จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตเกาะพระ สอนอะไรเราบ้าง?
    ใครไม่จบ! แต่พี่ภูจบแร๊ะ!
    บางคนอยากให้ผมเป็นนักแสดง ก็จัดให้ตามนั้น จะได้ถูกใจ
    ผมก็เลยแสดงทั้งหนังในจอ (เรื่อง..ทวิภพ) และนอกจอ (เรื่อง..เรารู้กันอยู่สองคน สองคน เท่านั้น?)
    พอแสดงจบทั้งในจอและนอกจอแล้ว ก็เหลือคนดูเพียงไม่กี่คน

    เห็นรึยัง..ความไม่เที่ยงบนโลกวัฎฎสงสารนี้
    ทั้งหมดนี่แหล่ัะ ก็คือ ธรรมชาติ
    กฎธรรมชาติ นี่แหล่ะ ก็คือ ธรรมะ
    ธรรมะ นี่แหล่ะ ก็คือ ธรรมดา
    และกฎธรรมดา นี่แหล่ะ ก็คือ กฎไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์ นี่เอง

    ผู้ใด สามารถมองเห็นความเกิด-ดับของธรรมหรือสรรพสิ่งในสมมุติ(ทั้งรูปนาม)ทั้งหลาย ทั้งปวงกันได้
    ผู้นั้น ย่อมเห็นธรรมะ เห็นธรรมดา หรือ เห็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์ นั่นเอง
    แต่ต้องใช้จิตที่มีปัญญาหรือปัญญาญาณ ดูธรรมต่างเหล่านี้นะ
    เพราะต้องใช้อริยจักษุส่องดู ถึงจะเห็น ถึงจะรู้ และเป็นจริงตามนั้น

    แต่ก็ดีเหมือนกันนะ เมื่อเรียนจิตเกาะพระจบแล้ว ก็ถูกทดสอบจิตทันทีเลยเหมือนกัน(ทันควัน)
    เมื่อเหตุการณ์จบหรือสงบลงแล้ว ขอให้ทุกท่านหันมาตอบตนเองว่า..
    ตัวของเราเองนั้น สอบผ่านไหม๊? แต่อย่าไปสนใจคนอื่นว่า..มีใครบ้าง ที่สอบ หรือที่สอบไม่ผ่าน
    สำหรับคนที่สอบไม่ผ่าน ก็ให้กลับไปลงทะเบียนเรียนหรือทบทวนกันใหม่
    คนที่สอบไม่ผ่าน ถือว่ายังโชคดี เพราะมีลมหายใจ ยังไม่สายเกินไป
    แต่ถ้าสอบไม่ผ่าน แล้วเกิดตายก่อน ทำไงดี ใครก็ช่วยไม่ได้เด้อ

    "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
    ธรรมอันนี้ก็น่าจะดีที่สุดแล้ว เพราะในสถานการณ์เยี่ยงนี้

    เตือนจิตกันได้แค่เนี๊ย พูดมากไปกว่านี้ไม่ได้ ต่อไปจะไม่สอนใครแร๊ะ
    เดี๋ยวจะหาว่าไปดูถูกสติปัญญากันเองอีก ยิ่งพูดมากก็จะผิดมาก ไม่พูดก็ไม่ผิด นั่นเอง

    ทำไม๊ มาพูดกันแบบนี้ แต่ถ้าเราเก่งแล้ว ทำไม๊ ไม่ไปปฎิบัติด้วยตนเองซะเลยหล่ะ หมดเรื่อง หมดราว
    ที่พูดมากนี่ มุ่งหวังให้พวกเรา(เฉพาะจิตบุญเท่านั้น)ปรับระดับจิตใจให้สูงยิ่งๆขึ้นไป
    ทีจิตบำเพ็ญ ช่วยกันกระทุ้งจนล่วงคากระทู้เลย แต่ยังไม่ตาย
    พอเป็นจิตบุญเข้าหน่อยเดียว ทำเป็นแตะไม่ได้ อย่าเป็นจิตบุญเจ้านายหรือคุณนายกันเลย
    เพราะพวกเรามาปฎิบัติธรรม เพื่ออะไร??? (ตอบตนเอง)
    หรือว่าจะมาเอาแต่คำพูดหวาน คำชม เพียงอย่างเดียวอย่างนั้นหรือ?

