จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา กับ ธรรมะของครูพี่ภู ที่ได้กล่าวได้ถูกต้องจริงๆเพราะการได้รู้ได้เห็นก็ไม่ทําให้เราหลุดพ้นได้ และอาจจะเพิ่มทุกข์เข้าไปได้อีก ถ้าเราไม่รู้จักใช้มันให้เป็นเพราะนิมิตก็มีทั้งจริง และปลอมส่วนด้านปลอมก็จะทําให้คนที่ได้นั้นเป็นทุกข์ได้เพราะใช้ไปในทางผิด แต่ถ้าผู้ปฏิบัติเห็นจริงนั้นและรู้ด้วยการปฏิบัติจริงจัง เช่นพระอริยะเจ้าท่านเห็นแต่ท่านก็จะไม่พูด เพราะท่านจะพิจารณา ก่อนว่าพูดไปแล้ว เกิดประโยนช์ หรือ เกิดโทษ และท่านก็รู้ ปล่อย วาง ว่าง ก็ไม่เป็นโทษ เพราะเราจะไปแก้โทษให้คนอื่นนั้นยากมาก เราต้องแก้ที่เรา ท่านถึงบอกกินเอง ก็อิ่มเองฉันใด ก็การปฏิบัติธรรมก็ฉันนั้น ต้องปฏิบัติเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงขออนุโมทนา กับข้อความข้างต้นที่ครูพี่ภูได้กล่าวไว้นั้น ด้วยความเคารพค่ะ
     
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต เจ้าอาวาส วัดถ้ำกลองเพล

    ฉายยาของท่านมีความหมายที่เป็นมงคลที่ดี เลยเอาลงมาให้ทุกท่านได้อ่าน.

    พระ มีความหมายว่าสุปฏิปันโนธรรมะนาถ บุญ หมายถึงประสาทสุขให้ไปทุกที่

    เพ็ง หมายถึงผ่องผุดดุจตะวันอันรุจี เขมา หมายถึง ภิรโตภิญโญญาณ วัด หมายถึง

    นิสัยใจคนล้นหรือลด ถ้ำ หมายถึงกำหนด ภาวนา พาสุขศานติ์ กลอง ชัยกัมปนาท

    ธรรมบาล เพล พ้นผ่านมารพิฆาตสวัสดี นี่คือชื่อวัดท่านและชื่อท่านที่มีความหมาย.

    อันวัดถ้ำกลองเพลเป็นธรรมชาติดารดาษด้วยพฤกษามารศรี พิพิธภัณฑ์ อนาลโย

    มโนมุนี กำแพงแก้ววิจิตรีที่มั่นคง ธรรมชาตินั่นหรือคือธรรม เป็นสัจธรรมทั้งสิ้นสมประสงค์

    อนิจ จัง ทุขังตั้งปลดปลง เกิดขึ้นแล้วก็ดับลง อนัตตา. วัด กายใจของคนล้นหรือลด

    ถ้ำ กำหนดภาวนาพาสุขศรี กลอง ชัยกัมปนาทธรรมมุนี เพล พอดีมัชฌิมปฏิปทา.







     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ความทุกข์ทั้งมวลมีมูลมากจากตัณหาอุปาทาน ความทยานอยากดิ้นรน และความ

    ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่างๆ สิ่งที่ไปเกาะเกี่ยว

    ยึดถือไว้โดยความเป็นตนเป็นของตน ที่จะไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้นเป็นไม่มี หาไม่ได้ใน

    โลกนี้ เมื่อใดบุคคลมาเห็นสักแต่ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง รู้สักแต่ว่าได้รู้ เข้าไปเกี่ยว

    ข้องกับสิ่งต่างๆ เพียงแต่สักว่า ว่าไม่หลงไหลพัวพันเมามัว เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากความ

    ยึดถือต่างๆปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู่ จงมองโลกนี้โดยความเป็นว่างเปล่ามีสติอยู่ทุก

    เมื่อ ถอนอัตตานุฑิฏฐิ คือความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสีย ด้วยประการฉะนี้ เธอจะเบา

    สบายคลายทุกข์คลายกังวลไม่มีความสุขใดๆยิ่งไปกว่าการปล่อยวางและการสำรวมอยู่ใน

    ธรรม. คัดจากหนังสือพุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    * ˛. *。 Merry Christmas & Happy New Year 2013 * ˛. *。

    ˛ °_██_*。*./ \ .˛* .˛.*.★* ****★ 。*
    ˛. (´• ̮•)*˛°*/.♫.♫\*˛.* ˛_Π_____. * ˛*
    .°( . • . ) ˛°./• '♫ ' •\.˛*./______/~\ *. ˛*.。˛* ˛. *。
    *(...'•'.. ) *˛╬╬╬╬╬˛°.|田田 |門|╬╬╬╬ .
    ¯˜"*°•♥•°*"˜¯`´¯˜"*°•♥•°*"˜¯` ´¯˜"*°´¯˜"*°•♥•°*"˜¯`´¯˜"*°•TO...you guys
     
  5. จารุณี22

    จารุณี22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +1,403
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม​

