ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ขอคุยด้วยคนนะ ... เราอาจจะมา อาจจะพบ อาจจะเจอ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมกันคนละรูปแบบ หลากสไตล์

แต่แล้ว ... เราก็จะมีประเด็นที่คล้าย ๆ กันเนาะ

เราเองก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน ... เคยพูดคำพูดว่า ขอลา ด้วยอารมณ์สุด สุด

แต่แล้วเมื่อวันนึง... ที่เราเริ่มลึกซึ้ง และเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของตัวเองมากขึ้น ประมาณว่า หยั่งรู้ถึงปณิธานของตัวเองน่ะค่ะ ...

แท้จริงแล้ว... เราอาจใช้สิทธิเลือกมาเองก็ได้นะ และยังเกื้อกูลดวงจิตอื่น ๆ ได้ด้วย

เหมือนที่รูปธรรมต่างมิติก็เคยกล่าวถึงว่า ... เราเลือกมาเอง และมีพรสวรรค์ที่จะมาทำงานอะไรบางอย่างในโลกนี้ได้เป็นอย่างดีซะด้วยซิ

แม้ว่า ... จะมีความยากลำบากอยู่ในการดำรงอยู่ในกายแห่งมนุษย์ แต่ทันทีที่เราละไปจากภาคมนุษย์ ไปยังอีกแดนหนึ่ง เราก็จะยังคงอาสากลับมาอีกก็เป็นไปได้นะ ...

 

เคยฝันว่า อยู่ที่ริมหาดแล้วมีคลืนยักษ์สูงเท่าภูเขาซัดเข้ามา จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ รู้ตัวว่าฝันอยู่นะครับ แต่หนีไปไหนไม่ได้ ฝันแบบนี้ตั้งแต่เด้กๆ เป็นร้อยๆครั้งแล้ว แต่เพิ่งมาไขปริศนาออกเมื่อไม่กี่นานมานี้

ที่หนีไปไหนไม่ได้เพราะ จิตวิญญาณต้องการให้เราเผชิญหน้ากับความกลัวในเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง ไม่ใช่การหนีไปซะ จนตอนหลังๆดูยืนดูคลื่นยักษ์ซัดเข้ามาตัวเอง เห็นตัวเองจมน้ำบ้าง ว่ายน้ำลอยอยู่บ้าง ดำน้ำอยู่บ้าง จนหลายๆครั้งเข้าความกลัวในเหตุการณ์นค่อยๆจางลงจนเกือบหมด มีอยู่ครั้งหนึงหลังจากที่จมน่ำแล้วมีซากอาคารถล่มลงมาซ้ำอีก แต่ตัวเองก็ไม่กลัว พยายามดำน้ำหลีกจนสุดกำลัง...แล้วก็มีรูปธรรมบางอย่างมาช่วยไว้ พวกเขาดีใจมากๆที่เราไม่กลัวเหมือนว่า เธอสอบผ่านแล้วนะ อะไรประมาณนั้น

หลัวจากนั้นก็ฝันว่าที่ต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้เพราะมีบางชาติที่เราได้ใช้พลังงานอำนาจของตัวเองในทางที่ไม่สมควรทำให้คนอื่นเตือนร้อน หรือทำให้เกิดภัยต่างๆ เหมือนมาใช้กรรมของเราเองก็ว่าได้

 

ผมก็จะลายาวเหมือนกันครับ รับรู้เองด้วยจิตวิญญาณว่านี้ครั้งสุดท้ายแล้ว

 

ทำงานให้เสร็จแล้วค่อยลานะครับ อิอิ

 

HILARION'S WEEKLY MESSAGE 2013
สาส์นประจำสัปดาห์จากฮิลาริออน ปี 2556

March 17-24, 2013
วันที่ 17–24 มีนาึึคม 2556

Beloved Ones,
ถึงท่านอันเป็นที่รักทั้งหลาย,

As you go about your daily lives, realize that what you are doing is experiencing life, all the myriad ways in which your Soul can know what it is to walk this Planet in human form. It is a tremendous opportunity to be here at this current juncture when so many changes and transformations are taking place. This, too, is a part that you chose to play before you even incarnated here on Earth. It is all of you who are physically incarnate in these times that hold the power and authority to create a new way, a new reality. Those who inhabit the spirit realms cannot effect positive changes unless it is through your permission and cooperation.
ขณะที่ชีวิตผ่านไปในแต่ละวัน เธอจะได้เข้าใจว่าสิ่งต่างๆ ที่เธอกำลังทำอยู่นี้คือการเรียนรู้ชีวิต มันมีหนทางการเรียนรู้ให้เลือกเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อวิญญาณของเธอจะได้เข้าใจรู้สึกที่ว่า „มันเป็นอย่างยังไงนะที่จะมาเดินบนโลกนี้ด้วยร่างมนุษย์” มันเป็นโอกาสที่ดีเลิศทีเดียวที่จะอยู่บนโลกในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ในช่วงทีี่มีการเปลี่ยนแปลงและการปฎิรูปเกิดขึ้นมากมาย และนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เธอได้เลือกไว้ก่อนที่จะมาเกิดบนโลกมนุษย์ซะอีก ตัวเธอที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ณ ตอนนี้มีพลังและอำนาจที่จะสร้างสรรค์หนทางใหม่และความเป็นจริงแบบใหม่ให้เกิดขึ้นได้ กลุ่มที่อยู่ในโลกวิญญาณไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกเหมือนเธอได้ ยกเว้นแต่ว่าจะได้รับอนุญาตและความร่วมมือจากเธอ