    ตอนนี้ลองหันมาถามใจตนเองกันนะว่า เราเป็นหรือรู้สึกทุข์กับเหตการณ์ที่เกิดขึ้นไหม๊?
    แต่ถ้าจิตใครไม่นิ่ง วิ่งตามความคิดของตนเองเป็นแน่
    และทุกธรรมนั้น ก็สิ้นสุดกันที่หัวลำโพงหรือหมอชิต(ถนนกำแพงเพชร2) ก็คือ สถานีทุกข์ครับ
    ใครที่มีสติสัมปชัญญะ ก็รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบจิตตนเอง และจะไม่วิ่งไปตามความคิดตนเอง
    และไม่ปรุงแต่งอันให้เกิดทุกข์(ซ้ำซาก) จบ.

    เอ๊า! ส่วนที่เหลือกลับบ้านใครบ้านมัน หรือ ถ้ำใครถ้ำมันนะ
    สำหรับผู้ที่กำลังปฎิบัติจิตเกาะพระอยู่ จะต้องมีวินัย คืออย่าไปสนใจจริยาผู้ปฎิบัติท่านอื่นๆ
    ทำไปๆๆ สตินะ..สติ

    ปล. อย่าลืมตอบตนเองนะว่า เรียนจิตเกาะพระแล้วได้อะไรมาบ้าง?
    คงไม่มีใครตอบว่า..ได้เรื่องนะ หรือ ได้ทุกข์มากกว่าเดิม..อิอิ
    นั่นแสดงว่า จิตทิ้งพระ ทิ้งสติ ทิ้งฌานกันแร๊ะ ไม่ได้ทิ้งปล่าวๆ ดันไปวิ่งไล่จับกิเลสกันสนุกสนาน
    สุดท้ายเมื่อความตายมาเยือน จิตเราจะจุติที่ไหนเล่า?
    เรียนจบแทนที่จะเจริญสติภาวนาเป็นนิจ(วสี) ให้เหมือนพระอริยเจ้ากันดิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=5UT82DC3z1I]กำลังใจ..(ดั่งหยาดฝน) - ไม้เมือง 320k.mp4 - YouTube[/ame]
    ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ย่อมไม่ไปหวังพึ่งกำลังใจจากผู้ใด
    เพราะ พึ่งตนเองดีที่สุด

    "อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ"

     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    ภูทยานฌาน2

    เดี่ยวไมโครโฟน เอ๊ย! ภูไมโครโฟน

    ข้าพเจ้าพบแล้ว พบธรรมชาติแล้ว พบธรรมดาแล้ว และพบธรรมะแล้ว
    555+
    แต่ไม่ได้ยึดธรรมใดๆทั้งสิ้น บอกให้รู้ว่าโลกนี้ ไม่เที่ยงๆๆ
    ยอมรับความเป็นจริงของความไม่เที่ยงกันให้ได้เด้อ
    ใครยึดก็ทุกข์กันไป ส่วนใครปล่อยวางเป็น ก็ไม่ทุกข์หรือเฉยๆไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  4. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    พบ ธรรมชาติ ก็พบธรรมะ พบจิตเกาะพระต้องขอบคณ พี่ภูทยานฌาน ฉอง..

    ธรรมะคือของสงบ สุข... ขาดสุข ขาดสงบ..ก็ขาดธรรม
     
  5. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    พุทโธ ๆ ๆ...
    รู้ซะแล้ววววว..
    ว่าความติดใจเพลิดเพลิน..ทำให้เกิดทุกข์..
     
  6. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    พระพุทธองค์ทรงสอน..

    ไม่คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว
    ให้คิดดี พูดดี ทำดี
    อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น สิ่งใด ๆ ในโลก..



    อย่าไปยึดดี

    คิดดี ก็ดับ
    พูดดี ก็ดับ
    ทำดี ก็ดับ
    ยึดเป็นของเราบ่ได้...




    คิดแต่กุศล อย่าให้อกุศลมารบกวนใจ...