    บัณฑิตคือผู้รู้ ย่อมรู้จักเอาตัวเองรอดก่อน จึงจักไปโปรดบุคคลอื่นให้รอด
    พระตถาคตเจ้าเป็นแบบฉบับทุก ๆ พุทธันดร

    ทรงปฏิบัติตนให้พ้นทุกข์ก่อน จึงค่อยออกโปรดเวไนยสัตว์

    แก้จิตของตนให้หลุดออกจากบ่วงกามตัณหา - ภวตัณหา - วิภวตัณหา
    หลุดจากรัก - โลภ - โกรธ - หลง จึงนำผลของการปฏิบัติ
    อันได้แล้วกับจิตของตนเอง ออกมาเผยแพร่ประกาศเป็นสัจธรรม
    คือ คำสั่งสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นั้น

    พระอริยสงฆ์สาวกอันเป็นบัณฑิต ผู้รู้ตามก็รับหน้าที่เป็นพุทธบุตรสืบทอดตลอดกันมา
    จนกว่าจักสิ้นวาระของอายุพระพุทธศาสนา ในแต่ละพุทธันดร
    บุตรของตถาคตมี ๔ เหล่า คือ ภิกษุ -ภิกษุณี - อุบาสก - อุบาสิกา

    เวลานี้ ภิกษุณีหมดไปจากพุทธันดรนี้
    แต่จักมีเหล่าเดียรถีย์อ้างขึ้นมาให้มีภิกษุณีให้ได้ คงเหลือแต่ ภิกษุ - อุบาสก - อุบาสิกา
    อันการเข้าถึงพระพุทธศาสนาก็สุดแล้วแต่การปฏิบัติของแต่ละคน

    กรรมคือการกระทำขึ้นอยู่กับบารมี คือกำลังใจของแต่ละคนนั้น ๆ ทุก ๆ พุทธันดร
    ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด ไม่มีใครทำแทนกันได้
    ทุกคนมีกรรมคือการกระทำเป็นของตนเองทั้งสิ้น

    ผู้ใดหมั่นตรวจสอบศีล - สมาธิ - ปัญญา หรือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยจิตของตนเอง
    มิใช่ไปตรวจที่ผู้อื่น ผู้นั่นย่อมมีพระนิพพานเป็นที่ไป
    และผู้นั้นแหละเป็นลูกตถาคตอย่างแท้จริง

    อะไรมากระทบอายตนะยังมี ก็ต้องรับรู้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา
    แต่ให้หมั่นเอาเหตุที่มากระทบนั้น พิจารณาให้เข้าสู่ไตรลักษณ์
    ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ปล่อยวางให้ได้ด้วยปัญญา

    อย่าไปแก้โลก ให้แก้ที่จิตของตนเอง แล้วจักถึงฝั่งพระนิพพานได้ง่าย
     
  6. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ถ้าผู้ใดที่ตกฌาน โดยเฉพาะเชื่อนิมิตเป็นจริง เป็นจัง ก็ยิ่งอันตรายไปกันใหญ่
    หรือ ยึดถืออภิญญาเป็นบ้า เป็นบอ
    อันนั้นจิตเขาไปไกลจริงๆ คือ ออกนอกทะเลไปแล้ว หรือ พรรคพวกกู่ไม่กลับแร๊ะ ใครบอก ใครเตือนก็ไม่ได้แร๊ะ ไปสร้างอัตตาละเอียดขึ้นมาใหม่
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านก็เคยบอกกับลูกศิษย์
    (ใครหาธรรมอันนี้เจอบ้าง ช่วยมาให้พี่ภูที)
    วิธีป้องกันตนเองบ้า หรือ ไปเชื่อนิมิตเป็นตุ๊ เป็นต๊ะ
    นั่นก็คือ สติ (สตินะ..สติ)
    เพราะสติมา ปัญญาเกิด (ท่องกันไป เอาไว้สอบรึไง?)

    สรุปแล้ว
    นิมิต อภิญญา หรือกรรมของผู้อื่น
    แต่ถ้าจิตผู้ใดเข้าถึงความละเอียดมาก แล้วเกิดไปรู้ ไปเห็น ไปรับรู้อะไรมาก็ตาม
    ขอให้..รู้+วาง = ว่าง
    ไม่วุ่นวายดี สงบและสุขใจดี
    แต่ถ้าหากผู้ใด วางไม่เป็นก็ให้แบกอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะหนัก จนกว่าจะทุกข์
    หรือ รู้สึกตัว หรือ มีสติ มีปัญญาเป็นของตนเอง
    เดี๋ยวก็วางเองแหล่ะ
    ผู้ใดจะแบกต่อข้ามภพชาติ มันก็เป็นของเขา มิใช่เรื่องเรา

    จิตเกาะพระสอนให้มีสติ มีปัญญากันหมดแล้ว
    ได้โปรดนำไปพิจารณากันเอง

    ลูกท่านพ่อ..จะต้องมีสติปัญญานำหน้าเสมอ
    พระอรหันต์(อาชีพ) ท่านยังคอยหมั่นเจริญสติภาวนาเป็นนิจเลย
    และพวกเราๆท่านๆ เก่งกว่าหรือวิเศษกว่าหรือเปล่า?
    ไปไตร่ตรองเอากันเอง
    __________________



