หมดแล้ว ร่วมบุญจองวัตถุมงคล วัดพุทธโมกข์ เททองพระ วันที่ ๓ ธค. ๕๕

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย woottipon, 2 มีนาคม 2012.

  1. woottipon

    woottipon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2005
    โพสต์:
    11,771
    ค่าพลัง:
    +83,952
    มีดฟ้าฟื้น ตอนออกให้จองชุดละ ๖๐๐๐ บาท เดี๋ยวนี้ ๔๐,๐๐๐ อัพ
    สมเด็จองค์ปฐมพุทธโมกข์ ออกจากวัดตอนนั้น ๔๐๐ บาท(หมดแล้ว) เดี๋ยวนี้มีผู้ถวายกลับมาให้วัดออกให้บูชา ๕๐๐๐ บาท
    พระกริ่งและวัตถุมงคลชุดนี้ หากมีโอกาศ ให้เก็บไว้บ้างครับ พระกริ่งองค์ขนาดพอเหมาะไม่หนักมากแขวนได้สบายครับ
     
  2. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    วิชาแปลธาตุ (ปรอท)

    ปรอทเป็นสรรพยามีสรรพคุณมากมากจึงมีกระบวนการทำตามแบบโบราณดังนี้ใช้วิธีการดักจับปรอทตามน้ำคลำน้ำที่เน่าเหม็นปรอทจะมากินสิ่งที่เน่าเหม็นมีกรรมวิธีการดักจับหลายวีธี
    > >
    การทำปรอทให้บริสุทธิ์ >>
    นำปรอทมาใส่ในชามกระเบี้องเคลือบนำข้าวที่หุงสุกใหม่ๆทิ้งเอาไว้ให้เย็นแล้วนำมาใส่ให้ท่วมปรอทคลุกเคล้าข้าวสุกกับปรอทให้เข้ากัน ด้วยไม้หรือกระเบื้องเคลือบพยายามบี้บดให้ปรอทแตกตัวสัก 15 นาทีหรือจนปรอทแตกตัวเป็นเม็ดละเอียดจะเห็นว่าข้าวสุกจะติดสีดำมากมายสุดท้ายล้างด้วยน้ำสะอาดโดยการเทน้ำสะอาดใส่ลงไปล้างหลายๆครั้งแล้วถ่ายน้ำออกหรือเทน้ำออกให้ระมัดระวังตามสมควรเนื่องจากปรอทมีน้ำหนักมากจะไม่เกาะติดสิ่งใดๆการล้างออกจึงทำได้ไม่ยากนัก >>

    นำปรอทมาแช่น้ำปลาร้าหมั่นคนสักพักหนึ่งคนบ่อยๆทิ้งเอาไว้สัก 1 คืน รุ่งเช้าให้ล้างน้ำปรอทด้วยน้ำสะอาดเหมือนกับขั้นตอนแรกหลายๆครั้ง >>
    ให้นำเอาตะใคร้ทั้งต้นทั้งใบมาตำให้ละเอียดนำไปคลุกเคล้ากับปรอทคนให้เข้ากันทิ้งไว้อีก 1 คืนนำมาล้างออกด้วยน้ำสะอาดแบบเดียวกับการล้างน้ำในขั้นตอนแรก >>
    เอาปรอทมาแช่น้ำมะดันหรือมะกรูดหรือน้ำมะนาวหมั่นคนบ่อยๆทิ้งเอาไว้ 1 คืนวันรุ่งขึ้นให้นำไปล้างด้วยน้ำสะอาด>>
    เสร็จแล้วนำเอามาใส่เอาไว้ในขวดแก้วปิดฝาให้แน่นเพื่อกันมิให้ปรอทดูดเอาสิ่งที่เป็นพิษเข้ามาปะปนอีกปรอทที่ได้มานี้ยังเป็นของเหลวเชื่อกันว่าปรอทที่ผ่านวิธีการกรองเอาพิษออกแล้วนี้มีความบริสุทธิ์ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์
     
  3. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    การทำปรอทให้แข็งตัวแบบโบราณ

    แบบที่ 1 ให้สะกดด้วยอาคมโดยนำเอาปรอทใส่ลงในกระทะเอาไม้สนเกี๊ยะจุดไฟใส่ใต้กระทะเป็นเชื้อเพลิงจากนั้นบริกรรมเติมไฟแต่ไม่ให้ร้อนมากชั่วเวลาหนึ่งให้ใส่ทองคำลงไปเพื่อล่อให้ปรอทแทรกตัวเข้าไปอยู่ในทองคำและแข็งตัวเมื่อปรอทแข็งตัวแล้วก็จะผ่อนไฟจนกระทั่งหยุดใส่ไหและเย็นลงในเวลาต่อมา

    ขั้นตอนต่อไปเป็นการบูชาเจ้าป่าเจ้าเขาก่อนที่จะเอาปรอทแข็งตัวแล้วนำเอาไปใส่เอาไว้ในพานวางตั้งเอาไว้หน้าหิ้งพระคลุมด้วยทองคำเปลว

    แบบที่ 2 ใช้ปรอท, ดีบุก, น้ำตะใคร้, จุนสี, กัมมะถัน, น้ำประสานทองอย่งละเท่าๆกันสำหรับจุนสีและน้ำประสานทองมีพาให้ระมัดระวังหน่อยต้องนำมาให้ความร้อนให้แตกตัวก่อนเรียกว่าการฆ่าพิษนำทั้งหมดมากวนรวมกันให้เข้ากันจนเป็นสีรุ้งการหุงนำไปตั้งในเตาแก๊สก็ได้แล้วนำเอาไปเทลงในแบบพิมพ์ต่างๆเมื่อปรอทแข็งตัวได้รูปแล้วนำเอามาแต่งด้วยกระดาษทรายละเอียดและนำเอาไปใช้ตามเจตนารมณ์ต่อไป

    ข้อเสียของปรอทคือ กินทอง, กินดวงคนที่เกิดปีธาตุทองเช่นปีมะโรง,และกินคนที่มีชื่อว่าทองด้วย
     
  4. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    การจับปรอท
    1. องค์หลวงปู่ให้นำไข่มา ท่านนำไข่ไก่มาลงอักขระ
    1.1 ด้านบนท่านลงยันต์สวัสดิกะไว้ด้านบน
    1.2 ตรงกลางไข่ ลงคาถาไว้ โอม นะมะ พะ ทะ มานิมานะ พุทธัสสะ สวาโหม
    1.3 ด้านล่างนำผ้าแดงมาปิดไว้
    2. ท่านเจาะรูเล็กๆ โดยใช้เข็มเจาะรูด้านบนของไข่
    3. ท่านให้นำไข่ไปตากแดด ตอนเที่ยงวัน จะให้ไข่ขึ้นฟอง
    4. ท่านให้ผู้ที่จะทำหน้าที่นำไข่ไปผึ่ง ถือศีล 8
    นำไข่ไปผึ่งที่กุฏิหลวงตาสนิท จำนวน 12 ใบ
    5. ขั้นตอนในการไปฝัง เวลา 21.00 น.
    ทำการขอขมาหลวงตา ใช้ธูป 8 ดอก เทียนดอกบัว 3 ดอก กล่าวคำขอขมา
    และให้หลวงตาชอบจับพญาปรอท......ด้วย

    15 ส ค 54
    การฝังไข่เพื่อดักปรอท
    หลวงปู่มอบเทียนขาวขี้ผึ้งแท้หนัก 2 บาท จำนวน 2 แท่ง
    ลงอักขระ มงกุฏพระพุทธเจ้า 2 ด้าน และท่านได้นำเลือดของท่านมาเจิมบนอักขระทั้ง 2 ด้าน
    เมื่อเริ่มจะฝัง ท่านให้จุดเทียนก่อน และห้ามให้เทียนดับ มิฉะนั้น ปรอทจะวิ่งเข้าตัว
    รอเวลา 21.39 น. มีเวลาฝัง 19 นาที ขุดหลุมลึก ครึ่งศอก
    นำไข่ลงไปฝัง ขณะวางลงหลุมที่ขุดไว้ ให้ว่าคาถา
    “โอม นะมะพะทะ มานิมานะ พุทธัสสะ สวาโหม”
    เวลากลบดินฝัง ให้ว่าคาถาย้อนกลับ
    เมื่อทำพิธีเสร็จ ก็แผ่เมตตา เสร็จพิธีฝัง
    ในขณะประกอบพิธี ห้ามผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในพิธี
    พอเสร็จพิธี พวกเราออกมาแล้ว ปรากฏว่า ลืมไข่ที่เหลือเอาออกมาด้วย
    จึงต้องย้อนกลับไปเอาไข่ออกมา
    เพราะไข่มีมูลค่า ใบละ 50,000 บาท ลืมไว้ประมาณ 10 กว่าฟอง