    เกิด-ดับ เกิด-ดับ นอนหลับ ก็ดับหมดแล้ว.
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  7. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ความรู้สึกนี้หรือป่าว จับบบ...มือพี่ภู ว้ายยย.. ^^

    <iframe width="220" height="115" src="http://www.youtube.com/embed/jpiToAlxvTU" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถูกต้องแล้วครับ!
    เอ๊า! เธอสบายดีนะ เธอไปอยู่ที่ไหนมา ตลาดวายหมดแล๊วว

    แต่ถามว่า..ตัวเราหรือว่าใคร ที่ไม่สุข ที่ไม่สงบและธรรมของใคร

    เพราะว่า คำว่า "ธรรม" เป็นของกลางๆ เห็นมีแต่จิตใจคนเรานี่แหล่ะ ที่ไม่กลาง
    เหตุเกิดจากจิตไม่นิ่งพอ แล้วไปวิ่งตามความคิด +ฟุ้งซ่าน+ปรุงแต่งและผลที่ได้รับ ก็คือ ทุกข์

    ไม่มีผู้ใด ไปห้ามความคิดและไปปิดประตูอายตนะทั้ง6 ของคนเราได้
    ยกเว้น ผู้ที่ออกจากทุกข์ได้เอง เพราะฝึกจิตมาดี หรือ แยกกาย แยกจิต(เด็ดขาด)
    และสุดท้ายเห็นแต่...ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป...

    แต่ถ้าเราปฎิบัติธรรมถูกต้อง ผลที่ได้รับ ก็คือ ความสุขและความสงบอย่างแน่นอน (สำหรับผู้ที่เข้าถึงธรรมะ)
    แต่ถ้าปฎิบัติไม่ถูกต้อง ผลที่ได้รับก็จะออกมาตรงกันข้าม นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ธรรมจึงมีทั้งสุขและทุกข์

    คำว่า "ถูกต้อง" ในที่นี้หมายถึง เดินมรรคให้ถูกต้อง มิใช่เดินถูกใจตนหรือผู้อื่น

    ปล.สติใครสติมันต้องทำให้เกิดบ่อยๆเอง จิตใครจิตมันต้องดูแลกันเอง เด้อพี่ๆน้องๆ
    ขอโทษด้วย ถ้าตอบไม่ถูกใจหรือล่วงเกินจิตผู้ใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=NM-op8xRQz4]เพลงนี้เพื่อเธอ ไม้เมือง HD - YouTube[/ame]​

    เพลงนี้ ไม่เกี่ยวกับ Dj, Poo เปิดให้ฟังเฉยๆ อย่าคิดมากนะ

    เราเป็นผู้ปฎิบัติ ต้องละทิ้งทุกสิ่งให้ได้ โดยเฉพาะอดีต(รัก) เพราะจะเอาอดีตมาตีกินแบบไข่เจียวก็ไม่ได้
    อดีตมีทั้งดีและไม่ดี เพราะนำมาใช้ประโยชน์ปัจจุบันไม่ได้
    ละทิ้งอดีตกันให้ได้นะ แต่ถ้าละยังไม่ได้ เราก็ไม่หลุด ไม่พ้น ต้องทุกข์อยู่แบบนั้น
    จงมีสติกับจิตปัจจุบัน หรือ อยู่กับโลกในปัจจุบัน
    ก็คือ ให้เรามีสติเยอะ ปัญญาจะได้เยอะๆตาม ปัญญาเยอะนี่มันดี เพราะไม่ลังเล คือกล้าตัดสินใจได้เลย ทันที
    ไม่ต้องรอ ไม่ต้องคิด เพราะเรามีตัวรู้รู้ ก็คือ ปัญญา

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้เท่าทันอายตนะและความคิดของตนเอง ก็ไม่ต้องทุกข์แล้ว
    ต่อไปฯ เราแค่ดูมันเฉยๆ ดูเกิดและดับจนเราตาย

    สำหรับคนส่วนใหญ่ที่เป็นทุกข์กัน ก็เพราะว่า จิตไม่นิ่ง(ไม่เป็นสมาธิ ไม่ทรงฌาน)
    จิตก็เลยหลงไปวิ่งตามสิ่งที่กล่าวไป 2 อย่างแล้วนั้น
    นี่คือ ความจริงแห่งธรรม! ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอบพระคุณมากครับ ที่แวะมาเยี่ยว เอ๊ย มาเที่ยว และเวียนมาบรรจบครบรอบพอดี
    หมู่นี้ทำไมท่านไม่เอาปริยัติหรือธรรมะมาฝากกันบ้างเลย หรือว่าต้นมันตายไปแล้ว

