พอใจรูม

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ppojai, 3 ตุลาคม 2010.

  1. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    แก้ปวดหัวได้ ไม่ต้องพึ่งยา

    โดย ฟ้าใส

    วิธีบำบัดอาการปวดหัวด้วยวิธีธรรมชาติ

    1. บำบัดด้วยน้ำ
    วางถุงน้ำแข็งบนหน้าผาก หรือผ้าเย็นๆ โพกศีรษะก็ได้ ทำไปพร้อมกับการแช่เท้าในน้ำอุ่น โดยค่อยๆ เพิ่มความร้อนของน้ำขึ้น ใช้เวลา 15-20 นาที อาการปวดหัวจะทุเลาลง

    2. งดอาหาร
    อาหารแสลงบางชนิด เช่น เนื้อรมควัน ช็อคโกแลต ผงชูรส ไส้กรอก เบคอน และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ที่มักเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดหัวได้
    ช็อกโกแลต ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนจะมีอาการกำเริบขึ้นทุกครั้งที่กินช็อกโกแลต คนที่ชื่นชอบการกินช็อกโกแลต รายงานวิจัยชี้ว่าช็อกโกแลตชนิดขาวกินได้ไม่ทำให้ปวดหัว



    ไวน์แดง ผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มไวน์แดง จะเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ ผู้ที่มีอาการไมเกรนเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงไวน์แดงจะดีกว่า
    กุนเชียง เนื้อแดดเดียว เป็นอาหารที่ผ่านกรรมวิธีทำให้มีสีแดง โดยเติมดินประสิวลงไป ซึ่งก็คือสาร Nitrite ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว

    ลูกชิ้นเด้ง ในผู้ผลิตบางรายจะใส่สารบอแร็กซ์ ซึ่งเป็นสารอันตราย ทำให้บางคนเกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ และอาเจียนได้ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สำหรับคนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลการวิจัยระบุว่า ผู้ป่วยไมเกรนจะมีอาการกำเริบขึ้นเมื่อกินสารชนิดนี้เข้าไปแม้อาการปวดหัว อาจจะไม่ได้เกิดจากอาหารเหล่านี้โดยตรง แต่สำหรับคนที่เป็นโรคปวดหัวเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า

    3. ใช้วิตามิน
    การขาดวิตามิน B – COMPLEX อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ คุณควรทานอาหารที่มีวิตามินบีมากๆ เช่น ผักโขม กะหล่ำปลี ข้าวซ้อมมือ และอาหารธัญญพืชต่างๆ

    4. ขิง
    มีงานวิจัยพบว่า ขิงมีคุณสมบัติในการแก้ไมเกรน หากมีอาการปวดหัวในช่วงบ่ายๆ ลองจิบน้ำขิงอุ่นๆ สักแก้ว ถ้าไม่สะดวกจะต้มเองจะเลือกขิงผงบรรจุซองก็ได้

    5. น้ำมันหอม
    น้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติในการลดความกระวน กระวายใจได้ ลองนำมานวดบริเวณขมับ ไรผม และต้นคอจะช่วยผ่อนคลาย

    6. นวด
    การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือก จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ คุณควรหาใครสักคนมาคอยนวดที่ต้นคอและช่วงไหล่หรือจะนวดเองก็ได้



    7. ไปเดินเล่นสักห้านาที
    การเดินเล่นจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินส์ ซึ่งเป็นยาแก้ปวดขนานเอก

    8. ดนตรีบำบัด
    ถ้าคุณปวดหัวจากความเครียด ในทางการแพทย์ค้นพบว่า ดนตรีช่วยบำบัดอาการได้ โดยเฉพาะดนตรีที่มีท่วงทำนองเรียบง่ายฟังสบายๆ อาจมีเสียงจากธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เกลียวคลื่น เสียงนก หรือลมฝน จะช่วยกล่อมจิตใจให้สงบนิ่งขึ้น ช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี

    เป็นวิธีแก้อาการปวดหัวแบบธรรมชาติกันจริงๆ ใครชอบแบบไหนก็ลองทำดู...รับรองว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ถ้าทำทุกวิธีแล้วยังไม่หาย ก็ถึงเวลาที่คุณควรไปพบแพทย์ได้แล้ว
    ปวดหัวจากความเครียดมีอาการปวดบริเวณรอบศีรษะ รู้สึกมึนๆ เหมือนสมองถูกบีบ มักเกิดจากความเครียด หรืออาการอ่อนเพลีย การพักผ่อนให้เพียงพอ หรือนวดบริเวณต้นคอและขมับจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวชนิดนี้ได้

    ชนิดและอาการปวด

    ปวดหัวจากแอลกอฮอล์

    มักมีอาการปวดบริเวณเบ้าตา ถ้าคืนไหนคุณดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป ก่อนเข้านอนควรจะดื่มน้ำตามมากๆ เนื่องจากน้ำจะช่วยต้านฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ได้ ส่วนรุ่งเช้าควรดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวจากเมาค้างได้

    ปวดหัวจากไซนัส

    จะมีอาการปวดบริเวณดั้งจมูกและเบ้าตา วิธีการบรรเทาอาการปวดหัวแบบนี้ ต้องพึ่งยาลดน้ำมูก เพื่อให้จมูกโล่งหรืออาจจะใช้วิธีประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น การจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ ก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าคุณมีไข้ควรจะเข้าพบแพทย์เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน

    ปวดหัวจากคาเฟอีน

    จะมีอาการปวดตุ๊บๆ บริเวณด้านบนของศีรษะ อาการส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กับปวดหัวที่เกิดจากความเครียด ถ้าคุณปวดหัวแบบนี้การพักผ่อนให้เต็มอิ่มจะช่วยได้ดีทีเดียว การหลีกเลี่ยง เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และการนอนเป็นเวลาจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปวดหัวชนิดนี้ได้ แต่ถ้าคุณติดกาแฟ ก็ควรจะดื่มให้เป็นเวลา (เวลาเดียวกันทุกวัน) และดื่มเพียงวันละ 1-2 แก้วจะดีกว่า

    ปวดแบบไมเกรน

    อาการปวดตุ๊บๆ บริเวณศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง อาการคลื่นไส้ อาเจียน มึนๆ งงๆ ในเวลาที่ต้องใช้ความคิดมากๆ อาการเหล่านี้บ่งชี้ได้ว่าคุณมีอาการปวดไมเกรนร่วมอยู่ด้วย โดยมีความเชื่อว่าเกิดจากระดับฮอร์โมนผิดปกติ และอาหารบางชนิดที่อาจทำให้บางคนเกิดอาการไมเกรนกำเริบมากขึ้นได้ เช่น ไวน์แดง เนื้อสัตว์แปรรูป ผงชูรส

    การเปลี่ยนแปลงของอากาศ เช่นร้อน อบอ้าวเกินไป ความหิว ความตื่นเต้น การเดินทางหลายๆ แห่งในช่วงเวลาสั้นๆ อาจทำให้เกิดไมเกรนได้ คนที่เป็นไมเกรนบ่อยๆ จึงควรหมั่นสังเกตว่าเกิดจากปัจจัยอะไร จะได้หลีกเลี่ยงได้ การเข้านอนเป็นเวลา และหลับให้เต็มตา จะช่วยผ่อนคลาย อาการไมเกรนได้ส่วนหนึ่ง

    ส่วนเซ็กซ์ที่สุขสมนั้น มีงานวิจัยยืนยันว่าเป็นยาขนานเอกในการบำบัดอาการไมเกรนได้ดีทีเดียว

    คนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวบ่อยๆ นักวิจัยเขาแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสาร Tyramines และ Nitrite เพราะบางคนอาจจะมีความไวต่อสารสองชนิดนี้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของหลอดเลือดและระบบประสาททำให้เกิดอาการปวดหัวได้

    Thaibone.com :
    เห็นว่าพวกเราในห้องนี้มีคนปวดหัวไมเกรนกันหลายคน ลองอื่นดูนะคะเผื่อจะช่วยได้เพราะตอนโจเป็นก็ใช้วิธีพวกนี้ร่วมกับกินยาด้วยค่ะ ขอให้สุขภาพดีแข็งแรงกันทั่วหน้านะคะ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    โอวาทของท่าน ก.เขาสวนหลวง
    บันทึก วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๔๙๘

    วันนี้เป็นวันประชุมตามเคย เป็นวันที่พุทธบริษัทมีการสนทนากัน เพื่อทำความเข้าใจกันให้ตรงกับความเป็นจริง การปฏิบัติมีความจำเป็นจะต้องค้นคว้าภายในจิตใจ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องรอบรู้ เพื่อไม่ให้งมงาย นิสัยความเคยชินที่มีมาแต่กาลก่อน ปล่อยตามใจตนเองให้ไหลเรื่อยเปื่อยไป ทำไปทั้งๆ ที่รู้กันอยู่ ไม่มีการสังวรระวัง ไม่ควบคุมจิตใจของตนเอง แม้จะมีหลัก ก็ไม่สามารถจะทัดทานกิเลสได้ เช่นนี้ไม่เรียกว่ามีการปฏิบัติ แม้จะมีการปฏิบัติอยู่บ้างก็ไม่ได้รับผล

    ผู้ปฏิบัติต้องมีความสงบทั้งในที่ลับและที่แจ้ง มีมารยาทสังวรระวัง มีสติเสมอ ไม่เป็นภัยแก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ทำตามกิเลสอันไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีการหยุดพัก การเอาชนะกิเลสทำให้หยุดพักได้ ว่างได้ แล้วจิตใจก็จะได้รับความสงบ ควรมีกฎประจำใจไว้เสมอ อย่าให้พลั้งเผลอไปเอาอะไรต่ออะไรตามกิเลสตัณหาบังคับ เป็นการเห็นกงจักรเป็นดอกบัว นักปฏิบัติที่แท้ ต้องมีการสำรวมระวัง จนจิตรู้เท่าทันต่ออารมณ์เสมอ คือเปลี่ยนจากเด็กมาเป็นผู้ใหญ่ รู้จักช่วยตนเองทำประโยชน์ให้แก่ตน ถ้าไม่สามารถจะช่วยตนได้แล้ว จะช่วยผู้อื่นได้อย่างไร

    กิเลสเหมือนกับงูหรือไฟ เป็นของร้อนซึ่งรู้ได้ง่าย ได้แก่ความชอบใจ พอใจ และความโกรธ ส่วนที่รู้ยากเช่นน้ำกรด เป็นของไหม้เย็น ได้แก่ ความโลภ และความกำหนัดยินดี บางคนก็มีเอามากๆ มันทำให้จิตใจไม่สะอาดหม่นหมอง แล้วก็ไม่รู้ตัวว่าหม่นหมอง ต้องคอยสอดส่องให้ถึงด้านใน ไม่ใช่เพียงวางเฉยก็ดีแล้ว ต้องชำระล้างสิ่งสกปรกออกเสียด้วย ถ้าไม่มีปัญญาสอดส่องมันก็อยู่แค่นั้นเอง แม้จะละได้ ก็ชั่วคราว แล้วก็มีมาอีก ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ตนเองไหลไปตามอำนาจความอยาก ความเพ่งเล็ง ความโลภ ต้องการชื่อเสียงลาภยศเหล่านี้ ผู้ฉลาดย่อมไม่ยินดีเพราะมันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

    พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า ภิกษุผู้ยินดีในโลกธรรม คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ย่อมจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุด คือ พระนิพพานไม่ได้ การยินดีต่อโลกธรรม มีแต่จะไหลเรื่อยเปื่อยไป หนักเข้าก็ยกตัวว่าดี ว่าเด่นกว่าเขา เกิดความผยองพองตัวเหมือนดินพอกหางหมู ทะนงตัวว่าดีเหล่านี้พระอรหันต์ท่านไม่มี แทนที่จะขัดสีออก เพราะเห็นว่ามันเป็นสิ่งสกปรก กลับยินดี พอใจ เหมือนควายที่ชอบจมอยู่ในปลักฉะนั้น

    ผู้มีปัญญาย่อมไม่ยอมจมอยู่ในปลัก ต้องคิดหนีไปให้พ้น เหมือนกับหนีไฟที่ไหม้เข้ามาใกล้ตัว คนเราส่วนมากมักเป็นกันเช่นนี้ คือไม่แลเห็นว่ามันเป็นไฟ มีแต่จะอยากได้โน่น เอานี่ ไม่พยายามพิจารณาดูว่า ที่แท้แล้วมันก็คือสภาวะธรรมที่เสื่อมสิ้นไปทุกขณะ