    28 ส ค 2554 วันพระ แรม 14 ค่ำ เดือน 9
    การกู้ไข่ที่ไปดักปรอทไว้
    1 ทุกคนรับศีล 8 องค์หลวงปู่เมตตา พรมน้ำมนต์ให้บนศาลาฝั่งตะวันตก
    และให้ว่าคาถา
    เวลากู้ประมาณ 18.00 น.
    2 ไปกู้ไข่ 2.1 ท่านให้เอาบาตรน้ำมนต์ไปด้วย
    2.2 พานพร้อมผ้าแดง (ขอขมาหลวงตาก่อน)
    3 ก่อนที่จะเริ่มกู้ ให้พวกเราพรมน้ำมนต์ และว่าคาถา
    “โอม นะมะพะทะ มานิมานะ พุทธัสสะ สวาโหม” ทุกคน
    ทำการกู้ ปรากฏว่า ได้ไข่คนละ 3 ฟอง เป็น 9 ที่เหลือ 3 ฟองแตก
    นำไข่ใส่พานและห่อด้วยผ้าแดง นำกลับไปถวายองค์หลวงปู่ เสร็จพิธี
    (ตอนหลังกลับมากู้ไข่ที่แตกอีก 3 ฟอง จะนำรายละเอียดมาเล่าทีหลัง)
     
  5. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    หลังจากกู้ปรอทได้ คืน 28 ส ค 54
    ขั้นตอนในการนำปรอทออกจากไข่
    ที่ห้องทำงานองค์หลวงปู่ข้างโรงยา
    องค์หลวงปู่ทำการดักปรอทเองด้วย ที่สระบัวข้างห้องทำงาน จำนวน 3 ฟอง
    (ไข่ที่ท่านนำไปฝังเสีย 1 ใบ)
    ท่านนำใบบัวมาเป็นที่รองรับ ในขณะที่จะนำปรอทออกมาจากไข่
    นำมีดที่จับปรอทมาจุ่มเลือดของท่าน
    แล้วล่อให้ปรอทออกจากไข่ เมื่อปรอทออกมาแล้ว จะใช้น้ำผสมเลือดของท่านมาล้าง
    ท่านบอกว่า ที่ต้องใช้น้ำผสมเลือด เพื่อให้ปรอทช้าลง
    จากนั้น ท่านได้เล่าการนำปรอทออกจากไข่ทั้ง 11 ใบ
    องค์หลวงปู่ให้ความรู้เกี่ยวกับปรอท
    ปรอทมีอยู่ 7 ชนิด
     
  6. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ชนิด คุณสมบัติ
    1 ปรอท ทอง แข็งแรง
    2 ปรอท เหล็ก เหนียว
    3 ปรอท เงิน วาสนา
    4 ปรอท ดิน เย็น
    5 ปรอทไม้ ยั่งยืน
    6 ปรอท ลม เป็นอาวุธของคนธรรพ์
    7 ปรอท ไฟ เป็นพญาปรอท หายาก เป็นปรอทของพระฤษี
    ปรอทแก้ว เป็นปรอทพิเศษ คุณสมบัติ ดั่งแก้วสารพัดนึก
    ไข่ใบที่ 1 เป็นปรอทเหล็ก ตัวปรอทมีสีดำ คล้ายลูกเหล็กเล็กๆ เกาะกันเป็นแพ
    ใบที่ 2 เป็นปรอททอง น้ำของไข่ที่ออกมามีสีเหลืองของไข่เป็นปกติ
    เหมือนไข่ที่เรานำมาเจียว
    องค์หลวงปู่บอกว่า ปรอททองเป็นปรอทผู้ดี กินไม่มูมมาม มีสติ
    ใบที่ 3 เป็นปรอททอง ออกมาเกาะกันคล้ายไข่ปลา มีฟองอากาศอยู่ด้านบน
    ฟองเป็นสีรุ้ง คล้ายสีปีกแมลงทับ
    องค์หลวงปู่บอกว่า เป็นฟองที่ปรอทหายใจออกมา
     
  7. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ใบที่ 4 เป็นปรอทดิน กลิ่นของเนื้อไข่ที่ออกมา เหม็นมากและมีสีดำ
    ตัวปรอทเองเป็นสีดำ เกาะกันเป็นแพ คล้ายปรอทเหล็ก ปรอทดินหายใจ
    แต่ปรากฏว่า ฟองอากาศก็หายใจกลับอยู่ข้างใต้ใบบัวเป็นแพ
    ไข่ใบที่ 5 เป็นปรอทเงินกับทอง วาสนาดี
    ปรอทเงินออกมาก่อน เป็นปรอทหายากมาก มีลักษณะเป็นลูกกลมๆ เงา แวววาว
    ไข่ใบที่ 6 เป็นปรอทนาค วิ่งเร็ว แข็งแรง สีของไข่เป็นสีออกแดงอ่อน
    มีแร่สัตตะโลหะติดมาด้วย
    ไข่ใบที่ 7 เป็นปรอทดินกับนาค มีกลิ่นฉุน สีของน้ำไข่ที่ออกมาค่อนข้างมีสีดำ
    มีฟองอากาศหายใจมาก และเป็นประกาย มีจำนวนพอสมควร
    ไข่ใบที่ 8 เป็นปรอท ดิน เหล็ก และไฟ เป็นพญาปรอท เป็นปรอทของพระฤาษี
    สารพัดประโยชน์ดั่งใจนึก มีเยอะมาก อ้วน สมบูรณ์ น้ำหนักดี
    ทำให้ใบบัวลู่ลงมาลึกมาก (ใบบัวกางอยู่ในชาม) มีปรอทดินมากกว่า
    และจับกันเป็นแพใหญ่ ซึ่งหายากมาก มีประกายแวววาว
     
  8. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ใบที่ 9 เป็นปรอททองกับไฟ ปรอทไฟมากกว่า เป็นพญาปรอท สีของเนื้อไข่จะสุกใสเหลือง
    เป็นปรอทมีน้ำหนัก ตัวปรอทมีขนาดใหญ่มาก มีสีแวววาว (มีภาพให้ดู)
    เป็นพญาปรอท (มีภาพให้ดู) ซน ไม่ตะกละ
    ใบที่ 10 ของหลวงปู่ เป็นปรอทแก้ว จับยากมาก ต้องใช้เลือดล่ออยู่ถึง 2 ครั้ง
    มีหนอนเกาะทั่วใบไข่ หนอนเกาะอยู่ในน้ำนอกเปลือกไข่
    แต่หนอนยังมีชีวิตอยู่ได้โดยปรอทช่วยรักษาไว้
    ปรอทแก้วโดนลมจะหาย ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าของน้ำไข่ ถึงแม้จะมีหนอนขึ้นก็ตาม
    ใบที่ 11 เป็นปรอทลม เป็นปรอทที่หาได้ยากมาก แต่คุณวิเศษมาก เป็นอาวุธของพรายน้ำ
    ปรอทไม่ยอมรวมตัวกัน กลายเป็นอากาศธาตุ
    จากนั้น พวกเราเห็นว่าได้ปรอทไม่มากนัก จึงพูดคุยกันว่า จะกลับไปกู้ไข่อีก 3 ใบที่แตก มาให้ท่าน
    จึงพากันไปกู้มาให้ท่าน และแล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น
    ไข่ที่ไปกู้มาทั้ง 3 ใบ เมื่อท่านใช้น้ำเลือดของท่านล้างเอาดินที่ตกลงในไข่ออก
    ปรากฏว่า มีปรอทจับตัวกันเป็นแพใหญ่มาก แวววาว และมีขนาดใหญ่มาก
    ท่านบอกว่า มีมากกว่าทั้ง 11 ใบอีก
     
  9. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ท่านพยายามจะจับพญาปรอทลงในชามที่มีเลือดอยู่ ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่สำเร็จ
    มีครั้งหนึ่งเกือบจะจับใส่ชามได้แล้ว ปรากฏว่า ตัวปรอทแบ่งตัวออก
    เพื่อให้หลุดพ้นจากการจับของท่าน
    ท่านบอกว่า พวกมันสามารถรวมตัวและแยกตัวได้ เวลามีภัยมา
    จากนั้นท่านก็บอกว่า พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว
    สุดท้าย ก็แยกย้ายกันกลับบ้านเวลา 22.00 น.
    เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ของพวกกระผมที่จะจดจำไปตลอดชีวิต
    พวกกระผมขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาขององค์หลวงปู่พุทธะอิสระมาก
    ที่ได้มอบประสบการณ์ทางจิตวิญญาณให้พวกกระผมในครั้งนี้
    บันทึกโดย เฮียหมู
     
  10. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ปรอทสำเร็จ เป็นวิชาการทำปรอทให้แข็งตัว สมัยโบราณหลายๆท่านที่ศึกษาเรื่องปรอทนี้ก็คงจะ
    เคยได้ยินการจับปรอทในแหล่งน้ำคลำสกปรกใต้ถุนบ้านหรือตามแหล่งน้ำเน่าต่างๆ โดยการเอา
    ไข่เป็ดเจาะรูหลายๆฟองแล้วนำไปแช่ในแหล่งน้ำสกปรกดังกล่าว


    ปรอทเป็นธาตุที่ชอบกินของสกปรกเน่าเหม็นจะเข้าไปตามรูที่เจาะบนไข่นั้นแล้วพอกินเนื้อในไข่
    ปรอทจะออกจากไข่ไม่ได้ เคยมีผู้ทดลองทำมาแล้วแต่ได้ปรอทมาในปริมาณไม่มากนัก