     
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    เรียกว่า "เกิดๆ ดับๆ" นี้คืออะไร คืออารมณ์ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ดับแล้วมันก็เกิดขึ้นมา ในทางธรรมะเรียกว่าการเกิดดับ มันก็มีเท่านี้ ทุกข์มันเกิดขึ้นแล้ว ทุกข์มันก็ดับไป ทุกข์ดับไปแล้ว ทุกข์ก็เกิดขึ้นมา นอกเหนือจากนี้ไป ก็ไม่มีอะไรมีแต่ทุกข์เกิด แล้วทุกข์ก็ดับไป มีเท่านี้

    เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตของเราก็จะเห็นแต่การเกิด-ดับอยู่เสมอ เมื่อเห็นการเกิด-ดับอยู่เสมอ ทุกวันทุกเวลา ตลอดทั้งกลางวัน ตลอดทั้งกลางคืน ตลอดทั้งการยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเห็นได้ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆมีแต่เกิด-ดับอยู่เท่านี้เอง แล้วทุกอย่างมันก็จบอยู่ตรงนี้

    เมื่อเห็นอารมณ์เกิด-ดับอย่างนี้อยู่เสมอไปแล้วจิตใจก็จะเกิดความเบื่อหน่าย เพราะเมื่อคิดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากมาย มันมีแต่การเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ดับ มันมีอยู่เท่านี้ ฉะนั้นเมื่อคิดแล้วก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน พอคิดได้เช่นนี้ จิตก็จะปล่อยวางปล่อยวางอยู่กับธรรมชาติ มันเกิดเราก็รู้ มันดับเราก็รู้มันสุขเราก็รู้ มันทุกข์เราก็รู้ รู้แล้วไม่ใช่ว่าเราจะไปเป็นเจ้าของสุขนะ หรือเมื่อทุกข์ขึ้นมา เราก็ไม่เป็นเจ้าของทุกข์เหมือนกัน เมื่อไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์มันก็มีแต่การเกิด-ดับอยู่เท่านั้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไร

    อารมณ์ทั้งหลายที่ว่ามานี้ เหมือนกันกับงูเห่าที่มีพิษร้าย ถ้าไม่มีอะไรมาขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษของมันจะมีอยู่ มันก็ไม่แสดงออก ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่า มันก็อยู่อย่างนั้น

    ดังนี้ ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้ว ก็จะปล่อยหมดสิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ไม่ชอบก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไปมันก็เลื้อยไปทั้งพิษที่มีอยู่ในตัวมันนั่นเอง

    หลวงพ่อชา สุภัทโท
    เทศนาธรรมเรื่อง"อยู่กับงูเห่า"
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้า
     
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    "ทั้งขันธ์หยาบ (รูปขันธ์) ทั้งขันธ์ละเอียด (นามขันธ์) สงเคราะห์ลงในความพังพินาศเสมอกัน ไม่มีใครมีอำนาจราชศักดิ์ไปยึดเอาขันธ์เหล่านี้มาเป็นขันธ์เที่ยง ขันธ์เป็นสุข ขันธ์ไม่มีทุกข์ ขันธ์เป็นอัตตา คือนึกเอาตามใจหวังได้แม้แต่รายเดียว ผู้พิจารณาหยั่งลงถึงไตรลักษณะ ด้วยไตรลักษณญาณจริง ๆ แล้วก็มีอยู่ทางเดียว คือต้องรีบออกไปให้พ้นจากป่าช้าแห่งความเกิดตายทุกประเภทเท่านั้น ไม่ต้องมาเป็นกังวลซากศพของเขาของเรา ซึ่งเป็นสภาพที่น่าทุเรศเสมอกันทั้งสัตว์ทั้งคนอีกต่อไป

    ฉะนั้น นักค้นคว้าทางด้านจิตใจ จึงควรคำนึงถึงฐานที่เกิดและดับของขันธ์ทั้งสองประเภทนี้ ด้วยปัญญาอันหลักแหลมว่า ขันธ์เหล่านี้เกิด-ดับ เกิด-ดับจากอะไร ฐานที่ตั้งของเขาคืออะไร นอกจากจิตดวงงมงายซึ่งกำลังเป็นเขียงเช็ดเท้าและเป็นผู้ให้กำเนิดของเขาแล้ว สมมุติเครื่องกังวลน้อยใหญ่ไม่มีทางเกิดได้ ก็จิตดวงงมงายนี้มีอะไรแทรกซึมเขา เขาจึงกลายเป็นจิตที่มีโรคเบียดเบียนเป็นประจำ ไม่มีความแยบคายพอจะถอนตัวออกจากหล่มลึก คือความเกิดตายได้