    รูปนามนี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา มันทรงตัวอยู่ได้ด้วยเหตุด้วยปัจจัย เราควรพิจารณาความจริงเหล่านี้ เตือนตัวเอ จนกว่าจะทำลายตัวตนออกจากจิตใจ ให้จิตใจมีความรู้สึกล้วนๆ ซึ่งมันไม่ต้องการอะไร เพราะมันไม่มีตัวตนจะให้วิ่งไปเอา จงพยายามให้มีความรู้ มีความสังวรระวังไว้เสมอๆ จะได้ความสว่างไสวโปร่งโล่งเป็นอิสระ อยู่ในตัวของมันเองตลอดเวลา แล้วมันจะมีความจริงปรากฏขึ้นให้เห็นในใจเอง

    อย่าให้เป็นเหมือนลูกฟุตบอล ที่ถูกเตะไปเตะมา อยู่กลางสนามจนแตกไป เทียบได้กับรูปนามนี้ มันจะต้องแตกดับไป เหมือนลูกฟุตบอลเช่นเดียวกัน อย่าเป็นลูกฟุตบอลเที่ยวกระดอนไป กระดอนมา จะเป็นสังสารวัฏเวียนว่าย วิ่งไปมาอยู่ตลอดสาย การแก้เงื่อนไม่ใคร่จะมีใครคิด ที่คิดกัน ก็มักคิดออกไปยืดยาว ปล่อยให้ไหลเรื่อยเปื่อยไปตามกระแส เราจะต้องคิดค้นให้ได้ มันเป็นปัญหาเฉพาะตน ที่จะต้องแก้เงื่อนให้หลุดพ้นจาก ชาติ ชรา มรณะ และพยาธิ

    การปฏิบัติถ้าไม่ถูกเงื่อนมันก็ไม่หลุดพ้น ถ้าไม่แก้เงื่อนต้นให้ถูกมันก็อยู่แค่นั้นเอง เป็นของลึกซึ้งยากที่จะแก้ บางคนพูดว่า ฉันรู้ จิตใจมันว่าง วางเฉยได้ แต่การกระทำก็ยังเข้ากับตัวเอง บางทีก็วางเฉยสำรองไว้ก่อน กว่าจะรู้สึกตัวมันก็ไหลเรื่อยเปื่อยไป การทำเช่นนี้เท่ากับเราไปเล่นกับผีหรืออสุรกายโดยเห็นเป็นพระ ทุกคนก็บอกว่ารู้อยู่ด้วยกันทั้งนั้น คนที่รู้แนวทางก็ยังประพฤติเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคนที่ไม่รู้อะไรเลย มันเป็นการคลำทางที่หลงงมอยู่ในป่าทึบ

    บางคราวพบความสว่าง ความสงบชั่วคราว แล้วก็ไปยึดเอาความสว่าง - แสงสี เหล่านั้นขึ้นมา ไม่ใช่ว่างจริงๆ ไม่ใช่เป็นการอ่านข้อเท็จจริง ซึ่งบางทีมีความวางเฉยก็เป็นการวางเฉยด้วยโมหะ เช่นนี้ไม่ใช่เป็นการก้าวหน้าออกไปเลย เป็นความเข้าใจผิด ตรงกันข้ามกลับยิ่งจมมิดลงไป เรียกว่าขุดหลุมฝังตัวเอง ร้ายยิ่งกว่าตกนรกเสียอีก เป็นการถอยหลังเข้าคลอง อยู่กับความโง่ ความหลงมากขึ้น ขอให้ผู้ปฏิบัติจงสังวรระวัง ให้มีความรู้ทรงตัวอยู่เสมอ ให้มีความสว่างไสว รู้สึกว่าสภาพเหล่านี้มันมีความสว่างไสวอยู่ในตัวของมันเอง

    ถ้าตราบใดที่อวิชชาและโมหะยังมีอยู่ ความสว่างจะมีอยู่เรื่อยไปไม่ได้ การโพลงแจ้งขึ้นครั้งหนึ่ง ก็เป็นการทำลายโมหะได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ควรตื่นเต้นว่าเป็นที่สุดแล้ว พ้นแล้ว อย่าไปตะครุบเอาเสียก่อน จะต้องสอดส่องเข้าไปให้ละเอียดลึกซึ้งด้วยสติปัญญา ให้ความจริงปรากฏ จะได้ไม่มีการเพ้อเจ้อความไม่สงบ

    ต้องปฏิบัติให้ความรู้แจ้งทรงตัวของมันอยู่ กายวาจาก็จะปกติเอง อย่าทำเป็นเหมือนเด็กเล่น หัวเราะสนุกสนาน ร้องไห้หน้าหงิกหน้างอ ต้องซื่อตรงต่อตัวเองทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ดังที่เปรียบเหมือนลูกฟุตบอล ที่ถูกเขาเตะอยู่ในสนามกระหืดกระหอบไม่สิ้นสุด จงพิจารณารูปนามมันเป็นเรือนไฟไหม้ ไม่มีตัวเราตัวเขาอะไรเลย ให้เกิดความสังเวชสลดใจ ก็จะคลายความกอดรัดยึดถือ

    พระธรรมเป็นของปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน จิตเดิมแท้นั้น ลักษณะของมันไม่มีเครื่องหมาย กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอะไร มันมีแต่สภาพธรรมล้วนๆคนที่เลียนแบบและคำพูดมักเอาสัญญานั้นมาเป็นเครื่องวัด จะทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าและเป็นอันตราย บางคนก็ตื่นเต้นต่อการได้พบชั่วคราว มันเพียงแต่พบเห็นที่ปากทาง ถ้าผู้ปฏิบัติไม่มีใจหนักแน่นมั่นคงแล้ว ก็จะไม่ได้พบจิตเดิมแท้

    การให้อ่านรู้ข้อเท็จจริงนั้น เพื่อจะต้องการให้รู้ หน้าโมหะ อวิชชา เหล่านี้มันเป็นมายาปกปิดอยู่หลายชั้นหลายชนิด มันจะคอยออกรับสมอ้างแค่ประตู ทำให้หลงใหลยึดถือเงาที่หลอกลวง ต้องมีความรอบรู้ การซักฟอกต้องอย่าเอาของสกปรกไปซักฟอกสิ่งสกปรก ต้องทำกันจริงๆ มันจึงจะได้ผลจริง อย่าทำเล่นๆ จงขัดเกลาให้บริสุทธิ์ ให้ออกมาจากทุกข์ จากสังสารวัฏให้จงได้ มันเป็นของไม่ง่าย แต่ก็ไม่สุดวิสัย ทุกขเวทนาอันแสบเผ็ดนั่นแหละ มันจะเป็นบทเรียนอย่างดี และอาจรู้ได้ เพียงเฉยๆ ไม่มีอะไรเป็นบทเรียน เช่นนี้หารู้ได้ไม่ อย่าหลงความสุขที่ได้รับอยู่นี้เป็นของดี เมื่อจิตใจยังไม่หลุดออกไป ต้องกำหนดจิตให้ปล่อยสภาวะทุกข์และสภาวะสุข จิตใจที่เหนือได้นั่นแหละ จึงจะปล่อยได้อย่างแท้จริง

    ขอให้ผู้ปฏิบัติจงทำตนให้หลุดพ้น อย่าไปหลงกับสิ่งอื่นๆ เลย มันจะเสียงานการ ทำให้ไม่ได้รับความรู้ขึ้น อย่าสำคัญตัวเองว่าเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมา ให้แก้ไขตัวเองให้จงได้ด้วยการสอดส่องเข้าด้านในการสอดส่องนี้เท่ากับการ เปิดตู้พระไตรปิฎกออกมา กายกับจิตนี้เป็นเครื่องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ขอให้ผู้ปฏิบัติทุกๆ คน จงมีความชัดเจนของความจริงอันนี้จงปรากฎอยู่ทุกขณะเถิด.
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ถ้อยคำล้ำค่า นำพาพบสุข
    ก.เขาสวนหลวง

    ถ้าไม่มีการกระทบกระทั่ง กิเลสอย่างละเอียดมันก็ไม่แสดงออก มันอยู่ลึกและลี้ลับ อย่าเพียงแต่ทำจิตว่างๆ เท่านั้น เพราะการว่างเช่นนี้ เป็นของชั่วคราว ไม่ใช่ของถาวร ยังไม่เป็นเครื่องกวาดล้าง เพราะพอมีผัสสะกระทบเข้า ก็ว่างไม่ได้ จึงต้องสอดส่องให้ลึกซึ้ง

    ที่ผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นเป็นส่วนหยาบๆ แต่ก็ต้องสำรวมระวัง เพราะยังไม่ง่ายนัก ส่วนที่จะต้องสอดส่องเข้าไปในด้านลึกเข้าไปอีก จึงเป็นของยากยิ่งขึ้นไปอีก การกำหนดพิจารณารูปนามก็เป็นเพียงขั้นต้น เมื่ออ่านสภาวะของมันชัดใจเข้า ก็จะเข้าถึงความไม่ยึดถือว่าตัวเรา หรือ ใคร ถ้ามันทะลุถึงด้านในที่ไม่มีอุปาทานแล้ว เมื่อมีอะไรขึ้นมา ก็จะได้ตรวจดูว่าสภาวะที่มีอุปาทานนั้นเป็นอย่างไร เพราะถ้าอ่านด้านในไม่ออก ด้านนอกก็อ่านไม่ออก จึงให้มีการพิจารณาสอบสวนเข้าไปๆ ความจำ ความคิด ความรู้เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งเกิดดับในตัวของมันเองทั้งรูปและนาม เมื่อชัดใจก็จะรอบรู้ในตัว เมื่อมีอุปาทานในรูปนาม มันก็จะรู้ว่าเป็นอุปาทานชันธ์ เราจะต้องตรวจให้รู้ว่า สภาวะธรรมล้วนๆ มีลักษณะการเป็นอย่างไร การที่ต้องพิจารณาสภาวะธรรม ที่เป็นเองให้ปรากฏ เพื่อให้รู้จะได้ทำลายได้ ถ้าไม่รู้ก็ทำลายไม่ได้

    การปฏิบัติจึงต้องใช้ปัญญาให้มากๆ ตั้งแต่ขั้นต้น รอบรู้ และรู้ว่าทุกสิ่งมันมาแต่เหตุ แล้วค้นดูว่า เหตุนั้นคืออย่างไร รู้แล้วก็ดับที่เหตุ เหตุดับ ผลก็ดับ ผลที่ต้องทนทุกข์ก็ไม่มี ต้องพิจารณาให้แยบคาย เพียงแต่วางเฉย จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เป็นเพียงสมาธิชั่วคราว เหมือนการนอนหลับชั่วคราว การเจริญวิปัสสนาเป็นการควบคุมจิตใจพร้อมพิจารณา คือมีทั้งสมาธิและปัญญา เป็นการปลอดภัยดีกว่า อย่าไปหลงนิมิตซึ่งไม่ใช่ทางตรง ธรรมะเป็นของจริง มีปรากฏอยู่อนันตกาล พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็มีอยู่แล้ว หลักอนิจจัง และทุกขังนั้น ศาสนาอื่นก็มี ส่วนหลักอนัตตานั้นมีแต่พุทธศาสนาศาสนาเดียว สภาวะธรรมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสังขารหรือวิสังขารก็ตาม พระองค์ปฏิเสธทั้งหมด ว่าเป็นของไม่มีตัวตน ยึดเอา บังคับเอาไม่ได้
     
  4. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ถ้อยคำล้ำค่า นำพาพบสุข
    ก.เขาสวนหลวง

    ถ้าไม่มีการกระทบกระทั่ง กิเลสอย่างละเอียดมันก็ไม่แสดงออก มันอยู่ลึกและลี้ลับ อย่าเพียงแต่ทำจิตว่างๆ เท่านั้น เพราะการว่างเช่นนี้ เป็นของชั่วคราว ไม่ใช่ของถาวร ยังไม่เป็นเครื่องกวาดล้าง เพราะพอมีผัสสะกระทบเข้า ก็ว่างไม่ได้ จึงต้องสอดส่องให้ลึกซึ้ง