    การทำปรอทให้แข็งตัว ในภาษาไสยศาตร์เรียกว่า "การฆ่าปรอท"ด้วยการนำว่านยาบางชนิดมา
    ใช้ฆ่าปรอทเพื่อให้ปรอทแข็งตัว เช่น ว่านเพชรหึง เหตุที่ต้องทำให้ปรอทแข็งตัวนั้นเพราะ
    จะได้สามารถพกพาปรอทไปได้ในทุกๆ ที่ ซึ่งการทำปรอทให้แข็งตัวนั้นมีหลายวิธี อีกวิธีหนึ่งคือ
    การเสาะหาสถานที่หุงปรอท นั่นคือ ถ้ำที่มืดทึบซึ่งจะต้องเป็นถ้ำที่เข้าตำราโบราณ ที่เรียกว่า
    "ถ้ำลอด-ปรอทขาว" และผู้ที่ฆ่าปรอทตายและให้แข็งตัวได้เราจะเรียกผู้นั้นว่า "ผู้สำเร็จปรอท"
    โดยอิทธิฤทธิ์ของปรอทสำเร็จมีดังนี้คือ

    ผู้สำเร็จปรอท จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เดินทางไปไหนมาไหนได้รวดเร็วกว่าคนปกติ
    อีกทั้งความเหนื่อยล้าเป็นไม่มี มีความเชื่อว่าปรอทคือเครื่องสะพายแล่งของพญายมราช ดังนั้น
    ภูติผีปีศาจจึงพากันเกรงกลัวยิ่งนักหากที่ใดที่มีคนถูกผีเข้าเจ้าสิง หากนำปรอทเข้าไปใกล้ตัวคน
    ที่ถูกผีเข้าผีจะรีบหนีออกไปทันที การเลี้ยงปรอทนั้นท่านว่าให้เอาทองคำเปลว มาวางไว้ใกล้ๆ
    กับก้อนปรอทนั้น ไม่ทันไรแผ่นทองคำเปลวจะอันตรธานหายไปเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ การให้
    ทองคำเปลวแก่ปรอทกินเป็นอาหารหากวันใดลืมให้แล้วมาให้วันต่อมาปรอทจะกินทองคำเปลวจุ
    มากคือกินแผ่นทองคำเปลวทีเดียว 2 แผ่นเลย ปรอทสามารถเตือนภัยให้กับเจ้าของได้และเตือน
    ได้ทั้งเรื่องโชคชะตาของเจ้าของว่าช่วงนั้นดีหรือร้ายเพียงใด
    และแน่นอนเรื่องป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ให้กับเจ้าของปรอท ปรอทก็สามารถป้องกันได้เช่นกัน

    ปรอทเป็นของเหลวและไหลกลอกกลิ้งได้เช่นเดียวกับน้ำ หลักวิทยาศาสตร์ปรอทนั้นจะมี
    อาการหดตัวเมื่อถูกความเย็นและพองตัวเมื่อถูกความร้อน ตามวิชาการแพทย์ก็ต้องใช้
    ปรอทเป็นเครื่องวัดระดับความร้อนของคนไข้ หลักอุตุนิยมวิทยาก็ใช้ปรอทเป็นเครื่องวัด
    อุณหภูมิเป็นต้น

    เพราะการคุมตัวกันไม่ติดของปรอท และเป็นธาตุชนิดหนึ่งที่มีอาการประหลาดนี้เอง ใน
    โบราณกาลจึงถือว่าปรอทนั้นหากผู้ใดมีวิชาสามารถทำการคุมตัวกันได้ และประกอบพิธี
    โดยหลักไสยศาสตร์ อันถูกต้องครบถ้วนแล้ว ฤทธิ์อันเกิดจากวิทยาคมซึ่งรวมอยู่
    ในปรอทนั้นอาจจะสามารถนำผู้ที่เป็นเจ้าของให้เกิดอิทธิฤทธิ์และกระทำปาฏิหาริย์ต่าง
    ๆได้ ดังอุปเท่ห์โบราณดังนี้

    ผู้ใดอมปรอทไว้
    1.ผู้นั้นจะมีรูปร่างดังพระมหาจักรพรรดิ (หมายถึง ความมีเดช ฤทธิ์ และความงามเป็นที่
    เสน่หากระมังอันนี้รวมถึงอานุภาพที่คล้ายกับเหล็กไหลในตำนานที่เด่นเรื่อคุ้มครองป้อง
    กันภัยด้วย)

    2.เสียงไพเราะ ดังท้าวมหาพรหม (หมายถึง พูดถูกใจบุคคล เป็นเสน่ห์ พูดอะไรมีคนเชื่อ
    ถือกระมัง)
    3.ไปป่าหิมพานต์ยาม ๑ ก็ถึง (คงหมายถึงการทำปาฏิหาริย์ ล่องหน)
    4.ไป ๔ ทวีป ในนิ้วมือเดียว (เช่นเดียวกับข้อ ๓ หรืออาจหมายถึงกายทิพย์ก็ได้)
    คิดอะไรสำเร็จสมความปรารถนา
     
  11. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ว่านเพชรหึง

    เนื้อหาและรูปภาพจาก ว่าน สมุนไพรและไม้มงคล > ว่านเพชรหึง [Engine by iGetWeb.com]





    เป็นไม้ประดับหายาก และเป็นสมุนไพรแก้พิษงู ตะขาบหรือแมงป่องต่อย โดยนำลำต้นมาฝนกับเหล้าดื่มหรือใช้กากพอกปากแผล ช่วยถอนพิษ หรือฝนน้ำซาวข้าวทาพอกฝี เป็นยาเย็นช่วยดับพิษทั้งปวง ลำต้นกับก้านใบหั่นบางๆล้างน้ำให้สะอาดแล้วใส่โหลดองกับเหล้าไว้ดื่มเป็นประจำช่วยขับลมในลำไส้และบำรุงกำลัง ถ้ากินเป็นประจำเป็นยาอายุวัฒนะ
    ความเชื่อเมื่อออกดอกจะมีอานุภาพมาก เพราะเมื่อลมพัด ดอกที่มีลักษณะคล้ายหัวงูจะส่ายไปมา ยามที่ดอกแก่จัดใกล้หลุดร่วงจะเกิดลมพายุใหญ่ที่เรียกว่าลมเพชรหึง ซึ่งเป็นช่วงที่มีพิษร้ายแรงมาก เชื่อว่าช่อดอกอาจฉกทำให้คนตายได้ นิยมใช้ฆ่าปรอททำให้ตายเป็นกายสิทธิ์ โดยนำปรอทมาห้อยไว้ให้ดอกฉกและแทงให้ถูกปรอท ทำซ้ำจนกว่าปรอทจะแข็ง
     
  12. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ขั้นตอนการทำเบี้ยแก้ของหลวงปู่ญาท่านสวน วัดนาอุดม

    มวลสารและวิธีการสร้างเบี้ยแก้

    1. ตัวเบี้ย เบี้ยตามความหมายของพจนานุกรม คือ ชื่อหอยน้ำเค็มกาบเดียวมีอยู่หลายชนิดผิวแข็ง ผิวเป็นมัน หลังนูนท้องแบนเรียกรวมๆว่า

    หอยเบี้ยแต่หอยชนิดที่นำมาทำเบี้ยแก้นี้ ท่านให้เอาเบี้ยจั่น เพราะคนโบราณท่านถือว่าเป็นวัตถุกลางที่ใช้สำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของ ก่อนการใช้เหรียญกษาปณ์หรือธนบัตรใน
    ปัจจุบันแต่คำว่าเบี้ยก็ยังเป็นคำที่ใช้ แทนสื่อความหมายของเรื่องเงินๆทองๆมาจนถึงปัจจุบันนี้ เช่นเบี้ยเลี้ยง เบี้ยบำนาญ เบี้ยหวัด เบี้ยประกัน เป็นต้น เมื่อได้เบี้ยตามต้องการแล้วก็นำ
    มาปลุกธาตุหรือปลุกเสกเพื่อเรียกวิญญาณคืน เบี้ย

    2. ปรอท เป็นธาตุโลหะลักษณะเป็นของเหลวสีเงิน สารประกอบปรอทเป็นพิษ แต่บางเบาเป็นยาโดยปริยาย หมายถึงอาการที่เป็น
    ไปอย่างรวดเร็วว่องไว ปรอทที่นำมาบรรจุในเบี้ยแก้ครั้งนี้ เป็นปรอทที่ไปดักตามธรรมชาติ ผู้ที่เดินทางไปดักปรอทธรรมชาตินี้ ท่านเป็นอาจารย์ฆารวาสที่มีอำนาจจิตสูงท่านหนึ่ง ซึ่งได้
    มีโอกาสเดินป่าอยู่เป็นประจำ อีกทั้งท่านยังได้เล่าเรียนและสืบทอดวิชา การสร้างเบี้ยแก้นี้จากครูบาอาจารย์สายอีสานแถบลุ่มแม่น้ำโขงอีก ด้วย ท่านต้องใช้ความพยายาม และวิริยะ
    อุตสาหะ อย่างยิ่งที่จะนำปรอทมาถวายหลวงปู่ญาท่านสวน ซึ่งก่อนที่จะเข้าไปดักปรอทในป่านั้น จะต้องบวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขา เทพยาดา เทวดาผู้พิทักษ์รักษาป่าแห่งนั้นเสียก่อน จึง
    จะเข้าไปดักปรอทได้ จากนั้นจึงนำไข่มาเสกด้วยคาถาไชดักปรอท แล้วใช้เข็มเจาะรูเล็กๆ คราวนี้จะต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวสังเกตว่าที่แห่งใดจะมีปรอทอาศัยอยู่ ซึ่งส่วนมากจะ
    เป็นบริเวณที่มีซากพืชเน่าเปื่อย บริเวณที่มีปรอทจะสังเกตุเห็นเป็นพรายน้ำเรืองแสง เมื่อมั่นใจแล้วจึงนำใข่ที่เจาะรูแล้วไปฝังในดินบริเวณนั้นสัก 2-3 วัน จึงกลับมากู้ไข่ดักปรอท
    เมื่อมีปรอทอยู่ในบริเวณนั้นก็จะลงไปกินใข่เน่าแล้วจะออกไม่ได้เพราะได้ลง คาถาปิดปากไชเอาไว้ ในการดักแต่ละครั้งในไข่แต่ละฟองจะได้ปรอทเท่ากับหัวไม้ขีดสถานที่ที่ได้มา
    ของปรอทคือ ภูหางสง ภูงอย อยู่ในประเทศลาว และ ภูผักแพรว อ.ช่องแม็ก อุบลราชธานี เมื่อได้ปรอทจำนวนมากแล้วนำมาเทรวมกัน และบรรจุใส่ในกระเพาะวัวรัดปากใว้แล้วนำ
    ไปต้ม ผูกเชือกแขวนที่ปากปี๊ปสุมไฟตลอด พร้อมกันนั้นจะต้องสวดด้วยคาถาคุมปรอท ซัดว่านด้วยว่านคางคก ว่านทรหด และว่านอื่นๆ ที่ไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้ ทำจนปรอท
    แข็งตัวเป็นก้อน เป็นการกันไม่ให้ปรอทหนี ก่อนที่จะนำปรอทไปบรรจุในตัวเบี้ย ก็จะต้องนำปรอทที่แข็งตัวก้อนนั้นมาขยำด้วยน้ำมะนาวสด เพื่อล้างเอาขี้ปรอทออกอีกครั้ง จากนั้น
    ปรอทที่แข็งตัวก็จะกลับเป็นของเหลวกลายเป็นปรอทบริสุทธิ์

