วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ลองพิจารณา...ความจริงในธรรมชาติ ****

    จิตวิญญาณของเรา...มีตัวตน ไม่ตาย ไม่สูญสลาย
    สิ่งที่เราทำได้จริง....ก็มีตัวตน ไม่ตาย ไม่สูญสลาย...ส่งผลย้อนกลับมาเป็นกรรม
    การกระทำดีที่ทำได้....ก็ไม่ตาย ไม่สูญสลาย มีตัวตน...เป็นบารมี ติดตัวเราไปตลอดกาล
    ผลการกระทำ... ก็ไม่ตาย ไม่สูญสลาย....พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เรียกว่า "ตัวกระทำ"

    รูปสังขาร บนโลก...มีก่อเกิด มีผุผัง มีเปลี่ยนแปลง
    แต่....ก็ไม่สลายไปจากโลก...เป็นละอองธาตุต่างๆ

    การกำเนิดทุกสิ่ง
    เป็นผลมาจาก "ตัวกระทำ" จัดสรร
    การเกิดของเราในชาตินี้...เป็นใคร เป็นอะไร เพศอะไร สมบูรณ์หรือไม่ อยู่ในครอบครัวใด มีพ่อแม่เป็นอย่างไร อยู่ในถิ่นฐานแห่งใด ความเป็นอยู่เรื่องปากท้องเป็นอย่างไร
    ทั้งหมด...ล้วนเป็นการจัดสรรจาก "ตัวกระทำ" ของตัวเราเอง

    การเกิดใหม่...ในแต่ละครั้ง แต่ละชาติ
    จึงเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่
    .......หาก... " เกิดเป็นสัตว์ หรือ ต้นไม้ " ....ก็คือ การชดใช้กรรม
    ต้องยอมรับ...ผลการกระทำที่เคยทำมาในอดีต
    .......หาก.... "เกิดเป็นมนุษย์"...คือ โชคดีที่สุด
    สามารถเลือกทางเดินตัวเองได้...ว่าจะทำดี ทำในสิ่งไม่ดี....ทำบุญทำกุศลได้
    แต่ สิ่งสำคัญ....ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ....คือ " นิสัยสันดาน "

    "นิสัยสันดาน" ...ส่งผลให้เกิด.... การกระทำแบบเดิมๆ
    ผลการกระทำ...จึงซ้ำๆ เหมือนเดิม เหมือนในชาติก่อน ๆ
    กรรม...จึงเป็นเป็นแบบเดิมๆ....วนเวียนซ้ำๆ อยู่บนโลกแห่งนี้

    หาก...ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
    คือ...การไม่กลับมาเกิดใหม่
    คือ....การหลุดพ้น
    หลุดพ้นไปจากโลก
    หลุดพ้นสู่นิพพาน...ที่มีอยู่จริงในธรรมชาติ

    การจะหลุดพ้นได้...เราจึงต้อง.... "ขจัดกิเลศนิสัย" ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ
    การจะทำให้หมดไปได้...ต้องฝึกตนเอง
    "นิสัยขี้โมโห"...จะหมดไปได้จริง
    เราจะต้อง.... "ฝึก ไม่โกรธ ไม่โมโห" ...ทุกๆ วัน
    เราฝึกตนเองทุกวัน...นิสัย อารมณ์โกรธโมโห จะลดลง เหลือน้อยลง
    พอรู้ตัว ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
    จนในที่สุด...นิสัย อารมณ์โกรธโมโห....จะหมดไปจากจิตใจเราเอง
    ในช่วงเวลาที่...ตัวเรา ไม่มีอารมณ์โกรธโมโห...การกระทำของเราก็จะดีขึ้น

    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์....จึงสอนให้ ตั้งใจทำความดี
    ตั้งใจละเว้นความชั่ว...ตั้งใจทำจิตใจอารมณ์ไม่ขุ่นมัว
    ด้วย "สัจจะ"
    โดยกำหนด ..."สัจจะเป็นหัวข้อปฏิบัติ" ให้กับตนเองทุกวัน

    เมื่อ...เราอยู่ในความสงบ ทำ "สติว่าง"
    เราพิจารณาตนเอง...เราจะรู้ว่านิสัยไม่ดีของตัวเรา คืออะไร
    แล้วเราจึงนำมากำหนดเป็น "สัจจะหัวข้อปฏิบัติของตนเอง"

    ฝึกทุกวัน...กิเลส นิสัย จะหมดไปได้จริง
    เราต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง
    เราจึงจะพบว่า...สิ่งที่กล่าวมา คือ ความจริง
    คือ "สัจจะธรรม"
    ผลการกระทำที่ทำได้ จะเป็นบารมีติดตัวเราไป
    ....... ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน .......
    สิ่งนี้คือ................หลักสัจจะธรรม................

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอกราบโมทนาบุญกับธรรมทานและผลแห่งการปฏิบัติของน้องมิกซ์ กุหว่าใจ๋ ด้วยครับ

    การปรับอารมณ์วางอารมณ์สบายนั้นแนะนำได้ถูกต้องครับ ลองทำดู
     
  3. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    กราบขอบพระคุณ สำหรับคำแนะนำนะครับ ผมจะพยายามนำไปปรับใช้ครับ แต่ว่าผมมักจะเป็นหวัดบ่อยๆ ทำให้จับลมหายใจไม่ค่อยสะดวกนะครับ สมมุติว่าช่วงที่ผมเป็นหวัดนี่ พอจะมีวิธีอื่นในการฝึกได้บ้างไหมครับ
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    หากเป็นหวัดห้ามการฝึกแบบที่ต้องอัดลมหายใจ และการฝึกลมปราณครับเพราะจะยิ่งเร่งเชื้อโรคให้แพร่กระจายมากขึ้นในระบบทางเดินหายใจ