    ที่ผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นเป็นส่วนหยาบๆ แต่ก็ต้องสำรวมระวัง เพราะยังไม่ง่ายนัก ส่วนที่จะต้องสอดส่องเข้าไปในด้านลึกเข้าไปอีก จึงเป็นของยากยิ่งขึ้นไปอีก การกำหนดพิจารณารูปนามก็เป็นเพียงขั้นต้น เมื่ออ่านสภาวะของมันชัดใจเข้า ก็จะเข้าถึงความไม่ยึดถือว่าตัวเรา หรือ ใคร ถ้ามันทะลุถึงด้านในที่ไม่มีอุปาทานแล้ว เมื่อมีอะไรขึ้นมา ก็จะได้ตรวจดูว่าสภาวะที่มีอุปาทานนั้นเป็นอย่างไร เพราะถ้าอ่านด้านในไม่ออก ด้านนอกก็อ่านไม่ออก จึงให้มีการพิจารณาสอบสวนเข้าไปๆ ความจำ ความคิด ความรู้เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งเกิดดับในตัวของมันเองทั้งรูปและนาม เมื่อชัดใจก็จะรอบรู้ในตัว เมื่อมีอุปาทานในรูปนาม มันก็จะรู้ว่าเป็นอุปาทานชันธ์ เราจะต้องตรวจให้รู้ว่า สภาวะธรรมล้วนๆ มีลักษณะการเป็นอย่างไร การที่ต้องพิจารณาสภาวะธรรม ที่เป็นเองให้ปรากฏ เพื่อให้รู้จะได้ทำลายได้ ถ้าไม่รู้ก็ทำลายไม่ได้

    การปฏิบัติจึงต้องใช้ปัญญาให้มากๆ ตั้งแต่ขั้นต้น รอบรู้ และรู้ว่าทุกสิ่งมันมาแต่เหตุ แล้วค้นดูว่า เหตุนั้นคืออย่างไร รู้แล้วก็ดับที่เหตุ เหตุดับ ผลก็ดับ ผลที่ต้องทนทุกข์ก็ไม่มี ต้องพิจารณาให้แยบคาย เพียงแต่วางเฉย จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เป็นเพียงสมาธิชั่วคราว เหมือนการนอนหลับชั่วคราว การเจริญวิปัสสนาเป็นการควบคุมจิตใจพร้อมพิจารณา คือมีทั้งสมาธิและปัญญา เป็นการปลอดภัยดีกว่า อย่าไปหลงนิมิตซึ่งไม่ใช่ทางตรง ธรรมะเป็นของจริง มีปรากฏอยู่อนันตกาล พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็มีอยู่แล้ว หลักอนิจจัง และทุกขังนั้น ศาสนาอื่นก็มี ส่วนหลักอนัตตานั้นมีแต่พุทธศาสนาศาสนาเดียว สภาวะธรรมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสังขารหรือวิสังขารก็ตาม พระองค์ปฏิเสธทั้งหมด ว่าเป็นของไม่มีตัวตน ยึดเอา บังคับเอาไม่ได้


    ................................

    สาธุ ๆ ๆ จ้า ๆ พี่ต้อย
     
  5. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    อย่าให้เป็นเหมือนลูกฟุตบอล ที่ถูกเตะไปเตะมา อยู่กลางสนามจนแตกไป เทียบได้กับรูปนามนี้ มันจะต้องแตกดับไป เหมือนลูกฟุตบอลเช่นเดียวกัน อย่าเป็นลูกฟุตบอลเที่ยวกระดอนไป กระดอนมา จะเป็นสังสารวัฏเวียนว่าย วิ่งไปมาอยู่ตลอดสาย การแก้เงื่อนไม่ใคร่จะมีใครคิด ที่คิดกัน ก็มักคิดออกไปยืดยาว ปล่อยให้ไหลเรื่อยเปื่อยไปตามกระแส เราจะต้องคิดค้นให้ได้ มันเป็นปัญหาเฉพาะตน ที่จะต้องแก้เงื่อนให้หลุดพ้นจาก ชาติ ชรา มรณะ และพยาธิ

    การปฏิบัติถ้าไม่ถูกเงื่อนมันก็ไม่หลุดพ้น ถ้าไม่แก้เงื่อนต้นให้ถูกมันก็อยู่แค่นั้นเอง เป็นของลึกซึ้งยากที่จะแก้ บางคนพูดว่า ฉันรู้ จิตใจมันว่าง วางเฉยได้ แต่การกระทำก็ยังเข้ากับตัวเอง บางทีก็วางเฉยสำรองไว้ก่อน กว่าจะรู้สึกตัวมันก็ไหลเรื่อยเปื่อยไป การทำเช่นนี้เท่ากับเราไปเล่นกับผีหรืออสุรกายโดยเห็นเป็นพระ ทุกคนก็บอกว่ารู้อยู่ด้วยกันทั้งนั้น คนที่รู้แนวทางก็ยังประพฤติเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคนที่ไม่รู้อะไรเลย มันเป็นการคลำทางที่หลงงมอยู่ในป่าทึบ

    บางคราวพบความสว่าง ความสงบชั่วคราว แล้วก็ไปยึดเอาความสว่าง - แสงสี เหล่านั้นขึ้นมา ไม่ใช่ว่างจริงๆ ไม่ใช่เป็นการอ่านข้อเท็จจริง ซึ่งบางทีมีความวางเฉยก็เป็นการวางเฉยด้วยโมหะ เช่นนี้ไม่ใช่เป็นการก้าวหน้าออกไปเลย เป็นความเข้าใจผิด ตรงกันข้ามกลับยิ่งจมมิดลงไป เรียกว่าขุดหลุมฝังตัวเอง ร้ายยิ่งกว่าตกนรกเสียอีก เป็นการถอยหลังเข้าคลอง อยู่กับความโง่ ความหลงมากขึ้น ขอให้ผู้ปฏิบัติจงสังวรระวัง ให้มีความรู้ทรงตัวอยู่เสมอ ให้มีความสว่างไสว รู้สึกว่าสภาพเหล่านี้มันมีความสว่างไสวอยู่ในตัวของมันเอง

    ถ้าตราบใดที่อวิชชาและโมหะยังมีอยู่ ความสว่างจะมีอยู่เรื่อยไปไม่ได้ การโพลงแจ้งขึ้นครั้งหนึ่ง ก็เป็นการทำลายโมหะได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ควรตื่นเต้นว่าเป็นที่สุดแล้ว พ้นแล้ว อย่าไปตะครุบเอาเสียก่อน จะต้องสอดส่องเข้าไปให้ละเอียดลึกซึ้งด้วยสติปัญญา ให้ความจริงปรากฏ จะได้ไม่มีการเพ้อเจ้อความไม่สงบ

    ต้องปฏิบัติให้ความรู้แจ้งทรงตัวของมันอยู่ กายวาจาก็จะปกติเอง อย่าทำเป็นเหมือนเด็กเล่น หัวเราะสนุกสนาน ร้องไห้หน้าหงิกหน้างอ ต้องซื่อตรงต่อตัวเองทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ดังที่เปรียบเหมือนลูกฟุตบอล ที่ถูกเขาเตะอยู่ในสนามกระหืดกระหอบไม่สิ้นสุด จงพิจารณารูปนามมันเป็นเรือนไฟไหม้ ไม่มีตัวเราตัวเขาอะไรเลย ให้เกิดความสังเวชสลดใจ ก็จะคลายความกอดรัดยึดถือ

    พระธรรมเป็นของปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน จิตเดิมแท้นั้น ลักษณะของมันไม่มีเครื่องหมาย กล่าวไม่ได้ว่าเป็นอะไร มันมีแต่สภาพธรรมล้วนๆคนที่เลียนแบบและคำพูดมักเอาสัญญานั้นมาเป็นเครื่องวัด จะทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าและเป็นอันตราย บางคนก็ตื่นเต้นต่อการได้พบชั่วคราว มันเพียงแต่พบเห็นที่ปากทาง ถ้าผู้ปฏิบัติไม่มีใจหนักแน่นมั่นคงแล้ว ก็จะไม่ได้พบจิตเดิมแท้
    .............
    ขอบพระคุณพี่ต้อยค่ะ...
     
  6. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ธรรมะ..ศึกษาอย่างไรก็ไม่หมด..ตลอดชั่วอายุขัยนะคะ..สาธุ ๆ ๆ
     
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    โอวาทของท่าน ก.เขาสวนหลวง
    บันทึก วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๔๙๘

    วันนี้เป็นวันประชุมตามเคย เป็นวันที่พุทธบริษัทมีการสนทนากัน เพื่อทำความเข้าใจกันให้ตรงกับความเป็นจริง การปฏิบัติมีความจำเป็นจะต้องค้นคว้าภายในจิตใจ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องรอบรู้ เพื่อไม่ให้งมงาย นิสัยความเคยชินที่มีมาแต่กาลก่อน ปล่อยตามใจตนเองให้ไหลเรื่อยเปื่อยไป ทำไปทั้งๆ ที่รู้กันอยู่ ไม่มีการสังวรระวัง ไม่ควบคุมจิตใจของตนเอง แม้จะมีหลัก ก็ไม่สามารถจะทัดทานกิเลสได้ เช่นนี้ไม่เรียกว่ามีการปฏิบัติ แม้จะมีการปฏิบัติอยู่บ้างก็ไม่ได้รับผล

    ผู้ปฏิบัติต้องมีความสงบทั้งในที่ลับและที่แจ้ง มีมารยาทสังวรระวัง มีสติเสมอ ไม่เป็นภัยแก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ทำตามกิเลสอันไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีการหยุดพัก การเอาชนะกิเลสทำให้หยุดพักได้ ว่างได้ แล้วจิตใจก็จะได้รับความสงบ ควรมีกฎประจำใจไว้เสมอ อย่าให้พลั้งเผลอไปเอาอะไรต่ออะไรตามกิเลสตัณหาบังคับ เป็นการเห็นกงจักรเป็นดอกบัว นักปฏิบัติที่แท้ ต้องมีการสำรวมระวัง จนจิตรู้เท่าทันต่ออารมณ์เสมอ คือเปลี่ยนจากเด็กมาเป็นผู้ใหญ่ รู้จักช่วยตนเองทำประโยชน์ให้แก่ตน ถ้าไม่สามารถจะช่วยตนได้แล้ว จะช่วยผู้อื่นได้อย่างไร

    กิเลสเหมือนกับงูหรือไฟ เป็นของร้อนซึ่งรู้ได้ง่าย ได้แก่ความชอบใจ พอใจ และความโกรธ ส่วนที่รู้ยากเช่นน้ำกรด เป็นของไหม้เย็น ได้แก่ ความโลภ และความกำหนัดยินดี บางคนก็มีเอามากๆ มันทำให้จิตใจไม่สะอาดหม่นหมอง แล้วก็ไม่รู้ตัวว่าหม่นหมอง ต้องคอยสอดส่องให้ถึงด้านใน ไม่ใช่เพียงวางเฉยก็ดีแล้ว ต้องชำระล้างสิ่งสกปรกออกเสียด้วย ถ้าไม่มีปัญญาสอดส่องมันก็อยู่แค่นั้นเอง แม้จะละได้ ก็ชั่วคราว แล้วก็มีมาอีก ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ตนเองไหลไปตามอำนาจความอยาก ความเพ่งเล็ง ความโลภ ต้องการชื่อเสียงลาภยศเหล่านี้ ผู้ฉลาดย่อมไม่ยินดีเพราะมันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

    พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า ภิกษุผู้ยินดีในโลกธรรม คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ย่อมจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุด คือ พระนิพพานไม่ได้ การยินดีต่อโลกธรรม มีแต่จะไหลเรื่อยเปื่อยไป หนักเข้าก็ยกตัวว่าดี ว่าเด่นกว่าเขา เกิดความผยองพองตัวเหมือนดินพอกหางหมู ทะนงตัวว่าดีเหล่านี้พระอรหันต์ท่านไม่มี แทนที่จะขัดสีออก เพราะเห็นว่ามันเป็นสิ่งสกปรก กลับยินดี พอใจ เหมือนควายที่ชอบจมอยู่ในปลักฉะนั้น

    ผู้มีปัญญาย่อมไม่ยอมจมอยู่ในปลัก ต้องคิดหนีไปให้พ้น เหมือนกับหนีไฟที่ไหม้เข้ามาใกล้ตัว คนเราส่วนมากมักเป็นกันเช่นนี้ คือไม่แลเห็นว่ามันเป็นไฟ มีแต่จะอยากได้โน่น เอานี่ ไม่พยายามพิจารณาดูว่า ที่แท้แล้วมันก็คือสภาวะธรรมที่เสื่อมสิ้นไปทุกขณะ