    3. ขั้นตอนการบรรจุปรอทเข้าไปในตัวเบี้ย ในขณะบรรจุปรอทต้องภาวนาคาถากำกับ เช่น พุทธังบรรจุ อธิษฐานมิ
    ธัมมังบรรจุ อธิษฐานมิ สังฆังบรรจุ อธิษฐานมิ จากนั้นจึงปิดทับด้วยชันโรง

    4. ชันโรง คือชื่อผึ้งขนาดเล็ก ซึ่งมีลำตัวยาวไม่เกิน 10 มิลลิเมตร ชอบกินน้ำหวานจากเกสร ดอกไม้มัก
    อยู่รวมกันเป็นฝูง โดยปกติแล้วตัวชันโรงจะชอบอยู่ตามที่ที่มีความเงียบสงบไม่ชอบให้ใครรบกวน เมื่อถ่ายออกมาจะเป็นสีดำ มีความเหนียว และมีกลิ่นหอมน้ำหวาน ด้วยเหตุนี้เอง
    โบราณจารย์ท่านจึงนำมาปิดปากเบี้ยเพื่อกันปรอทไหลออกมา สำหรับชันโรงที่นำมาประกอบพิธีกรรมในครั้งนี้เป็น ชันโรงเพียงดิน ซึ่งเป็นชันโรงที่อยู่กลางแจ้ง ไม่สะทกสะท้านต่อ
    สิ่งแวดล้อมต่างๆ เชื่อกันว่าชันโรงชนิดนี้มีคุณในตัวเองและหายากมาก ก่อนนำไปปิดปากเบี้ยให้นำชันโรงมาเสกด้วยเสกด้วยคาถาเดียวกันกับคาถาบรรจุ ปรอท

    5. นำแผ่นตะกั่วบางๆ
    มาลงอักขระ ด้วยยันต์นะซ่อนหัว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่านะใต้น้ำ ล้อมรอบด้วยธาตุสี่คือ นะมะพะทะ เสร็จแล้วจึงนำไปปิดทับปากเบี้ยอีกชั้นหนึ่ง

    6. เมื่อเสร็จตามขั้นตอนดังกล่าว
    แล้วให้นำมาปลุกเสกด้วยธาตุ จนปรอทแข็งตัวเป็นเม็ดจะสังเกตุได้ว่าก่อนนำมาปลุกเสกเมื่อเขย่าจะมีเสียง ดังขลุกๆเป็นเสียงน้ำกลิ้งไปกลิ้งมา แต่เมื่อปลุกเสกสำเร็จแล้วจะมีเสียง
    แซ็กๆคล้ายดั่งเสียงเม็ดทราย หรือบางตัวเสียงค่อนข้างทึบเพราะอาจมีปรอทมากไป

    7. จากนั้นจึงนำมวลสารมาบรรจุเพิ่มเติม คือผ้าอาบน้ำของหลวงปู่ ผงปถมังที่หลวงปู่ท่านเขียนและ
    ลบเอง ชานหมาก ผงพุทธคุณต่างๆ ผงแร่ใต้น้ำ แร่บนเขา เส้นเกศา ตะกรุด 1 ดอก เข็มโลกธาตุ 1 เล่ม ยังได้อัญเชิญ พระอุปคุตเถระ (เหรียญกลีบบัว ปี2540 เป็นเหรียญสุดยอด
    ประสบการณ์) มาประดิษฐานอยู่บนตัวเบี้ย จากนั้นจึงทำการถักเชือกหุ้มตัวเบี้ย

    8. นำชันโรงแข็ง ซึ่งได้มาจากปล่องทางเดินของตัวชันโรง จากใต้น้ำและที่ขึ้นสู่อากาศ และ ชันโรง
    เพียงดินซึ่งอยู่กลางแจ้ง จะมีลักษณะแข็งคล้ายครั่ง แต่มีสีน้ำตาล นำมาตำให้ละเอียดกับตัวทำละลายให้เหลวเป็นน้ำ แล้วนำไปชุบตัวเบี้ย ผึ่งลมให้แห้ง

    9. นำเบี้ยทั้งหมดไปถวาย
    ให้หลวงปู่ญาท่านสวน อธิฐานจิต ปลุกเสกเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นอันเสร็จพิธี การสร้างเบี้ยแก้นั้นมีมาตั้งแต่โบราณกาล แต่จะมีเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ ใดไม่มีหลักฐานระบุอย่าง
    แน่ชัด จุดมุ่งหมายในการสร้างเบี้ยแก้ของบูรพคณาจารย์ แต่ละสำนักนั้นมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน นั่นก็คือ เครื่องรางที่ใช้สำหรับป้องกันการทำคุณไสยยาสั่ง แก้เหตุร้ายให้กลับกลาย
    เป็นดี อีกทั้งยังมีพุทธคุณทางด้านเมตตามหานิยมอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดและป้องกันอันตรายทั้งปวง แต่สำหรับการสร้างเบี้ยแก้ของวัดนาอุดมในครั้งนี้ นอกจากจะมีจุดมุ่งหมาย
    อันเดียวกันกับสำนักต่างๆแล้ว เบี้ยแก้ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง ทำให้บังเกิดโชคลาภสักการะ เรียกทรัพย์ เรียกเงิน เรียกทอง สื่อถึงความร่มเย็นเป็นสุข อีกทั้งยังเป็น
    ตัวแก้และกัน สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ป้องกันภูตผีปีศาจ ผีพราย ป้องกันไข้ป่า ป้องกันสัตว์มีพิษต่างๆ ป้องกันตัวทากมิให้เกาะในขณะเดินป่า โดยเฉพาะผู้เดินป่าสมัยก่อนอันตรายมาก
    ในขณะนั่งทำภารกิจส่วนตัว พวกตัวทากจะกระโดดเกาะและดูดเลือด การสร้างเบี้ยแก้ในครั้งนี้นอกจากจะสร้างตามตำราที่กำหนดโดยเคร่งครัดแล้ว ยังได้เพิ่มมวลสารศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
    บรรจุในเบี้ยแก้เช่น ผ้าอาบน้ำหลวงปู่ญาท่านสวน ผงปถมังที่หลวงปู่ท่านลบเอง ผงชานหมาก ผงพุทธคุณต่างๆเส้นเกศา ผงแร่ใต้น้ำ ผงแร่บนเขาต่างๆ ตะกรุด1ดอก เข็มโลกธาตุ 1 เล่ม
    และที่สำคัญได้อัญเชิญ พระอุปคุตเถระ ผู้ปราบพญามารซึ่งเชื่อกันว่าท่านยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ และสถิตอยู่ ณ.วิมานแก้วเจ็ดชั้น ใต้สะดือทะเล ซึ่งมีกุ้งหอยปูปลาเป็นบริวาร มา
    ประดิษฐานที่ปากเบี้ยแก้ด้วยความมั่นใจและปรารถนาที่อยากให้เบี้ยแก้นี้ ทรงอนุภาพศักดิ์สิทธิ์ ปกป้องคุ้มครองและใว้เป็นสมบัติอันหวงแหนแก่ผู้ที่นำไปสักการะบูชา และจะเป็นที่
    สืบเสาะแสวงหาภายในอนาคตข้างหน้า เบี้ยแก้องค์ครู ด้านหลังปิดด้วยพระอุปคุต ตอกโค๊ตกันปลอม ถักเชือกหุ้มลงรักยางไม้ แบบนี้สร้างไว้น้อยมาก(แจกกรรมการ) มีทั้งถักแบบมี
    หูและไม่ไมีหู มักมีใช้กันเฉพาะหมู่ศิษย์ ส่วนเบี้ยแก้แบบธรรมดานั้นด้านหลังไม่มีพระอุปคุตครับถักเชือหุ้มหลังปิดหมด ฉนั้นเบี้ยแก้องค์ครูนี้ต้องห้อยคอนะครับ ห้ามแขวนเอว
    พุทธานุภาพของเบี้ยแก้ใช้ได้สารพัดยิ่งกว่าฝอยท่วมหลังช้าง เป็นโชคลาภ ดูดเงินดูดทรัพย์ ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ป้องกันอาถรรพ์ร้ายและภูตผีปีศาจ ขึ้นชื่อว่าเบี้ยแก้ แก้ได้ทุก
    ชนิด เช่นแก้พิษ แก้ดวงตก แก้คุณไสย์ดำ ฯลฯ ยิ่งได้บารมีพระอุปคุตมาด้วยแล้วยิ่งแรงไปใหญ่ หาไว้ใช้ติดตัวเถิดดีแน่นอนครับ ไม่ต้องไปตามหาเบี้ยแก้พระเกจิดังในอดีตให้เหนื่อย
    ได้มาก็ดูไม่เป็นไม่มั่นใจ ใช้เบี้ยแก้รุ่นใหม่ของญาท่านสวนนี่แหละครับ รับรองไม่เป็นรองใคร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2013
  13. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    "เบี้ยแก้" อิทธิคุณและการใช้อย่างถูกต้อง