    เป็นหวัดไม่สบายก็หยุดพักทำใจสบายๆพิจารณาในร่างกาย ในการเจ็บป่วย ว่าเป็นทุกข์ครับ เป็นการใช้ธรรมโอสถร่วมในการรักษา
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    คติธรรมคำสอนของหลวงปู่มั่น

    1. ผู้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม

    คือ ผู้สนใจหาความรู้ความฉลาด เพื่อคุณงามความดีทั้งหลายที่โลกเขาปรารถนากันเพราะคนเราจะอยู่และไป โดยไม่มีเครื่องป้องกันตัว ย่อมไม่ปลอดภัยต่ออันตรายทั้งภายนอกภายใน เครื่องป้องกันตัว คือ หลักธรรม มีสติปัญญาเป็นอาวุธสำคัญ
    จะเป็นเครื่องมั่นคงไม่สะทกสะท้าน มีสติปัญญาแฝงอยู่กันตัวทุกอิริยาบถ จะคิด-พูด-ทำ อะไร ๆ ไม่มีการยกเว้น มีสติปัญญา สอดแทรกอยู่ด้วยทั้งภายในและภายนอก มีความเข้มแข็ง อดทน มีความเพียรที่จะประกอบคุณงามความดี คนอ่อนแอโง่เง่า เต่าตุ่น วุ่นวายอยู่กับอารมณ์ เครื่องผูกพันด้วยความนอนใจ และเกียจคร้านในกิจการที่จะยกตัวให้พ้นภัย

    2. การตำหนิติเตียนผู้อื่น

    ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเอง ให้ขุ่นมัวไปด้วยความเดือดร้อน วุ่นวายใจที่คิดแต่ตำหนิผู้อื่น จนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรมไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง เมื่อเกิดมาอาภัพชาติแล้ว อย่าให้ใจอาภัพอีก ผู้เกิดมาชาตินี้อาภัพแล้ว อย่าให้ใจอาภัพ คิดแต่ผลิตโทษทำบาปอกุศลเผาผลาญตน ให้ได้ทุกข์เป็นบาปกรรมอีกเลย คนชั่ว ทำชั่วได้ง่าย และติดใจไม่ยอมลดละแก้ไขให้ดี คนดี ทำดีง่าย และติดใจกลายเป็นคนรักธรรมตลอดไป

    3. เราต้องการของดี คนดีก็จำต้องฝึก

    ฝึกจนดี จะพ้นการฝึกไปไม่ได้ งานอะไรก็ต้องฝึกทั้งนั้น ฝึกงาน ฝึกคน ฝึกสัตว์ ฝึกตน ฝึกใจ นอกจากตายแล้ว จึงหมดการฝึก คำว่า ดี จะเป็นสมบัติของผู้ฝึกดีแล้วแน่นอน

    4. ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงควรเห็นคุณค่าของผู้อื่น

    ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน ผู้มีศิลสัตย์ เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำ เพราะอำนาจศึลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน
    จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ ธรรมสั่งสอนแล้ว ควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน

    5. ศีลนั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร

    ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนั้น เจตนาเป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มี ก็ไม่เรียกว่า คน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่าง ๆ มีโทษต่าง ๆ
    ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่อง หลงหา หลงขอ คนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไหร่ยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยากยากเข็ญ กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มาจากบิดา มารดา พร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้จักมั่นคง บริบูรณ์-สมบูรณ์ ไม่อด-ไม่อยาก ไม่ยาก-ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียว เป็นศีล-เป็นสมาธิ-เป็นปัญญา ผู้มีศีลแท้เป็นผู้หมดเวร-หมดภัย


    (คัดลอกจากหนังสือเคล็ดปฏิบัติสมาธิ "หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ")
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ขอบพระคุณมากนะครับ ช่วงที่ผมเป็นหวัดจะได้ หันไปพิจารณาร่างกายแทน แล้วจะมารายงานความคืบหน้านะครับ
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ความหมาย...คติธรรมคำสอนของหลวงปู่มั่น ****

    เครื่องป้องกันตัว
    .......หมายถึง "ผลที่ทำได้จาก สัจจะ" ....คือ "ตัวกระทำ" นั่นเอง

    เครื่องป้องกันตัว คือ หลักธรรม
    .......หมายถึง "หลักสัจจะธรรม"

    มีความเพียรที่จะประกอบคุณงามความดี
    .......หมายถึง "การปฏิบัติสัจจะ เป็นประจำ"

    กิจการที่จะยกตัวให้พ้นภัย
    ....... หมายถึง "การปฏิบัติสัจจะ"...คือ การปฏิบัติตาหลักสัจจะธรรม นั่นเอง

    วุ่นวายใจที่คิดแต่ตำหนิผู้อื่น จนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น
    การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์
    ....... ให้ปฏิบัติด้วย "สัจจะ ไม่เห็นผู้อื่นผิด " วันละ ๑ ชั่วโมง ทำทุกวันไปเรื่อยๆ นิสัยนี้จะหมดไป

    เราต้องการของดี คนดีก็จำต้องฝึก
    งานอะไรก็ต้องฝึกทั้งนั้น
    นอกจากตายแล้ว จึงหมดการฝึก
    .......หมายถึง จะเป็นคนดีได้ ก็ต้องฝึก ต้องฝึกขจัดกิเลส นิสัยไม่ดี ให้หมดไป .... จะเป็นคนดีนั้น ต้องฝึกจิตใจทุกวัน ฝึกเป็นประจำ ฝึกไปจนกว่าจะตาย การขจัดนิสัยตนเอง คือ หน้าที่ของคน

    ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงควรเห็นคุณค่าของผู้อื่น
    .......หมายถึง คนทุกคนมีคุณค่า ไม่ว่าจะมีความดีความเลว ติดตัวมาแค่ไหนก็ตาม...ทุกคน คือคน คือ สัตว์ที่ยังไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ...เราจึงไม่ควรซ้ำเติมกัน"สัจจะ ไม่ซ้ำเติมคนมีกรรม"...จะช่วยฝึกให้เรา สามารถที่จะดึงความเมตตา ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ...บางครั้งการกระทำของเรา ก็ไปซ้ำเติมให้เขาเป็นทุกข์ โดยที่เราไม่รู้ตัวไม่เจตนา

    ผู้มีศีลสัตย์ เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำ เพราะอำนาจศึลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน
    .......หมายถึง ผู้ที่ปฏิบัติสัจจะ ในหัวข้อศีลต่างๆได้จริง ตามเวลาที่ตนเองกำหนดไว้ว่าจะทำ
    ผู้นั้นย่อมเจริญขึ้น เพราะ "ตัวกระทำ" จะจัดสรรชีวิตของเขาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

    สมควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์
    .......หมายถึง รักษา "สัจจะ" ตามหัวข้อต่างๆ พยายามฝึกไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี พยายามฝึกทำในสิ่งที่ดี แต่ยังทำไม่ค่อยได้....ศีลข้อไหนทำได้ คือ การทำได้เป็นปกติแล้ว ไม่ต้องฝืนใจทำ

    ธรรมสั่งสอนแล้ว ควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง
    .......หมายถึง พระธรรม ธรรมะ พระไตรปิฎก ปรากฏสอน "หลักสัจจะธรรม" แล้ว
    ให้จดจำความหมาย นำไปศึกษาพิจารณา และ ปฏิบัติตนด้วย "สัจจะ"

    จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน
    .......หมายถึง หากหมั่นฝึกฝนตนเองด้วย "สัจจะ" เป็นประจำ ต่อไปภายภาคหน้า ผู้ตั้งใจจริงจะก้าวบรรลุอรหันต์แน่นอน

    ศีลนั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร
    ใครเป็นผู้รักษา ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนั้น
    .......ศีลในสมัยพุทธกาล หมายถึง การทำได้เป็นปกติ ...ศีลจะปรากฏในผู้ที่มี "สัจจะ" เท่านั้น เพราะ ผู้มีสัจจะ สามารถทำได้เป็นปกติ ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องบังคับตนเอง

    ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว
    ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ
    ผู้มีศีลย่อมมีความสุข
    ผู้มีศีลแท้เป็นผู้หมดเวร-หมดภัย
    .......หมายถึง ผู้มี "สัจจะ" ฝึกฝนตนเองจนเกิดศีลขึ้นมาในจิตตัวเอง ...คือ สามารถทำได้เป็นปกติแล้ว

    จิตดวงเดียว เป็นศีล-เป็นสมาธิ-เป็นปัญญา
    ....... หมายถึง จิตวิญญาณของเราเมื่อถูกฝึกด้วย "สัจจะ" เป็นประจำ สมาธิพิจารณาและปัญญาจะเกิดขึ้นเอง เกิดในขณะที่ตั้งใจทำตาม "สัจจะของตัวเอง".... เมื่อถึงที่สุด จิตวิญญาณของเราก็จะเกิดศีลขึ้นมา

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะ นำการปฏิบัติตนเอง ****

    หากปรารถนา...ที่จะขจัดกิเลสนิสัย
    ต้องฝึกที่จิตใจ
    เพราะ...จิตใจ เป็นจุดเริ่มให้ตัดสินใจทำ จนเกิดการกระทำ

    ให้ฝึกฝนจิตใจตนเองด้วย "สัจจะ"
    ไม่ว่าร่างกายเราจะ ไม่สมบูรณ์ ไม่ครบอย่างไร...แต่จิตใจเรายังอยู่
    เราจึงใช้ "สัจจะ" ฝึกฝนตนเองได้ทุกเวลา
    ฝึกได้ทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา...ขึ้นกับตัวเราเองว่าจะกำหนดฝึกอะไร ฝึกนานแค่ไหน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ก้าวเข้ายุคใหม่...ยุคพระศรีอารย์
    .......ไม่หลงขั้นตอนการปฏิบัติ .......

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. chervilin

    chervilin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +119
    ขอสอบถามเพิ่มเติม # 906 ค่ะ

    " ผมขออณุญาติพี่คณานันท์ขอแนะนำน้อง Xorce นิดนึงนะครับ เรื่องวางกำลังใจเอาไว้หนักเกินไปนั้น ผมเองก็เคยเป็นมาก่อนเหมือนกันครับ ซึ่งก็แก้ด้วยการ กำหนดจิตนึกเห็นว่าตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศ หรือบรรยากาศที่สบายๆ ตัดความกังวลในเรื่องทางโลกออกไปทั้งหมด บางครั้งก็นึกว่าตัวเองกำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเล ท่ามกลางฝูงปลาน้อยใหญ่ มีปะการังสวยๆล้อมรอบ น้ำกำลังอุ่นสบาย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจมากๆ พออารมณ์สบายแล้วก็มาดูลม ก็ปรากฏว่าลมกลายเป็นลมละเอียดลมสบายไปเรียบร้อยแล้วครับ อันนี้เป็นทริคเล็กน้อยครับ น้องXorce อาจลองเอาไปประยุกต์กับตัวเองดูนะครับ ชอบสถานที่ไหนก็ลองนึกดู แต่ที่อโคจรนี่ไม่เอานะครับ เมื่อชินกับอารมณ์สบายๆ และจับลมสบายได้บ่อยและนานยิ่งขึ้น เวลาเจริญกรรมฐามก็จะคล่องขึ้น จิตจะจดจำอารมณ์สบายได้ และไม่ต้องใช้อุบายแบบนี้อีกครับ "