    โมทนาสาธุกับพี่ภูและคุณgolden sky
    ตั้งแต่เกิดมา เรียนพระพุทธศาสนามาตอนนั้นเป็นเด็กรู้สึกเบื่อมาก
    ไปวัดก็เซ็ง โตมาทุกวันศุกร์ต้องไปนั่งสมาธิห้องพุทธศาสนา
    นั่งให้ตาย ก็นั่งไม่เป็น
    หนังสือพุทธศาสนาแค่มองดูหน้าปกฉันก็ง่วงเข้าไส้
    แต่เท่าที่เรียนรู้มาหรือฟังคำสอนมาก็เห็นท่านบอกว่า
    ให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด มันง่ายซะจนลืมทำกัน
    มนุษย์เรานี่ก็แปลก กล้วยปอกแล้วกินให้อยู่ท้องไม่เอา
    ดันไปคว้านทุเรียนกิน หนามทุเรียนปักมือแถมท้องอืด
    ความดันขึ้น น้ำตาลในเลือดเพิ่ม น้ำหนักทะลุ ที่แน่ๆ
    กลิ่นตามมา แล้วบอกว่า แฮ่ๆมันอร่อยอ่ะ
    ฉะนั้น จิตที่อยู่กับปัจจุบัน รู้แล้ววาง ทำให้เกิดปัญญา
    มองเห็นสิ่งต่างๆอยู่เนืองนิจ แต่ถ้าเกิดรู้แล้วจับยืดจับถือไว้
    แล้วจะเอามือที่ไหนไปคว้าปัญญาล่ะ
    สาธุ

     
  7. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    นั่งคุ้ยวิธีฝึกของท่านจิตบุญทั้งหลาย จะเอาไปแปะไว้ในเฟสจิตเกาะพระ นึกขึ้นมาได้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่แล้ว แต่เราจะอยู่ถึงปีใหม่ไหมไม่มีใครรู้ อันนั้นเป็นเรื่องอนาคต การอยู่กับปัจจุบันก็ว่างเปล่าเช่นนี้เอง ไม่มีความคำนึงถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่มีความกังวลถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การงานทางโลกก็ทำไปวางแผนงานเตรียมงานไว้สำหรับปีหน้า แต่การงานทางธรรมละวางแผนกันไว้หรือยัง เคยถามตัวเองกันไหมว่าถ้าเราตายซะตอนนี้ เรารู้หรือยังว่าเราว่าเราจะไปไหน เราจะวางใจอย่างไร เราพร้อมยอมรับด้วยใจที่รู้ ตื่น เบิกบาน พร้อมทิ้งทุกอย่างไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ไหม คนที่พร้อมจะทิ้งทุกสิ่งไปได้อย่างไม่อาลัยอาวรณ์ได้นั่นเพราะเขารู้ว่าจะไปไหน เขาเห็นความจริงในโลกนี้อย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่อยากให้เป็น จบละ รักนะจุ๊บ ๆ
     
  8. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    การพบกัน คือจุดเริ่มต้นของการพลัดพราก
     
  9. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ข่าวที่ทำให้เสียใจ เมื่อเช้าของ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ได้เกิดอุบัติเหตุ

    ขึ้นกับพระไทย ท่านเป็นพระธรรมฑูตที่ได้มาเผ่ยแพ่รพระพุทธศาสนาที่ประเทศอังกฤษ

    ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติปฏิบัติชอบ ท่านได้เดินทางจากลอนดอน ไปกิจนิมนต์ ที่สก้อตแลน ท่าน

    เดินทามไปกับโยมอีกสองคน พระสามรูปนั่งข้างหลัง อุบัติเหตุ คือรถชนกัน โยมสองคน

    รอดชีวิตค่ะ ขอแสดงความดีใจกับท่านทั้งสองค่ะและขออนุโมทนากับท่านทั้งสองด้วยค่ะ

    มีหลายๆคนโทรศัพมาบอกตอนแรกก็ตกใจอึ้งไปเลยเพราะนึกไม่ถึงว่าท่านทั้ง

    สามรูปจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของท่านทั้งสามรูปด้วยค่ะ

    แต่ทั้งสามองค์ท่านภูมิใจนะที่ท่านได้ทำหน้าที่ของท่านที่ได้รับหน้าที่มา ท่านได้ตายเพื่อ

    ศาสนาพุทธ สมกับคำว่ายอมตายถวายชีวิต ตายไปพร้อมกับความดีที่ทุกคนชาวพุทธไม่มี

    วันลืม ขอให้พวกเราชาวพุทธมาร่วมกันสวดมนต์แผ่เมตตาให้กับดวงวิญญาณของท่านทั้ง

    สามท่านไปสู่สุคติเทอญ. วันนี้วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันเดียวกันเมื่อแปดปีที่

    แล้วเกิดภัยพิบัติขึ้นที่เมืองไทยยังจำได้ ก็ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตใน

    ครั้งนั้นด้วย วันนั้นเมื่อแปดปีที่ผ่านมาตัวผู้เขียนอยู่ที่บ้านที่เชียงใหม่ ได้นิมนต์พระ ๒๕

    รูปมาฉันอาหารที่บ้าน พระทุกรูปได้สวดมนต์แผ่เมตตาให้กับผู้ที่เสียชีวิตในวันนั้น ดิฉันก็