    --------------------------------------------------------------------------------




    ข้ออธิบายต่อไปนี้ คัดลอกจากต้นฉบับเดิมของวัดกลางบางแก้ว เพื่อให้ท่านที่มีเบี้ยแก้ได้ทราบถึงอิทธิคุณและการใช้อย่างถูกต้อง อันจะบังเกิดผลดีแก่ผู้ใช้





    เบี้ยแก้ คือ เครื่องรางชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอุปเท่ห์การใช้มากมายหลายอย่าง ทั้งกันและแก้สิ่งชั่วร้ายเสนียดจัญไร คุณไสย คุณคน คุณผี บาเบื่อ ยาเมา ทั้งหลาย คณาจารย์ยุคเก่าที่สร้างเครื่องรางประเภทเบี้ยแก้
    เอาไว้มีด้วยกันหลายรูป แต่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เห็นจะมีอยู่เพียง ๒ รูปคือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว และหลวงปู่รอด วัดนายโรง

    นอกนั้นก็มีชื่อเสียงอยู่เฉพาะพื้นที่ เช่น หลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์ จ.อ่างทอง , หลวงพ่อม่วง, หลวงพ่อทัต, หลวงพ่อพลอย วัดคฤหบดี บางยี่ขัน, หลวงพ่อแขก วัดบางบำหรุ, หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ, หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน จ.อ่างทอง และมีอาจารย์อื่นอีกที่สร้างได้แต่ไม่แพร่หลาย

    วิธีการสร้างเบี้ยแก้

    เมื่อหาตัวเบี้ยมาได้แล้ว (เบี้ยพวกนี้ไม่ค่อยพบในบ้านเรา สมัยก่อนต้องหาซื้อตามร้านเครื่องยาจีน เข้าใจว่าเบี้ยที่นำมาใช้นี้จะถูกนำเข้ามาพร้อมกับสินค้าจากประเทศจีนในอดีต.....) คณาจารย์ผู้สร้างก็บรรจุปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้าไปในตัวเบี้ย แล้วหาวิธีอุดมิให้ปรอทไหลออกมาได้ (ปรอทที่ใช้นี้เป็นปรอท หรือปรอทดินโบราณมีวิธีการจับปรอทโดยนำไข่เน่าไปทิ้งไว้ในน้ำครำไม่ช้าปรอทจะกินไข่เน่าจนเต็ม)ปรอทมีคุณสมบัติเป็นของเหลวลื่นไหลการจะนำปรอทมาบรรจุเบี้ยแก้ คณาจารย์ผู้สร้างจำต้องมีพระเวทเข้มขลัง เพราะต้องใช้พระเวทฆ่าปรอทหรือบังคับให้ปรอทรวมตัวกันอยู่ในเบี้ยบางราย ถึงกับบริกรรมพระเวทเรียกปรอทเข้าในตัวเบี้ยได้เอง การปิดปากเบี้ยเพื่อกันไม่ให้ปรอทไหลออกมาได้นั้นนิยมเอาชันโรงใต้ดิน ที่ปลุกเสกแล้วมาอุดใต้ท้องเบี้ยให้สนิทเรียบร้อย แล้วจึงหุ้มด้วยวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ผ้าแดง แผ่นตะกั่วแผ่นทองแดง วัสดุที่ใช้หุ้มหรือปิดนี้ก็ต้องลงอักขระเลขยันต์และปลุกเสกกำกับด้วย เช่นเบี้ยแก้หลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้วจะมีลวดทองแดงขดเป็นห่วง ๓ ห่วง เพื่อให้ใช้เชือกคล้องคาดเอวเบี้ยแก้ที่ผ่านการบรรจุปรอทจนกระทั่งถักหุ้มเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ถือว่าเสร็จสิ้นขึ้นตอนกรรมวิธี เพราะคณาจารย์เจ้าผู้สร้างท่านต้องปลุกเสกกำกับอีกจนมั่นใจว่าใช้ได้จริงๆ แล้วเล่ากันว่า คณาจารย์บางรูปและสามารถปลุกเสกเบี้ยแก้จนตัวเบี้ยคลานได้เหมือนหอย



    - ป้องกันอัตวิบากกรรม แก้ภาพหลอน จิตรหลอน ภาพอุปทาน แก้อำนาจภูผีปีศาจ อาถรรพณ์เวททำให้
    มัวเมาขลาดกลัว ขนพองสยองเกล้า ลมเพลมพัด คุณไสย คุณผี คุณคนทั้งปวงอุบาทวเหตุ อุบาทวภัย
    ทั้งปวง มัวเมายาพิษ ยาสั่งทั้งหลาย ไข้ป่า ไข้ป้าง ไข่ผีป่า ผีโป่ง ผีปอบ ต้องกระทำจากภูตผี ผีพราย
    ผีตายโหง กองกอยวิกลจริต จิตวิกลวิกาล วิญญาณ อุปาทานวิกลเหมือนผีเข้าเจ้าสิงสู่ปราศจากสิ้นแล

    - ให้อธิษฐานเอาน้ำมนต์ เอาดอกพุทธรักษาดอกไม้ ดอกเข็มแดงหลากสี ตั้งขันธูปเทียน ขันห้า
    ข้าวตอก ดอกไม้แก้บาทวพิษ บาทยัก อัมพาต บาดแผล ฝีมะเร็ง ฝีคุณ หัวพิษ หัวกาฬ ทรางชัก
    รางขนพอง สันนิบาตลูกหมา ลูกนก หลังแอ่น คางแข็ง บ้าหมู ภายนอกภายใน อาบกินด้วย ตั้งจิตหน่วงลง
    ในคุณพระศรีรัตนตรัยใช้ได้แล

    - เมื่อเข้าศึกสงครามให้เอาไว้ด้านหน้าสารพัดศัตรู บีทาย่ำรุกไล่ให้เอาไว้ด้านหลัง หาเจ้าฟ้ามหากษัตริย์
    เจ้าขุนมูลนาย ให้เอาไว้ด้านข้างขวา เมื่อหาหญิง หานางพญาไว้ข้างซ้าย สารพัดศาสตรามิต้องข้างกายเลย
    ดุจฝนเสนห่า ข้าวปลาอาหารเป็นพิษ คางแข็ง เคี้ยวไม่กลืนเลยแล

    - ปลิงก็ดี ทากร้ายก็ดี มีในป่ามืด ในน้ำห้วยหนอง คลองบึง มันไม่เก่าะกินเลือดทั้งวัวทั้งควาย ช้างม้า
    ก็ดีแล แก้งูพิษ เขี้ยวขนอน แมวเซา เห่าแก้วก็ดีมิต้องกายมาขบกัดเลยแล

    หนังสือเบี้ยแก้...อิทฤทธิ์วิทยาคมแก่กล้า แห่งการปกป้อง คุ้มครอง แก้ไข้สิ่งเลวร้าย


    เบี้ยแก้..และหมากทุยในเล่มนี้ได้รวบรวมภาพไว้มากมายซึ่งน้อยนักจะได้พบจากหนังสือเล่มใด ซึ่งเบี้ยแก้น้น เป็นอาถรรพณ์วัตถุที่ทำด้วยเบี้ยจั่น มีทั้งขนาดตัวใหญ่และเล็ก ภายในบรรจุด้วยปรอทแล้วปิดสนิทด้วยชันโรง เบี้ยแก้เป็นเครื่องรางของขลังประเภทหนี่ง ที่มีการค้นพบมาตั้งแต่สมัยอยุธยาหรืออาจจะลึกกว่านั้น

    เบี้ยแก้ซึ่งได้นับความนิยมเป็นที่ยอมรับ ทั้งอิทธิฤทธิ์ และคุณค่า ในการเสาะแสวงหา นั้นมีมากมาย แต่ที่นำมาเสนอในเล่มนี้ ล้วนเป็นเบี้ยแก้ของคณาจารย์ผู้ทรงคุณ สร้างเสกเบี้ยแก้ให้เรืองอานุภาพ เป็นที่ศรัทธาประจักษ์ต่อศักดาและพลานุภาพแห่งการปกป้อง แก้ไข สิ่งเลวร้าย มิให้กล่ำกลายฉมังนัก จนเป็นที่ใฝ่หาของผู้ศรัทธาสะสม