    รูปนามนี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา มันทรงตัวอยู่ได้ด้วยเหตุด้วยปัจจัย เราควรพิจารณาความจริงเหล่านี้ เตือนตัวเอ จนกว่าจะทำลายตัวตนออกจากจิตใจ ให้จิตใจมีความรู้สึกล้วนๆ ซึ่งมันไม่ต้องการอะไร เพราะมันไม่มีตัวตนจะให้วิ่งไปเอา จงพยายามให้มีความรู้ มีความสังวรระวังไว้เสมอๆ จะได้ความสว่างไสวโปร่งโล่งเป็นอิสระ อยู่ในตัวของมันเองตลอดเวลา แล้วมันจะมีความจริงปรากฏขึ้นให้เห็นในใจเอง
    ...........................
    ขอบพระคุณในคำเตือนค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤศจิกายน 2012
  8. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ไม่มีใครมาถูกใจมาพอใจ เราได้ ทุกคนหรอก เพราะมาตราฐานแต่ละคนแตกต่างกัน การที่จะทำให้ทุกคน
    พึงพอใจในตัวเรา มัน คือ ความพยายามที่ "เป็นไปไม่ได้"
     
  9. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ไม่มีใครมาถูกใจมาพอใจ เราได้ ทุกคนหรอก เพราะมาตราฐานแต่ละคนแตกต่างกัน การที่จะทำให้ทุกคน
    พึงพอใจในตัวเรา มัน คือ ความพยายามที่ "เป็นไปไม่ได้"

    จริง ร้อยพ่อพันแม่ ก็ร้อยความคิด พันความพอใจ

    การทำให้คนพอใจทั้งหมดเป็นไปได้ยาก แต่การทำให้คนพอใจเยอะที่สุดเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะเราจะได้เป็นที่รักของคนเยอะๆ ได้เช่นกันจ้ะ
    25/7/2555
    psyche 2
    อีกอย่างอย่าพยายามทำตัวให้คนอื่นพอใจหรือถูกใจ

    เพราะมันจะฟื้นกับความรู้สึกของตัวเอง

    เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว
    25/7/2555
    นู๋...มัยเข้าจัย 2
    แต่ก็ต้องทำให้เราพอใจในตัวเองก่อนที่จะทำให้คนรอบข้างพอใจในระดับหนึ่ง
    เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก
    25/7/2555
    เฟี้ยวซ่า 2
    คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ขนาดพระพุทธเจ้าหรือในหลวงของเรา ยังไม่ได้มีคนรักทุกคนเลย แล้วเราเป็นใครครับ
    เราอย่างไปใส่ใจคนที่เกลียดเราเลย ใช้ชีวิตที่เหลือ อยู่กับคนที่รักเรา และเรารัก จะดีกว่าครับ
    25/7/2555
    เกิดมามีกรรม 2
    ใช่ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
    25/7/2555
    kusu 2
    ถูกแล้วค่ะไม่มีใครที่จะเพอร์เฟคไปซะทุกอย่าง
    ไม่มีใครดีไปทุกอย่างถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำว่าดีคำว่าเลวหรอกค่ะ

    สวัสดียามเย็นนะค่ะคุณเท่
    25/7/2555
    Rosicha 1
    จริงและถูกต้อง ไม่มีใครมาถูกใจมาพอใจ เราได้ ทุกคน จ้า
     
  10. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=EcAuY615egI&feature=player_detailpage"]http://www.youtube.com/watch?v=EcAuY615egI&feature=player_detailpage[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 พฤศจิกายน 2012
  11. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ข้อคิดในแง่ของธรรมะ ๑๐๐ ข้อ


    ๑. จงทำดี อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม
    ๒. จงทำดี ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
    ๓. จงทำดี แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน
    ๔. อุปสัคมักจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังทำความดี ดีเหลือเกินหนี้สินเก่าจะได้หมดไป
    ๕. อุปสัคมักจะไม่เกิดขึ้นในขณะกำลังทำความชั่ว เพราะเป็นทางกู้หนี้สินใหม่เข้ามาแทน
    ๖. ทุก ๆ คนปรารถนาแต่สิ่งที่ดี ๆ แต่ไม่รู้จักการทำความดี
    ๗. ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
    ๘. คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย ได้แต่เอะอะโวยวายว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม ? ถึงต้องเป็นเรา ทำไม ? ทำไม ?
    ๙. ผู้ฉลาดในธรรม ยอมรับว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งไม่มีอะไรที่น่าตกใจเลย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา
    ๑๐. ชีวิตที่ไม่ขาดทุน คือการไม่เคยทำความชั่วเลย
    ๑๑. เพราะฉะนั้นคนเราเจอทั้งสุขและทุกข์ เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว
    ๑๒. การตามใจตัวเองอยู่เสมอ เป็นทางตันในการดำเนินชีวิต
    ๑๓. การขัดใจตัวเอง ก็คือการขัดเกลาหนทางให้ราบเรียบ
    ๑๔. ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา เหมือนกับว่าเรายังเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้จักเติบโตเลย
    ๑๕. เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ ตอนนี้ เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว
    ๑๖. หลาย ๆ ชีวิต เดินสวนทางกันไปมาอยู่ในขณะนี้ มีทางดำเนินชีวิตไม่เหมือน และก็มีอุปสัคที่ไม่เหมือนกัน
    ๑๗. เราอย่าเข้าใจว่า มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี
    ๑๘. การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวัน เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้
    ๑๙. เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์ ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความทุกข์ เวลาเรามีความสุข ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความสุข ไม่เช่นนั้นเราต้องเป็นคนบ้า ร้องไห้บ้าง ร้องเพลงบ้าง ตามประสาคนบ้า
    ๒๐. คนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น ทุกอย่างไม่มีเลย เพียงแต่เรายอมรับเขา อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น
    ๒๑. แม้แต่ตัวของเราเองก็ยังไม่ได้ดังใจเรา แล้วคนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น เป็นอันไม่มี
    ๒๒. เราไม่ได้ดังใจเขา จะให้เขาได้ดังใจเราอย่างไร
    ๒๓. ปรารถนาสิ่งใด อย่าพึงดีใจไว้ล่วงหน้า พลาดหวังสิ่งใด อย่าพึงเสียใจตามหลัง
    ๒๔. ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง
    ๒๕. หากยึดถือมาก ให้ความสำคัญมันมาก ทุกข์มาก
    ๒๖. หากยึดถือน้อย ให้ความสำคัญมันน้อย ทุกข์น้อย
    ๒๗. ยินดีไปตามความอยาก คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด
    ๒๘. แท้จริง ผัว ไม่มี เมียไม่มี ลูกไม่มี ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี แต่ความยึดมั่นด้วยความลุ่มหลงอย่างหนาแน่นว่าเรามี
    ๒๙. สักวันหนึ่ง เราคงจะไม่มีอะไรสักอย่างเลย ถึงวันนั้น เราทำใจได้ไหม ?
    ๓๐. การเกิดขึ้น เพื่อเริ่มต้นไปสู่ความดับลง ท่านจะยึดถือ หรือไม่ยึด นั้นมันเป็นเรื่องของท่าน
    ๓๑. อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น กับความรับผิดชอบ มันคนละอย่างกัน
    ๓๒. วันนี้ต้องดีกว่าวานนี้ พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้
    ๓๓. ทำดีในวันนี้ พรุ่งนี้จะดีของมันเอง
    ๓๔. คนโง่จะเสียใจ ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
    ๓๕. ส่วนคนฉลาด จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้
    ๓๖. เรารักในสิ่งใด จะต้องจากในสิ่งนั้น ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง
    ๓๗. ถ้าผัวตายก่อนเมีย เมียจะต้องเสียใจ ถ้าเมียตายก่อนผัว ผัวจะต้องเสียใจ ทำอย่างไร จึงจะไม่เสียใจ
    ๓๘. ถ้าไม่อยากเสียใจ เมื่อจากกันไป ก็อย่าดีใจเมื่อตอนได้มา
    ๓๙. ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเป็นพระเอกหรือนางเอกตลอดนิรันดรกาล
    ๔๐. ใช่แน่นอน ! ท่านเป็นตัวเอกในเรื่องของท่าน แต่ท่านอาจจะเป็นตัวสำรองในเรื่องของผู้อื่น
    ๔๑. เรายืนอยู่บนสนามชีวิต ต้องต่อสู้อุปสัคทุกรูปแบบ จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต ด้วยการตายลงไป
    ๔๒. บทเรียนในตำราเรียน กับบทเรียนในชีวิตจริง มันคงละอย่างกัน
    ๔๓. ไม่มีตำราเล่มไหน ที่จะสอนเราทุกอย่างก้าวว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้าง และจะต้องแก้อย่างไร ?
    ๔๔. เสียเงินทอง เสียสิ่งของ เสียเวลา และก็เสียใจ เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต
    ๔๕. คนฉลาดจะจ่ายค่าเทอมที่ถูกที่สุด ส่วนคนโง่จะจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่ากัน
    ๔๖. ที่จริงคนตาบอด พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้
    ๔๗. ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า ?
    ๔๘. กายพิการ แต่ใจไม่พิการ ใจพิการ แต่กายไม่พิการ อย่างไหนดีกว่ากัน ?
    ๔๙. เราสามารถตัดสินหนทางดำเนินชีวิตของเราเองได้ ดีหรือชั่ว อยู่ที่ตัวของเรา
    ๕๐. คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลา ส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น
    ๕๑. ถึงแม้งานจะสับสนยุ่งยากเหลือเกิน หากใจมีอิสระแล้ว ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหน
    ๕๒. ทุกคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ตายเพื่อทำหน้าที่ ดีกว่าตายเพราะไม่ทำหน้าที่
    ๕๓. รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบเพื่อนที่ดี และรับผิดชอบสังคม
    ๕๔. วันนี้เราด่าเขา วันหน้าเขาต้องด่าเรา ชาตินี้เราฆ่าเขา ชาติหน้าเขาจะต้องฆ่าเราอย่างแน่นอน
    ๕๕. คนทำบาป เพราะเห็นแก่กิน ไม่ต่างอะไรกับกินอาหารผสมยาพิษอย่างเอร็ดอร่อย กินมากก็มีพิษมา กินน้อยก็มีพิษน้อย
    ๕๖. กฎหมายทางโลก คุ้มครองสัตว์บางจำพวกเท่านั้น ส่วนกฎแห่งกรรมทางธรรม คุ้มครองสัตว์ทุกจำพวก
    ๕๗. กฎระเบียบของทางโลก อนุโลมไปตามความอยาก ส่วนกฎทางธรรมอนุโลมไปตามความเป็นจริง
    ๕๘. กรรมคือการกระทำให้สัตว์หยาบ และละเอียดประณีตต่างกัน
    ๕๙. ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะสร้างเรา ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราร่ำรวยได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ได้นอกจากตัวของเราเอง
    ๖๐. คำว่า “ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว” มากเหลือเกินที่คนได้ยิน น้อยเหลือเกินที่คนรู้จัก
    ๖๑. เหตุการณ์ความเป็นไปของทางโลก ไม่มีสิ้นสุด เราไม่สามารถจะติดตามได้ตลอดกาลเพราะอายุยังมีที่สิ้นสุด เราจะบ้ากับมันหรือไม่บ้า มันก็เป็นไปอยู่อย่างนั้น
    ๖๒. เพื่อมิให้เสียเวลา จงกลับมามองดูจิตใจของตนเอง ทำไมถึงซอกแซกสับส่ายถึงขนาดนั้น
    ๖๓. มันเคยตัว เพราะเราให้โอกาสมันมากเกินไป เพราะรักมันมาก จึงไม่กล้าขัดใจ นาน ๆ ไปอาจกลายเป็นโรควิกลจริตทางด้านจิตใจ
    ๖๔. การเอาชนะใจตนเอง ไม่ให้ไหลสู่อำนาจฝ่ายต่ำ เป็นสิ่งประเสริฐแท้
    ๖๕. วันนี้ เราตามใจของตนเอง ด้วยอำนาจแห่งความอยาก วันพรุ่งนี้ เราต้องหมดโอกาสที่จะสบายใจ
    ๖๖. วันนี้ เราไม่ตามใจตนเอง พรุ่งนี้ เราจะอยู่อย่างสบาย
    ๖๗. ยิ่งแก่ ยิ่งงก เพราะเขางกมาตั้งแต่ยังไม่แก่ ยิ่งแก่ ยิ่งดี เพราะเขาดีตั้งแต่ยังไม่แก่
    ๖๘. การวิ่งไปตามความอยาก คือการฆ่าตนเองด้วยความพอใจ
    ๖๙. ศัตรูมักมาในรูปรอยแห่งความเป็นมิตร ความทุกข์มักมาในรูปรอยแห่งความสุข
    ๗๐. น้ำหวานผสมยาพิษ คนโง่จะชอบดื่ม เพราะไม่รู้ ยาเสพติด ทำลายร่างกายตนเอง คนโง่ก็จะพากันเสพทั้งที่รู้
    ๗๑. ความสบายกายและสบายจิต จะหาซื้อด้วยเงินแสนเงินล้านไม่มีเลย ไม่จำเป็นจะต้องซื้อด้วยเงินและทอง
    ๗๒. คนที่มีศรัทธา มีคุณค่ายิ่งกว่าเงินแสนเงินล้าน
    ๗๓. เมื่อมีศรัทธา ควรมีปัญญาประกอบด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนงมงาย ขาดเหตุผล
    ๗๔. คนนิยมสร้างพุทธ ที่เป็นรูป คือพุทธรูป แต่ไม่นิยมสร้างพุทธ ที่เป็นนาม คือสภาวธรรมที่รู้แจ้ง รู้จริง ทำให้รู้จักพุทธะ
    ๗๕. ความจริงต้องมีให้พิสูจน์ จึงจะถือว่าจริงแน่นอน คนโง่จะไม่เชื่อตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่พบกับความจริงในชีวิต มีแต่ความงมงายในชีวิต
    ๗๖. คนใดถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ ถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระคนนั้นมีทางดำเนินในทางที่ผิด เขาจะไม่พบแก่นสารชีวิตที่แท้จริงเลย
    ๗๗. ผู้ที่หลงเปลือกนอก ย่อมไม่เห็นแก่นใน ผู้ถึงแก่นใน ย่อมเข้าใจเปลือกนอก
    ๗๘. ความสนุกสนานมัวเมาประมาทในชีวิต ไม่ใช่หนทางดำเนินชีวิตที่แท้จริง มันเป็นหนทางที่ทำให้เสียเวลา
    ๗๙. หากคนให้ความสำคัญกับการ กิน เล่น เสพกาม และนอน มากกว่าคุณธรรม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานจะไม่ดีกว่ากันหรือ ? เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม
    ๘๐. หากจิตใจเต็มด้วยความโลภ โกรธ หลง ช่องว่างในหัวใจไม่มี มีแต่ความอึดอัด
    ๘๑. อาหารที่กินเข้าไปมาก แสนจะอึดอัด แต่มีทางระบายออก
    ๘๒. ยิ่งความโลภ โกรธ หลง ลดลงมากเท่าไร ความปลอดโปร่ง ยิ่งมีขึ้นมากเท่านั้น
    ๘๓. แสงสว่างในทางธรรม จุดประกายให้ชีวิต ให้พบแต่ความสดใส
    ๘๔. ความสุขทางโลก เหมือนกับการเกาขอบปากแผลที่คัน ยิ่งเกายิ่งมัน เวลาหยุดเกา มันแสบมันคัน เพราะเป็นความสุขเกิดจากความเร่าร้อน
    ๘๕. เมื่อตอนที่อยากได้ ก็เป็นทุกข์ขณะที่แสวงหา ก็เป็นทุกข์ ได้มาแล้วกลัวฉิบหายไป ก็เป็นทุกข์
    ๘๖. เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็ต้องมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ย่อมไม่มี
    ๘๗. หากมีแล้ว ทำให้มีความสุข ควรมี ถ้าหากมีแล้ว ทำให้มีความทุกข์ ไม่รู้จะมีไว้ทำไม ?
    ๘๘. ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง เราไปยึดมั่นความไม่เที่ยงนั้นว่าความสุข
    ๘๙. แม้ความสุขนั้นมันก็ไม่เที่ยง จะไปหวังเอาอะไรอีกเล่า ?
    ๙๐. พบกันก็เพื่อจากกัน ได้มาก็เพื่อจากไป
    ๙๑. มองทุกข์ให้เห็นทุกข์ จึงจะมีความสุข
    ๙๒. ความเบาใจ คลายกังวล ย่อมมีได้ แก่บุคคลผู้เข้าใจธรรมะ
    ๙๓. ยิ่งเข้าถึงธรรมที่เป็นจริงมากเท่าใด ความเบาสบายใจยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
    ๙๔. เพราะความสุขทางโลก ไม่ให้อะไรมากไปกว่าความเพลิดเพลิน มัวเมา ประมาทในชีวิต จนลืมทางธรรม
    ๙๕. ทางเดิน ๒ ทาง ทางโลก และ ทางธรรม
    ๙๖. ทางโลก คือการปล่อยใจไปตามความอยากในโลกีย์ ทางธรรม คือการควบคุมใจตนเอง ให้มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครอง
    ๙๗. ผิดหวังทางโลก ยังมีทางธรรมคุ้มครอง หากคนนั้นรู้จักธรรม
    ๙๘. ผิดหวังทางโลก อยากทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งตนเอง คนนั้นแหละ ไม่รู้จักธรรม
    ๙๙. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรยึดถือมั่น
    ๑๐๐. มันเป็นเช่นนั้นเอง.
    ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง สักวันหนึ่งท่านคงจะเข้าใจ
    ธรรมวาทะ ศรีคูณ (ธ.วาทะ)
     