This is why we strive to help you remember how powerful you are. It is the choices you make and the actions you take that make the difference. In the higher dimensions, all are working for the evolvement of humanity and the evolvement of your Planet. All is connected and we all work together with you to accomplish the raising of consciousness within the minds and the hearts of all of her inhabitants. The waves of energy that are now permeating your atmosphere are helping to do this as each person takes in the higher frequencies and assimilates these energies within their own human operating systems.
นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมที่เราพยายามอย่างมากที่จะเตือนเธอให้รู้ว่าเธอตัวนั้นมีอำนาจมากแค่ไหน ทางที่เธอเลือกและการกระทำของเธอมันทำให้เกิดความแตกต่าง ในมิติที่สูงกว่านั้นทุกตนทำงานเพื่อความก้าวหน้าของมนุษย์และโลกมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกันหมด และพวกเราทุกคนก็ทำงานร่วมกับเธอ เพื่อให้การยกระดับความตระหนักรู้ของจิตวิญญาณและจิตใจของมนุษย์ทั้งโลกสำเร็จลงได้ คลื่นพลังงานที่กำลังผ่านเข้ามาทางชั้นบรรยากาศในตอนนี้ก็ช่วยเธอเลื่อนระดับอีกทางหนึ่ง พวกเธอแต่ละคนรับเอาความถี่ที่สูงกว่าจากคลื่นพลังงานและซึมซาบเอาพลังงานพวกนี้เข้าสู่ระบบร่างกายมนุษย์ของเธอ

This process can be very empowering to each individual who chooses to embody their higher aspects. Much that was hitherto unknown to humankind in recent times is now being brought into conscious awareness. This helps to put more pieces of the puzzle of your purpose here into more understanding and will be instrumental in moving the process of ascension forward to its next step. The transformations occurring within your bodies are taking place at a more rapid pace and you are now realizing that it is perfectly acceptable to take the time to enjoy the process, to bring joy into it.
กระบวนการซึมซาบพลังงานนี้สามารถเพิ่มขีดความสามารถได้อย่างมาก โดยเฉพาะแก่ผู้ที่เลือกทำให้ทัศนคติที่สูงส่งเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา สิ่งต่างๆ ที่เป็นปริศนาสำหรับมนุษย์มาจนถึงบัดนี้จะถูกเปิดเผยให้ได้รับรู้ มันจะช่วยไขปริศนาอีกส่วนหนึ่งในเรื่องวัตถุประสงค์ของการมาอยู่บนโลกของเธอ ให้เธอได้เข้าใจมากขึ้น และเป็นเครื่องมือให้การเลื่อนระดับเดินหน้าเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป การเปลี่ยนแปลงที่เกิดในร่างกายของเธอเกิดเร็วขึ้นเรื่อยๆ และเธอก็จะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลยที่จะเพลิดเพลินไปกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ จงมีความสุขไปกับมัน

The signs of awakening consciousness are everywhere. More people are waking up to see that the practices of those who have not taken the well being of the Earth and humankind into their quest for profits and power must change and they are speaking up and coming together to insist on a different way. Through these actions, more of humankind is beginning to see that in unity of the souls inhabiting the physical form is the answer to the restoration of the Earth and all of her inhabitants. When the majority of humanity says enough is enough, we want a different way, it is then the next step forward will take place.
สัญญาณการตื่นขึ้นของความตระหนักรู้มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ผู้คนจำนวนมากเริ่มตื่นตัวและหันมาดูกาีรกระทำของกลุ่มคนที่ต้องการเพียงผลประโยชน์และอำนาจโดยไม่ใส่ใจถึงสภาพการเป็นอยู่ที่ดีของโลกและเพื่อนมนุษย์เลย มันจะต้องถูกปรับเปลี่ยน พวกเขาก็กำลังลุกขึ้นและรวมตัวเพื่อเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูป ด้วยการกระทำเช่นนี้ มันจะทำให้คนอื่นๆ ได้เริ่มเข้าใจว่าการร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวของมนุษย์นั้นคือหนทางที่จะฟื้นฟูโลกและทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลก เมื่อประชาชนส่วนใหญ่พูดว่า „พอกันที พวกเราต้องการระบบใหม่” ตอนนี้แหละที่การพัฒนาจะเริ่มขึ้น

You are working more from the heart than ever before and by following its promptings, you change the course of your own lives and the lives of all upon the Earth. Observe yourselves as the powerful creators you are in truth and move beyond the seeming limitations that are currently before you. You are making a difference and it is now outwardly visible in the world around you. The Light and the Love that you carry and radiate enables others around you to be empowered to remember their divine origin and to seek a better way. Know that you are not alone in this work and that you have many helpers to assist you, so when the way seems long, just ask us for assistance. It is our honor and our pleasure to be of service to you.
เธอทำสิ่งต่างๆ ตามสัญชาตญาณมากกกว่าแต่ก่อน การทำตามใจปรารถนานี้ เธอเปลี่ยนได้วิถีชีวิตของเธอและของคนอื่นๆ ทั้งโลก จงเฝ้าดูตัวเธอเองในบทผู้สร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่อย่างที่เธอเป็นอย่างแท้จริงและก้าวข้ามสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นข้อจำกัดที่อยู่ตรงหน้าเธอไป เธอทำให้เกิดความแตกต่างและตอนนี้ความแตกต่างที่ว่าก็ปรากฏออกมาให้เห็น แสงสว่างและความรักของเธอที่สว่างไสวนั้นช่วยให้คนอื่นๆ รอบข้างเธอถูกกระตุ้นให้ระลึกถึงตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงของพวกเขา เพื่อให้พวกเขาค้นหาทางเลือกที่ดีกว่า ขอให้เธอรู้ไว้ว่าเธอไม่ได้ทำหน้าที่นี้อย่างโดดเดียว มีผู้ช่วยมากมายที่พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วย ดังนั้น ถ้าเธอเกิดท้อใจขึ้นมา จงขอความช่วยเหลือจากเรา เรารู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือเธอ

Until next week…
เจอกันสัปดาห์หน้า…

I AM Hilarion
เราคือฮิลาริออน

©2013 Marlene Swetlishoff/Tsu-tana (Soo-tam-ah) Keeper of the Symphonies of Grace

Permission is given to share this message as long as the message is posted in its entirety and nothing has been changed, or altered in any way and Scribe's credit, copyright and website is included. WELCOME! - The Rainbow Scribe

Thank you for including the above website link when posting this message.

 

ใช้ชีวิตแบบให้รื่นไหลไปตามกระแสพลังงาน ไม่ต้าน ไม่ฝืน
แล้วเหตุการณ์ที่เป็นความบังเอิญแบบเหลือเชื่อ มันก็จะเกิดขึ้นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
มันจะบังเอิญมาประจวบเหมาะกันพอดี แบบสอดรับกันได้ลงตัว
แล้วเราก็แค่คอยดูมัน คอยแสดงบทบาทที่สมควรแสดงต่อไป
โดยมี "ใจ" เป็นฐาน มี "ความรัก - ความเมตตา" เป็นพลังงานขับเคลื่อน

เหตุการณ์ที่เรียกว่า การเปลี่ยนแปลง หรือ อะไรก็ตามแต่
มันเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งที่จะต้องมีอยุ่แล้ว ในจักรวาลนี้
เพราะฉะนั้น จงยอมรับ ยอมให้มันเกิด ยอมให้มันเปลี่ยน
ทั้งนี้ก็เพื่อการชำระสะสางตัวเราเอง จนถึงรากเหง้าของความเป็นเรานั่นเอง
เพื่อรองรับระบบปฏิบัติการใหม่ รองรับคลื่นพลังงานที่มีความสั่นสะเทือนใหม่ๆ
ที่สูงขึ้น ที่จะเข้ามาอยู่แทน ต่อไป..

เตรียมตัวพบกับพลังงานอีกระลอกหนึ่งที่สำคัญมากๆของปีนี้
ในช่วงวันที่ 21 มีนาคม นี้นะครับ..ฤดู Equinox

................................................

 

ช่วงนี้รู้สึกยุบๆๆยิบๆๆๆกลางกระหม่อมตลอดเวลา...ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับเรา

 

จักระโดนกระตุ้นรึเปล่าค่ะ? ...แแแแแแแแแฮ่
ต้องรอผู้รู้มาตอบ

 

วิษุวัต - วิกิพีเดีย

Equinox

น่าจะเป็นวันนี้ ตอนเย็นๆนะครับ อิอิ ปี 2556 เวลา 11.02 น. กรีนีช ในไทยก็ + 7 หรือ +6 ไม่แน่ใจ

 

ของผมก็เป็นครับ เป็นทุกวันบ่อยมาก มีทั้งแรงทั้งเบา มีแบบวิ่งได้ด้วย วิ่งจากจุดนั้นไปจุดนี้ เป็นแบบอยู่ดีๆก็เป็นแต่พอเอาจิตไปมองที่มันมันก็จางหายไป มีหลายจุดที่เป็น
มีกลากกระหม่อม (ตาสาม) ขมับด้านขวา(เป็นทีแรงมาก ถึงเจ็บ) ปลายจมูก
ใครที่มีความรู้ช่วยอธิบายไห้หน่อยครับอยากรู้ (ผมนั่งสมาธิมาหลายปีแล้วครับแต่นั่งบ้างไม่นั่งบ้าง) ครับ

 