    ตรงส่วนที่ขีดเส้นใต้ ถ้าเราทำอย่างนั้น จะเหมือนเป็นการปรุงแต่งจิตหรือเปล่าคะ เพราะเท่าที่เคยได้ยินมา การทำสมาธินั้นต้องพยายามไม่คิดอะไรที่จะเป็นการทำให้จิตฟุ้ง หรือ ปรุงแต่งให้ผิดไปจากความจริง และต้องให้รับรู้เพียงความจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น คือ รับรู้ลมหายใจค่ะ

    ถ้าคิดหาอุบายปรุงแต่ง กลัวว่าจะเพลินไปน่ะค่ะ ถูกต้องหรือไม่คะ

    ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ
    อู๊ด
     
  11. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    การฝึกสมาธิในเบื้องต้นจำเป็นเป็นต้องใช้นิมิตเป็นตัวช่วยฝึก
    การฝึกสมาธิในขั้นกลางต้องใช้การพิจรารณาธรรมคู่ไปกับการใช้นิมิตที่เคยกำหนด
    การฝึกสมาธิในขั้นสูงก็ยังคงต้องใช้นิมิตคู่กับผลแห่งการพิจารณาธรรม

    นิมิตกำหนดในเบื้องต้น อาจจะไม่เหมือนกับนิมิตที่ปรากฏขึ้นมาเองในเบื้องปลายก็ได้

    หลวงปู่เจือเคยบอกไว้ว่า การกำหนดท้องฟ้าเป็นนิมิตเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและปรากฏเป็นภาพได้ง่ายในมโนจิตของตัวเรา และยังช่วยให้เราได้อารมภ์สบายๆ ทำให้ง่ายต่อการเจริญภาวนา
    หลวงปู่เจือยังบอกไว้อีกว่าจิตเราต้องเป็นผู้ควบคุมนิมิต(รู้ว่าจริงหรือไม่จริง) ไม่ใช่ให้นิมิตมาควบคุมจิตเรา(คือหลงไปในนิมิตไม่รู้ว่าจริงไม่รู้ว่าหลอก)
    สุดท้ายก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องทิ้งนิมิต คือทิ้งก็ได้ไม่ทิ้งก็ได้ (กลางๆ)

    สมาธิ--------> เพื่อพัฒนาปัญญาญาน (เห็นแจ้งในธรรมะของพระพุทธองค์โดยไม่มีข้อกังขาคือไม่ใช่เห็นตามตัวอักษรที่เขียนไว้แต่ต้องเห็นจาการปฏิบัติทดสอบว่าเป็นเช่นนี้เองหนอ)
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เบื้องต้นนั้นใช้เพื่อปรับอารมณ์ครับ เช่นเดียวกับการภาวนาที่ เป็นอุบายในการทำจิตให้สงบ และหลังจากจิตสงบยกขึ้นสู่สมาธิที่สูงขึ้นแล้ว ก็ต้องทิ้งคำภาวนาด้วยเช่นกัน ครับ

    เป็นอุบายที่ดีที่ถูกต้องในการปฏิบัติครับ ผมถึงได้ย้ำเสมอว่า คำภาวนาก็ดี อุบายวิธีในการทำจิตให้สงบก็ดี กรรมฐานกองใดก็ดี ที่เป้นไปในแนวทางสัมมาทิษฐิ ที่เราปฏิบัติแล้วใจสบาย สงบ ก้าวหน้าได้เร็ว เป็นกรรมฐาน ที่เหมาะกับเรา จริตของเราครับ

    บางท่านจิตชอบคำภาวนาพุทธโธ บางท่านชอบคำภาวนาสัมมาอรหัง

    บางท่านชอบภาวนาเป็นการแผ่เมตตา หากแบบไหนที่จิตสงบได้เร็วก็ขอจงภาวนาแบบนั้นครับ แต่อย่าไปภาวนาเดี๋ยวอย่างนี้ อีกสิบนาทีเปลี่ยนอีกแล้ว ไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่มีผลครับ

    ที่น้องกุหว่าใจ๋เขาได้แนะนำการปรับอารมณ์ให้เหมือน เรากำลังสบาย อาบน้ำตก เล่นน้ำทะเลอยู่นั้น เป็นการปรับระดับอารมณ์ใจของเราให้สบาย ไม่หนักเกินไปครับพอใจสบายแล้วก็เริ่มเข้าเป็นกรรมฐาน จะภาวนาหรือจับลมก็ได้ครับ แต่อย่างคุณอู้ดได้ลมสบายแล้วจำอารมณ์ได้ก็ไปที่จุดนั้นเลย ครับ ลัดกว่าคนอื่นไปอีกมาก

    เรื่องอารมณ์ปรุงแต่งนั้น ในด้านการปฏิบัติ เราพึงระวังอารมณ์ที่ปรุงแต่งไปในทางอกุศลกรรมและการปรุงแต่งที่ก่อให้เกิดกิเลสเป็นสำคัญครับ จิตที่คิดปรุงแต่งไปในธรรม เช่น การพิจารณาเห็นร่างกายค่อยๆแก่ ค่อยๆเหี่ยวจนตายเป็นซากศพ หรือการพิจารณาปรุงแต่งเห็นโลกธรรมแปดประการนั้น ไม่นับว่าเป็นการผิดประการใดครับ เรียกว่า ธรรมมะวิจยะ บ้าง วิปัสสนาบ้างครับ

    เพราะการเจริญวิปัสสนานั้นก็เพื่อปรุงแต่งจิตให้เห็นจริงในกฏไตรลักษณ์ ให้เห็นจริงในโทษแห่งการเวียนว่ายตายเกิด จากจิตก็ให้จิตเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อหน่ายในสังสารวัฏฏ์ โดยอารมณ์ใจที่ต้องการก็คือการเบื่อการเกิด ไม่อยากเกิดอีก ปรารถนาจุดเดียวก้คือพระนิพพานครับ

