเมตไตรย์

    จอมเทพกำหนด ภัยพิบัติสารพัดทิศ ภูมิอากาศวิปริต เกิดโรคภัย เป็นต้น
    และมีสิ่งแปลกประหลาดมากมาย เป็นไปตามพยากรณ์ เพื่อเตือนมนุษย์ให้รู้ตัว
    และเป็นที่สังเกคุว่า ภัยพิบัติเกิดขึ้นมากผิดปกติมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992)
    ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นของการตรัสรู้ของจอมเทพในรูปของมนุษย์ (พระศรีอารย)์
    การตรัสรู้ของจอมเทพ เพื่อการสร้างสันติสุขโลก ไม่ได้มาเป็นพระศาสดา
    ซึ่งคนโบราณถึงเรียกว่าพระจักรพรรดิ

    ความผิดปกติไปของโลกในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้

    แต่พุทธทำนาย "คำทำนายของพระพุทธเจ้าโคตม" และพยากรณ์โลกของศาสนาหลัก
    รวมทั้งผู้มีญาณทิพย์ เช่น นอสตราดามุส
    ต่างได้บ่งบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไว้เหมือนๆ กัน สรุปได้ว่า
    ท้าวสักกะเทวราช หรือจอมเทพ ผู้เป็นใหญ่ของสามโลก หรือมีชื่อเรียกต่างๆ กัน
    ไปตามภาษาของชนชาตินั้นๆ พระองค์ได้มาจุติเป็นมนุษย์ในปัจจุบันนี้
    โดยต้องการให้มนุษย์ทั้งหลายอยู่อย่างมีคุณธรรม ไม่เบียดเบียนสัตวด้วย
    ท่านสามารถติดตามเรื่องราวได้ในวีดีโอที่นำมาเสนอข้างล่างนี้
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อืมมม..ก็นับว่าเป็นข้อมูลใหม่อีกข้อมูลหนึ่ง
    ที่ผมไม่เคยได้ยินได้ฟังที่ไหนมาก่อนเลย

    และก็..รวมถึง..ไม่เคยมีข้อความจากต่างมิติข้อความไหน
    เคยกล่าวเอาไว้แบบนี้เลยด้วยหนะครับ..

    ก็..รับฟังกันไปนะครับ..เก็บเอาไว้เป็นอีก "ข้อมูลหนึ่ง"
    ในฐานข้อมูลในสมองของพวกเราแต่ละคน
    เพื่อที่จะได้เอามาใคร่ครวญพิจารณากันต่อไป
    ตามความสามารถในการใช้วิจารณญาณของแต่ละคนนะครับ

    เพราะว่าเราก็ไม่มีใครรู้จริงๆหรอก
    ว่าอะไรผิด หรือ อะไรถูก
    หรือว่าแท้ที่จริงแล้ว มันไม่มีอะไรผิด และ ไม่มีอะไรถูก
    ก็ไม่รู้นะครับ..ฮิฮิ

    .............................
     
  15. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842

    แค่เอามาให้อ่านเล่นๆ ครับ ไม่คิดว่าจะมีประโยชน์อะไรหรอก
    เห็นว่าเป็นเรื่องของกระจกเหมือนกัน
     
  16. ศารทวิศุวต

    ศารทวิศุวต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +368
    ลองดูสนุกๆครับ
    1. นั่งหลังตรง ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย
    2. หายใจช้าๆ ลึกๆ เบาๆ นุ่มนวล
    3. ค่อยๆ เอานิ้วชี้มือขวา แตะที่กลางฝ่ามือซ้าย
    ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ มันจะยังไม่พบอะไรเป็นพิเศษตรงนี้ ไม่ต้องกังวล
    4. ค่อยๆ เปลี่ยน เอานิ้วชี้ซ้ายแตะที่กลางฝ่ามือขวา ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะเช่นกัน
    5. เอามือมาใกล้ๆ กันคล้ายกับประคองลูกบอล ให้มือห่างกันประมาณ 1 ฟุต
    ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือ แล้วค่อยๆ เอามือเข้าใกล้กันช้าๆ

    สังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือเสมอ คุณอาจรู้สึกคล้ายสัมผัสอะไรจางๆ
    บางคนอาจรู้สึกถึงความร้อน ความหนา หรือบางคนอาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ยินดีด้วย คุณได้ใช้พลังจิตสำเร็จไปแล้ว ! ในวงการเราเรียกสิ่งนี้ว่า PSI BALL

