พอใจรูม

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ppojai, 3 ตุลาคม 2010.

  1. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    สติ.คือเพื่อนแท้..(ทำทุกอย่างด้วยสติ)
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    อนุโมทนาสาธุกับข้อความดีๆค่ะ ตามมาอ่านอีกตามเคย ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ:cool:;aa2
     
  3. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    thank for
    -khun ambu
    -pee toy naka..
     
  4. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    เรื่องจริงที่ หมอ ไม่ได้บอก...... (คีโม กับ มะเร็ง)

    คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต ( ดีมากๆ) ช่วยกด Share ให้คนที่คุณรักด้วยครับ......
    หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าก...ารทำคีโมเป็นทาง เลือกเดียวที่จะลอง และใช้ในการกำจัดโรค มะเร็งในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็ เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก
    ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

    1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซล มะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐานจนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่ม ขึ้นในระดับพันล้านเซล (1,000,000,000 เซล) เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วย โรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้วมันหมาย ถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้ เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึง ระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

    2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

    3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไ ม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

    4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็งมันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับ โภชนาการซึ่งอาจเกิดจากยีนสิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

    5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการ เกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภท ของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วย ให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

    6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็น พิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูกทำลาย ระบบทางเดินอาหาร ฯลฯและเป็นสาเหตุทำ ให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลายเช่นตับ ไต หัวใจปอดฯลฯ
    7....
    8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะ ช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่าง ไรก็ตาม ถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

    9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโม หรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกัน อาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับ ซ้อนยิ่งขึ้น

    10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็น สาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ดื้อยา และ ยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุ ทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

    11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็งคือ การไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัวอะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง
    a. น้ำตาลคือ อาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให กับเซลมะเร็งสารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น"" นิวตร้าสวีต"" "" อีควล"" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวานซึ่งเป็นอันตรายสารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่า คือน้ำผึ้ง มานูคา(จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อยแต่ใน ปริมาณน้อยๆเท่านั้นเกลือสำเร็จรูป ก็ใช้สาร เคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้"" แบรก อมิโน"" หรือ เกลือทะเลแทน
    b. นม เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็ง จะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือกการใช้ นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้ เซลมะเร็งไม่ ได้รับอาหาร
    c. เซลมะเร็งเติบโต ได้ดี ในภาวะแดล้อมที่ เป็นกรด อาหารจำพวก เนื้อ จะสร้างสภาวะ กรดขึ้นดังนั้นจึงควรหันไปรับประทาน ปลา จะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทน เนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่ สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์และเชื้อปรสิต บางประเภทตกค้างอยู่ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
    d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด80% และน้ำ ผลไม้พืช จำพวกหัวเมล็ดถั่วเปลือกแข็ง และ ผลไม้จำนวนเล็กน้อยจะช่วยทำให้ร่างกายมี สภาวะเป็นด่างอาหารอีก20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่วน้ำผักสด จะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึม ทราบสู่ระดับเซลภายใน 1 นาที เพื่อบำรุงร่า งกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้ พยายามดื่มน้ำผักสด (ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่ว ที่มีหน่อหรือต้นอ่อน)และรับประทานผักสด ดิบ2-3 ครั้งต่อวันเอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่าย ที่อุณหภูมิ140 องศาF (ประมาณ 4 องศา C)
    e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟน้ำชาและช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียว ถือเป็นทางเลือกที่ดี และมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งน้ำดื่มให้ เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซิน และโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรดให้หลีกเลี่ยง

    12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยากและต้องการ เอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อยเนื้อ สัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาห ารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

    13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือ การรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอ มาใช้โจมตี กำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็งและช่วยให้ เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดี ขึ้น

    14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน (สารIP6 [inositol hexaphosphate หรือ phyti acid],สาร Flor-essence, สารEssiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน, เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามาร ถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้นสารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอีเป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตาย ลงของเซลหรือ กำหนดระยะเวลาการตาย ของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกาย ในการ กำจัดเซลที่ถูกทำลายซึ่งไม่เป็นที่ต้อง การ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

    15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์ กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณการป้องกันเชิงรุก และ การคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถ อยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความ โกรธ การไม่รู้จักให้อภัยและความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมี สภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้นให้เรียนรู้ที่จะมีความ รักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัยเรียนรู้ที่ จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

    16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ใน สภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมากการออก กำลังกายทุกวันและการหายใจลึกๆจะช่วยให้ ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับ เซลการบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีก อย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

    (กรุณาช่วย Forward ไปยังบุคคลที่คุณรัก และห่วงใย) นี่คือเรื่องที่คุณควรส่งออกไปให้คนที่มีความ สำคัญกับชีวิตคุณได้รับรู้รับทราบ
    ข้อมูลนี้คุณ Hning Hn "ได้กรุณาให้เพิ่มเติมมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆครับ

    Credit : อกาลิโก แปลว่า ไม่ประกอบด้วยกาลSee More
     
  5. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    [​IMG]

    สุขกันเถอะเรา ( F )

    โลกคือละคร...

    ทุกคนต้องแสดง ทุกคนทนไป อย่าอาลัย

    ยิ้มกันสู้ไป จะได้สบาย

    ....ดนตรี..........

    สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม

    อย่ามัวอาลัย คิดร้อนใจไปเปล่า

    เกิดมาเป็นคน อดทนเถอะเรา อย่ามัวซมเซา ทุกคนเราทนมัน

    โลกคือละคร อย่าอาวรณ์เลย สุขทุกข์อย่างเคย

    รักแล้วเป็นเช่นกัน ปล่อยไปตามบุญ

    และกรรมบันดาล อย่ามัวโศกศัลย์ ยิ้มสู้มันเป็นไร

    เชิญ สำราญ ร่วมเบิกบาน ดวงใจ

    ลืม ทุกข์ไป ทำให้ใจ เริงรื่น สุขกันเถอะดี อย่ามัวรีรอ

    อย่าทำหน้างอ ยิ้มนิดพอใจชื่น ชีพจะดำรง อยู่ยงคงคืน

    ต่ออายุยืน ยิ้มนิดเดียวให้ชื่นใจ ..โลกคือละคร

    ทุกคนต้องแสดง ทุกคนทนไป อย่าอาลัย

    ยิ้มกันสู้ไป จะได้สบาย สุขกันเถอะเรา

    เศร้าไปทำไม อย่ามัวอาลัย

    คิดร้อนใจไปเปล่า เกิดมาเป็นคน อดทนเถอะเรา

    อย่ามัวซมเซา ทุกคนเราทนมัน โลกคือละคร อย่าอาวรณ์เลย

    สุขทุกข์อย่างเคย รักแล้วเป็นเช่นกัน

    ปล่อยไปตามบุญ และกรรมบันดาล

    อย่ามัวโศกศัลย์ ยิ้มสู้มันเป็นไร เชิญ สำราญ

    ร่วมเบิกบานดวงใจ ลืม ทุกข์ไป ทำให้ใจเริงรื่น

    สุขกันเถอะดี อย่ามัวรีรอ อย่าทำหน้างอ ยิ้มนิดพอใจชื่น

    ชีพจะดำรง อยู่ยงคงคืน ต่ออายุยืน ยิ้มนิดเดียวให้ชื่นใจ

    .โลกคือละคร ทุกคนต้องแสดง ทุกคนทนไป

    อย่าอาลัย ยิ้มกันสู้ไป จะได้สบาย


    ....................................
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.2146242/[/MUSIC]

    file music


    ไฟล์แนบข้อความ sukkanterrao2902.mp3 (2.83 MB, 265 views)
     
  6. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    เส้นผมบังความสุข
    โดยพระไพศาล วิสาโล


    ความสุขประณีตนั้นหาได้อยู่ไกลตัวไม่ แท้จริงอยู่กลางใจนี้เอง เพียงแค่วางใจให้ถูก ก็จะพบความสุขสงบเย็นที่กลางใจ และหากมองเป็น ก็เห็นได้ทันทีว่าความสุขอยู่กับเราแล้วทุกขณะ ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนแสวงหาที่ไหนเลย เพราะเพียงแค่ไม่ทุกข์ ก็สุขแล้วมิใช่หรือ เป็นเพราะใจเผลอจมอยู่ในอดีต กังวลกับอนาคต จึงมองไม่เห็นความสุขในปัจจุบัน เป็นเพราะใจหลงวนอยู่ในความคิด จึงไม่สามารถเปิดรับความสุขที่อยู่เบื้องหน้า ทั้ง ๆ ที่ความสุขปรากฏต่อหน้าต่อตาเราแล้ว แต่กลับมองไม่เห็น จึงไม่ต่างจากคนที่ถูกเส้นผมบดบังจนมองไม่เห็นภูเขา......
     