--------------------------------------------------
ร่างกายแต่ละส่วนกำลังปรับระดับขึ้นครับเนื่องจากตั้งแต่วันที่ 21/12/2012 เป็นต้นมาโลกจะเข้าสู่การเคลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงกว่าหากคุณตา่มอ่านกระทู้ที่ผ่านๆมา คุณก็จะเข้าใจอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยผมแนะนำ และคุณก็จะทราบวิธีปฎิบัติ กับการเปลี่ยนแปลงทางมิติของเราที่มีผลต่อตัวคุณเองอย่างถูกต้องที่สุดครับ
ส่วนเรื่องการที่คุณเอาจิตกำหนดความรู้สึกระหว่างการเปลี่ยนแปลงของคุณแล้วความรู้สึกนั้นหายไปนั้น มันเป็นเรื่องของการฝึกสมาธิกรรมฐานทางจิตเพื่อให้จิตคุณหลุดพ้น ไปนั้นมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการเคลื่อนหรือสั่นในส่วนต่างๆของร่างกายคุณระหว่างการปรับพลังงานในร่างกายคุณ มันคนละเรื่องเดียวกันครับ ที่คุณ pcgclub มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นก็เพราะคุณนั้น ได้มีนั่งสมาธิบ่อย อย่างที่คุณกล่าวไว้จนจิตนิ่งไประดับหนึ่งแล้ว มันเป็นเรื่องของเวทนาครับ แท้จริงแล้วเมื่อคุณใช้จิตกำหนดรู้ที่ใดก็จะเข้าใจว่้านั้นไม่ใช่ของจริง แท้จริงแล้วตัวเรากำลังเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เมื่อกำหนดความรู้สึกไปที่จุดใดคุณจะทราบการเกิดดับของจุดนั้นทันที จิตเรานั้นมีกิเลสมากครับเรากำหนดรู้ได้ส่วนน้อยครับ เป็นเพียงจิตที่ปรุงแต่งขึ้น หากเราไม่มีสติกับสมาธิการเกิดขึ้นของเจตสิกอารมณ์ต้่างๆจะเกิดขึ้นไว้มากๆ ครับหากจิตคุณนิ่งจิตจะย้อนกลับครับและยิ่งมี สมาธิ+วิธีกรรมฐาน ที่ถูกจิตจะย้อนกับไว้กว่าการปฎิสนธิทางจิตของอารมณ์ความรู้สึกต่างๆที่คอยเกิดขึ้นมา หรือจะพูดอีกอย่างก็คือจักระของคุณจะย้อนกลับจนปิดจักระแต่ละส่วน ทั้งหมดที่มี 7 จักระก็คืออาการเดียวกันนั้นเอง ''ผมแนะนำให้คุณศึกษาเรื่องเวทนาและขันธ์ 5 ให้ละเอียดคุณจะทราบในเรื่องของการที่คุณเอาจิตไปกำหนดรู้มัน'' ผมพอจะทราบเวลาคุณนั่งสมาธิจนสงบคุณจะรู้ถึงอาการเกิดขึ้นของความรู้สึกต่างๆในร่างกายคุณทันที เช่นอาการคันตามจุดต่างๆ อาการเมื่อยล้าตามส่วนต่างๆ ในร่างกายคุณหากคุณสังเกตุดีดี มันจะมีมาให้เรากำหนดรู้ แบบไม่รู้จบมันจะเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากอธิบายตามความรู้สึกของคนที่กำหนดรู้เช่น พอเกิดอาการความรู้สึกทางร่างกายเกิดขึ้นคุณแล้วคุณก็เอาจิตไปกำหนดรู้มัน รู้สึกตรงไหนก็หายทันที จริงแล้วเรื่องของจิตนั้นเป็นเรื่องที่รับรู้ได้เฉพาะตนจริงๆ ยากที่จะอธิบายให้คนเข้าใจได้ ต้องปฎิบัติเองแล้วจะทราบ เรื่องจักระแลดูจะเป็นสากลไปสักหน่อย แต่เมื่อประยุกต์ความรู้ในโลกต่างๆ มารวมกันและใช้อย่างถูกวิธีมันจะทำให้เรานั้นรู้หลากมิติ...

 

ท่านมิคาเอลบอกว่า จุดหมายของการฝึกฝนของพวกเรา
ถ้าอธิบายความเชื่อมโยงในทางกายภาพ กับ ทางการรู้แจ้งแล้ว ก็จะประมาณว่า..

เปิดจุดเชื่อมต่อกับเบื้องบน หรือ เปิดประตูมิติที่อยู่ภายในกายของเราเองนี่แหละขึ้นมา
เพื่อเชื่อมต่อกับ "ตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา" (Higher Self)..และเชื่อมต่อร้อยขึ้นไปเรื่อยๆ
ไล่ไปจนถึง "จิตวิญญาณต้นธาตุ" (Over Soul) หรือ Root Soul ของเราเอง
แล้วก็ไล่ไปจนถึงพระผู้เป็นเจ้า (GOD) และพระผู้สร้าง (the Supreme Creator) ในท้ายที่สุด

"ประตูมิติ" ที่อยู่ภายในร่างกายของเรานั้น เรามีกันอยู่ทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรายังเปิดมันไม่ได้เท่านั้นเอง
เพราะว่ามันต้องใช้ "คำสั่ง" ไปเปิดมัน ซึ่งเราจะ "สั่ง" มันได้ เราก็ต้องสามารถ "สื่อสาร" กับมันได้ก่อน

DNA ในร่างกายเนื้อของเรา แท้ที่จริงแล้ว มันคือ DNA หลากมิติ ที่ไม่ได้มีแค่ 2 เกลียว
เท่าที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ หรือ ด้วยวิธีการทางกายภาพนี้เท่านั้น
เพราะว่ามันคือ DNA หลากมิติ ที่มีจำนวนเกลียวที่อยู่ในมิติอื่นๆด้วย รวมทั้งหมด 12 เกลียว
และแต่ละเกลียว ก็ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับมิติที่แตกต่างกันด้วย..เพราะว่ามนุษย์ถูกออกแบบมา
ให้เป็นรูปธรรมชีวิตหลากมิติอยู่แล้ว ดังนั้น ใครจดจ่อหรือสื่อสารกับมิติที่สูงๆกว่าขึ้นไป ไปได้กว้างไกลมากเท่าไหร่
คนๆนั้นก็จะยิ่งมีความรู้ ความคิด ระดับจิต ภูมิปัญญา ความสามารถ และศักยภาพสูงส่งมากเท่านั้นด้วย