    ดังนั้นอารมณ์ปรุงแต่งที่ไม่ต้องการก็คือ อารมณ์ที่ปรุงแต่งไปในทางที่ก่อให้เกิดกิเลสและบาป อกุศลกรรมทั้งปวงครับ

    มีอะไรสงสัยสอบถามกันมาได้ครับ เห็นแวว เข้าทางแล้วหลายๆท่านครับ ต้องขอโมทนาด้วยในความก้าวหน้าในธรรมครับ
     
  13. พิศวัสต์

    พิศวัสต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2007
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +431
    ยังไม่ถึงยุคพระศรีอาริยเมตไตยเลยอย่าเพิ่งพูดถึงพระศรีอาริยเมตไตยได้ไหม เด่วพระสมณะโคดมจะในยุคนี้จะพลอยเส้ราใจเอา เพราะไม่มีคนนับถือพระองค์
     
  14. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    พระศรีอารย์ท่านลงมาในช่วงนี่ไม่ใช่มาประกาศศาสนาใหม่ แต่ลงมาเที่ยวนี่เพื่อทำการฟื้นฟูพระศาสนาของพระสมณโคดมให้กับมาเจริญรุงเรืองอีกครั้งครับ ก็ทำหน้าที่คล้ายกันกับพระโพธิสัตว์ต่างๆและเหล่าพุทธภูมิต่างๆที่ลงมาช่วยกันเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาของพระสมนโคดมเช่นกัน ในอดีตตกาลพระเจ้าอโศกมหาราชก็เคยทำให้อินเดียทั้งประเทศนับถือพระศาสนาของพระสมณโคมมาแล้ว เที่ยวนี้พระ.........ก็จะทำเช่นนั้นอีกแต่ยิ่งใหญ่กว่าคือทำให้คนทั้งโลกหันมานับถือพระศาสนาของพระสมณโคดมกันหมดสิ้นทุกคน จะเอ่ยชื่อของท่านหรือไม่เอ่ยชื่อของท่านสุดท้ายคนทั่วไปก็จะเอ่ยกล่าวขานชื่อของท่านเองแต่อาจจะเป็นชื่ออื่นก็ได้(พระธรรมมิกราช)
     
  15. flimkub

    flimkub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +108
    มีเป็นแบบหนังสือพร้อมอธิบายอย่างที่คุณ kananun เปล่าครับ อยากได้แจกเพื่อน และพระกรรมฐานที่คุณอธิบายยังงงอยู่ครับ ผมอยากศึกษาผมเริ่มใจคอไม่ดีเข้าไปทุกขณะแล้ว ยังไงช่วยตอบผมด้วยนะครับ
     
  16. ปฐวี

    ปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +457
    ...อันตรายจากน้ำอัดลม
    คุณแม่ยังสาวคนหนึ่งเสียชิวิตเนื่องจากไตวายทั้งสองข้าง เธอได้รับการรักษาที่รพ.เพอร์ทามิน่าเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยได้รับอนุญาตให้กินได้แค่นํ้า 1 แก้วในหนึ่งวันเท่านั้น หมอให้การรักษาเธอ แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เธอเล่าว่าเธอดื่มนํ้าอัดลมตอนทานอาหารกลางวันทุกวัน แต่แม้ว่าเธอจะดื่มนํ้าอัดลมเพียงวันละ 1 แก้ว มันก็สามารถทำลายอวัยวะภายในของเธอได้ ท้ายที่สุดเธอเสียชีวิตลงเมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว โดยทิ้งบุตรชายวัย 1 ขวบไว้ นํ้าอัดลมอันตราย!!!

    หัวข้อนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ" โค้ก" ซึ่งน่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่ชอบดื่มโค้กหรือเป๊ปซี่ซึ่งคิดว่าคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับนํ้าอัดลมดีแล้ว นํ้าอัดลมสามารถ....

    .........ทำความสะอาดห้องนํ้าโดยการรินโค้กลงในโถชักโครก ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงกดชักโครก กรดซิติกในโค้กจะขจัดคราบสกปรกได้อย่างดี

    .........ใช้ขัดจุดสนิมบนกันชนรถโดยการขัดกันชนด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ขยําเป็นชิ้นเล็ก ๆและจุ่มโค้ก ใช้ทำความสะอาดรอยกัดกร่อนบนสายแบตเตอรี่รถโดยการรินโค้กให้ทั่วสายแบต ฟองที่เกิดขึ้นจะช่วยขจัดรอยดังกล่าวได้ ช่วยทำให้รอยสนิมบนผ้าจางลงโดยการจุ่มผ้าในโค้กประมาณ 2-3 นาที

    .........ช่วยอบแฮมที่ชื้นได้ โดยการเทโค้ก 1 กระป๋องลงในกระทะซึ่งตั้งไฟไว้แล้วใส่แฮมที่ห่อด้วย อลูมิเนียมฟอยล์ลงไป แกะฟอยล์ออก 30 นาทีก่อนแฮมสุก และผสมแฮมกับโค้กจะได้นํ้าเกรวี่สีนํ้าตาล ช่วยขจัดรอยฝังแน่นจากผ้าโดยการเทโค้ก 1 กระป๋องลงบนผ้าสกปรก เติมนํ้ายาซักผ้าและซักตามปกติ โค้กจะช่วยทำให้คราบฝังแน่นจางลง


    .........และยังช่วยทำความสะอาดรอยนํ้าซึ่งกระเด็นจากถนนบนกระจกรถได้อีกด้วย แล้วเราก็ดื่มสิ่งนี้ลงไป!!! ข้อมูลเกี่ยวกับโค้กและเป๊ปซี่ นํ้าอัดลม เช่น โค้ก หรือ เป๊ปซี่มีค่ากรดด่างเท่ากับ 3.4 โดยประมาณซึ่งค่าความเป็นกรดนี้สามารถกัดกร่อนฟันและกระดูกได้