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=vFc7STuQF0U]Temptations - Silent Night - YouTube[/ame]

    เพลงไพเราะมาก..

    Silent night, holy night! รัตติกาลอันเงียบงัน ราตรีอันแสนศักดิ์สิทธิ์
    All is calm, all is bright. ทุกสิ่งสงบนิ่ง ทุกสิ่งสว่างไสว
    Round yon Virgin, Mother and Child. มารดาและบุตรผู้บริสุทธิ์ อยู่รอบกายคุณ
    Holy infant so tender and mild, ทารกศักดิ์สิทธิ์ผู้แสนบอบบางและนุ่มนวล
    Sleep in heavenly peace, หลับไหลอยู่ในสรวงสวรรค์อันสงบสุข
    Sleep in heavenly peace. หลับไหลอยู่ในสรวงสวรรค์อันสงบสุข
    Silent night, holy night! รัตติกาลอันเงียบงัน ราตรีอันแสนศักดิ์สิทธิ์

    Shepherds quake at the sight. มองเห็นพระเยซูอยู่ไหว ๆ
    Glories stream from heaven afar ความรุ่งโรจน์สาดแสงลงมาจากสรวงสวรรค์อันไกลโพ้น
    Heavenly hosts sing Alleluia, ผู้ดูแลสวรรค์ที่เบื้องบนขับขานบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า
    Christ the Savior is born! พระเยซูได้ประสูติขึ้นแล้ว
    Christ the Savior is born. พระเยซูได้ประสูติขึ้นแล้ว

    Silent night, holy night! รัตติกาลอันเงียบงัน ราตรีอันแสนศักดิ์สิทธิ์
    All is calm, all is bright. ทุกสิ่งสงบนิ่ง ทุกสิ่งสว่างไสว
    Round yon Virgin, Mother and Child. มารดาและบุตรผู้บริสุทธิ์ อยู่รอบกายคุณ
    Holy infant so tender and mild, ทารกศักดิ์สิทธิ์ผู้แสนบอบบางและนุ่มนวล
    Sleep in heavenly peace, หลับไหลอยู่ในสรวงสวรรค์อันสงบสุข
    Sleep in heavenly peace, หลับไหลอยู่ในสรวงสวรรค์อันสงบสุข
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ธันวาคม 2012
  8. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xtofu3j_-1g&feature=player_embedded]Susan Boyle - Silent Night - YouTube[/ame]​
     
  9. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=i5gZoiPG6kM]John Lennon Imagine subtitulada al espaol y al ingles - YouTube[/ame]​
     
  10. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    Imagine โดย จอห์น เลนนอน

    Imagine there's no heaven
    จินตนาการ ว่าไม่มีสวรรค์

    It's easy if you try
    มันแสนง่าย ถ้าคุณพยายาม

    No hell below us
    ไม่มีนรก อยู่ใต้เรา

    Above us only sky
    เหนือเรามีเพียงท้องฟ้า

    Imagine all the people
    จินตนาการ ว่าทุกๆ คน

    Living for today...
    มีชีวิตเพื่อปัจจุบัน


    Imagine there's no countries
    จินตนาการ ว่าไม่มีประเทศ

    It isn't hard to do
    มันไม่ยากหรอกที่จะทำ

    Nothing to kill or die for
    ไมีมีอะไรที่จะฆ่า หรือ ตายเพื่อมัน

    And no religion too
    และไม่มีศาสนาอีกด้วย

    Imagine all the people
    จินตนาการ ว่าทุกๆ คน

    Living life in peace...
    มีชิวิตในความสันติ


    You may say I'm a dreamer
    คุณอาจคิดว่าฉันเป็นนักฝัน

    But I'm not the only one
    แต่ว่ามิได้มีแต่เพียงฉันคนเดียว

    I hope someday you'll join us
    ฉันหวังว่าวันหนึ่งคุณจะมาร่วมฝันกับพวกเรา

    And the world will be as one
    แล้วโลกก็จะเป็นหนึ่งเดียว


    Imagine no possessions
    จินตนาการว่าไม่มีดินแดน

    I wonder if you can
    มันจะมหัศจรรย์ ถ้าคุณทำได้

    No need for greed or hunger
    ไม่มีความโลภ และความหิวโหย

    A brotherhood of man
    มนุษย์มีภราดรภาพ

    Imagine all the people
    จินตนาการ ว่าทุกๆ คน

    Sharing all the world...
    แบ่งปันโลกใบนี้ให้แก่กัน....

    You may say I'm a dreamer
    คุณอาจคิดว่าฉันเป็นนักฝัน

    But I'm not the only one
    แต่ไม่ได้มีแต่ฉันเพียงคนเดียว

    I hope someday you'll join us
    ฉันหวังว่าวันหนึ่งคุณจะมาร่วมฝันกับพวกเรา

    And the world will live as one
    แล้วโลกนี้จะเป็นหนึ่งเดียว
    ..............................................................
    เพลง Imagine นี้เป็นเพลงที่อยู่ในช่วงสงครามอเมริกากับเวียดนาม หนุ่มสาวชาวยุโรปและอเมริกายุคนั้นพากันต่อต้านการทำสงคราม เพลงนี้จึงมีความหมายเพื่อเรียกร้องให้โลกนี้ยุติการแบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นศาสนา เชื้อชาติและดินแดน ...............................................................
    ความหมายเพลง Imagine John Lenon

    มีชีพอยู่เพื่อวันนี้นะพี่น้อง
    จะร่ำร้องหาสวรรค์ถึงชั้นไหน
    นรกก็ไคลคลาจำลาไกล
    ชีพมีไว้เพียงฝัน…ปั้นภาพงาม

    ไร้ประเทศเขตขอบไร้กรอบขวาง
    แม้อ้างว้างหวั่นไหวใจเดินข้าม
    ไม่มีศาสน์โดดเดี่ยวใจเปลี่ยวตาม
    ค้นนิยามสันติสุข..ทุกข์ห่างไกล

    ให้ห่างไร้การเข่นฆ่าน่าเหี้ยมโหด
    ดับความโฉดด้วยความดีที่ฝันใฝ่
    อยากจะเติมความฝันให้ทันใด
    เติมหัวใจชนทุกนามด้วยความดี

    จะแบ่งโลกเพื่อผองพี่น้องเอ๋ย
    มาเถิดเหวย..มาสดับรับสุขศรี
    ภราดรแห่งมวลชนล้นทวี
    แต้มแสงสีขาวล้วนนวลละออง

    โลกมีสุขพ้นนรกตกสวรรค์
    จะด้นดั้นไปบนโลกอันฟูฟ่อง
    จินตนาการชั่วนิรันดร์ฝันสีทอง
    มาร่วมร้องเพลงหวานฝันด้วยกัน


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ธันวาคม 2012
  11. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ltHGdgLaUGI]เพลง พรปีใหม่ - YouTube[/ame]​
     
  12. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CRpPAxqWfWw]สวัสดีปีใหม่ สุนทราภรณ์ - YouTube[/ame]​
     
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]

    พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเรื่องบัว 4 เหล่า

    บัวสี่เหล่า คือ บัวใต้น้ำเป็นหนึ่งในระดับของสติปัญญา
    ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถ
    ของคนที่เรียนรู้เรื่องต่างๆ เป็น 4 ระดับ คือ...


    1.พวกมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ
    เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ ก็จะเบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)

    2.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ
    เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจราณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม ก็จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาไม่ช้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ ซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู)

    3.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ
    เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธาปสาทะ
    ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆโผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)

    4.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    แม้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียรเปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่โคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลาอีกด้วย ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบานได้อีก (ปทปรมะ)

    **เหล่าบัวทั้งสี่เหล่านี้..ล้วนแล้วแต่อยู่ในน้ำด้วยกันทั้งนั้น..พวกเราจึงพึงร่วมแรงร่วมใจ..และพึงตระหนักรักษาน้ำซึ่งเป็นองค์มวลรวม..อย่าพึงให้เสีย เพราะมิเช่นนั้น ไม่ว่าเหล่าบัวกอไหนก็จะอยู่ในน้ำไม่ได้..ทั้งสิ้น

    ขอเจริญในธรรม..ทุก ๆ ท่าน...
     