หมายเหตุ: อนุภาคขนาดเล็กๆ ที่เล็กกว่าอะตอมทั้งหลาย ที่เราเรียกกันว่า Sub-atomic particle นั้น
มันคืออนุภาคที่มีคุณสมบัติเป็นอนุภาคควอนตัม (Quantum) ซึ่งมันเป็นได้ทั้งอนุภาคและพลังงาน
นั่นคือมันสามารถอยู่ใน ไปได้ ในทุกๆมิติ และครายออนหรือใครนะ ก็เคยบอกไว้ว่า อนุภาค DNA
ก็เป็นอนุภาคระดับควอนตัม และ มีคุณสมบัติของควอนตัมด้วย

สรุปว่า DNA ของเราเอง ก็คือประตูมิติชุดหนึ่งภายในร่างกายเนื้อของเรานั่นเอง
แต่นี่ก็ยังไม่หมด..เพราะว่าประตูมิติในร่างกายเนื้อของเรา ก็ยังมีอีกหลายชุด
เช่น สมอง, จักระ, และหัวใจของเราเอง เป็นต้น

สมองก็มีส่วนที่เป็นประตูมิติอยู่หลายจุด เช่น ต่อมไพเนียล, ต่อพิทูอิตารี่ เป็นต้น
ซึ่งทุกๆประเภทของประตูมิติที่กล่าวมานี้ มันก็จะมีวิธีการ "เปิด" ของมันเองอยู่ด้วย
และวิธีการที่สำคัญมากวิธีการหนึ่งก็คือ "การทำให้คลื่นสมองอยู่ในระดับอัลฟ่า" ขึ้นไป
นั่นหละ เราถึงจะเริ่มสื่อสารกับ DNA, กับสมอง และกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของเราเองได้

ซึ่งวิธีการที่จะทำให้คลื่นสมองไปอยู่ในระดับอัลฟ่าได้นั้น ก็ต้องทำให้ "จิต" ซึ่งเป็นส่วนของ
สมองส่วนใหญ่ของเรา สงบ และ หยุดพูดเพ้อเจ้อ หยุดชี้นำเราด้วยความคิด-ความเห็น ที่บิดเบือนของมันเองซะที
เพราะว่าเจ้า "จิต" นี่แหละ คือส่วนที่คอยไปรับรู้เรื่องราวต่างๆมาแล้วมาปรุงแต่ง เป็นฐานความรู้
เป็นฐานความเชื่อ และเป็นนิสัยสันดานของเรา ซึ่งตามความเข้าใจของผม ผมเข้าใจว่า
มันน่าจะหมายถึง "กิเลศ" อะไรแบบนั้นหนะครับ..พวกต่างมิติเขาเรียกว่า Lower Mind
คือจิตฝ่ายต่ำ ..ดังนั้น ต้องหยุด และ ระงับ การทำงานของมันเอาไว้ซะก่อน

ก็โดยการ "ทำใจให้ว่าง" ทำใจให้สงบ - ให้นิ่ง นั่นเอง..ดังนั้น วิธีการปลีกย่อย ที่ทั้งโลกมีสอนกันอยู่นี้
ถ้าตามนัยยะนี้ และ เพื่อวัตถุประสงค์นี้..วิธีการอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ใช้ได้หมดนั่นแหละ

ไม่ว่าจะเป็นการบริกรรมคำใดคำหนึ่งซ้ำๆซาก จนทำให้สมองซีกซ้าย ซึ่งมันชอบคิดถึงแต่อดีตและอนาคต
และชอบวิเคราะห์วิจารณ์เป็นปกติของมันอยู่แล้ว เกิดอาการ "ถูกน็อก" ขึ้นมา
เพราะว่าพอเราบริการ หรือ ทำอะไรซ้ำๆซากอยู่ตลอดแบบนั้น มันก็ไม่มีโอกาสได้แสดงบทบาทของมัน
เพราะว่ามันไม่ถนัดอยู่กับ "ปัจจุบันขณะ" ที่เราพยายามดึงเอาไว้อยู่นั้น มันก็เลยอ่อนล้าไป
ดังนั้น เพราะว่าสมองเราต้องทำงานอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว พอสมองซีกซ้ายล่าถอยไป
ก็เลยเป็นโอกาสให้สมองซีกขวา ได้ทำงานบ้าง ทีนี้หละ การหยั่งรู้ ความรู้สึกปลาบปลื้มปิติก็จะบังเกิดขึ้น
เพราะว่ามันเป็นคุณลักษณะของสมองซีกขวาอยู่แล้ว..คือสมองแห่งการหยั่งรู้ด้านจิตวิญญาณ
และแล้ว..เมื่อสมองซีกขวาทำงานแล้ว ตัวเราเองเข้าสู่สภาวะ สงบ สุข และปีติแล้ว
เมื่อนั้นหละ ต่างมิติบอกว่า ตอนนั้นหละ คือตัวตนที่แท้จริงของเราแล้วหละ
เพราะว่าเราคือพลังงานแห่งความรัก และ แสงสว่าง สภาวะจริงๆของเราก่อนที่จะถูกจิตปรุงแต่งให้เศร้าหมอง
ก็คือสภาวะนั้นนั่นเอง..แล้วจากนั้น กระบวนการเชื่อมต่อ ก็จะสามารถเริ่มต้นขึ้นได้
เพราะว่า "ทางฝากฝั่งโน้น" คือตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา จิตวิญญาณต้นธาตุของเรา
พระผู้เป็นเจ้า พระผู้สร้าง (หรือพุทธจิตของเรา อะไรก้ตามแต่ แล้วแต่จะเรียก)
รอคอยที่จะเชื่อมต่อกับเราตลอดเวลาอยู่แล้ว และพวกท่าน ก็จะสานต่อจากเราเอง