  12. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ทุกข์ที่สุด จะหลุดได้อย่างไร


    อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้น จะมีตลอดไป... อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไข... หนทางที่เร็วที่สุดคือ เปลี่ยนอารมณ์... ท่านใดมีทุกข์ ขอให้มันผ่านไปโดยไวครับ.....

    เมื่อเราเกิดมาย่อมได้รับ ทั้งสุขและทุกข์ ปะปนกันไปอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกข์ที่สุดเราควรจะทำอย่างไร ปัจจุบันเราได้ยินข่าวเรื่อง การฆ่าตัวตายบ่อยมาก ในชีวิตของความเป็นหมอ ก็เจอคนที่ฆ่าตัวตายบ่อยมาก ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หมอได้พูดได้คุยกับคนเหล่านี้มากมาย คำถามที่น่ารู้ก็คือ...

    การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ควรกระทำหรือไม่ และเราควรจะทำอย่างไรดี

    บทความนี้จะไม่สนใจว่าการกระทำอย่างนั้นจะมีผลในอนาคตอย่างไร ทำลายตนเองจะบาปมากแค่ไหน ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายใช้กรรมอีก 500 ชาติจริงหรือ เพราะถ้าบอกไป ต้องใช้ความเชื่อและศรัทธาในตัวศาสนามาพูดคุยกัน แต่ต้องการจะบอกว่า การทำลายตนเอง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายนัก เสียดายโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีอีกมากที่จะตามมา และเสียดายแทนญาติมิตรที่เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบกายและใจตลอดไป

    ในเรื่องความทุกข์ที่สุดนี้ ธรรมะในพระพุทธศาสนาสอนให้เราแก้เรื่องนี้ได้ทันที ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ที่เราไตร่ตรองเองได้ และด้วยประสบการณ์ในอดีตของเราทุกคน ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง เช่นด้วยเหตุผลว่าผู้สอนเป็นครูของเรา และอื่นๆ รวมสิบประการ แต่จะให้เชื่อก็ต่อเมื่อไตร่ตรองรู้ได้ด้วยตนเองจึงเชื่อ การจะไตร่ตรองให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นธรรมะที่เราตรึกตรองได้เช่นกัน

    เมื่อความทุกข์ที่สุดมาถึง สิ่งที่ควรระลึกถึงมีสองสามอย่างคือ หนึ่ง อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไป เพราะมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็จางไป สอง อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เพราะจะมีทางแก้ไขเสมอ เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น สาม อย่านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อีก เพราะเมื่อทุกข์ผ่านไป เราจะยังมีความสุข สนุกสนาน ได้อย่างเดิมแน่นอน และสุดท้ายคือ ให้นึกถึงคนข้างหลัง ที่เขาจะต้องเศร้า ได้รับการกระทบกระเทือน จากการกระทำด้วยอารมณ์ของเรา เมื่อทุกข์ที่สุดมาถึงสิ่งที่เราต้องทำทันที ในขณะที่ยังตั้งตัวปรับใจไม่ทันก็คือ รีบหาทางเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อเราไปเจอคนอื่นทุกข์สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือช่วยเปลี่ยนอารมณ์เขาก่อน จากนั้นสติจึงจะตามมา

    ความทุกข์ที่มากสุดจะแก้ได้เร็วและง่ายที่สุด ด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ ดึงอารมณ์ออกจากสถานการณ์นั้นก่อน อาจง่ายๆ เพียงแค่ทำอะไรที่ชอบ ฟังเพลง ดูหนัง หาของอร่อยกิน ชวนเพื่อนไปเที่ยว ชวนคุยเรื่องอื่น ลืมเรื่องทุกข์ไปชั่วคราวก่อน บางทีก็เบาบางได้เอง ที่สำคัญถ้ามีเพื่อนดี จะเบาบางไปได้มากที่สุด ที่ไม่ควรทำคือดื่มสุรา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ควรหันไปดื่มเหล้าเบียร์ เพราะการกินเหล้าก็ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีข้อเสียกว่าคือ จะยิ่งโกรธง่าย น้อยใจง่ายและโมโหง่ายกว่าเดิม และไม่มีสติยับยั้งความโกรธ หรืออารมณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ได้ ใจจะเข็มแข็งมากพอที่จะแก้ในขั้นต่อไป

    ขั้นต่อไปคือพยายามตั้งใจใช้สติคิดว่าจะแก้ได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล สายไปแค่ไหนแล้วและแก้ได้หรือไม่ ทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไม่ได้ ขั้นสุดท้ายคือ ทำให้ใจของเรายอมรับสิ่งนั้นให้ ได้ ใจของเราจะยอมรับได้ คิดได้ ปลงตกได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ

    ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนว่า โดยสรุปรวมในธรรมะของพระพุทธเจ้า อาจสรุปเป็นแบบหนึ่งได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ได้ดั่งใจเรา มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยเหตุและปัจจัย จึงไม่สมควรที่จะไปหลงยึดมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา สิ่งทั้งหลายไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รวยเพียงใด อำนาจล้นฟ้าขนาดไหน ต่างก็มีความทุกข์ประจำตัวประจำอยู่ทุกคนทั้งสิ้น

    เมื่อคนคนหนึ่งประสพอุบัติเหตุขาขาดสองข้าง เขาจะรู้สึกอยากตายไม่อยากอยู่ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แต่ผ่านไปสักสองปี ไปดูอีกทีกำลังหัวเราะอยู่เพราะดูละคร ส่วนเรื่องขาขาดก็นั่งรถเข็นเอา และก็ชินเสียแล้ว ไม่เสียใจมากเหมือนตอนขาขาดใหม่ๆ บางคนแฟนตายไปเสียใจแทบตายตาม ผ่านไป 3 ปี มีแฟนใหม่แล้ว มีความสุขดีมากเลย ความทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยงเสมอ เช่นเดียวกับความสุข เพียงแต่ว่าตอนทุกข์ ให้ผ่านวันเวลาไปได้ ไม่ด่วนตายไปเสียก่อน เมื่อทุกข์ผ่านไป จะมีสิ่งดีๆ ตามมาได้แน่นอน

    และเมื่อมองย้อนไป ความทุกข์เหล่านั้นมันก็เท่านั้นเอง เมื่อเราอ่านมาถึงตอนนี้ ก็ขอให้ลองใช้เวลานี้ นึกถึงอดีตที่มีทั้งทุกข์และสุขของเราดู อดีตนั่นแหละที่จะสอนตัวเราในความจริงแห่งธรรมะ ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ แต่สอนว่าเมื่อเราพิจารณาได้เอง ว่านี้เป็นสิ่งดีหรือไม่ดีแก่จิตใจจึงค่อยเชื่อ การจะพิจารณาได้อย่างนั้น จะต้องมีประสบการณ์ในความรู้สึก แบบนั้นในอดีตมาก่อน อดีตจึงเป็นธรรมะที่สอนใจได้เป็นอย่างดี

    ทุกข์ที่สุดจะเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นที่สุด สิ่งใดที่เรารักมากยึดมากว่าเป็นตัวเราหรือของเรา สิ่งนั้นถ้าขาดหายไปจะทำให้ทุกข์ถึงที่สุด ถ้าเรารักความสวยงาม เมื่อเสียโฉมจะทุกข์ที่สุด ถ้าเรารักสามีหรือภรรยา เมื่อเขานอกใจ หรือเสียเขาไปจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักลูก ลูกหายหรือพิการหรือตายจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักยศถาบรรดาศักดิ์เมื่อสูญเสียจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักตนเอง เมื่อทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ หรือโรคที่รักษาไม่หายก็จะทุกข์ที่สุด

    แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนั้นเลย ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์กับลูก ไม่มีแฟนก็ไม่มีทุกข์จากแฟน ไม่มีทรัพย์สิน ก็ไม่ทุกข์กับทรัพย์สิน หรือถ้าเรามีแต่ทำใจไว้เสมือนไม่มี หรือทำใจไว้ว่าของที่มีมันไม่เที่ยงย่อมแปรปรวนไป ก็จะทุกข์น้อยลง ยิ่งยึดมั่นได้น้อยลงเท่าไรก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเป็นสัดส่วนไป เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่ทุกข์เลย หมายความว่าไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้อีกเลย แต่ความเจ็บปวดยังมีตราบเท่าที่มีสังขารร่างกายอยู่ เพียงแต่ความทุกข์กายอันนั้น จะไม่สามารถมากินใจให้ทุกข์ใจได้เลย

    ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคิดจะทำความดี เพราะธรรมชาติของเราจะหลงลืมและเพลินในสุข ซึ่งความสุขส่วนมากที่เราชอบ มักจะตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงทั้งสิ้น พระพุทธองค์เห็นข้อนี้จึงสละทุกสิ่งออกบวชแสวงหาธรรมะ แต่อย่างเราๆ มักจะไม่คิดเรื่องนี้จนกว่าจะทุกข์ เสียก่อน เราจึงพบว่าคนจำนวนมาก ได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งดีๆ แก่ตนและผู้อื่นเพราะประสพกับความทุกข์มาแล้ว ดังนั้นเมื่อมีทุกข์นั่นคือเราได้อยู่ใกล้ธรรมะแล้ว ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็มักจะมีสิ่งดีโอกาสดี และเราเองก็จะดำรงอยู่ในความดีมากขึ้น ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่โลกเช่นนี้มาตลอด

    เมื่อเราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์ อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข ใช้ความดีเอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา และเราก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน





    ขอขอบคุณเจ้าของ คุณหมอจักรแก้ว กัลยาณมิตร
     
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ใช้ธรรมยั้งความโกรธ
    แปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ :

    เป็นคนพยายามสำนึกไว้ว่าพยายามดีเข้าไว้ อย่าได้ทำผิดอีก อย่าผิดซ้ำผิดซาก หากรู้ว่าทำไม่ดีแล้วทำไมยังทำ หากรู้ว่าทำแล้วจะได้ดีเป็นคนดี ทำไมไม่ทำ ทำไมเรายอมเป็นคนไม่ดี เพราะว่าคนนั้นว่าเราเราเลยยอมทิ้งความดีเป็นคนเลวเลย ยอมเอาความดีของเราไปทิ้งกับคนที่เรารับไม่ได้ ยอมเอาความอดทน ความให้อภัยไปทิ้งกับคนที่ทำให้เราโกรธ คุ้มหรือ ที่ยอมเอาสิ่งดีๆ ในใจของเรานั้นไปทิ้ง แล้วได้ความโกรธมา บางครั้งเราโกรธคนนี้แทบเป็นแทบตาย ไม่ต้องดีแล้วดีไปทำไม ไม่ต้องอดทนแล้วอดทนไปทำไม ทำไมเรายอมทิ้งสิ่งที่ดีในตัวเรากับคนที่ไม่ดีแบบนั้นเล่า หากเราคิดกลับกัน จะทิ้งไปทำไมล่ะกับคนไม่ดีอย่างนี้ เราอดทนไว้ เราอภัยไว้ เราจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งที่ดีให้กับคนที่ไม่ดี ใช่ไหม
    อยู่ในโลกต้องอยู่ด้วยความระมัดระวัง สุขุม รอบคอบ แต่คนส่วนใหญ่นั้น เหมือนเจอน้ำวิ่งลงน้ำ เจอไฟก็ท้าไฟ ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้เพราะเวลามีเรื่องโกรธ เราก็จะโกรธทันที ไม่เคยคิดว่าโกรธแล้วจะมีผลอย่างไร เหมือนเวลาเจอน้ำก็วิ่งลงหาน้ำ โดยไม่คำนึงว่าตัวเองว่ายน้ำเป็นไหม น้ำนี้ลึกตึ้นแค่ไหน เวลาเจอไฟก็ลองเสี่ยงท้าไฟได้สำเร็จดูก่อนหรือเปล่าว่า เราควรที่จะอยากหรือเปล่า เราเหมาะที่จะรักไหมเราไม่เคยสำรวจ เราไม่เคยมองดูตัวเรา ดูเขา แล้วก็ดูเหตุการณ์ เราเจออะไร เราวิ่งชนอันนั้น ใจเราคิดอยากทำอะไร เราพุ่งไปตรงนั้น ถูกหรือไม่ แต่การศึกษาหลักธรรมนั้นสวนกัน เมื่อเราเจออะไร อยากอะไรให้หยุดมองตัวเองก่อน มีใจพอไหม มีความต้องการจริงหรือในสิ่งที่อยากจะเอา เมื่อได้มาแล้วเหมาะสมหรือเปล่า ทำให้ลำบากหรือไม่ นี่คือคนที่รู้จักใช้ธรรมเป็นไม่ใช่เจอน้ำก็ลงว่ายน้ำทั้งที่ไม่เป็นเจอไฟก็ลุยไฟอย่าเอาแต่ใจร้อน ต้องรู้จักใจเย็นและสุขุม ถึงเวลาจริงๆ เราคิดทันไหมไม่ทันใช่หรือไม่ เพราะอะไรจึงไม่ทัน เพราะขาดสติหรือ เพราะว่าเราไม่ค่อยคิดถึงธรรมจริงไหม
    นอกจากจะรู้ใจของตนแล้ว ต้องรู้จักนิสัยของใจด้วย นิสัยใจคนเป็นอย่างไร อยากรู้ไหม นิสัยใจของคนง่ายๆ เมื่อจับจะอยู่ เมื่อปล่อยจะหลุด เหมือนมือเมื่อจับจะอยู่ เมื่อปล่อยจะหลุด เวลาจะเข้าจะออกไม่มีเวลาจะไปไหนไม่รู้ทาง นี่คือใจของคนใช่หรือไม่ ถ้าเราหมั่นจับอะไรสิ่งนั้นย่อมอยู่กับตัวเรา แต่ถ้าเราไม่เคยจับเลยจะอยู่ไหม เวลาเราเข้าเราออก เคยสังเกตตอนเข้าตอนออกไหม เวลาใจเราอยากไปไหน เรารู้หรือเปล่า บางครั้งไปยังไงไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้ว่าต้องไป เพราะอะไรล่ะ นี่แหละนิสัยของใจ เมื่อเราไม่รู้จักนิสัยของใจ แล้วกายเราจะรู้จักไหมว่าเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้อีก แต่ก็ยังออกไป ไปไหนไม่รู้ไปทำไมไม่รู้ เราจะรู้จักใจให้ดีขึ้นโดยใช้ สติ โดยใช้ ธรรม ถ้ารู้จักใช้สติใช้ธรรมบ่อยๆ แม้วันนี้ไม่จับ แต่หากนับเข้าบ่อยๆ ไม่อยากให้อยู่ก็อยู่ เมื่ออยากจะปล่อยก็อยู่
    ท่านว่าการเป็นคนดี การฝึกฝนบำเพ็ญธรรม เป็นผู้มีธรรม เป็นเรื่องยากไหม คงไม่ยากนักใช่หรือไม่ แต่เรามักจะได้ยินว่า มนุษย์เรานั้นเกลียดคนที่ไม่ดี ชิงชังคนที่ชั่วช้าสามานย์ แต่ใจของเราก็ยังฝืนทำไม่ดีในบางครั้ง แล้วอะไรล่ะเป็นเหตุให้เรายังทำไม่ดี ยังไม่สามารถทำดีได้ตลอดเวลา (เพราะยังตัดกิเลสไม่ได้ เพราะยังไม่มีธรรมที่มั่นคง)ปรบมือให้เขาหน่อยนะ เพราะบางครั้งยังตัดใจไม่ได้ ใช่หรือไม่ บางทีมีสติรู้ตัวแล้ว อย่าโกรธ อย่าโลภเลยไม่ดี เสื้อมีหลายตัวแล้วอย่าซื้ออีกเลยแต่ก็ยังซื้ออยู่วันยังค่ำ ทั้งๆ ที่มีเต็มตู้แล้วใช่หรือเปล่า ฉะนั้น เราจะต้องพยายามขมใจให้ใด้ เพราะคนที่รู้จักข่มรู้จักระงับ จะเป็นผู้ที่ก้าวล้ำและอยู่เหนือคนได้ และจะเป็นคนที่ไม่ปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้นเป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาด ท่านจะเป็นคนไม่โกรธ เลยได้ไหม ถ้าหากเห็นเขาทำผิด แต่ความโกรธนั้นจะเป็นความโกรธที่ไม่ใช้อารมณ์ โกรธรู้จักใช้เหตุผล และรู้จักชี้นำโน้มนำเขา ท่านจะไม่มีความรักเลยได้หรือ คนเราจะต้องมีความรักความเมตตาต่อผู้คน แต่รักอย่างเท่าเทียมกัน และเป็นรักที่มีเหตุผล ท่านมีความอยากหรือเปล่าไม่อยากเลยได้ไหม ท่านยังต้องอยากกิน ไม่อยากกินไม่ได้ เพราะถือเป็นการทำร้ายตัวเอง ถูกหรือไม่ ท่านพอเข้าใจธรรมที่เราพูดบ้างไหมแล้วพอรู้ไหมว่าชีวิตนี้ทำไมต้องมีธรรม พอเข้าใจไหม ทำไมต้องมีธรรมเพราะว่าจะได้ไม่เป็นคนเจอน้ำก็ลุยน้ำแบบไม่ยั้งคิด เจอไฟก็ชนไฟเป็นคนที่รู้จักเอาธรรมมาใช้ และเรียกร้องธรรมในตัวตนให้มีอยู่ในใจเสมอ เมื่อไรที่เรารู้จักเรียก เมื่อไรที่เรารู้จักใช้ ธรรมนั้นก็จะอยู่ที่ใจไม่ห่างหายไปไหน อย่างที่เราบอก นิสัยของใจก็คือ หากจับก็อยู่ หากทิ้งก็หลุด เข้าออกไม่แน่นอน ไปไหนไม่รู้ทิศทาง เมื่อท่านรู้จักใจและกายของตนเอง แล้วเดินเหินย่อมสามารถรอดปลอดภัย
     
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ..จิตเสื่อม จิตตกต่ำ..
    เพลง ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม - YouTube

    เรื่องการทะเลาะ กันเป็นเรื่องปกติของคนรักกัน

    --------------------------------------------------------------------------------






    เพราะแต่ละคนต่างมาจากคนละที่นิสัยส่วนตัวก็ย่อมจะต่างกันและแน่นอน



    เรื่อง หรือปัญหาบางอย่าง ก็นำมาซึ่งการทะเลาะ

    แต่จะเตรียมรับมืออย่างไรที่เปลี่ยนการทะเลาะมาพูดกันด้วยเหตุผล มาเตรียมพร้อมกันเถอะ....