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    น้ำไหลนิ่ง - YouTube


    "อ๊าว! ตั้งใจทุกคน
    อย่าทำจิตให้มันเพ่งไปที่คนโน้น คนนี้
    ทำความรู้สึกคล้ายๆกับเรานั่งอยู่บนเขา อยู่ในป่าแห่งนึง คนเดียวเท่านั้น
    ตัวเราที่นั่งอยู่แต่เฉพาะในปัจจุบันนี้มีอะไรบ้าง มีแต่กายกับจิตเท่านั้น.."
    (ฟังต่อ)
    ...............................................................
    น้ำที่ไหลนิ่ง เฉยก็เกิดปัญญาได้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2013
  15. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]

    http://www.fungdham.com/sound/surasak.html
    http://www.dhammathai.org/sounds/surasak.php

    พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี)
    สำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา

    001
    ห. ธรรมทั้งหลาย



    002
    ห. กรรม


    003 ห.ดับไฟกิเลส
    004 ห.ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข
    005 ห.การส่องใจ
    006 ก. แผ่นดินธรรม
    007 ก. รู้อยู่อย่างปกติ
    008 ปฏิบัติกรรมฐาน เป็นบ้าจริงหรือ
    009 ก. รอบรู้
    010 ก.สติปัฏฐาน
    011 ก.ความหลุดพ้นของจิตวิญญาณ
    012 ทางดำเนิน 7 สาย 16 มี.ค.2550

    แผ่น 12 ของทางเว็บ MP3 รวมกัณฑ์เทศน์หลายปี
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    ชีวิตใหม่รู้สิ่งใหม่ 29 ธ.ค.2544



    002
    ตั้งใจมั่นหมั่นพากเพียร 15 ก.ย.2544


    003 กรรมฐานของผู้ครองเรือน 1 พ.ค.2547_53_58
    004 ผู้มีปัญญาพึงรักษาจิต 21ม.ค.2546
    005 ผจญมาร 20 ต.ค.2546
    006 ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน-28-08-2547
    007 วิถีชีวิตแห่งผู้ปฏิบัติธรรม.17-09-2547
    008 จิต เจตสิก รูป นิพพาน 18-11-2547
    009 ระลึกรู้อย่างผ่อนคลาย23พย49
    010 ดูเขา-ดูเราอย่างปล่อยวาง-24พย49
    011 ทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข (16 พ.ค.48โรงพยาบาลศิริราช)

    MP3 แผ่นที่ 11 ของทางเว็บ
    ชุด ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี 4 พฤศจิกายน 2550
    ขอขอบคุณ CD จาก คุณนรงฤทธิ์ เทียนฤกษ์ จัดทำโดยชมรมเพื่อนคุณธรรม
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    ชีวิตคือธรรมชาติ



    002
    จงฉลาดในจิตตน


    003 รู้ ละ วาง
    004 เพื่อถึงซึ่งแก่นพระพุทธศาสนา
    005 จุดยืนวิปัสสนา
    006 หลักฐานการรู้แจ้งธรรม (อ่านโดย พญ.ธนาภรณ์ วงศ์แหลมทอง)

    MP3 แผ่นที่ 10 ของทางเว็บ
    ชุด ที่ระลึกพิธีวางศิลาฤกษ์อุโบสถ วัดมเหยงคณ์ อยุธยา 14 สค.2549
    ขอขอบคุณ CD จาก คุณนรงฤทธิ์ เทียนฤกษ์ จัดทำโดยชมรมเพื่อนคุณธรรม
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    อวิชชาเป็นเหตุ


    002
    เตือนจิตสะกิจใจ


    003 กรรมจำแนกสัตว์ให้หยาบและปราณีต
    004 มีให้เป็นไม่เป็นทุกข์
    005 สมถะคู่วิปัสสนา
    006 นิวรณ์๕
    007 พระอริยะไม่มีนอกพุทธศาสนา
    008 รู้ตามเป็นจริง
    009 ปฏิบัติได้ทุกเวลา
    010 การเจริญกรรมฐาน

    MP3 แผ่นที่ 9 ของทางเว็บ
    ชุด อริยสัจ
    ขอขอบคุณ CD จาก คุณนรงฤทธิ์ เทียนฤกษ์ จัดทำโดยชมรมเพื่อนคุณธรรม
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    อริยสัจ



    002
    จิตเป็นที่เกิดของธรรมทั้งหลาย


    003 เจริญกรรมฐานในชีวิตจริง
    004 เพราะทุกข์จึงเห็นธรรม
    005 คิดไม่ดีโทษย่อมมีตามมา
    006 สังสารทุกข์
    007 ชีวิตที่เหลือเพื่อการทำดี
    008 อริยทรัพย์
    009 อุบายภาวนา

    MP3 แผ่นที่ 8 ของทางเว็บ
    ชุด สาระของชีวิต
    ขอขอบคุณ CD จาก คุณนรงฤทธิ์ เทียนฤกษ์ จัดทำโดยชมรมเพื่อนคุณธรรม
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    สาระของชีวิต



    002
    ให้ฉลาดในจิตตน


    003 ให้เห็นคุณค่าของพระธรรม1
    004 รับรู้ด้วยจิตที่ดีงาม
    005 รุ้จักเอาสิ่งไม่ดีให้เป็นคุณ
    006 นางจุลสุภัททา
    007 ให้เห็นคุณค่าของพระธรรม
    008 รู้จักจิต
    009 ศีลเป็นเบื้องต้นของกุศล

    พระธรรมคำสอน หมวดกรรมฐาน
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    กิเลสนำมาซึ่งความทุกข์.mp3 (7.79 MB)



    002
    ความเข้าใจเรื่อง กรรมฐาน 2 อย่าง.mp3 (10.31 MB)



    003 ความจริงของชีวิต.mp3 (9.60 MB)

    004 วิธีแก้นิวรณ์.mp3 (10.58 MB)

    005 ปฏิบัติธรรม ทุกวันได้อย่างไร.mp3 (11.59 MB)

    006 องค์มรรคแปด.mp3 (8.81 MB)

    007 กำหนดรู้ขันธ์ห้า.mp3 (9.99 MB)

    008 รู้รักษาจิต.mp3 (9.19 MB)

    009 ระลึกรู้ตัวทั่วพร้อม.mp3 (8.98 MB)

    010 สมถะคู่กับวิปัสสนา.mp3 (11.08 MB)

    011 อายตนะ.mp3 (11.00 MB)

    012 ตัณหา 108.mp3 (9.34 MB)


    พระธรรมคำสอน หมวดกรรมฐาน
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    ตรงทาง ตรงธรรม



    002
    ดูผู้รู้



    003 ต้องมุ่งสู่ทางพ้นทุกข์

    004 กำหนดรู้ทุกข์

    005 การมีสติทุกเมื่อ

    006 กำหนดรู้ดูนิวรณ์

    007 สักแต่ว่าธรรมชาติ

    008 0อารมณ์วิปัสสนา

    009 ปรับใจให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม

    010 วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดนิวรณ์

    011 ดูจิตรู้ใจแก้ไขปัญหา

    012 ชีวิตที่มีสาระ


    รวมธรรมบรรยาย หมวดกรรมฐาน
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    วิธีเพิกสมมุติ บัญญัติ

    002
    กายในกาย

    003 ชีวิตแท้จริง คืออะไร

    004 ฉันทะและความอยาก

    005 จิตอยู่ที่ไหน

    006 รู้ทันกิเลส

    007 ปฎิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน

    008 ศรัทธา ปัญญาและความเพียร

    009 ฝึกดูรู้วางเฉย

    010 สติระลึกรู้อะไร

    011 ธรรมกับสังคม

    012 กลยุทธ์รักษาจิต

    013 การเจริญกรรมฐานทุกวัน


    ประธีปธรรมนำสุข วัดเหยงคณ์
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    นำสมาทานกรรมฐาน remixed