    โชคดีที่ได้ร่วมสวดมนต์แผ่เมตตากับท่านด้วย พระทุกๆรูปที่ไปแวะฉันที่บ้านวันนั้นเป็นพระ

    ลูกศิษของ หลวงปู่สังวาล เขมโก ซึ่งเดินทางจากกรุงเทพ เพื่อไปส่งหลวงพ่อสัมพันธท่านจะ

    ไปจำวัดที่วัดถ้ำดอกคำ ที่อำเภอพร้าวเชียงใหม่ วัดนี้เป็นวัดที่ หลวงปู่มั่นท่าน เคยไปปฏิบัติอยู่จึงมาเล่าสู่กันฟัง

    เหตุการดีดีๆที่ผ่านมา. ไม่ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดมันห้ามไม่ได้ แต่ที่ห้ามได้ฝึกได้

    คือห้ามไม่ให้ตัวเองทำชั่ว. ให้ตนเองทำความดีเผื่อเวลาจากไปแล้วจะได้เหลือความดี

    ฝากไว้เหมือนท่านพระอาจารย์ทั้งสามรูปที่ท่านจากไปแล้วท่านยังเหลือความดีให้พวกเรา

    ได้ระลึกถึง. ขอแสดงความเคารพและระลึกถึงค่ะ...





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  10. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    “.. แท้ที่จริงความตายนั้นไม่เท่าไรหรอก ก่อนที่จะตายนั่นซีมันสำคัญ จะตั้งสติ รักษาจิตด้วยอาการอย่างไร ให้มันคงที่ จะไม่ให้หวั่นไหว ตรงนั้นมันสำคัญที่สุด ..”

    หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
     
  11. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "...หลายคนเวลาปฏิบัติจะเจอการทดสอบแบบหนัก ๆ ทำให้เราเข้าใจผิดในพระรัตนตรัยไปเลย อย่างเช่น ภาวนาคาถาชินบัญชรไป ๔ - ๕ เดือน สารพัดเรื่องร้ายก็ประดังเข้ามา ทำให้เราคิดว่าเป็นผลจากคาถา

    บางรายตอนสมัยยังไม่ได้เข้าวัดเข้าวา เมาหัวทิ่มบ่อ นอนตากน้ำค้างทุกคืนไม่เป็นอะไร พอเลิกกินเหล้า เข้าวัดมาภาวนา กลับป่วยเช้าป่วยเย็น ก็เลยพลอยทำให้เข้าใจผิดไปว่า เพราะว่าเข้าวัดปฏิบัติธรรมจึงป่วย ก็เลยเลิกเข้าวัด

    จำไว้ให้แม่น ๆ ใครก็ตามที่ทำแล้วประสบกับการทดสอบแรง ๆ แบบนี้ แปลว่าบุคคลนั้นถ้าทำต่อไปจะเกิดผลเร็วมาก เขาเกรงว่าเราจะหนีรอดไปได้ ก็เลยพยายามขัดขวางแบบรุนแรงเช่นกัน ในเมื่อขวางแรงก็ทำให้เราเข้าใจผิดได้ง่าย ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง หลายรายหลุดวงโคจรไปเลย..."

    พระอาจารย์เล็ก เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน
    อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    ที่มา : คอลัมน์เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี
    ต้นเเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ห้องติวจิต
    ขอให้พวกเราเน้นที่จิตตนเองเป็นหลัก
    นำจิตเข้าสู่สภาวะแห่งความเป็นกลางหรือความว่างให้จงได้

    เราต้องรู้ว่านี่คือกาย นี่คือหน้าที่ของกาย (ที่อาศัยของจิตชั่วคราว)
    เราต้องรู้ว่านี่คือจิต นี่คือหน้าที่ของจิต (ผู้รู้)
    เราต้องรู้ว่านี่คือสติ นี่คือหน้าที่ของสติ (ตัวรู้)
    เราต้องรู้ว่านี่คือจิตปัญญา นี่คือหน้าที่ของจิตปัญญา (ตัวผู้รู้=ผู้ดู)

    แต่พอกลับมาถามตนเอง(สมมุติใหม่) ว่า..
    แล้วความเป็นเราอยู่ตรงไหนกันแน่
    ในเมื่อร่างกายนี้ก็..ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    สติก็ไม่ใช่ และท้ายที่สุด แม้นกระทั่งจิตที่คิดว่าเราหรือของเรา ก็ไม่ใช่อีก
    ถามว่าเราคือใคร อยู่ตรงไหนกันแน่
    ขอตอบว่า...ความว่าง...นี่ไง

    สรุปแล้ว เราไม่มีเรา หรือ เราไม่มีในตัวของเรา
    ภาษาสมมุติอาจจะสื่อสารยาก แต่ถ้าผู้ใดเข้าใจภาษาจิตจะเข้าใจทันที
    เพราะบางสภาวธรรมบางตัวนั้น ต้องเข้าถึง มิใช่แค่เข้าใจเพียงอย่างเดียว
    บางคนอ่านบางธรรมะหรือตัวสภาวธรรมบางตัว
    อ่านแล้ว อ่านอีก ก็พยายามทำความเข้าใจ ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