แต่ถ้าเราใช้วิธีการทำสมาธิแบบอื่นๆ เช่น แบบกำหนดสติรู้ตัวทั่วพร้อม ก็อีกนั่นหละ
นี่ก้คือการดึงให้ตัวเองอยู่กับปัจจุบันขณะทางหนึ่ง และก็คือการพยายามระงับเจ้าสมองซีกซ้ายไว้
เพื่อเปิดการทำงานของสมองซีกขวาขึ้น อย่างมีสติสัมปชัญญะ (ไม่ใช่ว่าจะยอมให้มันทำงานได้
ก็เฉพาะในเวลาที่เราหลับเท่านั้น) และอีกทางหนึ่ง ก็เป็นการ "ground" ตัวเอง
หรือใช้คำว่า "ตรึง" ตัวเราเอง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเอง ก็คือ "จิตวิญญาณ"
ซึ่งเป็นพลังงานล้วนๆ ให้อยู่กับ "ร่างกายเนื้อ" นี้ ให้เชื่อมโยง และประสานการทำงานกับร่างกายเนื้อนี้
ให้ได้มากที่สุดด้วย ซึ่งเมื่อเราทำเช่นนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่า เราและร่างกายเนื้อนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน
แล้วการสั่งการสั่งงานอะไรมัน มันก็จะเป็นไปได้ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

ส่วนถ้าเราใช้วิธีการนั่งสมาธิแบบไล่เคลียร์จักระไปทีละจักระ โดยจินตนาการถึงแสงสว่าง
อยู่ที่จักระต่างๆ ไล่ลงมาจาก 7 ถึง 1 อะไรแบบนั้น ก็เช่นกันครับ ทางหนึ่งคือดึงสติให้อยู่กับปัจจุบันขณะ
และอีกทางหนึ่งก็คือ เรากำลังใช้ "แสงสว่าง" และ บางคนอาจจะนึกถึง "สี" ต่างๆไปด้วย
เพื่อบำบัดรักษา และ เพื่อ "ชำระล้าง" ระบบจักระ ซึ่งเป็นศูนย์กลางพลังงาน และเป็นประตูมิติ
ของเราเองอยู่

ต่างมิติพูดไว้ว่า ถ้าพวกเรามีความตระหนักรู้มากขึ้นกว่านี้แล้ว พวกเราจะมีความคิดและความเข้าใจ
เกี่ยวกับเรื่อง "แสงสว่าง" "สี" และ "เสียง" ในแบบที่แตกต่างไปจากนี้มากๆเลย
เพราะว่าพวกเราจะตระหนักรู้ได้ว่า สิ่งเหล่านี้สามารถบำบัดรักษาร่างกายเนื้อของเราเองได้จริงๆ
ไม่ว่า แสง, สี และ เสียง ที่ว่านั้น จะเป็นของทางกายภาพจริงๆ หรือ มาจาก "จินตนาการ" ของเราเองก็ตาม
เพราะว่าของเหล่านี้ มันมีธรรมชาติเป็นของหลากมิติอยู่แล้ว แปลว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะทางและกาลเวลา
และสิ่งที่อยู่ในความคิดของเรา ก็คือรูปแบบของพลังงานอย่างหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้น มันจึงให้ผลได้ไม่ต่างกัน
และอีกอย่างหนึ่ง ต่างมิติหรืออาจจะเป็น Almine เคยบอกไว้ว่า เวลาเราจะเจ็บป่วยอะไรนั้น
มันจะเกิดความผิดปกติขึ้นมาในระดับพลังงานก่อน คือเกิดการอุดตัน หรือติดขัดด้านพลังงาน
ในกายทิพย์ชั้นต่างๆ ชั้นใดชั้นหนึ่งของเราก่อน แล้วมันจึงจะแสดงออกมาด้านกายภาพ หรือกายเนื้อทีหลัง

เพราะว่ากายทิพย์ของเราเอง ก็มีหลายชั้น ทุกๆชั้นจะแทรกซึมอยู่กับกายเนื้อของเรา
แล้วแผ่ออกไปรอบๆกายเนื้อของเรา ด้วยรัศมีความกว้าง ไกลไม่เท่ากัน และกายทิพย์แต่ละชั้น
ก็ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆไม่เหมือนกัน เช่น กายแห่งอารมณ์ ก็จะอยู่ชั้นในสุด
และทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกของเราซะเป็นส่วนใหญ่ และก็เป็นชั้นที่เก็บสะสม
พลังงานแห่งกรรมของเราเอาไว้ ข้ามภพข้ามชาติมาซะด้วย

กายทิพย์ชั้นนอกๆ เช่น ชั้นที่ 5 จะทำหน้าที่รับส่งพลังงานชีวิตของเรา จากตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา
มาสู่กายเนื้อของเรา เพราะถ้าขาดการหล่อเลี้ยงด้วยพลังงานชีวิตแล้ว กายเนื้อของเราก็จะตายไป
ดังนั้น ถ้ากายชั้นนี้ติดขัด ทางเดินพลังงานเกิดอุดตันขึ้นมา การไหลเข้ามาของพลังงานชีวิต ก็จะน้อยลงตามไปด้วย