    ............ร่างกายคนเราจะหยุดสร้างกระดูก เมื่อเรามีอายุประมาณ 30 ปี หลังจากนั้นกระดูกจะกร่อนลงประมาณ 8-18% ในแต่ละปี โดยขึ้นอยู่กับความเป็นกรดของอาหารซึ่งบริโภคเข้าไป(ค่าความเป็นกรดไม่ได้ขึ้ นกับรสชาติของอาหาร แต่ขึ้นกับค่าของธาตุโปแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เช่นฟอสฟอรัส เป็นต้น) และจะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ส่วนประกอบของแคลเซียมซึ่งมีศักยภาพในการกัดกร่อนกระดูกจะไหลเวียนอยู่ในเส้น เลือดฝอย เส้นเลือดใหญ่เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของตับ

    ............นํ้าอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด (ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของนํ้าตาล มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวก วัตถุกันเสียและสีมากกว่า บางคนชอบดื่มนํ้าอัดลมเย็นๆหลังทานอาหารแต่ละมื้อ ลองเดาสิว่าคนเหล่านั้นได้รับผลกระทบอะไรบ้าง

    ............ร่างกายของคนเราขณะย่อยอาหารจะมีอุณหภูมิ 37 องศา แต่นํ้าอัดลมเย็นๆ ที่ดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิตํ่ากว่า 37 องศามาก และมีอุณหภูมิเกือบจะ 0 องศาในบางครั้ง กรณีเช่นนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารของร่างกาย ตํ่าลง การย่อยอาหารทำได้ยากขึ้นและย่อยอาหารได้น้อยลง ในความเป็นจริงแล้ว อาหารในร่างกายจะเสียและส่งแก๊สซึ่งมีกลิ่นเหม็นออกมา อาหารจะเน่าเปื่อย และทำให้เกิดสารพิษซึ่งจะถูกดูดซึมในลำไส้และจะไหลเวียนในระบบเลือดไปทั่วร่างก าย สารพิษซึ่งแพร่ออกไปทั่วร่างกายนี้จะส่งผลให้เชื้อโรคต่างๆเจริญเติบโตได้ดีขึ้น คิดให้ดีก่อนที่คุณ จะดื่มโค้ก เป๊ปซี่ หรือนํ้าอัดลมประเภทอื่น

    ...........คุณเคยคิดเวลาคุณดื่มนํ้าอัดลมหรือไม่ว่าคุณดื่มอะไรเข้าไป คุณกำลังกลืนสารคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีใครในโลกจะแนะนำให้คุณดื่ม สองเดือนต่อมา D2 มีการแข่งขันในมหาวิทยาลัย เดลีว่า "ใครดื่มโค้กได้มากที่สุด" ผู้ชนะดื่มโค้กเข้าไป 8 ขวด และเสียชีวิตทันทีเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด มากเกินไป และมีก๊าซออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอ

    ...........หลังจากนั้น ผู้อำนวยการจึงสั่งห้ามขายนํ้าอัดลมในห้องอาหารของมหาวิทยาลัยอีก มีคนใส่ฟันซึ่งหลุดแล้วลงไปในขวดเป๊ปซี่ และมันถูกกัดกร่อนในเวลา 10 วัน ฟันและกระดูกเป็นอวัยวะในร่างกายเพียงอย่างเดียวซึ่งสามารถคงอยู่ได้ อีกหลายปีหลังจากที่มนุษย์เสียชีวิตลง ลองคิดดูสิว่านํ้าอัดลมจะมีผลอย่างไรต่อลำไส้อ่อนๆ และกระเพาะอาหารของเรา

    http://www.forest.ku.ac.th/webboard/for_print.asp?qNo=555&page=

    ...........ถ้าตัดเล็บแช่ในน้ำโค้ก 4 วัน จะละลายหมด
    ...........บริษัทขายน้ำโค้ก ใช้น้ำโค้กทำความสะอาดเครื่องยนต์ของรถ truck
    มานานประมาณ 20 ปีแล้ว ท่านยังอยากดื่ม โค้ก หรือดื่มน้ำกัน เลือกเอาเอง

    ...........เวลาขนย้ายน้ำโค้กเข้มข้นเพื่อส่งตามโรงงานทั่วโลก
    ที่รถ truck จะต้องติดป้ายไว้ว่า "มีวัตถุที่มีกรดกัดกร่อนได้ เป็นอันตราย"


    http://gotoknow.org/blog/bonlight/47946
    [b-nurse] [b-nurse] [b-nurse]
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ลองพิจารณาทบทวน ****

    เหตุหนึ่งที่พระไตรปิฎกมาปรากฏ
    เพราะ... "หลักสัจจะธรรม" ความจริงในธรรมชาติถูกบดบังด้วยความเห็น
    คนไม่เห็นคุณค่าของ "สัจจะ"

    โลกุตตระ กล่าวไว้ว่า....ทำดีก็เป็นตน ทำชั่วก็เป็นตน ทำโดยเจตนาก็เป็นตน ทำโดยไม่เจตนาก็เป็นตน

    แต่ทุกวันนี้....ไปสอนตามความคิดเห็น ไม่ตรงกับความจริง
    สอนว่า ....ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีเขา ไม่มีเรา
    จึงตรงข้ามกับ "ความจริง"...ตรงข้ามกับ "หลักสัจจะธรรม"

    เพราะ
    หลักสัจจะธรรม... เป็นเรื่องของผลการกระทำที่ไม่ตาย ไม่สูญสลาย ติดตัวเราไป และมีผลตอบแทน
    ผลการกระทำ จากสิ่งที่เราได้ทำไปแล้ว ...เรียกว่า "ตัวกระทำ"
    จึงเป็นเรื่องของตัวตนทั้งสิ้น