    ลองใช้จอบและดาบเพชร คือ สติปัญญาขุดค้นฟาดฟันดูดวงใจนั้นด้วยความเพียร จะเห็นซากของอวิชชาทั้งเป็น เกาะกินอยู่ในจิตดวงนั้น เมื่ออวิชชาถูกจอบและดาบเพชรขุดค้นฟาดฟันอย่างหั่นแหลก ก็แตกกระเด็นออกจากใจ เสียงดังสะท้านหวั่นไหว ประหนึ่งแผ่นดินถล่มทั่วขอบเขตจักรวาล เสียงสะเทือนสะท้านทั่วทั้งไตรภพ"

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๐๗
    Luangta.Com -
    ลูกขอกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     
  13. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    กลัวว่าเอามาฝากแล้วจะไม่ปฏิบัติตามน่ะซิ เพราะผู้ปฏิบัติจะต้องหมั่นเพียร
    เพื่อความวิเวก มีจิตวิเวก เป็นต้น
    ไม่ไหลไปตามกระแสความพึงพอใจ ในรูป เสียง ....กามคุณ

    ฉะนั้น เสียงอันเป็นต้นเหตุเสี้ยนหนามของปฐมฌาน
    หรือผู้ที่กำลังเพียรก้าวเดินเพื่อจะทรงฌาน
    จะระมัดระวังสิ่งเหล่านี้มาก หรือที่เรียกว่า สังวรปทาน

    ดังนั้น ท่านมีสิ่งเหล่านี้หรือยัง หรือกำลังปลูกต้นไม้เมืองอยู่หรือ ^^
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำกล่าวตอนหนึ่ง ของพระพุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน

    “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลาย มรรคมีองค์ 8 ประเสริฐที่สุด
    บรรดาบททั้งหลายบท 4 คือ อริยสัจประเสริฐที่สุด
    บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะ คือ การปราศจากความกำหนัดยินดี ประเสริฐที่สุด
    บรรดาสัตว์สองเท้า พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุด มรรคมีองค์ 8
    นี่แลเป็นไปเพื่อทัศนะอันบริสุทธิ์ หาใช่ทางอื่นไม่
    เธอทั้งหลายจงเดินไปตามทางมรรคมีองค์ 8 นี้ อันเป็นทางที่ทำมารให้หลงติดตามมิได้
    เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติเพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไป ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น
    เมื่อปฏิบัติดังนี้พวกเธอจักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร ”

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเน้นย้ำ
    ผู้เจริญทั้งหลายย่อมทราบอยู่แล้วว่า มรรค(วิธีปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์) นั้นมีองค์ ๘
    มีดังในพระไตรปิฏกเล่มที่ 10 ซึ่งอยู่ในเรื่อง สติปัฏฐานสูตร
    -----------------------------------------​
    [๒๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน นี้คือมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ คือ
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ​


    ก็สัมมาทิฏฐิ เป็นไฉน ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ใน ทุกขนิโรธ
    ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ฯ

    สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน ความดำริในการออกจากกาม ความดำริใน ความไม่
    พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน อันนี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ ฯ

    สัมมาวาจา เป็นไฉน การงดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด
    งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ อันนี้เรียกว่า สัมมาวาจา ฯ

    สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการถือ เอาสิ่งของ
    ที่เขามิได้ให้ งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม อันนี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ ฯ

    สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จ
    การเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ อันนี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ ฯ

    สัมมาวายามะ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดฉันทะพยายาม ปรารภความ
    เพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่ เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละ
    อกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยัง ไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อความตั้งอยู่
    ไม่เลือนหาย เจริญยิ่ง ไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยม แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว อันนี้เรียกว่า
    สัมมาวายามะ ฯ

    สัมมาสติ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร
    มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
    ฯลฯ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ พิจารณา เห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
    มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้ อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ

    สัมมาสมาธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม
    บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
    เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมี อุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป
    บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขามีสติอยู่เป็นสุข
    เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามิมีปฏิปทาอริยสัจ ฯ