ดังนั้น พอเราชำระล้างระบบจักระของเราไปได้สะอาดระดับหนึ่งแล้ว พลังงานชีวิตก็จะหลั่งไหลเข้ามาสู่เราได้สะดวกขึ้น
และการเชื่อมต่อกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา (ซึ่งปกติเราก็เชื่อมต่ออยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่แค่เราไม่มีสติรู้เท่านั้นเอง)
ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย แล้วความคิด ความอ่าน ความรู้ ความเข้าใจ และฯลฯ ของเรา
ก็จะมาจากเบื้องบนโดยตรง

และเมื่อระบบจักระของเราสะอาดดังว่าแล้ว จักระของเราก็จะสว่างมากขึ้น แผ่ออกไปกว้างไกลมากขึ้น
และในที่สุด ทุกๆจักระ ที่นอกเหนือจาก 7 จักระ ก็จะเปิดขึ้นมา จนครบทั้ง 12 จักระด้วย
และเมื่อแสงสว่างของจักระทั้งหมดมันแผ่กว้างไกลมากขึ้นจนถึงจุดๆหนึ่งแล้ว จักระทั้งหมด
ก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ประหนึ่งว่าเป็นแค่จักระเดียว คือเป็นรัศมีแห่งแสงสว่าง
แผ่กว้างไกลคลุมกายเนื้อของเราเอาไว้แค่วงเดียว เท่านั้นเอง
อย่างที่เราเห็นในภาพวาดของท่านผู้รู้แจ้งแล้วทั้งหลายนั้นแหละครับ



(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

หมายเหตุ: ท่านเมตาตรอนเคยบอกไว้ว่า ระบบจักระที่เปิดครบทั้ง 12 แล้ว
และเชื่อมโยงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแบบนี้ได้แล้ว ท่านเรียกว่า
ระบบจักระแบบ 13-20-33 ซึ่งผมก็จำได้ไม่หมดว่า เลขแต่ละตัวคืออะไรบ้าง
จำได้แต่ว่า 13 คือ จักระทั้ง 12 รวมกันจนเป็น 1 => 12+1 = 13
ส่วน 20 น่าจะเป็นระบบกายทิพย์ของเรา ส่วน 33 คือทั้ง 2 ระบบรวมกัน

และนี่แหละ คือเป้าหมายของการเลื่อนระดับขึ้นของมนุษยชาติในรอบนี้แหละครับ

ผมถึงเคยพูดไว้ไงครับว่า ตามนัยยะของท่านเมตาตรอนแล้ว การเลื่อนระดับขึ้นในครั้งนี้
ถ้าเทียบกับทางพุทธแล้ว น่าจะหมายถึง "การบรรลุอริยธรรม" ขั้นใดขั้นหนึ่ง ของมวลหมู่มนุษยชาติเลยทีเดียว


แต่ตามความเข้าใจของผม และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้พูดถึงทุกแง่ทุกมุมก็ตาม แต่ผมก็อยากจะบอกไว้ด้วยว่า
ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยวิธีใดก็ตาม แต่ผมพวงของสิ่งที่จะเกิดขึ้นทางกายภาพ ก็จะ้เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน

เช่น แม้ว่าเราจะฝึกสมาธิแบบไล่จักระ แต่ผลพวงของมัน ก็จะทำให้สมองทั้งสองซีกของเราเชื่อมต่อกันได้เหมือนกัน
และต่อมต่างๆในสมอง ก็จะถูกกระตุ้นให้เปิดได้เหมือนกัน รวมถึง DNA ของเรา ก็จะถูกกระตุ้นได้เหมือนกันด้วย

เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้ ท่านต้องนึกถึงเรื่อง "พลังงาน" เป็นหลัก ท่านอย่าไปนึกถึงแต่อะไรที่มันเป็น
เรื่องของขนบ ธรรมเนียม ประเพณี ลัทธิ ความเชื่อ และศาสนา นะครับ


ปล.1: ข้อมูลที่ผมอธิบายมาทั้งหมดนี้ อาจจะไม่ถูกต้องเป๊ะๆทั้ง 100% หนะนะครับ
แต่ผมคิดว่า ก็น่าจะคร่าวๆ ราวๆนี้แหละครับ

ปล.2: กระทู้ต่างๆที่กล่าวถึงข้อมูลที่ผมยกมาอธิบายนี้ก็ได้แก่

ข้อความจากต่างมิติ-เกี่ยวกับปี-2011-เลข-11-11-และ-dna-ทั้ง-12-ชั้น

http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ี-2011-เลข-11-11-และ-dna-ทั้ง-12-ชั้น.299202/

ข้อความจากต่างมิติ-สมาธิและภาวนา-ในมุมมองของโลกแห่งจิตวิญญาณ-โดย-ครายออน

http://palungjit.org/threads/ข้อควา...มุมมองของโลกแห่งจิตวิญญาณ-โดย-ครายออน.300215/

ข้อความจากต่างมิติ-รวมเทคนิกต่างๆเพื่อช่วยในการยกระดับขึ้นจากท่านมหาเทพมิคาเอล

http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ากท่านมหาเทพมิคาเอล.403530/page-4#post7631428

almine-ผู้เป็นอมตะ-และเป็น-ascended-master-และ-คู่มือการเลื่อนระดับขึ้น-จากเธอ

http://palungjit.org/threads/almine...r-และ-คู่มือการเลื่อนระดับขึ้น-จากเธอ.315634/

ภูมิปัญญาภายใน-กับการทำงานของสมองซีกขวา

http://palungjit.org/threads/ภูมิปัญญาภายใน-กับการทำงานของสมองซีกขวา.261796/

ข้อความจากต่างมิติ-ระบบบันทึกแห่งฟ้า-the-akashic-system-โดยครายออน

http://palungjit.org/threads/ข้อควา...แห่งฟ้า-the-akashic-system-โดยครายออน.284651/

......................................