    หาก...สิ่งนี้ไม่ตรงกับความคิดท่าน
    ขอให้ท่านลองพิจารณาถึงเหตุและผล
    หาก...ทำไปแล้วไม่มีตัว ไม่มีตน....แล้วผลตอบแทนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
    แล้ว คนจะสะสมบารมี เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
     
  18. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เรียนถามพี่คณานันท์เรื่องการใช้เจโตและญาณระลึกชาติตัดสังโยชน์

    ผมได้อ่านจากกระทู้ไม่กี่หน้าก่อนนี้ที่พี่แนะนำว่า ครูสอนฝึกกรรมฐานควรจะใช้เจโตฯ ดูจิตของผู้เรียนด้วยว่าทำได้ถึงไหน

    อยากให้พี่แนะนำผมหน่อยครับ ว่าจะวางอารมณ์จิตหรืออธิษฐานจิตในการใช้เจโตอย่างไร ในการรู้วาระจิตของตนเองและผู้อื่นครับ พี่ใช้วิธีทรงมโนฯ ที่นิพพานระหว่างที่สอนผู้เรียน แล้วกราบทูลถามพระท่าน ขอทราบระดับฌานของผู้เรียนหรือเปล่าครับ?

    ผมอยากทราบไปเพื่อตรวจสอบจิต ขัดเกลาจิตตัวเอง และใช้ตรวจสอบคุณภาพจิตผู้อื่น ตอนแนะนำการฝึกสมาธิตามแนวทางที่พี่แนะนำมาให้เพื่อนๆครับ

    ผมเองชอบทำเมตตาอัปปนาฌานมาก ทำทุกวัน ทำตอนเช้าบ้าง ทำระหว่างขับรถไปกลับจากที่ทำงานบ้าง ทำแล้วพิจารณาต่อเนื่องตัดขันธ์ห้าไปนิพพานเลย เพราะจิตสะอาดมาแล้ว เช้าวันนี้ก็ทำและไปให้พระท่านสอนอรูปฌานให้และผมขอให้พระท่านช่วยให้ระลึกชาติ เพื่อไปดูให้ว่าชาติที่ผ่านๆมา สภาพเวลาผมใกล้ตายเป็นไง ตายร่างกายมันเป็นไง เพื่อตัดสักกายทิฐิ

    เวลาจะตัดวิจิกิจฉาก็ขอพระท่านดูว่าชาติที่ผมทำตามคำสอนพระท่านชาตินั้น ผมได้ดีอย่างไร และชาติที่ผมไม่เชื่อฟังนั้น ผมได้เลวอย่างไร เห็นแล้วดูไม่จืดจริงๆ เวลาจะตัดข้อสามเรื่องปรามาสศีล ผมก็ขอให้พระท่านสงเคราะห์ว่า ชาติที่ผมรักษาศีลเคร่งครัดผมเป็นอย่างไร ชาติที่ผมละเมิดศีลผมเป็นอย่างไร เห็นภาพตัวเองปีนต้นงิ้วมาจะๆเลยครับ Y_Y สงสัยผิดศีลกาเมมามาก

    ในข้ออื่นๆก็เช่นกันผมก็ใช้การระลึกชาติดูให้เห็นจริงในผลกรรมที่ผมได้รับเมื่อผม พยายาม กับไม่พยายามละสังโยชน์

    อยากให้พี่คณานันท์แนะนำว่า เวลาพิจารณาตัดสังโยชน์แต่ละข้อโดยใช้บุพเพนิวาสานุสสติญาณหรือการระลึกชาตินั้น ถ้าจะให้เนียน ควรต้องพิจารณาอย่างไรครับ เท่าที่ผมได้ทำวันนี้ รู้สึกยังพิจารณาไม่สุดที่ควรจะต้องทำครับ คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับจิตในการระลึกชาติเห็นผลกรรมจากการยึดติดสังโยชน์แต่ละข้อนั้น มาถึงจุดที่รู้สึกว่า เห็นชัดเจนคล้อยตามว่า "โอ้หนอ นี่มันเป็นโทษต่อเราจริงตามที่พระท่านสอนไว้นะ" มาถึงจุดนี้แล้วต้องพิจารณาไปไงต่อครับพี่
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีเป็นแบบหนังสือพร้อมอธิบายอย่างที่คุณ kananun เปล่าครับ อยากได้แจกเพื่อน และพระกรรมฐานที่คุณอธิบายยังงงอยู่ครับ ผมอยากศึกษาผมเริ่มใจคอไม่ดีเข้าไปทุกขณะแล้ว ยังไงช่วยตอบผมด้วยนะครับ
    ---------------------------------------------------------------------

    ขออนุญาตตอบคุณฟิลม์ครับ สำหรับหนังสือที่อธิบายการปฏิบัติกรรมฐานนั้น ขอให้ยึด หนังสือต่างๆดังนี้ครับ
    หนังสือแนวทางสัมมาทิษฐิ
    -สัมมาทิษฐิ ของสมเด็จพระสังฆราช

    หนังสือแนวทางการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    -คัมภีร์วิสุทธิมรรค
    -กรรมฐานสี่สิบกองของพระราชพรหมยาน
    -มหาสติปัฐฐานสี่ของพระราชพรหมยาน
    -ปฏิปทาท่านผู้เฒ่าของพระราชพรหมยาน

    รายละเอียดเรื่องพุทธภูมิจากหนังสือ
    -ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า

    การใช้อภิญญาจิต
    -ทิพยอำนาจ ของพระอริยธาร (เส็ง)

    เหล่านี้เป็นหนังสืออ้างอิงเริ่มต้นที่เหมาะกับท่านที่สนใจครับ หนังสือที่กล่าวมา รจนาโดยท่านผู้ปฏิบัติได้แล้วถึงแล้ว ครับ อ่านแล้วจะแตกต่างจากหนังสือที่ใช้การตีความเอาจากพระไตรปิฏก