    เบี้ยแก้สูตร วัดกลางบางแก้ว (ของหลวงพ่อเจือ) ถ้าอยากได้ ต้องไปขอบูชาที่ กุฎิหลวงพ่อโดยตรง รับกับมือหลวงพ่อเพราะได้ข่าวว่า มีบุคคลภายนอก ทำการตีเบี้ยเอง ถักเชือกเอง ลงรักเอง ตอกโค๊ดเอง เหมือนของหลวงพ่อไม่ผิด โปรดระวัง



    หลวงปู่เจือ ท่านสืบสานกันมาตามตำราโดยตลอด นับจากหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม วัสดุสำคัญที่ใช้ในการทำเบี้ยแก้ ก็คือ เบี้ยแก้ขนาดกำลังพอดี สำหรับการกรอกปรอทให้ครบน้ำหนัก หนึ่งบาท ชันโรงสำหรับอุดปากเบี้ย แผ่นตะกั่วสำหรับตีปิดหุ้มตัวเบี้ย แล้วก็ปรอทที่ใช้ในการกรอกใส่ตัวเบี้ยครับผม ในภาพคือขั้นตอนที่หลวงปู่ท่านกรอกปรอทพร้อมบริกรรมคาถา



    เมื่อตีตะกั่วหุ้มเบี้ยเรียบร้อยแล้ว ก็จะเอาเบี้ยทั้งหมดใส่ถาดมาให้หลวงปู่จารอักขระและเ สกอีกครั้งก่อนห่อเบี้ยด้วยผ้าและส่งให้คนถักด้ายและติดห่วงและ ลงรักเป็นขั้นตอนสุดท้ายครับผม ภาพหลวงปู่เจือขณะจารเบี้ย



    จาก: www.amuletclub.org/viewtopic.php?f=12&t=11
     
  14. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    มีคนโบราณเขียนถึงสรรพคุณของเบี้ยแก้ไว้ว่า...

    เบี้ยแก้ตัวนี้สำคัญนัก พ่อค้าแม่ขายจักหมั่นไหว้บูชา จะไต่เต้าเจ้าสัวแสนทะนาน ลาภเต็มห้อง ทองเต็มไห ขุนนางใดมีไว้ในตัว ดีนักแล จะให้คุณเป็นถึงท้าวเจ้าพระยา พานทอง........

    เบี้ยแก้ เป็นเครื่องราง...อย่างหนึ่งของไทยที่คุ้นหูในสมัยก่อน แต่สมัยนี้ ไม่ค่อยมีคนรู้จักกันแล้ว เกจิอาจารย์ท่านสร้างจากการบรรจุปรอท ที่ปลุกเสกแล้ว เข้าไว้ในตัวเบี้ยจั่น แล้วหาวิธีอุดไว้ไม่ให้ ปรอทหนีออกมาข้างนอก

    เวลาเขย่าจะได้ยินเสียงปรอทกระฉอกไปมาเสียงดังขลุกๆ ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง เสียงหนักเบาขึ้นอยู่กับปริมาณมากน้อยของปรอทที่บรรจุ

    เสียงขลุกๆของปรอท ยังขึ้นอยู่กับฤดูกาล ถ้าเบี้ยแก้ตัวที่บรรจุปรอทมาก เขย่าในฤดูร้อน มักไม่ได้ยินเสียง แต่ถ้าเขย่าในฤดูหนาว เสียงจะดังฟังชัดเจน

    เบี้ยแก้บางตัว มีเสียงขลุกไพเราะ ขลุกหลายจังหวะ มีเสียงหนักเบาสลับกันไป เหมือนนักร้องมีลูกคอหลายชั้น หรือนกเขาเสียงคู่ เสียงเอกที่มีลูกเล่นหลายชั้น

    เบี้ยแก้ที่ขึ้นชื่อ มีหลายสำนัก หนังสือเปิดตำนานเครื่องรางของขลังเมืองสยาม คุณ สมชาย โตมั่น มีรายละเอียดว่า แต่ละสำนัก มีวิธีบรรจุปรอทและวิธีอุดต่างกัน

    เบี้ยแก้ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว นครชัยศรี เมื่อท่านบรรจุปรอทลงในเบี้ยจั่นแล้ว ก็เอาชันโรงใต้ดินที่ปลุกเสกแล้ว อุดยาบริเวณปากร่องใต้ท้องเบี้ย แล้วจึงหุ้มด้วยผ้าแดงลงอักขระเลขยันต์

    จากนั้นก็เอาด้ายถักหุ้ม ใช้ลวดทองแดงขดเป็นห่วงไว้คล้องคอหรือร้อยเชือกคาดเอว

    เบี้ยแก้สำนักที่ขึ้นชื่อไม่แพ้หลวงปู่บุญ คือเบี้ยแก้หลวงปู่รอด วัดนายโรง อ.ตลิ่งชัน กทม. วิธีหุ้มเบี้ยด้านดอก อาจดูคล้ายกัน แต่ ด้านในแตกต่างกัน ของหลวงปู่รอดใช้แร่ตะกั่วหุ้ม แล้วลงอักขระลงบนพื้นตะกั่วรอบตัวเบี้ย

    คุณไชยรัตน์ โมไนยพงศ์ เป็นผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาเบี้ยแก้ รวบรวมไว้ในหนังสือเครื่องรางของขลัง เท่าที่คุณไชยรัตน์สังเกต ยันต์ที่ลงมีทั้งยันต์ที่เป็นคาถาและยันต์ตาราง ยันต์ตารางมีทั้งสี่ช่องและเก้าช่อง

    เบี้ยแก้ตัวหนึ่ง คุณไชยรัตน์มั่นใจว่า เป็นของหลวงปู่บุญ เชือกที่ถักหุ้มผุกร่อนชำรุด จนหมดสภาพ เมื่อเปิดออกจึงเห็นยันต์ที่กำกับใต้ท้อง เป็นยันต์พุทธซ้อน และยันต์ท้อรันโต

    ยันต์ท้อรันโต ดีทางคงกระพัน ยันต์พุทธซ้อน ดีทุกด้าน หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า ใช้เป็นยันต์ครู

    นอกจาก 2 สำนักนี้แล้ว ยังมี เบี้ยแก้วัดคฤหบดี วัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตรงข้ามท่าเทเวศร์ คุณสมชาย โตมั่น ยังตามสืบสาวไม่ได้ชัดเจนว่าหลวงพ่อชื่อใดสร้าง

    แต่นัยว่า ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่รอด วัดนายโรง ตัวเบี้ยเล็กกว่า และเบากว่า 2 วัดรุ่นอาจารย์ เส้นด้ายที่ถักหุ้มตัวเบี้ย หยาบกว่า มีทั้งลงรัก ปิดทอง และลงยางมะพลับ

    ลักษณะการหุ้มตัวเบี้ย เป็น 2 แบบ แบบแรกถักหุ้มทั้งตัวเบี้ย แบบที่ 2 ถักเหลือเนื้อเป็นวงกลมไว้หลังเบี้ย

    เสียงขลุกของปรอท มีจังหวะและน้ำหนักต่างจากสำนักวัดกลางฯและวัดนายโรง

    วิชาทำเบี้ยแก้ไม่แพร่หลายนัก นอกจาก 3 สำนักนี้แล้ว ยังมีเบี้ยแก้อีก 3 สำนักที่อ่างทอง แต่เพราะเบี้ยแก้มีจำนวนน้อย ประวัติการสร้างจึงไม่ค่อยชัดเจน

    เบี้ยแก้วัดนางใส อยู่หลังตลาด อำเภอวิเศษชัยชาญ ประวัติเท่าที่พอสืบสาวได้ หลวงพ่อผู้สร้าง มรณภาพไปนานแล้ว เป็นพระอุปัชฌาย์หลวงพ่อโปร่ง เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ปัจจุบัน

    เบี้ยแก้วัดนางใสไม่ได้ถักด้ายหุ้ม อุดด้วยชันโรงใต้ดินแล้วก็ให้หุ้มเลี่ยมด้วยเงิน ทอง หรือนาก เหลือเนื้อเบี้ยเป็นวงกลมไว้ด้านหลัง

    เบี้ยแก้วัดโพธิ์ปล้ำ ต.ท่าช้าง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง หลวงพ่อผู้สร้างเป็นอาจารย์ หลวงพ่อโปร่งเช่นเดียวกัน

    เบี้ยแก้วัดท่าช้าง...ต.สี่ร้อย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง หลวงพ่อโปร่ง ปัญญาธโร เจ้าอาวาสปัจจุบันสร้างไว้ ลักษณะเบี้ยแก้เหมือนของ 2 อาจารย์ผู้ประสาทวิชาให้

    คุณสมชาย โตมั่น บรรยายทิ้งท้ายไว้ว่า

    เบี้ยแก้เป็นอิทธิวัตถุชั้นหนึ่ง เตือนใจให้สะดุ้งกลัวภัยที่มองไม่เห็น หากบุคคลใด

    มีไว้เป็นสมบัติ นำติดตัวโดยคาดไว้กับเอวหรือโดยประการอื่น ย่อมปกป้องภยันตรายได้ทั้งปวง

    เป็นเมตตามหานิยม แคล้วคลาด มหาอุดคงกระพันทุกประการ คุ้มกันเสนียดจัญไร คุณไสย ยาสั่งและการกระทำย่ำยี ทั้งหลายทั้งปวงได้ชะงัด...นักแล.