    ที่มา: เรื่องลึกลับจากทั่วโลก mystery world: พลังจิต/ Psychic Power
     
  17. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    ข้อมูลในอินเตอร์เน็ท มีทั้งของฝ่ายมืดเองและฝ่ายแสงสว่าง ที่ปล่อยออกมา เวลาจะเลือกรับชมหรืออ่าน ควรจะเฉลียวและฉลาด ใช้ปัญญาเท่าที่มีไตร่ตรองด้วยความสงบ แล้วจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
     
  18. neung xcm

    neung xcm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +874
    ผมเชื่อว่าโลกของเรามันก็มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป เหมือนกับในรูปด้านล่างนี่แหละครับ มีหยินอยู่ในหยาง มีหยางอยู่ในหยิน ;)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 001.jpg
      001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.9 KB
      เปิดดู:
      36
  19. pitcha_nate

    pitcha_nate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +1,369
    คุณชยุต...
    เราก็เกลียดตัวเองเหมือนกันค่ะ!!!!

    ปกติเราจะเป็นมนุษย์ที่..คิดลบตลอด...อาการประมาณนี้ค่ะ
    "ทำดีแค่ไหนก็ไม่เคยพอ.."
    "ถ้าโลกนี้ไม่มีฉัน...ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนไป...แล้วจะมีฉันทำไมวะ"
    "ถ้าฉันมันแย่มากขนาดนั้น...เราก็ตายจากกันดีกว่านะ"
    ฯลฯ

    สรุปสั้น ๆ เป็นพวกบ้าดี ติดดี ชอบทำดี...
    แต่ไม่เคยถึงจุดที่ "ดีพอ" กับใจของคนทุกคนที่เราต้องอยู่ร่วม..
    ข้างในใจมันก็เริ่มแตกร้าว..จนชอบคิด ฆ่าตัวตาย...บ่อย ๆ (ลบสุด ๆ ๆ ๆ)

    จนกระทั่ง...เจอคนคนหนึ่ง...เค้าช่วยบางอย่าง
    และมีคำพูดของเค้าที่บอกเอาไว้และจำได้ขึ้นใจ..
    "รักตัวเองบ้าง"
    ตอนที่ได้ยินนั้นขำ.."หมายความว่างัยนะ...มีใครที่ไม่รักตัวเองบ้าง"
    แล้วเรื่องที่ชอบคิดฆ่าตัวตายก็โผล่ออกมาทันที...เหมือนเป็นคำตอบ...และเรื่องดีไม่พอทั้งหลายที่เป็นสาเหตุให้จิตหม่นหมอง...ก็ออกมาเป็นระลอก ๆ
    ตอนนั้นจึงถึง..บางอ้อ...
    ฉันไม่เคยรักตัวเองเลยหรือนั่น...55555...
    (เพิ่งรู้ตัว...)

    และพออ่านข้อความคุณชยุตที่ไม่ชอบส่องกระจก...ฉันก็เป็น!!!
    ปัจจุบันก็ไม่ชอบส่องกระจกเหมือนเคย..แต่ไม่ใช่เกลียดตัวเองแล้วนะ..
    มันก็แค่..ไม่ชิน..เท่านั้นเอง
    ทุกวันนี้..รักตัวเองมากกกกกกกกกกกก
    สังเกตได้จาก...ข้างในใจเรา เค้าจะทำอาการประมาณว่า..กอดตัวเอง..รักตัวเอง
    เวลาคิดร้าย ๆ มาย่างกราย...จะขำมากเลย...กลัวแก่..(คิดร้ายทำให้เราแก่เร็ว) 555
    เวลาโมโห..ขนหัวจะตั้ง..นั่นจะทำให้รู้สึกตัว..เดี๋ยวไม่สวย..ต้องคลายให้เร็ว..555
    เวลาพูดจาว่าใคร ๆ แล้วใจจะขุ่น ๆ หมอง ๆ ต้องรีบคลาย..(ให้อภัยเร็ว ๆ ปล่อยเร็ว ๆ) เดี๋ยวกลายเป็นเครียดเป็นโกรธ จะไม่มีใครรักเรา..555

    อย่างนี้น่าจะเรียกว่า รักตัวเองโอเว่อร์...
    ทุกกระับวนการเกิดเร็วมาก...เหมือนไม่ได้คิดไว้ก่อน...ข้างในเป็นเอง..
    ตัวสังเกตของเราเค้าสังเกตเห็น จึงนำมาเล่าต่อได้...
    พอตัวเราที่เห็นสิ่งเหล่านี้..เราก็ขำ...อาการรัก..ที่ค่อนข้างจะมากกกกกกกกกกกก
    และเพราะเราชอบขำตัวเราเองที่ค่อนข้างจะมีอะไร ๆ เพี้ยน ๆ ไปเยอะ...
    เราก็เลยกลายเป็นคนอารมณ์ดี...แบบผิดปกติ...