    002
    น.ยามเช้าจิตเมตตาปรารถนาดีต่อสรรพสิ่ง 17.41 1 พ.ค. 2547

    003 ก.ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด mixed 20 ก.ค. 2546

    004 ก.การกำหนดสภาวะธรรมปัจจุบัน mixed 4 มิ.ย. 2548

    005 003_ห.สาระของชีวิต mixed 29 ม.ค. 2547

    006 กำลังใจสู่ผู้ประสบภัย โดยพระครูเกษมธรรมทัต 12 ม.ค.2548 mixed

    007 ห.ชีวิตนี้น้อยนักจะเอาอะไรเป็นสาระ mixed 1 เม.ย.2547

    008 ห.ทำกุศลให้มีปัญญา 26 ส.ค.2546 mixed

    009 พ.พุทธจริยา (พระนางประชาบดีโคตมีภิกษุณี) mixed 18 ธ.ค.2546

    010 พ.พุทธจริยา (พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน) mixed 20 ธ.ค.2546

    011 เมตตาภาวนา mixed 16 พ.ค.2548 ณ ร.พ.ศิริราช

    012 ห.ประโยชน์จากการเข้าวัด mixed 20 ก.ย.2546

    013 ก.ฝึกดูรู้จิต mixed 6 ก.ย.2546
    014 นำแผ่เมตตา remixed

    ธรรมบรรยาย หมวดกรรมฐาน ชุด ระลึกรู้สภาพความเป็นจริง
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    ตามแนวสติปัฏฐาน

    002
    ปรับกายปรับใจให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม

    003 รูปนามปัจจุบัน

    004 ข้อปฎิบัติที่ไม่ผิด

    005 โยนีโสมนสิการในนิวรณ์

    006 พิจารณาขันธ์ 5

    007 วิริยะบารมี



    008 ระลึกให้ตรงต่อสภาวะ



    009 พระปูติคัตตะเถระ

    010 พัฒนาการปฎิบัติ

    011 ระลึกรู้สภาพความเป็นจริง

    012 หน้าที่ของชีวิต


    ธรรมบรรยาย หมวดกรรมฐาน ชุด ความเป็นไปแห่งทุกข์และความดับทุกข์
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    อริยทรัพย์

    002
    จิต เจตสิก รูป นิพพาน

    003 สมถะวิปัสสนา

    004 หลงนิมิตจิตฟั่นเฟื่ือน

    005 สติปัฏฐานข้อกาย 3

    006 ความเป็นไปแห่งทุกข์และความดับทุกข์

    007 ทำความเข้าใจเรื่องรูปนาม

    008 เอานิวรณ์เป็นกรรมฐาน

    009 พิสูจน์กันที่ผัสสะ

    010 ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข

    011 รู้กระชั้นกระชับกลับเข้ามา

    012 ปฏิบัติกรรมฐาน 3 รูปแบบ


    ธรรมบรรยาย หมวดหลักธรรม - แนวความคิด
    ที่
    เรื่อง
    ฟังออนไลน์
    ดาวน์โหลด

    001
    การรักษาสัจจะ

    002
    ความอัศจรรย์ของพระธรรมวินัย

    003 เชื่อกรรม เว้นทำบาป

    004 สังโยช

    005 พระมหากัปปินะ

    006 กุศลของการมาวัด

    007 โทษของการเกิด

    008 เราเป็นทายาทของกรรม

    009 กรรมและผลของกรรม
    010 ชัมพุกะ
    011 บรรยายนิวรณ์ห้า โดยละเอียด
    012 จริต
     
  16. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=e3k9lO_OWQM]ฟังเทศน์ หลวงพ่อสุรศักดิ์ สอนดูใจ - YouTube[/ame]​
     
  17. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    น้ำที่ไหลนิ่ง เฉยก็เกิดปัญญาได้..ถูกต้องที่สุดจร๊าาา..
    ปล. ขอให้ป้าใจมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดขอให้สมความปรารถนาด้วยเทอญ..สาธุ..
     
  18. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    (k):cool:ขอบคุณค่ะน้อง ambu ขอบคุณที่อวยพรให้ป้าใจ ก็ซึ้งในน้ำใจเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกที่ห่วงใยซึ่งกันและกันนะคะ..ป้าใจก็เช่นเดียวกัน ขออวยพรให้หนูมีความสุขในจิตใจให้มาก ๆ สุขภาพกายจิต..ดีตลอดไป มนุษย์เราสิ่งที่อยากได้คือการมองบวก ไม่เพ่งโทษผู้อื่น ดูตัวเรา พิจารณา จิตกายของเราอย่างมีสติ..ทุกสิ่งทุกอย่าง บนโลกนี้มี 2 ด้านเสมอ ๆ มองและพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง แล้ววาง..ไม่ยึด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง ..

    เพียรคิดดี ทำดี เพื่อจุดสุดท้ายก่อนสิ้มลมหายใจ..เราจะนิพพานไปพร้อมกับสิ่งดี ๆ ที่เราสั่งสมไว้ในจิตค่ะ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มกราคม 2013
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    การเข้าใจชีวิตที่แท้จริง

    [​IMG]



    เราจะพบว่าเราเติบโตขึ้นมาพร้อมกับอะไรบางอย่างที่ครอบงำเหนือชีวิตของเรา เราสั่งสมประสบการณ์ของชีวิตที่เรารับรู้จากประสาทสัมผัสทั้งห้า แล้วเราก็บอกกับตัวเองว่า เราเก่งขึ้น เราฉลาดขึ้น เรารู้แล้ว เรามีแบบในอุดมคติที่เราพยายามจะทำตัวเราให้เป็นแบบอันนั้น เราสลัดความเป็นตัวเราออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเราก็แสวงหาความเป็นผู้อื่นหรือแบบอื่นอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเหมือนกับถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน เราไม่เห็นความจริงแท้ของตัวเราในทุกขณะ

    เมื่อเรารู้ว่าเราถูกกักขังหรือถูกพันธนาการ เราก็ดิ้นรนหาความเป็นอิสระ มันก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น หรือทุกข์ไปกว่าเก่า ทั้งหมดก็คือ Concept หรือ มโนทัศน์ มโนคติที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องแหวกกระแสของมโนทัศน์ หรือแหวกกรอบที่จะมาเป็นส่วนสนับสนุนในขบวนการของความคิดที่เรียกว่า Paradigm เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นอิสระภาพของจิตใจอย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าให้คำตอบอะไรแก่เราที่จะออกไปจาก Paradigm หรือกรอบของสังคมนี้ได้ ทุกคนมีศักยภาพในการรู้แจ้งความจริงหรือสัจธรรมในตัวของเราทุกคน การตื่นขึ้นจากความไม่รู้ที่เรียกว่าอวิชชา ไปสู่การเห็นความจริงที่เรียกว่า สัจจะ ไม่ต้องไปรอชาติไหน ๆ เราสามารถที่จะรู้ได้ในชีวิตนี้ในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเรามีความเข้าใจและก็รู้ทางที่จะเข้าถึงมัน ความสำคัญจึงอยู่ที่เมื่อมีอวิชชาคือไม่มีปัญญาเราก็เป็นปุถุชน
    ถ้าเรามีปัญญาหรือมีวิชชาเราก็จะได้สัมผัสกับพุทธะหรือได้สัมผัสกับพระพุทธองค์ การปฏิบัติ การฝึกฝน เราก็จะต้องหันเข้ามาเรียนรู้จิตใจของเราเองจนพบธรรมชาติพื้นฐาน หรือธรรมชาติที่แท้จริงของตนเองอย่างลึกซึ้ง เข้าถึงจิตที่บริสุทธิ์ ปภสฺสร มิทํ จิตตํ ( จิตประภัสสร ) หรือที่เรียกว่าเข้าถึงพุทธภาวะ เราจะต้องมีความเข้าใจหัวใจของพุทธศาสนารวมทั้งการเข้าใจจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติด้วย