    "บาราย"
     
  15. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    จะมาคุยกันถึงเรื่องเครื่องรางของขลังกันต่อเครื่องรางที่จะพูดในวันนี้ก็คือเบี้ยแก้ เบี้ยแก้นั้นมีการสร้างมาแต่โบราณ สรรพคุณในการใช้นั้นก็ตรงกับชื่อคือใช้แก้กันได้สารพัด ใช้ป้องกันคุณไสยต่างๆ ป้องกันภูตผีปีศาจ ป้องกันไข้ป่า ป้องกันยาพิษยาสั่ง อยู่คงเขี้ยวงาทุกชนิด ป้องกันและแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ผลชะงัด

    เบี้ยแก้นั้นถ้าสร้างอย่างถูกวิธีนั้น กรรมวิธีการสร้างยากมาก เท่าที่รู้และนิยมกันมากก็ได้แก่สายของวัดกลางบางแก้ว เช่นของหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม ท่านอาจารย์ใบ และองค์ปัจจุบันก็คือ หลวงปู่เจือ สายวัดนายโรง ก็ของหลวงปู่รอด สายวัดนายโรงนี้ก็มี อาจารย์ทัต วัดคฤหบดี ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่รอดอีกองค์หนึ่ง สายทางอ่างทองก็มีหลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์ และสายลูกศิษย์ของหลวงพ่อพักตร์ ได้แก่ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ และของวัดท่าช้าง เป็นต้น

    วันนี้เราจะมาว่ากันถึงสาย วัดกลางบางแก้ว เท่าที่สืบค้นได้นั้น หลวงปู่บุญท่านเรียนวิชาเบี้ยแก้มาจาก หลวงปู่ทอง วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่บุญท่านสร้างเบี้ยแก้ให้แก่ศิษย์โดยท่านผู้ที่จะมาขอทำเบี้ยแก้นั้นจะต้อง นำปรอทหนัก 1 บาท ชันโรงใต้ดิน หอยเบี้ย นับให้ได้ฟัน 32 ซี่ แผ่นตะกั่ว บางรายก็หาผ้าแดงมาด้วย แล้วจึงนำสิ่งของทั้งหมดใส่ถาดพร้อมดอกไม้ธูปเทียน มาถวายหลังจากที่หลวงปู่ท่านทำอุโบสถเช้าหรือเย็นเสร็จแล้ว

    หลวงปู่จะปลุกเสกปรอทแล้วจึงบรรจุปรอทลงในหอยเบี้ย แล้วนำชันโรงมาปิดปากเบี้ย จากนั้นท่านก็บริกรรมพระเวท แล้วจึงให้นำไปหุ้มตะกั่วกับพระในวัดจนเสร็จเรียบร้อยจึงนำกลับมาให้ท่านลงอักขระอีกทีหนึ่ง และปลุกเสกเบี้ยอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงมอบเบี้ยให้เจ้าของนำไปถักเชือกเอาตามใจชอบ ส่วนมากก็ให้พระภายในวัดช่วยถักให้ บ้างก็ลงรัก บ้างก็ลงยางมะพลับ เพื่อให้เชือกที่ถักมีความคงทน

    หลังจากสิ้นหลวงปู่บุญแล้ว ศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดต่อมาก็คือหลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่เพิ่มท่านก็ได้สร้างเบี้ยแก้ด้วยกรรมวิธีแบบเดียวกับหลวงปู่บุญ และมีความขลังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ต่อมาเมื่อหลวงปู่เพิ่มท่านชราลงมามากแล้ว ท่านจึงครอบวิชาทำเบี้ยแก้ให้แก่ท่านอาจารย์ใบทำเบี้ยแก้ต่อจากท่าน

    จนปัจจุบันนี้ผู้ที่สืบทอดต่อมาก็คือหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้วนั่นเองครับ หลวงปู่เจือท่านช่วยหลวงปู่เพิ่มสร้างเบี้ยแก้มาตลอด เมื่อเวลาหลวงปู่เพิ่มท่านบรรจุปรอทลงเบี้ยแล้วท่านก็จะบอกให้นำเบี้ยไปให้หลวงปู่เจือหุ้มตะกั่วแล้วจึงนำมาให้ท่านลงอักขระปลุกเสกต่อ การทำเบี้ยแก้ สายวัดกลางบางแก้วปัจจุบันก็คือหลวงปู่เจือนี่แหละครับ เบี้ยของท่านทำได้ขลังเหมือนกันครับ หาเบี้ยแก้ที่ไหนไม่แน่ใจก็จะบอกให้ ไปที่วัดกลางบางแก้ว ไปถามหากุฏิหลวงปู่เจือดู ท่านอยู่ที่กุฏิริมแม่น้ำ บอกให้นิดหนึ่งว่าถ้าไม่เจอหลวงปู่ก็ให้ไปที่มูลนิธิหลวงปู่เจือ เขามีของที่หลวงปู่ทำไว้ ทำบุญไม่กี่บาทก็ได้มาแล้วครับ อ้อไปแล้วก็อย่าลืมขอเม็ดยาจินดามณีมาด้วยเลยถ้าที่วัดเขายังพอมีเหลือเดี๋ยวจะหาว่าไม่บอก

    ทั้งเบี้ยแก้และยาจินดามณีของหลวงปู่เจือนั้น ผมใช้อยู่เป็นประจำได้ผลมามากแล้ว ลูกชายผมตอนเด็กๆ นั้นเคยถูกตัวอะไรต่อยเอาก็ไม่ทราบเพราะไม่ยอมบอก พอตกกลางคืนประมาณห้าทุ่มกว่าๆ ถึงมาบอก ปรากฏว่าตัวร้อนมาก ที่มือบวมเป่งจนกำมือไม่ได้ และบริเวณมือร้อนมาก ผมก็รีบแต่งตัวเตรียมพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ก็นึกขึ้นได้ว่ามีเบี้ยแก้ของหลวงปู่อยู่จึงนำเบี้ยมาอธิษฐาน ขอให้ท่านช่วยลูกชายด้วย แล้วจึงนำไปวางที่แผล ปรากฏว่า ผมเองยังไม่ทันแต่งตัวเสร็จเลย ลูกชายบอกว่าไม่ต้องไปหาหมอแล้ว ค่อยยังชั่วแล้ว ผมก็เอามือจับตัวและที่แผลดู ปรากฏว่าตัวไม่ร้อนแล้ว จึงนึกว่าหลวงปู่ช่วยแล้วคงไม่เป็นไร แต่ก็คอยดูอยู่ตลอดคืน เจ้าลูกชายผมนอนหลับสบายตลอดคืนนั้น พอรุ่งเช้า มาดูที่แผลกลับหายเป็นปลิดทิ้ง ที่บวมก็หาย ยุบลงเป็นปกติ หนังที่เคยบวมเป่งก็กลับเหยี่ยวลง ไม่เป็นอะไรเลย ส่วนยาจินดามณีนั้นผมใช้ช่วยตัวเองและคนอื่นมามากแล้วครับ

    ถ้าเชื่อผมและอยากได้เบี้ยแก้แท้ๆ ก็ลองไปที่วัดกลางบางแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมดู ถ้าไปวัดไม่ถูกก็ถามคนที่ตลาดได้ครับ เลยตลาดไปนิดเดียวครับ ได้เบี้ยแก้แถมยังได้ทำบุญด้วย ขากลับก็หาอะไรทานแถวๆ ตลาดมีร้านอาหารอร่อยๆ เยอะครับ วันนี้มีรูปเบี้ยแก้ของหลวงปู่เพิ่มมาฝากครับ


    ที่มา: คอลัมน์ ชมรมพระเครื่อง ด้วยความจริงใจ แทน ท่าพระจันทร์
    ที่มา: http://matichon.co.th/khaosod/view_n...hNUzB4T0E9PQ==
     
  16. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    วันนี้เรามาเริ่มต้นเรื่องเบี้ยแก้สายอ่างทองกันที่ หลวงพ่อพัก วัดโบสถ์ ตำบลโพธิ์ม่วงพันธ์ อำเภอสาม โก้ จังหวัดอ่างทอง ในบรรดาเบี้ยแก้สายอ่างทองนั้น เบี้ยแก้ของหลวงพ่อพัก วัดโบสถ์ นับว่าหายากและมีสนนราคาสูงที่สุดของสายนี้ครับ เรามาคุยกันดูถึงประวัติของหลวงพ่อพักและเบี้ยแก้ของท่านกันนะครับ

    หลวงพ่อพัก จันทสุวัณโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ.2425 ที่บ้านท่ามะขาม ตำบลดอนปรู อำเภอวิเศษชัยชาญ (ปัจจุบันขึ้นกับอำเภอศรีประจันต์ สุพรรณบุรี) โยมบิดาชื่อถมยา โยมมารดาชื่อพุก ในตอนเด็กๆ บิดาของท่านได้นำท่านไปฝากเรียนหนังสือกับหลวงปู่เถื่อน วัดหลวง ตำบลยี่ล้น อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง จนอ่านออกเขียนได้ ต่อมาเมื่อหลวงพ่อพักอายุครบ 20 ปี ในปี พ.ศ.2445 ท่านจึงอุปสมบทที่วัดอ้อย อำเภอวิเศษชัยชาญ โดยมีหลวงปู่เถื่อนเป็นพระอุปัชฌาย์