    1. อย่าโยนความผิด : เป็น ไปไม่ได้ที่จะเป็นความผิดของ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 100% ดังนั้นให้ยอมรับว่าคุณมีส่วนในปัญหานี้ และอธิบายว่าการกระทำของอีกฝ่ายทำให้คุณรู้สึกอย่างไร





    2. ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ : อย่าอาละวาด เหมือนเด็กดื้อรั้น และอย่ายอมกับก้มหัวงก ๆ หรือทำตัวโหดร้าย เพราะจะทำให้สิ่งที่คุณพูดไม่มีน้ำหนัก

    3. อย่าเริ่มด้วยการเอาชนะ : ถ้าคุณเป็นคู่รักก็ต้องร่วมกันแก้ปัญหา ไม่ใช่คิดจะเอาชนะ

    4. พยายามเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย : ลองเอาใจ เขามาใส่ใจคุณและบอกเขาว่าคุณกำลังพยายามทำความเข้าใจเขา







    5. เน้นปัญหาตรงหน้าเท่านั้น : อย่ารื้อฟื้นทุกเรื่องที่คุณหงุดหงิดในช่วง สองสามเดือนก่อนมาคุยรวมในครั้งนี้ ให้หาเวลาอื่นพูดถึงปัญหาอื่นจะดีกว่า

    6. ฟังอีกฝ่ายพูด : อย่าพูดหรือตะโกน ใส่เขาตอนที่เขากำลังพูด การทะเลาะคือการที่สองฝ่ายหาเหตุผลมาแย้งกัน ดังนั้นต้องให้โอกาสอีกฝ่ายพูด จากนั้นให้ทำความเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เขาพูดมา

    7. รู้ว่าควรยุติเมื่อไหร่ : อย่าพร่ำพูดเรื่องนี้นานหลายชั่วโมง ทั้งที่ได้พูดทุกอย่างไปหมดแล้ว เมื่อคุณสงบอารมณ์สักสองวัน ก็อาจพบว่าทุกอย่างคลี่คลายแล้ว

    8. อย่าตะโกน : เพราะสิ่งที่เขาได้ ยินคือเสียงของคุณจนไม่ได้ตั้งใจฟังสิ่งที่คุณกำลังพูด อีกอย่างเวลาคุณแผดเสียง คุณจะพูดชัดน้อยลง

    9. อย่าหาเรื่องทะเลาะ : ถ้า คุณมีปัญหาจากที่ทำงานหรือหงุดหงิดกับเด็ก ๆ อย่าระบายอารมณ์ใส่เขา บอกเขาอย่างสงบว่า คุณรู้สึกอย่างไรแทนที่จะหาเรื่องว่าใครลืมเทขยะ

    10. หัวเราะเข้าไว้ : อารมณ์ ขัน สามารถทำให้สถานการณ์แทบทุกรูปแบบสงบลง


    แต่อย่าใช้อารมณ์ขันขณะที่อีกฝ่ายกำลังระบายความในใจ ควรเลือกจังหวะที่จะใช้เสียงหัวเราะผ่อนคลายความตึงเครียด

    แต่อย่างไรก็ตามถ้าเป็นไปได้ก็คุยกันดีๆ ด้วยเหตุและผลจะดีกว่าการทะเลาะกัน....ทะเลาะกันไปก็จะยิ่งทำให้ไม่ เข้าใจกันบั่นทอนสภาพจิตใจ






    คิดถึงเรื่องดีๆ ในตอนที่รักกันไว้เยอะๆ จะได้ทำใหคุณเข้าใจกันมากขึ้น
    __________________
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง
    สังฆังนิพพานะปัจจโยโหตุ

    ...จิตที่เสื่อมจากคุณธรรม จิตที่ตกต่ำจากความโล่งโปร่งเบา

    ย่อมทำร้ายตัวเอง ด้วยการจมอยู่ในอารมณ์อกุศลต่างๆ


    ไม่ว่าจะเป็น โกรธ แค้น อิจฉา ริษยา หมั่นไส้ คิดร้าย ฯ



    ................
    __________________
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง
    สังฆังนิพพานะปัจจโยโหตุ

    ความแตกต่างสร้างรอยร้าวทีละนิด
    เพราะต่างจิตต่างฐานการศึกษา
    คุณธรรมศีลธรรมต่างกันมา
    จึงก่อเกิดปัญหาในเบื้องปลาย
    บางครั้งคราปัญหาง่ายแก้ไข
    เพียงตั้งใจแก้ความคิดให้ขยาย
    ยอมรับความเป็นผู้อื่นที่รอบกาย
    สงบความวุ่นวายได้ง่ายพลัน


    บางครั้งคราปัญหาง่ายแก้ไข
    กำกับใจด้วยสติไม่หุนหัน
    ยอมรับกรรมวิบากที่ตามทัน
    ยอมรับผลที่ตนนั้นได้ทำมา
    บางครั้งคราปัญหายากแก้ไข
    เพราะเกิดถี่บ่อยไปในปัญหา
    คู่กรณีมีนิสัยน่าระอา
    เหมือนไร้การพัฒนาในชีวี
    บางครั้งคราปัญหาง่ายกลายเป็นยาก
    เพราะไร้รากความอดทนบนวิถี
    เหมือนหยดน้ำที่ล้นแก้วพอดี
    จึงมากมีปมต่อเนื่องเรื่องขุ่นใจ
    บางครั้งคราปัญหาพาหงุดหงิด
    เพราะไปคิดข้อบกพร่องต้องแก้ไข
    ของผู้อื่นนอกจากตนอยู่ร่ำไป
    ไม่พิจารณาข้อด้อยในชีวิตตน
    บางครั้งคราปัญหาพาขยาย
    เดาเสียจนวุ่นวายและสับสน
    เที่ยวจับแพะกับแกะต้อนเข้าชน
    ไม่รู้ตนคือตัวการของเรื่องราว
    ทุกครั้งคราที่ปัญหาปรากฏชัด
    พึงขจัดตัวตนเข้าสืบสาว
    รู้กระทบวิบากที่พร่างพราว
    รู้กระทำแต่ละก้าวให้เป็นบุญ
    ทุกครั้งคราที่ปัญหาปรากฏโฉม
    ไม่ถาโถมกิเลสเข้าอุดหนุน
    ทุกปัญหาจะแก้ง่ายไม่ขาดทุน
    สงบจิตคบคุ้นวิเวกใจ

    __________________
     
  15. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ถ้ามีคนมาด่า + แหนบเราไม่หยุดสักที จะใช้หลักธรรมข้อไหนระงับความโกรธได้
    คือโมโหมาก เพราะเค้าไม่หยุดสักทีนึง เลยอยากจะปรึกษาค่ะว่า มีหลักธรรมข้อไหนที่สามารถระงับความโกรธได้ ไม่อยากจะเถียงด้วย เพราะรำคาญมากเต็มทน แล้วก็คิดว่เถียงกับมนุษย์พวกนี้แล้วไม่มีอะไรดีขึ้นเลย โมโหจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ช่วยหนูด้วยนะคะ

    ..............................................................
    โปรดจำ พุทธศาสนาสุภาษิต นี้ไว้นะครับ แล้วจะรู้สึกดีขึ้น

    นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต ผู้ไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก

    ไม่มีคุณคนเดียวหรอกครับที่ถูกนินทาหรือถูกด่า
    ลองสังเกตดีๆ ทุกๆคนรอบข้างก็เคยถูกนินทามาแล้วเหมือนกัน

    หรือไม่ก็ลองศึกษาธรรมะดูครับแล้วก็จะเห็นว่า พระพุทธเจ้า ของพวกเรานั้นท่านเองก็เคยถูกนินทามาเหมือนกัน

    ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยครับ เป็นเรื่องธรรมดาครับ

    ให้คิดเสียว่ามันคือ โลกธรรม 8 ครับ
    สุข ทุกข์
    นินทา สรรญเสริญ
    มีลาภ เสื่อมลาภ
    มียศ เสื่อมยศ
    ครับ

    ธรรมรักษาครับ



    ธรรมรักษา 15 ก.ค. 2551 23:59 น. โพสต์: 9 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 1

    วิธีอยู่กับคนที่เราไม่ชอบ ...จากท่าน…ว.วชิรเมธี

    รู้ไหมว่า...เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี
    ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก
    จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
    ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ
    อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
    หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้
    ริษยาเจ้านาย ใส่ไคล้ลูกน้อง
    ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)
    คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่า
    อะไร คือ สิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
    คิดดูเถิดว่าเราจะขาดทุนขนาดไหน
    ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า
    “น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง
    ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
    ฆ่าชีวา คือ พร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด”
    คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
    ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
    เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส
    กิเลสก็พาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
    กิเลสไม่เคยเหนื่อย
    แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า
    ควรคิดเสียใหม่ว่าเราไม่ได้เกิดมา
    เพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร
    หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง
    แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้
    เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
    เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น
    หันกลับมามองตัวเองดีกว่า
    ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร
    มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
    นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
    เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
    คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
    ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
    จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้
    เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น
    ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
    บางที คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
    เขาไม่เคยรู้สึกอะไร ไปด้วยกันกับเราเลย
    เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียว
    ด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
    วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้
    ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
    ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า
    คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม
    หรือเลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก

    **เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี
    ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
    มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม
    อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
    ความโกรธความเกลียดนั้น ละวางบ้างก็ดี**




    ธรรมรักษา 16 ก.ค. 2551 00:14 น. โพสต์: 9 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 2

    เรานะใช้แบบนี้ เราทำใจเฉย ๆ ก่อนอย่าเพิ่งไปโต้ตอบอะไรมาก พอให้เราตั้งสติได้ บอกไปเลยมาด่ากันตรง ๆ เลยมะอยากด่าอะไรว่าอะไรว่ากันซะให้หมดใจเลย จะได้ไม่ติดค้างใจต่อกัน นั่งให้ด่าเดี๋ยวนั้นเลย ให้เขาด่าว่าให้สบายใจเขาเลย ไม่นานหรอกเดี่ยวก็เป็นมิตรกัน เชื่อซิ แล้วใช้หลักธรรมชาติแบบนี้ตัวเองสอนใจตัวเองนะ วิบากใดที่เราได้รับ ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข นั่นคือเราได้สร้างมาก่อนแล้ว ยอมรับซะเถอะ ถ้าคิดย้อนไปว่าเราไม่เคยทำใครมาก่อนในชาตินี้ ก็คิดว่าเมื่อชาติก่อน ๆ โน้น เราเคยทำเขานะซิ แค่นี้เราจะวางมันได้ทันที เชื่อหรือไม่เชื่อลองปฏิบัติดูนะ มาด่ามาว่ามาโกรธ มาทำร้ายกันซะเราจะได้ชดใช้ให้หมดกันไปแล้วเราก็จะสบ๊าย สบาย เบ๊า เบาตัว ให้ข้อคิดนิดนึง คำด่าอยู่ที่ปากเขา มันลอยมาในอากาศผ่าน อากาศมาตั้งไกล เราเอาหูเราไปรับทำไม มันเป็นแค่เสียงเท่านั้นเอง แต่จิตเราไปปรุงแต่งทั้งสิ้นก็เลยต้องโกรธตอบไงละ



    - 16 ก.ค. 2551 09:49 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 3

    ทุกขสมุทยอริยสัจ ทุกข์เกิด ที่ใด เกิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกข์ดับที่ใด ก็ดับที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    .................................

    เสียง เป็นอายตนภายนอก กระทบกับหู ซึ้งเป็นอายตนภายใน

    โลภ โกธร หลง เป็นอายตนภายนอก กระทบกับใจ ซึ้งเป็นอายตนภายใน

    ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ จึงทุกข์





    16 ก.ค. 2551 20:07 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 4

    วิธีที่ 1. แก้ที่เหตุ ปรับความเข้าใจกันถ้าเราเป็นฝ่ายผิดก็ขอโทษเขา....ถ้าเขาผิดต่อเราก็ให้อภัยเขาไปเพราะเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร......

    วิธีที่ 2. การที่ผูถูกด่ารู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนทุรนทุรายมากเท่าไร ยิ่งเป็นที่ชอบใจของผู้ด่าเพราะนั่นเท่ากับว่าการด่าของเขาสัมฤทธิ์ผล ในเมื่อเราไม่ได้เป็นในสิ่งที่เขาด่าก็ไม่ต้องเอามาเป็นอารมณ์ พระพุทธองค์ทรงเปรียบผู้ด่าเป็นเจ้าของบ้านผู้ถูกด่าเป็นแขกมาเยือน ผู้เป็นเจ้าของบ้านนำน้ำอาหารมาต้อนรับ(คำด่า)แต่แขกผู้มาเยือนไม่รับ เพราะฉนั้นน้ำและอาหารนั้นจะเป็นของใคร คำตอบ:น้ำอาหารมา(คำด่า)นั้นก็ยังคงเป็นของเจ้าบ้าน(ผู้ด่า) การที่ผู้ถูกด่าไม่แสดงปฏิกริยาต่อคำด่าก็ยิ่งทำให้ผู้ด่าเร่าร้อน ถูกเผาด้วยไฟโทสะของตนเอง

    วิธีที่ 3. ให้แผ่เมตตา ถ้าคุณผู้ถูกด่าเป็นผู้มีศีลมีคุณธรรมสูงก็ยิ่งเป็นบาปมากสำหรับผู้ด่า จึงสมควรสงสารเขามากกว่าที่จะโกรธตอบ พระพุทธองค์ทรงสอนว่าผู้ที่โกรธตอบย่อมเลวกว่าผู้โกรธก่อนเพราะผู้ที่โกรธก่อนเขาจุดไฟโทสะของเขาขึ้นกองเดียว แต่ผู้โกรธตอบเป็นผู้ทำให้ไฟโทสะเจริญขึ้นทั้งสองฝ่าย

    วิธีที่ 4. จงเลือกเสพแต่อามรมณ์ที่ดี อารมณ์ที่ไม่ดีก็กองไว้ตรงนั้นไม่ต้องใส่ใจ ไม่ได้ให้สะบัดสะบิ้งเดินหนี เมื่อจะต้องได้ยินก็ให้ทิ้งไว้ตรงนั้นเหมือนลมที่พัดผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ต้องเก็บมาคิด(ถ้าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิด)ไม่ต้องเอากลับไปฝากคนที่บ้าน