    การตระหนักรู้ถึงจิตที่บริสุทธิ์ที่เรียกว่า จิตปภสฺสร มิทํ จิตตํ จิตที่ยังไม่ถูกอะไรปรุงแต่งหรือจิตพุทธะนี่ เราก็จะรู้ท่ามกลางมายาก็คือปรากฏการณ์ที่มันเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง นี่คือการปฏิบัติของเรา การถ่ายทอดของครูบาอาจารย์ก็ เพื่อที่จะบอกถึงความซาบซึ้งในทุกขณะ ในอิริยาบทต่าง ๆ ไม่ว่า เดิน ยืน นั่ง นอน หรือในกิจการงานในวิถีจิตที่ไปพ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก เราจะพบกับความมหัศจรรย์ที่แท้จริง ในการนั่งสมาธิก็ไม่ใช่เพื่อที่จะได้อะไรแต่เพื่อจะแสดงธรรมชาติที่แท้จริงของเราออกมา ธรรมชาติที่แท้จริงก็คือตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่ไม่ใช่ตัวตนที่เกิดจากความคิด แต่เป็นตัวตนหรือสัจจะสูงสุดที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ หรือรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า นั่นคือการปฏิบัติตามวิถีพุทธธรรมในแต่ละขณะ นั่นคือการแสดงธรรมชาติของความจริงออกมา หรือเราอาจจะเรียกว่าวิถีจิตหนึ่ง

    การปฏิบัติที่ถูกต้องก็จะนำไปสู่ทัศนคติที่ถูกต้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง การฝึกสมาธิคือการแสดงออกของธรรมชาติที่แท้จริงให้ออกมาอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่นั่งหรือฝึกเพื่อที่จะได้บางสิ่งบางอย่าง แต่มันป็นการแสดงออกของธรรมชาติที่แท้จริงหรือสัจจะที่แท้จริงซึ่งทุกคนมีศักยภาพนั้นอยู่แล้ว จงหาธรรมชาติที่แท้จริงของเราให้พบ แล้วเราก็จะพบกับความเป็นอิสระอันล้ำลึกและการมีอยู่เป็นอยู่ในแต่ละขณะอย่างเบิกบาน อิ่มเอิบ ร่าเริงที่แผ่ขยายในพุทธจิตของเราหรือในจิตที่ประภัสสรของเราและเราก็จะดำรงอยู่กับสภาวะนี้ตลอดไป

    การปฏิบัติบางอาจารย์เขาบอกให้รักษาจิตของผู้เริ่มต้น จิตของผู้เริ่มต้นเริ่มปฏิบัติมันพร้อม คือไม่มีเงื่อนไขใด ๆ มาเป็นสิ่งกีดขวางหรือขัดขวาง แต่ผู้รู้มากแล้วละก้อ มันมีความรู้ เป็นสิ่งขัดขวาง การถ่ายทอดของผู้รู้ การถ่ายทอดของกัลยาณมิตร นั่นก็คือจิตเดิมแท้หรือจิตที่ประภัสสร จิตที่ยังไม่ถูกอะไรปรุงแต่งที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง ศีลของเราก็จะไม่ด่างพร้อย รักษาตัวของมันเองเมื่อปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเราก็จะมีประสบการณ์ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ปรีชาญาณก็จะครอบคุมทุกสิ่ง นั่นคือธรรมชาติที่แท้จริงของเราแสดงออกร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ ในชิวิตประจำวันของเรา
    เราต้องเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อธรรมชาติที่แท้จริงของเราหรือสัจจะที่แท้จริงของเรา ในการปฏิบัติก็คือการแสดงธรรมชาติที่แท้จริงของเราออกมา มันเป็นการแสดงธรรมชาติที่แท้ มันจะแสดงธรรมชาติของมันอย่างเหมาะสม และเป็นธรรมชาติ หรือเป็นไปเองในทุกสถานการณ์โดยไม่มีการเตรียมตัวเพื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง มันเป็นการปฏิบัติหรือเป็นการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เราอาจจะเรียกว่า วิถีจิตหนึ่งเดียวหรือวิถีพุทธธรรมก็ได้

    มันมีวิถีทางเดียวคือ ในแต่ละขณะ มันเป็นการแสดงธรรมชาติที่แท้และความจริงใจของเราออกมาโดยไม่มีจุดเริ่มต้นและก็ไม่มีจุดจบ นั่นคือเราจะต้องหา “ ทางสายกลาง” ให้พบ เมื่อเราพบทางสายกลาง เราก็เดินไปบนวิถีทางสายกลางในแต่ละขณะ พระพุทธเจ้าไม่ได้สนใจในองค์ประกอบที่ก่อรูปขึ้นมาเป็นตัวตนหรือเป็นมนุษย์ หรือทฤษฎีทางอภิปรัชญาเกี่ยวกับความมีอยู่ เป็นอยู่ แต่พระองค์ทรงสนใจอยู่กับการเป็นอยู่ในขณะนี้ว่าเราเป็นอยู่ในขณะนี้อย่างไร เราจะรู้แจ้งความจริงได้อย่างไรในแต่ละขณะ

    คนเราก็ต้องพัฒนาบุคลิกลักษณะหรือ บุคลิกภาพในเชิงอุดมคติหรือในเชิงที่เรามีจิตสำนึกไว้ในใจหรือความมั่นหมายไว้แล้ว ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าเราจะบรรลุผลสำเร็จ ถ้าเราขาดจิตวิญญาณของการฝึกฝนหรือขาดความจริงจังเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน นี่คือวิถีทางของพุทธะที่จะสัมผัสกับสภาวะดับเย็นหรือที่เรียกว่า นิพพาน และก็ดื่มด่ำในความล้ำลึกของสภาวะพุทธะ

    ถ้าจิตของเราสงบและมั่นคงเราก็จะเป็นอิสระจากโลกอันสับสนวุ่นวาย แม้เราจะอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม เราจะต้องทำให้ต่อเนื่องในทุกขณะ หรือในทุกอิริยาบท ด้วยการคอยเฝ้าสังเกตการแสดงออกของธรรมชาติที่แท้จริง หรือวิถีหนึ่งเดียวหรือวิถีของการรับรู้ในความเป็นองค์รวม รู้ในความเป็นทั้งหมดของชีวิตเราในทุกขณะ ก็จะสร้างนิสัยขึ้นมาใหม่ เราจะทราบหรือรู้ถึงแนวทางและสภาวะจิตของเราเพิ่มขึ้น มากขึ้น เข้าใจจิตของเรา เข้าใจตัวเรามากขึ้น ก็ในชีวิตประจำวันนั่นแหละ การฝึกฝน คือการภาวนา หรือที่เรียกว่าการปฏิบัติภาวนา เรามีทุกอย่างพร้อมแล้วในคุณภาพอันบริสุทธิ์ของเราเอง

    ในธรรมชาติของความจริงทั้งสองนั่นก็คือ สังขตะ ความจริงที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง ก็คือกายกับใจของเราและความจริงที่ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดสิ้นสุด นั่นก็คือสัจจะที่แท้จริงของเรา(อสังขตธรรม) เมื่อเรากระทำสิ่งใดเราก็ไม่ควรทิ้งร่องรอยของความคิดเอาไว้ ร่องรอยของความคิดก็คือการยึดมั่นถือมั่นหรือการยึดถือนั่นเอง มันจะไม่เหลือร่องรอย เราก็ต้องทำด้วยใจและกายทั้งหมด ด้วยกายและใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เถ้าถ่านก็ไม่อาจหวนคืนไปเป็นฟืนเป็นไฟอีก เพียงการปฏิบัติด้วยใจและกายทั้งหมด หรือด้วยกายและใจที่รวมลงเป็นหนึ่งในทุกขณะ ดังนั้นทุกขณะก็คือการปฏิบัติเพื่อสู่พุทธะ เมื่อกราบ ก็จะไม่มีตัวเราเป็นผู้กราบ การเข้าใจชีวิตที่แท้จริงก็จะปรากฎออก