    ปล.ขอเน้นย้ำ โดยเฉพาะมรรคข้อสุดท้าย(สัมมาสมาธิ)
    เพราะฉะนั้น อย่าไปทิ้งสติ(ควรเจริญสติให้เป็นสติสัมปชัญญะหรือมหาสติ)
    และอย่าทิ้งฌาน เพราะเจริญมรรคไม่ครบองค์ประกอบ เดี๋ยวจะเตลิดออกไปไกล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ขอหอมหน่อย กระเทียมไม่ต้อง..เหม็น!
    ผู้ใดเห็นธรรมนี้บ้าง???
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้อบรมสั่งสอนสาวกของท่านตอนบวชให้ตรัสไว้กับสาวกของท่านว่า...
    ให้ท่านทั้งหลายจงไปทําความเพียรเพื่อความหลุดพ้นตามถํ้าตามป่าเขา บ้านร้างหรือใต้ต้นไม้ให้หลี่กวิเวกนั้นเอง... และท่านก็จะให้แต่กรรมฐาน๕ นั้นแหละเพราะอยู่ในตัวของทุกๆคนอยู่แล้วท่านให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จนจิตเห็นเป็นของไม่งามหรือไม่เที่ยงนั้นจนเกิดความเบื่อหน่ายคลายกําหนัดนั้นเอง... จากนั้นท่านก็บอกให้ไปทําความเพียรจนถึงวาระสุดท้ายของท่านทั้งหลายเทอญ นั้นท่านไม่ได้สอนให้อยู่ในกลุ่มชนหรือคนมากๆเพราะจะทําให้ความเพียรลดน้อยถอยลงจนถึงหมดความเพียรไปนั้นเอง... ผู้ปฏิบัติที่ท่านยังไม่ได้บรรลุธรรมขั้นสูงท่านจะไม่ข้องเกี่ยวกับทางโลกมากอย่างเช่นหลวงปู่หลวงตาท่านจะอยู่ในป่าจนท่านได้ธรรมขั้นจะสามารถสั่งสอนคนอื่นได้แล้วนั้นแหละท่านจึงจะสอนหรือท่านได้บรรลุอรหันต์นั้นเอง... เพราะการสอนของท่านจึงเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นเป็นถ่ายเดียว เพราะท่านได้เห็นผลของท่านเองแล้วจึงเป็นไปเพื่อธรรมเท่านั้น การปฏิบัติที่ยังไม่เข้าถึงความหลุดพ้นก็จะต้องต่อสู้กับกิเลสมารไปก่อนเพราะมารไม่มีบารมีก็ไม่เกิด เพราะการจะเกิดความฉลาดขึ้นมาได้ บางครั้งก็ต้องอาศัยบทเรียนของปัญหานั้นๆ จึงเป็นผลดีต่อผู้ปฏิบัติเพื่อเป็นบททดสอบได้เป็นอย่างดี ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความเพียรเป็นเลิศและปฏิบัติบูชาต่อพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์ นั้นแหละคือ ทางหลุดพ้น
    และขอให้ทุกท่านจงเดินไปตามพระพุทธเจ้าจนถึงความพ้นทุกข์ด้วยเทอญ.
     
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การปฏิบัติธรรมนั้น ก็ไม่ต่างจากการประกอบอาชีพของแต่ละท่านๆ ตามแต่ที่จะมีอาชีพอะไรมาแต่ จุดประสงค์ก็ คือ การมีรายได้คือได้เงินมาเพื่อใช้จ่ายในครัวเรือนของบุคคลนั้นๆ เพราะการปฏิบัติธรรมก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือ ผู้ปฏิบัติทุกๆท่านก็เพื่อความพ้นทุกข์ั้นั้นเอง... แต่จะปฏิบัติตามครูบาอาจารย์องค์ไหนนั้นก็แล้วแต่จริตนิสัยที่ถูกกับใจของท่านนั้นเอง ส่วนการดําเนินไปนั้นก็เพื่อความพ้นทุกข์ หรือ "การปล่อยวางนั้นเอง" เพราะคนส่วนใหญ่นั้นยังไม่รู้ว่าทําอย่างไรจะปล่อยทุกข์ หรือพ้นทุกข์ได้เพราะยังไม่มีปัญญาพอที่จะปล่อยวางได้นั้นเองแต่พระพุทธเจ้าท่านได้เห็นได้รู้คือผู้ค้นพบวิธีนั้นเอง...ถ้าเราเดินตามท่านได้แล้วนั้นแหล่ะท่านจึงจะเป็นผู้พ้นทุกข์ได้...เพราะเพียงแต่ท่านได้เรียนรู้ตามตํารา หรือได้ยินได้ฟังมา ก็ยังไม่ใช่ เพราะนั้นเป็นเพียงความจํามาเฉยๆ แต่เมื่อไร? ท่านได้ลงมือปฏิบัตินั้นแหล่ะท่านจึงจะเห็นของจริง...เพราะความจริงจะเกิดขึ้นได้กับคนปฏิบัติธรรมเท่านั้น และผู้ปฏิบัติได้อย่างนี้ก็คือ "ผู้ได้ธรรมเห็นธรรม" คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั้นเอง...
     