    ต่อไปนี้
    โดยเฉพาะจิตบุญ ที่สามารถเข้าถึงสภาวะของจิตพุทธะ หรือจิตคือพุทธะ
    จิตพุทธะ แปลว่า ความรู้เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือ สภาวธรรมตัวเดียวกัน
    ที่ผู้ปฎิบัติได้พบ/ประสบ/เจอกันมา ก็คือ ธรรมตัวๆเดียวกัน นั่นเอง
    แต่จะต้องอาศัยความลำดับของการเดินจิต หรือ นำจิตมาเดินมรรคาให้ถูกต้องเสียก่อน
    เช่น ก่อนที่เราจะตามหาดวงจิตของตนเองพบเจอ เราต้องรู้วิธีที่จะทำให้จิตของตนเองให้นิ่งเสียก่อน
    เมื่อผู้ใด ทำจิตของตนเองนิ่งได้แล้ว เราก็จะพบเจอจิตของตนเอง เมื่อนั้น
    หรือเมื่อเราสามารถเข้าถึงจิตหรือกระแสจิตตนเอง(จิตในจิต)
    ต่อไปเราก็จะเข้าถึงกระแสธรรม(ธรรมในธรรม)
    และต่อไป เราจึงจะพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมหรือสภาวธรรมอันละเอียดมากกว่านี้ได้
    โดยการพัฒนาจิตให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก นั่นก็คือ จิตพุทธะหรือจิตคือพุทธะ
    หรือจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือธรรมซึ่งเป็นอันเดียวหรือตัวเดียวกัน
    จิตเป็นธรรม จิตในธรรมหรือธรรมในจิต นั่นก็คือ จิตกับธรรมที่แท้ก็คือตัวเดียวกัน นั่นเอง

    คราวนี้แหล่ะ!
    พวกเราจะรู้จัก คำว่า คราบแห่งความเป็นมนุษย์ จริงๆมันคืออะไรกันแน่
    และเราจะเข้าใจ และเราก็จะเข้าถึงความเป็นที่สุดของที่สุด

    เมื่อเรารู้แล้วว่า ทุกธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานั้น
    ในที่สุดแล้วจิตก็จะเข้าสู่ความเป็นกลางหรือความว่างไปได้ในที่สุด
    และท้ายที่สุดแห่งธรรม นั่นก็คือ ความเป็นธรรมดาอย่างนี้นี่เอง
    ธรรมดา ที่ไม่..ธรรมดา
    แล้วเราจะพบความว่างจริงๆนั้น คืออะไร
    แต่มิใช่เรารู้แค่อ่าน-ฟังและเข้าใจเลย เฉกเช่นคำว่า "พระนิพพาน"

    คำว่า "พระนิพพาน" นั่นก็คือ ความว่างเป็นที่สุด
    ว่างแล้ว ว่างเลย หรือว่างจริงๆ
    มิใช่เมื่อวานว่าง แต่วันนี้ไม่ว่าง

    และขอแถมให้อีกหน่อย ก็คือ ต่อไปนี้จิตจะเป็นฝ่ายดูเพียงอย่างเดียว
    ดูเฉยๆ ดูด้วยปัญญา ดูแล้วรู้ ดูแล้ววาง ดูด้วยความเป็นกลาง
    จิตต้องไม่เอียงซ้าย เอียงขวา หรือ เอียงกะเท่เร่
    ปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปมาได้ทุกอริยบถ ทุกลมหายใจเข้าออก
    แต่จิตต้องนิ่งจริงๆ จิตปัญญาจริงๆ จิตจึงจะเป็นผู้ดูได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เมื่อเราสามารถเอาจิตที่กันเรียกว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวอยู่แล้ว
    หรือจิตเราเข้าใจและเข้าถึงสภาวธรรมที่กล่าวไปแล้วนั้น
    จิตฉลาดแล้ว จิตมีปัญญาแล้ว ทุกสิ่งที่มากระทบจิต จึงไม่ผลต่อจิตอีกต่อไปแล้ว
    และถึงจะเป็นผู้ที่ออกจากทุกข์ได้อย่างถาวรแล้ว
    ไม่ว่าจะมีสิ่งที่มากระทบจิตมากหรือน้อย ก็ไม่มีผลอยู่ดี
    เพราะตราบใดที่จิตเข้าใจ+เข้าถึงสภาวะแห่งความว่างจริงๆ
    ความตายนั้น จึงไม่มีในเรา
    เพราะเราไม่มีตัวตนจริง
    เมื่อจิตบุญได้กลายเป็นจิตพุทธะแล้ว จึงไม่กลัวตาย ไร้ทุกข์จริงๆ
    เพราะจิตสามารถละหรือตัดขันธ์ ๕ กันได้จริงๆตรงนี้..นี่เอง