    นี่คือสภาวะของการที่เราได้รับรู้สภาวะของความเป็นหนึ่ง หรือในความเป็นองค์รวม นั่นก็คือนิพพานนั่นเอง และนี่ก็คือสัจจะสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและก็ถ่ายทอดมาให้เรา จนเราสามารถที่จะพบกับความจริงนั้นได้ เราก็ต้องทำให้ต่อเนื่องในวิถีทางของการปฏิบัติที่เรียบง่าย ทำโดยไม่ได้คาดหวัง เราก็จะพบว่ามันไม่ใช่เรื่องยากหรือมันไม่ใช่เรื่องง่าย เราอย่าบอกว่าเรารู้แล้ว แค่นั้นไม่พอ เราจะต้องทำไปจนตลอดชีวิตของเรา นี่คือการเรียนรู้ตลอดชีวิต
    การปฏิบัติเราจะต้องมุ่งมั่นและก็เข้าใจพื้นฐานที่แท้จริงของชีวิตหรือสัจจะที่แท้จริง และก็ปฏิบัติอย่างเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน ของเรา ขณะการปฏิบัติหรือขณะฝึกฝนหรือการภาวนานี้ อย่าไปพยายามหยุดความคิด หรืออย่าไปบังคับความคิด แต่เราจะต้องปล่อยให้มันหยุดของมันเองโดยธรรมชาติของมันเห็นมัน เข้ามา แล้วมันก็ผ่านไป ถ้าเราพยายามที่จะหยุดมันแสดงว่าความคิดนั้นมันรบกวนเรา

    แท้จริงมันมีเพียงกระแสคลื่น ในดวงจิตของเราเท่านั้น กระแสนั้นสงบขึ้น จิตของเราก็จะผ่องแผ้วที่เรียกว่า จิตประภัสสร นั่นเอง ถ้าจิตไปมีความสัมพันธ์กับสิ่งภายนอกจนเกิดคลื่นหรือเกิดกระบวนการของความคิดขึ้นมา หรือเกิดขบวนการของขันธ์ 5 ขึ้นมานี่เราเรียกว่าจิต ที่มีขอบเขตจำกัด ก็จะนำไปสู่การปรุงแต่งไปสู่ความขัดแย้งที่เรียกว่า ทวิลักษณะ เราต้องเข้าใจความแตกต่างของจิตทั้งสองก็คือจิตที่บริสุทธิ์หรือจิตที่ประภัสสร ในตัวจิตประภัสสรนี่มันจะมีธรรมชาติรู้ ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด และจิตเล็กหรือวิญญาณในขันธ์ 5 หรือจิตสำนึก จิตสำนึกนี่มันมีตัวรู้ที่มีขอบเขตจำกัดมาจากประสาทสัมผัส แต่ทั้งสองจิตนี้มันเป็นสิ่งเดียวกัน

    ที่เขาเปรียบไว้ว่า น้ำเหมือนกับจิตที่บริสุทธิ์(จิตประภัสสร) และคลื่นก็คือขบวนการของขันธ์ 5 คลื่นก็คือน้ำ ขันธ์ 5 หรือปรากฏการณ์ก็คือสัจจะสูงสุด หรือสุญญตาหรืออมตธรรมนั่นเอง เราจะต้องเข้าใจธรรมชาติทั้งสอง ว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน มันไม่ได้แยกจากกัน ทุกสิ่งจะรวมไว้ในจิตของเรานั่นก็คือแก่นสารของจิต นี่คือความรู้สึกทางศาสนา หรือที่เรียกว่า Religious Mind จิตศาสนา นั่นเอง

    แม้จะเกิดคลื่นในจิตหรือขบวนการของอาการของจิตแท้ ของจิตประภัสสร แต่แก่นสารของจิตก็ยังบริสุทธิ์อยู่นั่นเอง เหมือนกับโทรทัศน์ ก่อนที่เราจะฉายหนังไปบนจอ จอมันจะมีสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งเหมือนกับจิตใจของเราที่ยังไม่ได้มีขบวนการของความคิดเข้าไปปรุงแต่ง จิตของเราจะบริสุทธิ์ ประภัสสร จอมันจะเป็นสีขาว แล้วเราก็คิดเรื่องราวต่างๆ มีบวกมีลบ มีสุขมีทุกข์ นั่นก็คือภาพต่างๆที่เคลื่อนไหวอยู่บนจอ แต่ทั้งสองนี้คือภาพมันจะมีได้มันจะต้องมีจอสีขาวด้วย ฉะนั้นเราจะต้องฝึกฝนให้เห็นจอสีขาวนี้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเห็นสิ่งนี้ได้ นี่เขาเรียก จิตศาสนา นี่แหละตัวศาสนาที่แท้จริง นี่แหละสภาวะของพุทธะที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้และเข้าถึง และก็ได้กลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาของชาวพุทธเรา

    แม้ร่างกายของพระองค์ จะสลายเปลี่ยนแปลง แต่สภาวจิตที่พระองค์เข้าถึงก็ยังอยู่ ถ้าเราสามารถจะสัมผัสสภาวจิตที่บริสุทธิ์ของเรา เราก็จะสัมผัสกับสิ่งนี้ได้พระองค์ ตรัสว่า โยธัมมัง ปัสสติ โสมัง ปัสสติ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เห็นธรรมก็คือเห็นจิตที่บริสุทธิ์ของเราเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะสูงสุดหรือ อมตธรรม. นี่คือจิตศาสนา นี่เป็นแก่นสารของจิตที่บริสุทธิ์. เหมือนน้ำกับคลื่น คลื่นมันเป็นอาการของน้ำ คลื่นก็คือน้ำ มันไม่ได้แยกจากกัน
    ปรากฏการณ์ต่างๆที่เรียกว่า สังขตะ คือตัวเราและสิ่งต่างๆที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัส และธรรมชาติที่แท้จริงของทุกสิ่งก็คืออมตธรรมหรือสุญญตา มันเป็นสิ่งเดียวกัน มันเป็นกิจกรรมของจิตพุทธะหรือมันเป็นกิจกรรมของสัจจะสูงสุดนั่นเอง นี่คือการขยายตัวของมันเอง ท่ามกลางประสบการณ์อันหลากหลาย ชีวิตของเราก็จะสดใหม่อยู่ทุกขณะ ถ้าเราสามารถที่จะเข้าถึงมันได้ เราก็จะมีความสุข ในทุกแง่ทุกมุม หรือในความเป็นทั้งหมดของชีวิตเราในแต่ละขณะเราก็จะพ้นไปจากความกลัวตาย ความวิตกกังวล ความทุกข์หรือปัญหาต่างๆ มีแต่ความสงบ ความสันติที่ก้นบึ้งของจิตใจเท่านั้นที่รับรู้อะไรก็ไม่หวั่นไหว
    เราควรจะขอบคุณขันธ์ 5 หรือขอบคุณวัชชพืช เขาเรียกวัชชพืชว่าคลื่นของจิต หรือคลื่นของน้ำ หรืออาการของจิตนี่แหละเราควรขอบคุณ เช่นความวิตกกังวล ความกลัว ความอิจฉาริษยา ความโลภ อะไรต่างๆนี่ เปรียบเสมือนวัชชพืช ก็คือคลื่นของจิตนั่นเองที่มีเกิดขึ้นในจิตใจของเรา ถ้าเราสังเกตมัน มันก็จะเป็นการช่วยในการปฏิบัติให้เราเกิดความก้าวหน้า มันเป็นครูเรา มันเป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้มัน นั่นแหละมันจะช่วยจิตของเราให้พัฒนายิ่งขึ้น แล้วเราจะพบว่า วัชพืชนี่มันก็ จะเปลี่ยนไปเป็นอาหารบำรุงจิตใจของเรา ทำให้จิตใจของเราเจริญขึ้น นั่นแสดงว่าการปฏิบัติของเราได้ก้าวหน้าขึ้น ได้พัฒนาขึ้น
    ทั้ง ๆ ที่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจิตใจเรา แล้วเราก็สรุปหรือ ลงความเห็นว่า มันไม่ดีมันแย่ ปฏิบัติมานานแล้ว ยังมีสิ่งเหล่านี้อีก. นี่มันเป็นการสรุป มันก็เกิดความขัดแย้งขึ้นในจิตใจของเรา แต่ถ้าเราเห็นว่านั่นคือ วัชชพืช นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องศึกษาเรียนรู้ มันก็จะทำให้ใจของเราก้าวหน้าขึ้น แนวทางของการปฏิบัติภาวนาก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง และก็จะทำให้ตัวเราและสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ มันก็จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสม ม้าที่เลวหรือม้าที่ไม่ดีมันจะมีค่าที่สุด ค่าของมันก็อยู่ที่ความไม่สมบูรณ์นี่แหละ แล้วเราก็จะค้นพบพื้นฐานของจิตที่กำลังแสดงออกในวิถีทางอันมั่นคง
    ม้าที่ไม่ดี เราจะต้องฝึกฝนมัน มันเป็นม้าที่น่าสงสาร เหมือนกับจิตใจที่ไม่ดีของเรานี่ เราจะเห็นคุณค่าของมัน เพราะมันเป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ มันเป็นโจทย์ให้เราเรียนรู้ ให้เราแก้ เมื่อเราเรียนรู้ และเข้าใจ นั่นแหละเราก็จะพัฒนาจิตใจของเราสูงยิ่งขึ้น สูงยิ่งขึ้น ในอิริยาบทของพุทธะนั้น หรือในอิริยาบทของวิถีธรรมนั้น กายและจิตของเรามันจะต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อมันสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ มันก็จะมีพลัง, แล้วเราก็จะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น ไปพ้นจากความรู้สึกที่มีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้อง. ไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเราเข้าไปเป็นเจ้าภาพ. เมื่อมาถึงจุดนี้หรือมาถึงความเข้าใจได้อย่างนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไร มันก็ล้วนแต่เป็นการแสดงออกของพุทธะหรือเป็นพุทธกิจ ให้เราพยายามสังเกตหรือเรียนรู้มันอย่างต่อเนื่อง ด้วยกายและจิต ที่รวมเป็นหนึ่ง หรือในวิถีขององค์รวม