    เมื่อท่านอุปสมบทแล้วท่านได้ติดตามท่านเจ้าคุณรัตนมุณี ซึ่งเป็นพระพี่ชายของท่านมาอยู่ที่วัดหงษ์ กทม. เพื่อศึกษาคันถธุระ และวิปัสสนากรรมฐาน อยุ่ที่สำนักพระอาจารย์อูฐ ศึกษาอยู่ 9 พรรษา หลวงพ่อพักท่านก็เชี่ยวชาญทั้งคันถธุระโดยเฉพาะทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 หลวงปู่เนตร เจ้าอาวาส วัดโบสถ์ได้มรณภาพลง ญาติโยมและชาวบ้านแถบบ้านอบทม และบ้านโคกจันทร์จึงได้มานิมนต์หลวงพ่อพักขอให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดโบสถ์ และในปี พ.ศ. 2455 หลวงพ่อพักก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส วัดโบสถ์

    หลวงพ่อพักท่านมีอาจารย์อยู่หลายท่าน ได้แก่ อาจารย์วาต ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายของท่าน อยู่ที่บ้านท่ามะขาม อำเภอดอนปรู อดีตเคยเป็นขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่แถวชานเมืองอ่างทอง และสุพรรณบุรี และเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมสูง ล่องหนหายตัวได้ ต่อมาได้เลิกราในอาชีพทุจริตโดยสิ้นเชิง แล้วหันเข้าสู่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ต่อมาจึงถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้แก่หลวงพ่อพักจนหมดสิ้น โดยเฉพาะวิชาเบี้ยแก้ ตะกรุดโทน ผ้ายันต์แดง ฯลฯ อาจารย์ของหลวงพ่อพักอีกองค์หนึ่งคือหลวงปู่บุญ ผู้มีวิชาอาคมสูงจากแขวงเมืองพิจิตร ซึ่งได้ธุดงค์ล่องมาถึงแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ จนได้มาพบกับหลวงพ่อพัก และได้ถ่ายทอดวิชาปลุกเสกเขี้ยวเสือแกะ งาช้างแกะ และวิทยาคมต่างๆ ให้แก่หลวงพ่อพัก

    หลวงพ่อพักท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้ให้แก่ศิษย์หลายอย่างด้วยกัน ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น เหรียญรูปท่านที่มีทั้งเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง แต่เป็นเหรียญที่ค่อนข้างหายากและมีสนนราคาสูงครับ ส่วนเครื่องรางของขลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิงห์งาแกะ เมื่อนำติดตัวผ่านฝูงวัว ฝูงวัวเหล่านั้นถึงกับแตกตื่นวิ่งหนี และเด่นทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี ตะกรุดโทนนั้นก็มีคุณวิเศษ ถ้ารูดไปข้างหน้าจะเป็นมหาอุด รูดไปด้านซ้ายจะเป็นเมตตามหานิยม รูดไปด้านขวาเป็นมหาอำนาจ รูดไปด้านหลังศัตรูไม่สามารถตามทัน ตะโพนงาแกะของหลวงพ่อพัก ท่านสร้างไว้แจกพวกศิลปิน มีคุณวิเศษทางด้าน เมตตามหานิยม เมื่อนำติดตัวจะเป็นมหานิยมแก่ผู้พบเห็น

    ส่วนเบี้ยแก้ของหลวงพ่อพัก เป็นสุดยอดแห่งเครื่องรางของขลัง ที่มีพุทธคุณครบทุกด้าน โดยเฉพาะด้านป้องกันคุณไสย ยาสั่ง แก้เหตุร้าย ให้กลายเป็นดี แคล้วคลาดปลอดภัยและคงกระพันชาตรี เบี้ยแก้ของหลวงพ่อพักท่านจะเรียกปรอทเข้าตัวเบี้ยแล้วอุดด้วยชันโรงใต้ดินแล้วปิดทับด้วยตะกรุดที่ม้วนแล้วทุบให้แบน แปะทับบนชันโรง จากนั้นจึงถักเชือกทับอีกทีหนึ่ง การถักเชือกนั้นจะถักเปิดด้านบนของตัวเบี้ยให้เห็นลายหอยเบี้ย ลายถักส่วนมากมักถักเป็นลายกระสอบ วนเป็นเส้นรูปไข่ตามตัวเบี้ย การถักห่วงจะถักเป็นด้านหลังสองห่วง หรือด้านบนหูเดียวก็มี บางตัวนั้นอาจจะมีที่ทำเป็นตะกรุดร้อยเชือกคาดเอวก็มี มีทั้งจุ่มรัก และไม่จุ่มรักก็มี

    วันนี้ผมได้นำรูปเบี้ยแก้ของหลวงพ่อพัก วัด โบสถ์มาให้ชมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งเป็นของคุณไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์ครับ ส่วนประวัติของหลวงพ่อพักนั้นมาจากหนังสือ พระสมเด็จวัดไชโย และพระเครื่องเมืองอ่างทองครับ

    ชมรมพระเครื่องแทน ท่าพระจันทร์ ที่มาจากหนังสือพิมพ์ :ข่าวสด

     
  17. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    สวัสดีครับพี่พี


    เห็นว่าช่วงนี้กระแสเรื่องเบี้ยของหลวงพ่อทรง ท่านมาแรง อันที่จริง แล้วทั้งพระและเครื่องราง ของหลวงพ่อทรงนั้นก็ตามที่พี่พีบอกคือหลังจากสวดมนต์ไหว้พระตามปกติแล้วก็บอกกับท่านไปตรงๆนี้แหละจะให้ท่านช่วยอะไรบ้างแต่คาถานี้ผมมาเพิ่มเติมให้นะครับ ผมได้มาเกือบยี่สิบปีแล้วเป็นคาถาที่อารธนาเบี้ยสายของอ่างทอง เนื้อความของคาถาจะเป็นภาษาไทยจะต่างจากเบี้ยสายนครปฐม ที่เป็นภาษาบาลี เพราะเป็นคาถาของฤาษีต่างที่ไม่ได้ขึ้นต้นด้วยโอมเท่านั้น จริง ๆ แล้วการสร้างเครื่องรางในทุกวันนี้ล้วนเป็นวิชาของพระฤาษีทั้งนั้นเนื้อคาถาจะเป็นคำกล่าวถึงสรรพคุณของการบูชาเบี้ยนี้ติดตัวซึ่งบางท่านอาจทราบแล้วก็ได้ คาถามีดังนี้ครับ



    เบี้ยแก้ตัวนี้ สำคัญนัก พ่อค้าแม่ค้าจักหมั่นไหว้บูชา จะไต่เต้าเจ้าสัวแสนทะนาน ลาภเต็มห้อง ทองเต็มไห ขุนนางใดมีไว้ในตัวดีนักแลจักให้คุณเป็นถึงท้าวเจ้าพระยาพานทอง ทรัพย์สินสิ่งของกองเต็มวังอีกทั้งช้างม้าวัวควาย นับได้หลายเหลือ สิ่งอาถรรพ์ อาเภท อัปมงคลทุกข์ภัยพิบัติทั้งยาสั่งให้อันตรธานไปสิ้น ศัตรูปองร้ายให้พ่ายแพ้ภัยตัวขึ้นโรงขึ้นศาลให้ปลอดภัยทั้งคดีความ สิงห์สาราสัตว์สารพัดร้าย ปืนผาหน้าไม้ ผีป่าผีปอป ผีโป่ง ทั้งโขยง มิกล้ากล้ำกราย หากมีเหตุเภทภัยอันตรายใดๆจงบอกกล่าวเตือนว่าอย่าไปเลย



    เมื่อพิจารณาเนื้อคาถาจะเห็นได้ว่าเบี้ยจะเป็นเครื่องรางที่เมื่อบูชาแล้วครบเครื่องโบราณท่านถึงบอกว่ามีเบี้ยคาดเอวตัวเดียวลุยได้ทุกที่ ท่อนนี้ครับ (หากมีเหตุเภทภัยอันตรายใดๆจงบอกกล่าวเตือนว่าอย่าไปเลย) จะสอดคล้องกับที่หลายท่านบอกว่าเบี้ยหลวงพ่อสั่นเตือนภัยได้
    __________________
     
  18. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    ตอนนี้นี้อยู่ขั้นตอนในการจัดสร้างเบี้ยแก้ครับ โดยโยมชัยวิทย์
    เรื่องมวลสารรวบรวมปรอทได้มากชนิดที่สุดอย่างขั้นต้นที่ได้มา 7 - 8 ชนิด ยังไม่รวมของทางโยมชัยวิทย์ซึ่งเป็นปรอทที่หลวงปู่ญาท่านสวนท่านได้อธิฐานจิตไว้และที่ได้มาใหม่
     
  19. ไปคนเดี่ยว

    ไปคนเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    6,419
    ค่าพลัง:
    +18,460
    เบี้ยแก้มหาลาภมหาป้องกันสะท้อนกลับ

    สร้างจำนวน 200 องค์
    ขั้นตอนการสร้างจะนำมาให้อ่านอีกที
    มวลสารต่างๆ ที่ได้มาผสมมวลสารอุดเบี้ยแก้ได้รวบรวมมากที่สุดทั้งเก่าและได้มาใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2013
  20. sangsawang

    sangsawang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    416
    ค่าพลัง:
    +2,473
    กำลังจาสร้างเบี้ยแก้หรือคับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...