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976

    ความรักไม่ว่าจะเป็นสัตว์เป็นบุคคล ก็คือ การเข้าไปจับของร้อนนั้นเองเพราะไฟรัก หรือตัณหาราคะ ก็ล้วนก่อตัวมาจากความรักความพึงพอใจในรูปในเสียงและในกลิ่นในรสนั้นเอง... พระพุทธเจ้าท่านเห็นท่านจึงได้ออกจากกองทุกข์ได้ ก็เพราะท่านเห็นโทษของกามและกามนี่แหล่ะทําให้ต้องมาเกิดมาตายอยู่...เป็นสัตว์เป็นบุคคลสูงๆตํ่าๆตามแต่กรรมของแต่ละๆท่านๆ เพราะอย่างสัตว์นี่แต่ก่อนก็อาจจะเป็นคนหรือเป็นอะไรมามากมายจนนับไม่ถ้วนแล้ว... แต่ก็ยังไม่พ้นที่จะมาเกิดเป็นสัตว์อีกก็คงเป็นเพราะ"ความโลภ ความโกรธ ความหลง"นั้นแหละ และความหลงในที่นี่ก็คือ "หลงรัก หลงรูป หลงสังขาร" คือหลงแล้วก็ยากที่คืนสู่สภาพ...เพราะความหลงนี่เป็นอะไรที่ร้ายแรงมากกว่าคนที่โง่หรือไม่ฉลาดก็ยังดีกว่าคนหลง...เพราะถ้าใครได้หลงในอวิชาแล้วย่อมกู่ไปกลับเพราะความหลงนี้ได้... พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า"รากเหง้าของอวิชามีอยู่ ๓ อย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่แหล่ะคือ "รากเหง้าของอวิชา" ถ้าเราจะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นต้องถอนรากเหง้าของมันคือ ๓ ตัวนี้ให้ได้แล้วท่านก็จะอยู่เป็นสุขได้...
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความหมายของคำว่า “สัมมาอะระหัง”
    คำว่า “สัมมาอะระหัง” เป็นภาษาบาลี มีศัพท์ควบคู่กันอยู่ ๒ ศัพท์ “สัมมา” ศัพท์หนึ่ง “อะระหัง” ศัพท์หนึ่ง

    “สัมมา” เป็นศัพท์ที่มีความหมายสูง แปลว่า ชอบในพระพุทธคุณ ๙ บท
    ท่านเอาศัพท์นี้เข้าคู่กับ “สัมพุทโธ” เป็นสัมมาสัมพุทโธเป็นบทแสดงพระคุณของพระพุทธเจ้า
    แปลว่าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
    นอกจากใช้ในบทพระพุทธคุณแล้ว ยังมีใช้ในองค์อริยมรรค ๘ ด้วย
    โดยมีคำว่า สัมมา ควบองค์มรรคอยู่ทุกข้อเป็น สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ เป็นต้น

    ส่วนศัพท์ว่า “อะระหัง” เป็นพระพุทธคุณบทต้น แปลว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นพระอรหันต์
    เมื่อเข้าคู่กันเป็น สัมมาอะระหัง ก็แปลว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นพระอรหันต์โดยชอบ คือ ถูกต้อง ไม่ผิด
    โดยนัยว่าบทบริกรรม “สัมมาอะระหัง” ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ จึงมีความหมายสูง
    และอยู่ในขอบข่ายของพุทธานุสสติโดยแท้


    ที่มา:
    http://www.watpaknam.org/meditation/page_07.php
     

แชร์หน้านี้

Loading...