    เมื่อเราได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เราก็ย่อมจะค้นพบความหมายที่แท้จริงของ การมีอยู่เป็นอยู่ของตัวเรา นั่นแหละคือสาระของการที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หรือนั่นแหละคือหนทาง นั่นแหละคือครูของเรา . เมื่อสรรพสิ่งรวมลงในจิตพุทธะหรือจิตที่บริสุทธิ์ ความสัมพันธ์หรือการให้ค่าตัดสิน เชิงทวิลักษณะ เชิงของคู่ก็จะหายไปความแตกต่างของสรรพสิ่งก็จะหายไปด้วย นี่คือการเข้าใจชีวิตที่แท้จริง

    สรรพสิ่งก็คือพุทธะ เราก็ย่อมเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงหรือตามที่มันเป็น แต่ถ้าเราไม่มีศรัทธาต่อจิตพุทธะ ทุกการกระทำก็จะไปสู่จิตสำนึก แล้วตกเป็นทาสของทวิภาวะ การกระทำด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นปกติสามัญและหยั่งรู้ในความสมบรูณ์ของชีวิตเช่นนี้ ย่อมดำรงทุกสิ่งไว้ในจิตของพุทธะ ในจิตที่บริสุทธิ์ของเรา การกระทำทุกอย่างควรเป็นการแสดงออกของความตั้งมั่นของจิตใจเรา การพัฒนาความสงบของจิตกไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหยุดการทำงานทุกสิ่ง เข้าป่า หาที่สงบ เพื่อที่จะปฏิบัติธรรม แต่ความสงบที่แท้จริงนี้ เราควรหาพบในกิจการงานต่างๆในชีวิตประจำวันของเรา แต่เราก็จะต้องใช้เวลา เหมือนกับเดินเข้าไปในหมอก กว่าจะเปียก กว่าเราจะรู้สึกว่าเราเปียกมันก็จะต้องใช้เวลา ไม่เหมือนกับเราออกไปยืนตากฝนมันจะเปียกทันทีเลย

    เราก็จะต้องมีความจริงใจและพยายามในแต่ละขณะ ความสงบของจิตหรือสภาวะที่ไปพ้นปัญหาต่างๆ มันอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง ฉะนั้นการปฏิบัติก็คือการแสดงธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเราออกมา ธรรมชาติที่แท้จริงของเราก็คือสัจจะสูงสุด อมตธรรมหรืออสังขตธรรมหรือสุญญตานั่นเอง
    เราสามารถสัมผัสได้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ มันไม่มีการปฏิบัติอื่นใดที่ดีไปกว่าการกระทำอย่างนี้อีกแล้ว การกระทำอย่างนี้ก็คือ สังเกต ศึกษา ดูมัน หรือที่เรียกว่าสิกขา เพื่อให้เกิดความเข้าใจด้วยการปฏิบัติที่เรียบง่าย การปฏิบัติที่เรียบง่ายก็คือ การปฏิบัติที่ไม่ได้มุ่งหวัง ปล่อยให้มันเป็นไปเอง ให้มันพัฒนาของมันเป็นไปเองตามธรรมชาติและก็ทำอย่างต่อเนื่อง เราก็จะพบกับพลังบางอย่างที่มันมีความมหัศจรรย์ จนกระทั่งไม่ว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม มันล้วนแต่เป็นการแสดงธรรมชาติที่แท้จริงของเราออกมาทั้งสิ้น

    ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติเช่นนี้ หรือการกระทำอย่างนี้ ด้วยการเริ่มจากการสัมผัสกับทางสายกลาง มันก็ยากที่จะเกิดการตระหนักรู้ในธรรมชาติที่แท้จริง. ถ้าการปฏิบัตินั้นยังไปไม่พ้นระดับของจิตสำนึก ยังไปไม่พ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก มันก็ยากที่เราจะตระหนักรู้ถึงสัจจะที่แท้จริงหรือธรรมชาติที่แท้จริง หรือสุญญตา หรืออมตธรรม หรือธรรมชาติสากล หรือพุทธภาวะ หรือการประจักษ์แจ้งในความจริงแท้ เราก็จะพบว่าถ้าเราเข้าถึงสิ่งนั้น ทุกสิ่งของปรากฏการณ์ก็คือ พุทธะ มันกำลังแสดงธรรมชาติที่แท้จริงของมันออกมา
    ทางสายกลางที่เราดำเนินอยู่ ปฏิบัติอยู่จะเป็นฐานและแสดงออกมาทางน้ำเสียง ออกมาทางท่าทีหรือออกมาทางบุคลิกภาพในรูปแบบ หรือแนวทางที่เรียบง่าย เหมาะสมตามสถานการณ์ ตามเหตุการณ์ และถ้าเรายิ่งปฏิบัติภาวนาให้ต่อเนื่อง เราก็จะพบหรือสัมผัสกับประสบการณ์ที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์นี้จะครอบคลุมทุกสิ่งในการกระทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา ตัวเรานั่นแหละคือกิจกรรมอันยิ่งใหญ่ ตัวเรานั่นแหละคือกิจกรรมของความมีอยู่เป็นอยู่ในแต่ละขณะ มันเป็นสัจธรรมในตัวของมันเอง

    การปฏิบัติก็คือการตระหนักรู้ในข้อเท็จจริงอันนี้ เมื่อเรามีความยุ่งยากเพราะมันมีตัวเรา เรามีความยุ่งยาก มันมีปัญหาเกิดขึ้นเพราะมันเกิดมีเรา ก่อนที่จะเกิดมีเรา เรามันไม่มี เรานี่เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลหรือเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง นั่นก็คือการทำงานของจิตที่ประภัสสรของเรานั่นเอง. แต่เพราะเราไม่รู้ เราดำเนินชีวิตด้วยอวิชชา เราจึงแยกออกมาจากสรรพสิ่ง เป็นเอกเทศ เป็นปัจเจก มันจึงเกิดมีความรู้สึกว่ามีตัวเราขึ้นมา หรือเราจึงมี เกิดขึ้น และเราก็ยึดติดหรือมีอุปาทานในประสบการณ์ที่เราสัมผัสจากประสาทสัมผัส. โดยที่เราไม่รู้ว่าขันธ์ 5 อาการของจิตพุทธะหรืออาการของจิตที่บริสุทธิ์
    เมื่อเราไม่ได้ตระหนักรู้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง, แต่เรามีความรู้สึกว่าเราแยกออกมาจากสรรพสิ่ง เราก็จะมีความรู้สึกกลัวเป็นพื้นฐานของจิตใจ ชีวิตและความตายก็จะแยกจากกัน แต่จริงๆแล้วนี่ตัวชีวิตหรืออาการของจิตพุทธะ เมื่อเราเข้าถึงสัจจะสูงสุดความรู้สึกว่ามีตัวเราจะหายไป หรือเราอาจเรียกว่าความตาย สภาวจิตที่เราเข้าถึงสัจจะสูงสุดนี้มันเป็นสภาวะที่ไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเราหรือความตายนั่นเอง ชีวิตและความตายมันจึงเป็นสิ่งเดียวกัน เมื่อเราตระหนักรู้ในความจริงนี้ เราก็ย่อมจะพ้นไปจากความกลัวทุกสิ่ง ทุกสิ่งเกิดจากความว่าง ทุกสิ่งเกิดมาจากสุญญตา หรือสรรพสิ่งนี่คือ สุญญตา หรือความว่าง หรืออนัตตา