    อาการรัก ที่เกิดกับตัวเราใหม่ ๆ ... คนใกล้ชิดเค้าต้องออกปากถามว่า...
    "มีความรักหรือ?" เราก็ตอบว่าใช่...แต่จะให้บอกรายละเอียดได้อย่างไร...555
    มีกระทู้นี้หล่ะ..สนุกดี..ตรงกับเราทุ๊กกกกอย่างงงง...

    ยิ่งอ่านยิ่งสนุก...
    ขอบคุณนะคะสำหรับข้อความสนุก ๆ
    ถึงไม่ได้นำมาใช้..แต่หลาย ๆ อย่างก็ตรงกันอยู่้ดี...
    ชอบจริง ๆ

    ปล. สองสามวันนี้...เพิ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองจะส่องกระจกตอนอาบน้ำเสร็จ แล้วจะยิ้มสดชื่น..เบิกบานมาก..และเห็นว่า..ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเรา..เค้าก็น่ารักน่าถนอมดีนะ...5555
     
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอบคุณคุณ 1นะโม ด้วยนะครับ
    ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ให้เราฟัง

    ผลพวงจากการที่ผมโพสต์เล่าเรื่องปัญหาของตัวเองเมื่อบ่ายวานนี้
    พอพิมพ์เสร็จ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก
    เหมือนจะหมดแรง ใจก็อ่อนล้า เลยยกเลิกโปรแกรมออกไปเที่ยวเลย
    แม้ว่าจะนัดใครต่อใครไว้แล้วก็ตาม

    โปรแกรมก็เลยเปลี่ยนเป็น เลิกงาน ทานข้าวเย็น นั่งสมาธิ แล้วก็เข้านอน

    อยากจะบอกว่า ทุกครั้งที่ผมโพสต์เล่าเรื่องราวอะไรของตัวเองไป
    โดยที่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นความลับ หรือไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าอายใดๆเลยนั้น
    ก็เท่ากับว่า ผมยอมรับมันแล้ว ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผมจริงๆ
    แล้วปัญหานั้นๆของผม..ก็จะค่อยๆดีขึ้น..ก็จะค่อยๆถูกเยียวยารักษาไป

    และก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นปรากฎการณ์ Synchronicity ด้วยนะครับ
    ที่เมื่อเช้าวานนี้ อ่านเจอใน Facebook ว่า...

    "When you can tell a story
    and it doesn't bring up any pain
    you know it is healed"


    ซึ่งก็แปลว่า..

    "เมื่อใดที่คุณสามารถบอกเล่าเรื่องราวอะไรซักอย่างออกมาได้
    โดยที่มัน ไม่ทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใดเลย
    นั่นก็แปลว่า เรื่องราวนั้นๆ มันได้ถูกเยียวยารักษาแล้ว"


    [​IMG]

    ประกอบกับเมื่อเร็วๆนี้ ที่ผมโพสต์เรื่อง
    การชำระสะสาง หรือการปลดปล่อยพลังงานด้านลบของเราออกไป
    ที่มันจะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยนั้น..
    มันดูเหมือนเป็นอุปทานจริงๆเลย
    ที่ผมก็รู้สึกเหนื่อยมากๆอย่างนั้นด้วยจริงๆ

    มันเหมือนกับว่า และลึกๆก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆว่า
    ทุกๆถ้อยคำ-ตัวอักษรที่ผมระบายมันออกมานั้น
    มันเหมือนกับเป็นตัวยาที่ค่อยๆไปรักษาความบอบช้ำภายในใจของตัวผมเอง
    มันเหมือนกับว่า สิ่งที่เป็นกระจุกของพลังงานดังกล่าว
    ที่สั่งสมอยู่นมนานแล้ว ในระบบกายต่างๆของเรา
    มันได้ถูก "ยอมรับ" แล้ว ได้ถูกปลดปล่อยแล้ว
    และได้ถูกบำบัดรักษาแล้ว อะไรแบบนั้นแหละครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ซึ่งก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้อยู่นะผมว่า..
    ถ้าเราอ้างอิงตามข้อมูลที่เราได้ติดตามอ่านกันมาตลอด
    จากข้อความจากต่างมิติทั้งหลายแหล่นี้หนะนะครับ

    ...........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...