    อารมณ์จิตของท่านผู้ที่ปฏิบัติได้นั้นย่อมชัดจนแจ่มแจ้งเพราะเป็นการรจนาจากผลแห่งการปฏิบัติจริงครับ

    ผมเองก็ไม่มีอะไรดีเท่าไรนักในการปฏิบัติ ได้แต่ทำตามที่พระท่านบอก ที่พระท่านสอนเท่านั้น เราเชื่อผู้ใหญ่เอาไว้เดินตามแนวทางที่เป็นสัมมาทิษฐิเอาไว้ให้มั่นคง สิ้นสงสัยในคุณพระรัตนไตร เมื่อผลแห่งการปฏิบัติปรากฏแก่ใจ เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน ท่านที่ทำได้ในอารมณ์จิตเสมอกัน ระดับเดียวกัน ก็ย่อมเข้าใจในวิสัยเดียวกันนั้นได้

    ขออย่าได้กลัวในการทำความดี แต่จงกลัวที่จะมีจิตเป็นอกุศลกรรมเอาไว้อยู่เป็นนิตย์ เพราะเมื่อดวงจิตเรามีแต่ความดีงาม มีแต่กุศลเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงดวงจิตดวงใจแล้ว เราก็ย่อมเจริญในธรรมเป็นธรรมดาครับ

    ความกลัวคือ "อวิชชา " อันเกิดจากความไม่รู้ครับ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาต ตอบคุณเด็กอนุบาลครับ

    สำหรับเรื่องการใช้เจโตปริยญาณดูดวงจิตนั้น ขออนุญาตให้ใช้ได้เพื่อการเมตตาการสงเคราะห์กันในการปฏิบัติครับ ดูจิตว่าผู้ฝึกเข้าถึงฌาน สมาธิขั้นใด ต้องน้อมจิตไปในอารมณ์ใด กรรมฐานกองไหน ผู้ฝึกจึงจะก้าวหน้า

    ขอห้ามดูด้วยกิเลสว่าขอดูจิตเพื่อวัดกำลังของท่านผู้ปฏิบัติท่านอื่นว่าอยู่ขั้นไหน ระดับไหน เด็ดขาด เพราะเป็นทั้งตัวกิเลส ตัวมานะ ตัวริษยา ครบองค์จนทำให้เสื่อมจากความดีได้อย่างง่ายดายที่สุด

    การใช้เจโตนั้นสิ่งแรกก็คือการดูดวงจิตของเราเองก่อน ว่า

    จิตในฝ่ายกุศล มีอารมณ์เช่นไร จิตน้อมไปในทางด้านใด สีและสภาวะของจิตมีลักษณะเช่นไร

    -จิตในสภาวะฌานขั้นต่างๆ
    -จิตที่ทรงในพรหมวิหารสี่
    -จิตที่ทรงในอารมณ์วิปัสนาญาณ
    -จิตที่ทรงอารมณ์ใจคล้ายพระอริยะเจ้า ระดับต่างๆขึ้นไป
    -จิตที่ทรงอารมณ์อยู่ในอารมณ์พระนิพพาน

    เรียนรู้อารมณ์จิตที่มีการปรากฏของกิเลส เพื่อการรู้เท่าทัน เพื่อการดับ เพื่อการเห็นโทษ ของอารม์จิตนั้นๆ

    -อารมณ์จิตที่เจือไปด้วยความโลภ
    -อารมณ์จิตที่เจือไปด้วยความโกรธ (ปฏิฆะ โกรธะ พยาบาท)
    -อารมณ์จิตที่เจือไปด้วยราคะ
    -อารมณ์จิตที่เจือไปด้วยโมหะ

    เหล่านี้มีความละเอียดลึกไปอีกมากค่อยๆรู้ไปทีละจุด จนเป็นผู้มีความชำนาญในเจโตปริยะญาณ


    ติวเข้มครั้งหน้า เรามาฝึกกันครับ

    สำหรับการใช้อตีตังสญาณและบุพเพนิวาสานุสติญานมาพิจารณาประกอบการตัดสังโยชน์สิบ แต่ยังรู้สึกว่าอารมณ์ใจยังพิจารณาไปไม่สุดนั้น ก็มีเหตุดังนี้

    -จิตเรายังไม่เบื่อการเวียนว่ายตายเกิดจริงในส่วนลึก(เนื่องจากยังอยากช่วยคนอื่นอีกตามวิสัยพุทธภูมิ)

    -การพิจารณานั้นให้ระลึกชาติดูในชาติที่เราไปเกิดในที่ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์มากๆให้จิตมีความปลง ความเบื่อหน่าย ความหวาดกลัวภัยในสังสารวัฏฏ์เอาไว้เป็นสำคัญครับ

    -การพิจารณานั้นหากเป็นไปได้ควรพิจารณาอนุโลม ปฏิโลม ทบทวนย้อนกลับไป กลับมาเพื่อหาเหตุผลให้จิตของเรายอมรับความเป็นจริงของสังขาร และกฏไตรลักษณ์เอาไว้ จนจิตของเรายกขึ้นออกจากความยึดมั่นถือมั่นผูกพันในชาติภพเป็นสำคัญครับ

    -อารมณ์ใจที่ต้องการก็คือรู้เท่าทันความทุกข์ทั้งหลาย เห็นทุกข์ รู้ว่าอยู่ในทะเลทุกข์ แต่จนใจเรารู้เท่าทันและปล่อยวางจนอยู่ในทุกข์โดยไม่ทุกข์ได้ครับ

    ขอโมทนาในความตั้งใจดี ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติของหลายๆท่านที่ปฏิบัติอยู่ครับ ต่อไปท่านทั้งหลายต้องเป็นกำลังในการช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดความดีงามในโลก ในสังคมสืบต่อกันไปครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...