    ปรากฏการณ์ต่างๆที่เรารับรู้ด้วยประสาทสัมผัสที่อยู่บนฐานของสัจจะเราไม่อาจจะให้ค่าหรือลงความเห็นว่า มันมีหรือมันไม่มี นี่คือสภาวะจิตที่บริสุทธิ์ของเราที่เข้าถึงสัจจะสูงสุด หรือเข้าถึงสถานภาพของความจริงแท้ เราจะรับรู้ทุกสิ่ง ว่างจากความมีและไม่มี เราจะเห็นสิ่งต่างๆมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง นี่คือตถตาหรือจิตที่เราสามารถจะรับรู้ในความเป็นทั้งหมด หรือที่เรียกว่า องค์รวมนั่นเอง นั่นก็คือความว่าง นั่นก็คือ สุญญตา
    เมื่อเราเข้าถึงประสบการณ์อันนี้ เราก็จะพบกับความหมายที่แท้จริงของชีวิต. ย่อมเห็นความงามของชีวิต ย่อมเห็นศิลปะของการกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความคิด ไม่ว่าจะเป็นการพูด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออก ไม่ว่าเราจะมองดูต้นไม้ มองดูสรรพสัตว์ เราก็จะเห็นความงามของธรรมชาติ ความงามของชีวิต ความงามของทุกสิ่งที่เรารับรู้ ล้วนเป็นเพียงการเคลื่อนไหว หรือเป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงของมายาภาพ แต่เราจะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า เราจะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างมั่นคงต่อจิตที่บริสุทธิ์หรือจิตประภัสสรของเรา หรือเราอาจจะเรียกว่าจิตพุทธะของเรา

    การปฏิบัติภาวนาจึงต้องมีพื้นฐานมาจากความศรัทธาอันนี้ที่เรียกว่า “ ตถาคตโพธิศรัทธา” คือศรัทธาในการเข้าถึงสัจจะสูงสุดของพระพุทธเจ้า ศรัทธาด้วยความจริงใจ และมีความพากเพียร มันเป็นการรถ่ายทอดมาจากจิตวิญญาณของพระพุทธองค์ที่ผสมผสานกับอิริยาบทและกิจกรรมในความเป็นหนึ่งเดียวของความเข้าใจที่ถูกต้องของเรา บนพื้นฐานของจิตที่บริสุทธิ์ หรือจิตที่ประภัสสร นั่นก็คือการประจักษ์แจ้งความจริง
    เมื่อเรามีจิตใจที่บริสุทธิ์ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับสัจธรรมหรือตามที่ มันเป็น เราก็จะเข้าถึงการประจักษ์แจ้งความจริง ด้วยการตระหนักรู้ในความหมายที่แท้จริงของแต่ละขณะ นั่นก็คือสัมมาทิฐิหรือความเข้าใจที่ถูกต้อง มันเป็นการแสดงตัวของธรรมชาติที่แท้จริงที่มีอยู่ในตัวเรา ออกมาให้เราสัมผัส.
    ที่พูดว่าเราสัมผัสนี่ จริงๆแล้วมันไม่มีเรา นี่มันเป็นภาษาของ ของจิตสำนึกโลกของจิตสำนึก มันเป็นการปฏิบัติหรือเป็นการเคลื่อนไหวของตัวมันเอง เราจะเข้าใจธรรมชาติเดิมแท้หรือจิตพุทธะว่าคืออะไร แล้วเราจะเกิดความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในธรรมชาติที่แท้จริงของเรายิ่งขึ้น เราต้องหาความมีอยู่หรือความเป็นอยู่ในความเป็นทั้งหมด หรือความมีอยู่ เป็นอยู่ที่สมบูรณ์ของเรา จากสิ่งที่มันกำลังเป็นอยู่ สมบูรณ์อยู่ในทุกขณะ

    คำสอนพื้นฐานของพระพุทธองค์ที่เรียกว่า (อนิจจัง) การเปลี่ยนแปลงหรือสรรพสิ่งไม่เที่ยง (ทุกขัง) สรรพสิ่งทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (อนัตตา) พ้นไปจากความมีและความไม่มีตัวตนที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ เ ราก็จะเห็นสิ่งนี้ เมื่อจิตของเราเข้าถึงสุญญตา หรือเข้าถึงสัจจะสูงสุด ถ้าเราไม่เห็น เราก็ไม่อาจจะยอมรับในความเป็นพุทธะในจิตที่บริสุทธิ์ของเราได้ ความสมบูรณ์ก็คือความไม่สมบูรณ์ ถ้าจิตของเราเข้าถึงสิ่งนี้แล้ว ของคู่ต่างๆก็จะไม่แตกต่างกัน หรือเราอาจจะพูดว่า ความไม่สมบูรณ์ก็คือความสมบูรณ์ ถูกก็คือผิด นี่คือสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจ จุดประสงค์การปฏิบัติภาวนานี่ก็คือการเข้าถึงความเป็นอิสรภาพหรือเสรีภาพของจิตที่มีอุปาทานหรือจิตของเราเคยยึดถือสิ่งต่างๆ ยึดถือบัญญัติ ยึดถือสมมติ ยึดถือประสบการณ์ของชีวิต อันนี้เราชอบ อันนี้เราไม่ชอบ เมื่อเราสามารถเข้าถึงความเป็นอิสระของจิตหยั่งรู้การมีอยู่ เป็นอยู่ ทั้งทางร่างกายและจิตใจก็เป็นเอกภาพเดียวกันในแต่ละขณะได้ มันเป็นการแสดงออกถึงคุณภาพในตัวของมันเอง

    ในกิจกรรม ก็จะมีความสงบ แท้จริงแล้วมันก็คือสิ่งเดียวกัน ที่ต่างกันเพียงการให้ความมายเท่านั้นเอง ในกิจกรรม,มันจะมีความผสมกลมกลืน นี่คือคุณภาพของการมีอยู่เป็นอยู่ การปฏิบัติในชีวิตประจำวันก็คือการเข้าใจความเร้นลับของความเป็นอิสระ ในขณะเดียวกันเราก็มีสัมพันธ์กับสรรพสิ่งในความเป็นองค์รวม หรือเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือสัจจะทั้งสองทำงานร่วมกันเป็นสัจจะหนึ่งเดียวคือ ( สังขตะกับอสังขตะ) ปรากฏการณ์กับความว่างทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพียงแต่เราหยุดขบวนการของความคิดที่ไร้สาระ

    สัจจะสูงสุดคืออมตธรรมหรือความว่างก็จะกลายเป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงก็คือปรากฏการณ์ ทั้งสองทำงานร่วมกันในวิถีของความเป็นหนึ่งที่เรียกว่า วิถีของพุทธธรรม นี่คือสิ่งที่เราจะต้อง ฝึกฝน หรือภาวนาในทุกอิริยาบทของเรา เพื่อจะเข้าถึงความเป็นธรรมชาติหรือความเป็นเองของสัจจะ ความเป็นเองของธรรมชาติก็คือความเป็นอิสระจากการยึดถือสรรพสิ่งที่เรามีประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส
    ในขณะเดียวกัน เราก็มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งอย่างล้ำลึกเป็นองค์รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือสิ่งที่ออกมาจากความว่าง(สุญญตา) นี่คือการแสดงออกของ ปรีชาญาณที่เกิดจากจิตที่เข้าถึงสัจจะสูงสุดก็คือธรรมชาติแท้จริง แสดงออกร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเราไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร ก็คือการแสดงออกของธรรมชาติที่แท้จริง นั่นคือกิจกรรมที่แท้จริง มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่อย่างมหัศจรรย์ นั่นคือธรรมชาติที่แท้ ถ้าเราเข้าถึงสิ่งนี้ได้ เราจะพบกับ ความสุขแท้ที่จริงของชีวิต

    บทความโดย ท่านโพธินันทะ
     
  20. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=2c6JMoK40qU]ศีลข้อเดียวพอ - พุทธทาสภิกขุ - YouTube[/ame]​
     

แชร์หน้านี้

Loading...