    มีจิตบุญไม่กี่ท่าน ที่สามารถเข้าถึงจิตอนัตตา หรือ จิตว่างจริงๆ
    แต่ถ้าจิตบุญ ยังไม่ทราบว่าตนเองยังมีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า
    ขอให้เริ่มกลับไปทบทวน นับตั้งแต่จิตยกใหม่
    หรือเริ่มต้นกันที่สติก่อน เพราะสติมา ปัญญาเกิด
    สติเตลิดกิเลสมารจึงเข้าแทรก ความโง่เขลาจึงเข้ามาแทนที่
    เพราะให้พวกเราคอยหมั่นทรงฌานเป็นนิจ เพราะนอกจากจิตเป็นสมาธิ เป็นปัญญาแล้ว
    จิตของพวกเราก็ตั้งแต่ฝ่ายบุญ ฝ่ายกุศลเป็นนิจด้วย นี่คือ บุญใหญ่ บุญทุกนาที
    ได้สร้าง/สะสม/ทำบุญใหญ่ทุกครั้ง ที่พวกเราทรงฌานเป็นนิจ นั่นเอง
    และข้อดีสำหรับผู้ขยันทรงฌานเป็นนิจ นั่นก็คือ ปัญญาจะเข้ามาแทนความโง่เขลา เพราะมีสติสัมปชัญญะ
    และปราศจากทุกขังด้วย


     
  13. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    อารมณ์ในนิมิต

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้ดังนี้

    ๑. อารมณ์ในนิมิต จักเป็นอารมณ์ของจิตส่วนลึกๆ ที่มีกิเลสแฝงเร้นอยู่ อันยามปกติหากยังนอนไม่หลับ บุคคลผู้เข้าถึงฌาน ก็มักจักใช้ฌานกดเก็บอารมณ์อันเป็นกิเลสนั้นๆ หรือบางคนก็อาจจักกดด้วยการพิจารณาในวิปัสสนาญาณ ซึ่งยังมีกำลังอ่อนๆ อยู่

    ๒. แต่ตราบใดที่หลับแล้วด้วยความเผลอใจ มิได้กำหนดจิตให้อยู่ในฌาน ธรรมนิมิตก็จักปรากฏขึ้นมาทดสอบอารมณ์ของจิต ให้รู้ถึงส่วนลึกๆ ของความปรารถนาของอารมณ์จิตว่าเป็นเช่นใด ซึ่งเป็นปกติวิสัยขิงนักเจริญพระกรรมฐาน จักต้องพบกับข้อทดสอบตลอดเวลา ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น

    ๓. หากบุคคลใดจิตติดอยู่กับอารมณ์พระกรรมฐาน จนเป็นอารมณ์ชินแล้ว คำว่าเผลอจักมีได้ยาก ยกเว้นในบางขณะที่ร่างกายมีอาการป่วยไข้ไม่สบายเท่านั้น จุดนั้นจิตจักเพลีย มีความเผลอได้ง่าย เจ้าก็เช่นกัน ให้สังเกตดูให้ดีๆ ก่อนที่จักถึงจุดตัดหลับ หากจิตทรงฌานอยู่ในอนุสติใดอนุสติหนึ่งได้อย่างมั่นคง หรือวิปัสสนาภาวนาอยู่ได้ตลอดจนกระทั่งหลับ อาการธรรมนิมิตที่จักทำให้สอบตกนั้นไม่มี

    ๔. ยกเว้นแต่กำลังภาวนาหรือพิจารณาไป จิตเกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน นิวรณ์ ๕ เข้ามาแทรกอารมณ์ของจิต ให้ออกนอกลู่นอกทางจากอารมณ์ของการเจริญพระกรรมฐาน แล้วจิตตัดหลับในขณะนั้น จุดนี้แหละ ธรรมนิมิตที่จักเข้ามาทดสอบอารมณ์ของจิต ก็แทรกเข้ามาได้ง่าย เหมือนกับประตูหน้าต่างที่มีช่องโหว่ แมลงย่อมบินเล็ดลอดเข้ามาได้ จิตว่างจากอารมณ์ของฌานหรือวิปัสสนาญาณ ฟุ้งไปเพราะนิวรณ์ ๕ เข้าแทรกก็เป็นช่องโหว่ ธรรมนิมิตก็เข้ามาได้เช่นกัน

    ๕. ต่อไปนี้พวกเจ้าต้องมีการกำหนดรู้อารมณ์ ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่นอย่างเช่น เมื่อเช้านี้เจ้าพิจารณาวิปัสสนาได้ดี มีผลกำลังทรงตัว แต่เพียงไม่นาน ความไม่กำหนดรู้ ลืมสำรวมอายตนะ ตากระทบรูป จิตที่ขาดสติ-สัมปชัญญะก็ทิ้งธรรมที่พิจารณา หันไปฟุ้งซ่านให้นิวรณ์เข้ามากินใจแทน เยี่ยงนี้แหละเจ้าที่จักต้องกำหนดรู้อารมณ์ของจิต ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น หากจักต้องการชนะกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ก็จักต้องทำได้ ค่อยๆ ทำไปด้วยความเพียร ต่อไปจิตจักมีอารมณ์ชิน ปิดกั้นนิวรณ์ ๕ ได้สนิทเอง