 

ขอบคุณมากครับ ตรงมากผมก็ติดตามกระทู้ในเว็บมาตลอดครับ ตั้งแต่ได้อ่านกระทู้ของหลายๆท่านมาความคิดของผมก็เปลี่ยนไปอย่างมากจากคนที่ดูถูกเเละเกลียดตัวเอง
กลายมาเป็นรักตัวเองมากขึ้น ผมเป็นคนหนึ่งที่มีอาการจิตพูดคำหยาบ เริ่มเป็นตั้งแต่หัดนั่งสมาธิได้สองเดือน บางครั้งหนักจนนั่งร้องให้อยู่คนเดียวไม่กล้าบอกใคร แต่ปัจจุบันสบายมาก ด่ากันกับตัวเองสุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อนกันครับ มีปัญหาทางใจทีไรเลยไปถามเขาทุกที(ตัวเอง)ขอบคุณครับ คุณ L-Walkers

 

แบบทดสอบสนุกๆครับ ลองดูเล่นๆ
http://blog.eduzones.com/images/blog/snowytest/20110909174028.gif
เพียงแค่มองภาพนี้เท่านั้น แล้วตอบว่า คุณเห็นภาพนี้หมุนทวนเข็ม หรือ ตามเข็มนาฬิกา...





พอได้คำตอบแล้วมาเฉลยกันดีกว่า

แบบ A เห็นทวนเข็มแสดงว่า ใช้สมองซีกซ้ายมากกว่าซีกขวา
แบบ B เห็นตามเข็มแสดงว่า ใช้สมองซีกขวามากกว่าซีกซ้าย

แล้วมันเป็นยังไงหรือ นี่ไง...


แบบ A สำหรับคนที่ใช้สมองซีกซ้ายมากกว่า .. คุณมีแนวโน้มที่จะ ...
• ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล
• สนใจรายละเอียด
• อยู่บนพื้นฐานของความจริงมากกว่าการคาดการณ์
• มีความสามารถในการเลือกใช้ศัพท์และมีความสามารถทางภาษาศาสตร์
• สนใจในอดีตมากกว่าอนาคต
• มีความสามารถทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
• มีความสามารถในการทำความเข้าใจเรื่องที่มีความซับซ้อนได้เร็ว
• รอบรู้
• ยอมรับผู้คนหรือเรื่องราวใหม่ๆได้ง่าย
• มีระเบียบวินัย
• จดจำชื่อต่างๆได้ดี
• อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง
• วางกลยุทธ์ต่างๆได้ดี
• เน้นผลในทางปฎิบัติ
• ปลอดภัยไว้ก่อน

แบบ B สำหรับคนใช้สมองซีกขวามากกว่า .. คุณมีแนวโน้มที่จะ …
• ให้ความสำคัญกับอารมณ์และความรู้สึก
• ตัดสินใจจากภาพรวมมากกว่ารายละเอียด
• มีจินตนาการสูง
• มีความสามารถในทางตรรกศาสตร์
• สนใจอนาคตมากกว่าอดีต
• สนใจในทางปรัชญาและศาสนา
• เข้าใจประเด็นที่คนอื่นต้องการสื่อสารได้ดี
• ลึกซึ้งต่อเรื่องต่างๆ
• เป็นที่นิยมชมชอบ
• โยงประเด็นและความเกี่ยวเนื่องของเรื่องราวต่างๆได้ดี
• ชอบฝันเฟื่อง
• ประเมินผลกระทบสำหรับทางเลือกต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
• คึกคะนอง ... หรือในบางกรณีมุทะลุ
• เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน

 

มองเห็นหมุนทวนเข็ม และหมุนตามเข็ม สลับกันไปมาค่ะ

 

สลับกันครับเปลี่ยนเร็วบ้างช้าบ้าง

 

ผมมองเห็นแบบ B อย่างเดียว

 

1.ถ้าต้องการเปลี่ยนภาพที่หมุนตามเข็มนาฬิกาให้หมุนทวนเข็มนาฬิกา
เมื่อปลายเท้าหมุนมาไกล้จะถึงขอบซ้ายสุดของภาพ ให้เลื่อนสายตาลงมาดูที่เงาของปลายเท้า ที่กำลังลับหายไปทางด้านล่างสุดของภาพ
2.ถ้าต้องการเปลี่ยนภาพที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาให้หมุนตามเข็มนาฬิกา
เมื่อปลายเท้าหมุนมาไกล้จะถึงขอบขวาสุดของภาพ ให้เลื่อนสายตาลงมาดูที่เงาของปลายเท้า ที่กำลังจะโผล่ขี้นมาจากขอบล่างสุดของภาพ

 

เห็นหมุนตามอย่างเดียว (B)

 

.
เล่นด้วยคนนะครับ

ปกติจะเห็นหมุนตามเข็มตลอด
แต่ถ้าละสายตาไปทางขวามือของจอภาพ
พร้อมสั่งตัวเองให้มองเห็นกลับทาง ก็จะทำได้
จะมองเห็นภาพหมุนทวนเข็มทันที
แต่ถ้าละสายตาปุ๊บ ภาพจะหมุนตามเข็มอีกแล้ว