    ที่มา ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุญาตขยาย
    สรุปแล้ว จิตพร้อม? รับทุกภัยหรือยัง
    ผู้ที่มองไม่เห็นธรรม เป็นธรรมดา ย่อมมีแต่ทุกข์เท่านั้น
    รักนะ..จุ๊บๆ
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แต่ถ้าไม่อยากพลัดพราก ก็อย่าพบกัน
    ทางที่ดี ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็อย่าหลงมาเกิดกันเลย
    เพราะการเกิด การมีกายหยาบนี้ ก็คือ ตัวทุกข์ดีๆนี่เอง
    เพราะกายหยาบนี้ มันไม่เที่ยง มันทุกข์และไม่มีตัวตน
    เมื่อเราใช้สติปัญญาพิจารณากันให้ดีๆแล้ว ก็เป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้าแทบทั้งสิ้น
    แต่ถ้าหลงมาเกิดแล้ว มีกายหยาบแล้ว ก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้
    อย่าไปหนีทุกข์ เพราะหนีไม่พ้น ตราบใดพวกเรายังมีกายหยาบ
    และเมื่อผู้ใดมีทุกข์มากๆ ก็อย่าไปฆ่าตัวตายเสีย เพราะถ้าทำอย่างนั้น อย่าคิดว่ารอดพ้นจากความทุกข์ไปได้
    อาจจะรอดความทุกข์ในโลกนี้ คือไม่มีกายหยาบ แต่โลกหลังความตายนั้นมันแสนยาวนาน
    เพราะนั่นคือ ผู้ที่ทำร้าย เบียดเบียน หรือฆ่าตนเองหรือผู้อื่นตายนั้น ผู้นั้นย่อมจะถูกลงโทษในปรโลกต่อไป
    และทุกข์ในปรโลกนั้น ทุกข์หลายล้านเท่าตัว จงไปไตร่ตรองดูกันเถิด
    ให้พวกเราออกจากทุกข์ ด้ยวิธีที่ถูกต้อง นั่นก็คือ คอยหมั่นเจริญสติภาวนา หรือ ทำจิตเกาะพระ

    นั่น..โฆษณาจนได้ ว่าไม่..ว่าไม่โฆษณาแล้วนะ
     
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุค่ะ หลวงปู่ ใช่เลย หลวงปู่ก็สอน ก็เตือนพวกเราตลอดเวลา ว่าท่าน

    ทั้งหลายเตรียมพร้อมหรือยัง ที่จะทำตนเองให้มี สติพร้อมปฏิบัติตนของตนเอง

    เมื่อถึงเวลานั้นเราจะได้ มีสติ รักษาจิต ไม่ให้หวั่นไหวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านที่มี

    ปัญญาแล้วท่านไม่ประมาท และเมื่อถึงเวลานั้นสติและจิตก็พร้อมที่จะรับมัน

    ด้วยความไม่หวั่นไหว.ขอให้เราเตรียมพร้อมกันนะมาฝึกตนเองเพื่อตนเอง

    เพราะไม่มีใครทำให้ใครได้.กราบหลวงปู่เทสก์. เจ้
    าค่ะ กราบ.........สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "คนเราเกิดมาในโลกที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มีหรอก และถ้าเราจะชดใช้บาปกันอย่างเดียว มันก็ชดใช้ไม่ไหว มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือหนีบาป

    -การภาวนาให้ทรงตัว
    -การคิดถึงคุณพระรัตนตรัย
    -พยายามรวบรวม บารมี ๑๐ ประการให้ครบถ้วน
    -พยายามตัด สังโยชน์ ๑๐ ประการ ให้หมด
    -จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน
    -มี พรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน ทรง ศีล ให้บริสุทธิ์
    -มี อิทธิบาท ๔ ทรงตัว

    ...เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมานี้ ลูกรักของพ่อจะไม่ต้องเกิดอีกต่อไป"

    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอแสดงความเสียใจ พระธรรมทูตไทยทั้ง 3 รูป
    ที่มรณะภาพ จากอุบัติเหตุรถยนต์ชนประสานงาทางตะวันออกของสกอตแลนด์
    เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2555 เวลา 07.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น

    [​IMG]

    ขออนุโมทนาบุญกับคุณพี่มาลินีด้วยนะครับ
    ที่นำข่าวมาบอกกับพวกเรา
    และท่านได้ปฎิบัติหน้าที่ในต่างแดนอย่างสมเกียรติแล้ว
    กระผมในฐานะตัวแทนกระทู้นี้ และจิตบุญ จิตบำเพ็ญ จิตเกาะพระทุกท่าน
    ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการจากไป อย่างไม่มีวันกลับมาของพระภิกษุทั้ง ๓ รูป
    และพวกเราขออุทิศผลบุญกุศล ที่ได้กระทำมาดีแล้วในทุกภพ ทุกชาติ
    ให้กับพระภิกษุสงฆ์ทั้ง ๓ รูป ไปสู่สุคติภูมิด้วยเทอญ
    สาธุๆๆ


    ที่มา:
    สลด พระไทย 3 รูป รถคว่ำที่ 'สกอตแลนด์' มรณภาพทั้งคณะ ขณะไปกิจนิมนต์ | phrathai.net

    ความตาย เป็นสมบัติของทุกๆคน
    ความตาย มิได้อยู่ไกลจากพวกเราเลย
    ความตาย อยู่ใกล้แค่ลมหายใจเข้าแล้วก็ต้องหายใจออก
    ความตาย เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกๆคนก็ต้องพบเจอ

    เพราะฉะนั้น
    ขอให้พวกเราจงคอยหมั่นระลึกถึงความตายของตนเอง ให้ได้ทุกลมหายใจ
    หรือให้บ่อยที่สุด เพื่อความไม่ประมาท
    เพราะอะไร?
    ก็เพราะว่ามันเกี่ยวกับการไปหรือการจุติหรือเปลี่ยนภพชาติทันที หลังหมดลมหายใจครั้งท้าย
    และยากยิ่งสำหรับผู้ที่ มิได้ฝึกจิตมาดีเยี่ยม ที่จะกำหนดดวงจิตตนเอง
    ไปสู่สุคติภูมิที่ดีได้ เพราะเวลามีชีวิตอยู่ มัวแต่เพลินเพลินจำเริญใจ
    หรือหลงมีความสุขจนลืมตัว จนลืมความตายมาเยือนตนเอง

    จำไว้นะ!
    พวกที่เผลอสติ คือผู้ที่ตั้งตนบนความประมาท โอกาสที่จะไปดินแดนแห่งอบายภูมิหรือนรกภูมิ จึงมีโอกาสมากจริงๆ
    แต่ถ้าผู้ใดรู้สึกตัวแล้ว รีบฝึกจิต ตั้งแต่เนินๆ วันนี้ เดี๋ยวนี้ ลมหายใจนี้กันซะ!
    เรื่องยุ่งยากกว่านี้ พวกเราก็ทำกันมาเยอะแล้ว เรื่องง่ายๆแค่นึกถึงพระเป็นอารมณ์
    แต่ต้องรักษาศีล๕ให้ครบก่อนนะ
     
  19. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    จะอยู่อย่างไรในเมื่อรอบข้างมีแต่ทุกข์ ยังไงก็หนีไม่พ้น จะหนีเข้าป่าไปอยู่คนเดียวก็ไม่พ้นทุกข์
    วิธีหนีทุกข์ทำได้ที่เดียวคือที่จิต ต่อให้อยู่ในสภายร่อแร่ใกล้ตาย อยู่ในดงสงคราม จะอยู่ที่ไหน หากจิตสงบซะอย่าง จะกลัวอะไรกับทุกข์
    ทุกข์เกิดที่จิต ก็ต้องดับที่จิต จิตยังอยากได้อยากมี หามาเท่าไหร่ก็ทุกข์
    ฝึกจิตด้วย จิตเกาะพระนี้ (จริงๆทางใดก็ได้ แต่จิตเกาะพระเร็ว แรง จริงๆ)แหละที่ให้คำตอบท่านได้
    อย่ามัวแต่เกาะกระทู้ ลงมือปฏิบัติซะที ไม่มีใครปฏิบัติแทนกันได้ อ่านไปอีก10ชาติก็ยังกลับบ้านไม่ได้นะจะบอกให้ (ช่วยโฆษณาอิๆๆๆๆๆๆ)
     
  20. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    วันนี้ ผึ้งมีนิทานมาเล่าให้พี่ๆฟังค่ะ ^^

    นิทานเก่าแก่ได้เล่าว่า มีพระอาจารย์รูปหนึ่ง เอากาน้ำดินเผาวางไว้ที่โต๊ะแล้วถามศิษย์ว่า “สิ่งนี้คืออะไร” แน่ล่ะ บรรดาศิษย์ทั้งสามคนก็ต่างตอบว่า “กาน้า” ต่อมาเมื่ออาจารย์ทุบกาน้ำนั้นจนแตกก็ถามต่อว่า “แล้วทีนี้เห็นเป็นอะไร” คำตอบมันก็ต่างกัน แต่มองเป็นธรรมได้ คิดเป็นธรรมได้ทั้งสิ้น

    ศิษย์คนแรก “ที่จริงแล้วมันก็เป็นแค่ดินที่เอามาปั้นขึ้นรูปเป็นกาน้ำนี่เอง ศิษย์เห็นว่าเป็นเช่นนี้ท่านอาจารย์”

    ศิษย์คนที่สอง “ข้าพเจ้าเห็นว่ามันไม่ได้มีประโยชน์ เพราะมันเป็นกาน้ำที่แตกเช่นเดียวกับชีวิตมนุษย์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป”

    ศิษย์คนที่สาม “จะเห็นอะไรได้ล่ะท่านอาจารย์ ก็เห็นกาน้ำที่แตก ถ้าท่านทุบมันอีกครั้ง มันก็จะเป็นกาน้ำที่แตกแล้วแตกอีก มันก็เท่านั้นเอง”

    แล้วศิษย์ทั้งสามและอาจารย์ก็หัวเราะพร้อมกัน

    ไม่ว่าบรรดาศิษย์ทั้งสามจะคิดยังไง ก็เกิดเป็นธรรมทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติทั้งหมด ศิษย์คนแรกอาจจะคิดในทำนองว่า มันคืออะไรเริ่มต้นยังไง คนที่สองก็คิดเชื่อมโยงกับหลักอนิจจัง คนที่สามนี้มองผิวเผินเหมือนไม่คิดอะไร แท้จริงเขาอาจจะไม่ยึดติดกับอะไรก็ได้


    อนุโมทนาสาธุ ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง ขนาดความคิดของศิษทั้ง 3 ยังไม่เที่ยง แล้วจะเอาอะไรกับกาน้ำ ธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมะ แก่น ของความจริง...
     

แชร์หน้านี้

Loading...