    /_/l\_ 16 ก.ค. 2551 21:25 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 5

    ทุกข์เกิดที่ใจ สูขก็เกิดที่ใจ
    ถ้าคิดว่าเขาด่าเรามันก็ทุกข์ ถ้าคิดว่าเขาไม่ได้ด่าเรามันก็สูข
    แค่นี้เอง อนุบาลธรรม1/5



    รุ่งอรุณ 16 ก.ค. 2551 22:45 น. โพสต์: 30 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 6

    ปากไม่พูดจิตไม่คิดคนโง่เอาจิตไว้ที่ปากคนฉลาดเอาจิตไว้ที่ใจเขาร้ายมาอย่าร้ายตอบเขาไม่ดีมาจงใช้ความดีเข้าแก้ไข
    เขาด่าเราอย่าเอาหูไปรับเดี๋ยวก็กลับไปหาเขาเอง
    ปากเขาเรื่องอะไรเอาหูเราไปรับ
    คนด่าเราเป็นบาป
    เราโดนด่าเป็นบุญ
    เราอย่าไปโกรธตอบคนโกรธตอบเป็นบาปมากกว่าคนด่า
    คนด่าบาป50%
    เราโกรธแล้วด่าตอบเราบาป100%



    เปิ้ล BORLAND 17 ก.ค. 2551 04:35 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 7

    กุศลจิต อกุศลจิต เกิดเพราะ-เสียง-หู-ฟัง-ได้ยิน-จำได้

    เวลาเราได้ยินเสียงนกที่ร้องเพราะ หรือเสียงพี่เบิร์ดที่ร้องเพลงอันแสนเพราะ หรือ รายการธรรมะdelivery ที่มีพระสอนธรรมะดีๆ หรือ มีใครมาพูดดีๆเพราะๆกับเรา เราฟังแล้วมีความสุข มีอารมณ์ดี ชื่นบาน บันเทิงใจ- เป็นความโสมนัสสุขใจจากการได้ยิน มีกุศลจิต คือคิดดีเกิด

    ตรงกันข้าม
    ถ้าเราได้ยินเสียงสุนัขเห่าแบบน่าลำคาญ หรือเสียงคนเขาทะเลาะกัน เสียงคนเขาตั้งใจด่าว่าเราแรงๆ เสียๆหายๆ เราฟังแล้ว ใจสั่นใจเต้น โกรธ หน้าตึง อารมณ์ขึ้น เป็นความโทมนัสทุกใจ เกิดเพราะได้ยิน เสียง จำได้ถึงเสียงที่เราไม่พึงประสงค์ มีอกุศลจิตเกิด คือเกิดความโกรธเกิดขึ้น

    แต่ถ้าเราใส่ในตัวเราของเสียงเหล่าที่เป็นกุศลให้มากๆไว้ เสียงอันอกุศลเราก็จะไม่ได้ยิน
    เป็นกฎของการแทนที่ เป้นต้นว่าเสียงหมาเห่าดังมา ถ้าเราไปสนใจมัน มันก็จะดังขึ้น แต่ถ้าเราไปเปิดเพลงเพราะฟังแทน เราอาจจะเกือบไม่ได้ยินเสียงหมาอีกเลย..

    สรุปว่าหลีกต้นเหตุของเสียงทำให้เราโกรธ ให้ไกล อย่าให้โอกาสเขาพูดให้เราได้ยิน รีบคุยกับคนอื่นที่ถูกโฉลกกับเราแทน ถ้าหลีกไม่พ้น ให้พูดเพราะๆตัดบทสนทนาเขา เช่นว่า "แหมวันนี้คุณแต่งตัวดีนะ" อะไรทำนองนี้ คือต้องคุมเกมส์เขา จูงบทสนทนาไปเรื่องอื่น จนเขาลืมเรื่องที่จะมาว่าเรา แล้วสบโอกาสก็รีบ ตีจากหนีไปให้ไกล ไปหาแต่คนที่พูดกับเราดีๆเท่านั้น..




    สาริกา 17 ก.ค. 2551 15:43 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 8

    ขอบคุณมากเลยค่ะ เข้ามาอ่านแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย แล้วถ้าเราเฉยแล้ว เค้ายังไม่หยุด แถมเอาเราไปประจานด่าที่อื่นอีก จะทำยังไงดีคะ



    อาโกลาเก๊ะ 17 ก.ค. 2551 17:36 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 9







    chama 17 ก.ค. 2551 19:10 น. โพสต์: 8 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 10

    คุณอาโกลาเก๊ะ คุณคงไปห้ามการกระทำของเขาให้เขาหยุดไม่ได้หรอกค่ะ
    แต่คุณสามารถห้ามใจคุณให้หยุดการมี มิจฉาทิฐิ ได้ค่ะ
    กัลยาณมิตรหลายๆท่านแนะนำมาหลายความคิดเห็นที่เป็น สัมมาทิฐิ พอสมควรแล้ว
    เมื่อเขาไม่หยุดก็ปล่อยเขา แต่เราหยุดฟัง หยุดสนใจได้ ใจเราสงบค่ะ
    ดิฉันได้อ่านบทความธรรมะมาบทนึงของนำมาพอสังเขปเท่าที่พอจะจำได้นะคะ
    เพราะได้อ่านผ่านมานานแล้วค่ะแต่มีข้อคิดที่ดีมากเลย
    ให้คุณพิจารณาประกอบนะคะ
    มีเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ท่านถามพระลูกวัดรูปหนึ่งว่า
    * เมื่อคืนนี้ท่านจำวัดหลับดีไหม?
    พระลูกวัดตอบว่า- กระผมจำวัดนอนไม่หลับเลยครับ
    ท่านเจ้าอาวาสจึงถามว่า*อ๊าว...ทำไมล่ะ?
    พระลูกวัดตอบว่า- หมามันเห่าทั้งคืน กระผมจึงนอนไม่หลับครับ
    ท่านเจ้าอาวาสท่านจึงกล่าวว่า* อ๊าว...หมามันเห่าก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับคุณนอนไม่หลับเลย มันเห่าเรื่องของมัน ปากกับหูหมามันอยู่ใกล้กันมันยังไม่เดือดร้อน แต่ณจำวัดอยู่ในกุฏิห่างไกลกัน มากกว่าหูของมันเสียอีก
    แล้วคุณจะไปยึดติดกับสียงเห่าของมันจนนอนไม่หลับ
    สาเหตุมันอยู่ที่ตัวเราเองไปยึดติดกับเสียงเห่าของมัน

    เช่นเดียวกับกรณีของคุณ ดิฉันเองเคยโดนมาอย่างหนักหนาสาหัส
    ( ถ้ายึดถือแบบทางโลก คงมีคดีความกันไป)
    แต่ดิฉันนำพระธรรมส่องทางให้กับชีวิต เขาอยากด่า อยากว่าอะไรก็เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับเรา เห็นก็แค่เห็น ได้ยินก็แค่ได้ยิน
    เขาไม่เหนื่อยก็ปล่อยเขา ปากของเขา สักวันนึงเขาก็ต้องหยุดไปเอง
    เราอยู่เฉยๆไม่เหนื่อยอะไรเลย ทำจิตของเราให้สงบไม่หวั่นไหว
    คำพูดที่เป็นเพียงลมปาก
    ทีหูเราได้ยินคำชม สรรเสิญจากคนอื่นทำไมทนฟังได้ล่ะคะ?
    แต่มาเจอกรณีตรงกันข้ามกลับทนรับฟังไม่ได้
    เรานำคำพูดเขามาปรุงแต่งอารมณ์ให้ตนเองแท้ๆ
    เหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ตัวคุณเองค่ะ ลองปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ดูนะคะ
    คนเราจะมานั่งด่า นั่งว่าผู้อื่นอยู่ทั้งวน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี หรือทั้งชีวิตอยู่ฝ่ายเดียว
    โดยคุณไม่มีความรู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่เขากระทำ
    เขาคงไม่นั่งโบกมือพัดเตาอั้งโล่ ที่ไร้ถ่าน ไร้เชื้อเพลิงหรอกค่ะ
    เพราะพัดเท่าไหร่ ไฟมันก็ไม่มีวันติดขึ้นมาในเตาอั้งโล่ ปล่าวๆได้ค่ะ จริงไหมคะ?
    สัจจะ คือ ความเป็นจริง
    มองให้เห็นความจริงของ สัจจะธรรมนะคะ
    ขอให้มีดวงตาที่เห็นธรรมค่ะ เจริญในธรรมค่ะ




    เพื่อนคนนึง 18 ก.ค. 2551 13:46 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 11

    อย่ายึดตัวตนถ้าไม่มีตัวเราแล้วจะโกรธทำไม อยากด่าว่าก็เราไม่รับเสีย ควรจะมองว่าเขาคงไม่ปกติ เฉยเสีย คิดในใจเสียว่าเราทำบุญเขาด่าว่าเราๆให้ทานไปก็จบ



    นานา(คนรักวัด) 18 ก.ค. 2551 21:27 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 12

    ธรรมะ คือธรรมชาติ สิ่งที่รอบตัวเรานั่นก็เป็นธรรมะ ในเรื่องของความโกรธ ในกรณีนี้นั้น อยากให้ถือว่า คนที่ด่าว่ากล่าวเหน็บแนม นั้นเป็น ครู ที่มาทดสอบจิตเรา
    ถ้าเรายังโกรธอยู่ ยังปล่อยวางไม่ได้แสดงว่าวรยุทธ(จิต)ของเรายังไม่ดีพอ ต้องไปฝึกวรยุทธ(จิต)อีก ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่จิต เราต้องรู้จักปลอยวางนะคับ จะว่านำหลักธรรมข้อไหนมารักษานั้นเห็นว่าถ้าให้เอาขันติธรรม ฟังดูมันสุดโต่งเกินไป ต้องใช้คำว่าปลอยวางดีกว่านะคับ ถ้าอยากให้จิตของเราพัฒนาขึ้นหรือความโกรธเบาบางลง ควรหมั่นแผ่เมตตานะคับ แทบทุกลมหายจัยนะคับ
    เหนสัตว์ทุกชนิดควรเป็นมิตรกับมันภารนาให้มันเป็นสุข นะคับ





    ผู้แสวงธรรม 18 ก.ค. 2551 21:47 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 13

    หนูลองไปซ้อมด่าตัวเองในกระจก แล้วจดจำความรู้สึกและท่าทางตัวเองไว้ ซ้อมบ่อยๆ และจำสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ว่ามันเกิดอย่างไรแล้วมันอยู่นานเท่าไหร่ แล้วมันหายไปเมื่อไหร่ เมื่อเจอสถานการณ์จริงจะได้รับสถานการณ์ได้อย่างมีสติ เพราะซ้อมมาแล้วจะได้ไม่ตกใจ และเราจะได้ไม่ยึดมั่นคำด่าเขาเลย เพราะเขาก็คงด่าเรา แบบที่เราซ้อมด่าตัวเองนั่นแหละ แล้วลองสังเกตดูตอนเราด่าอีกคนในกระจก มันมีสาระอะไรบ้าง ถ้าสังเกตสภาวะธรรมดีๆ แล้วจะรู้เอง



    nutnun_k 19 ก.ค. 2551 01:32 น. โพสต์: 3 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 14

    ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณต้องถามตัวคุณเองแล้วว่าใครผิดศีลข้อที่สี่เขาหรือเราคำตอบแน่นอนคือเขาแต่ถ้าคุณเดือดร้อนหาทางแก้ตัวโดยไปพูดต่อข้อความใครผิดศีลและใครที่จะไม่มีความสงบคุณหรือเขาคำตอบก็คือคุณและก็เขาคุณถามตัวคุณเองก่อนเสมอๆว่าคุณเป็นคนดีพอที่จะวางเฉยกับสิ่งที่ไร้สาระในคำพูดของคนที่เขาเอาจิตไว้ที่ปากได้ไหมแต่ถ้าคุณวางเฉยไม่ได้ต่อให้อีกกี่คนมีคำแนะนำให้คุณก็ไม่ได้ผล เพราะนั้นคือทางที่คุณก็อยากเอาจิตไว้ที่ปากเช่นกันเรื่องมันก็มีแต่โยนกันไปโยนกันมาไม่จบสิ้นเรื่องเก่าหมดเรื่องไหม่มาและอีกกี่คนที่คุณยังต้องพบเจอพยายามวางเฉยนึกถึงศีลไว้จะช่วยให้คุณหลุดพ้นกับสิ่งที่ไร้สาระมากมายในโลกนี้นะค่ะ



    เปิ้ล BORLAND 19 ก.ค. 2551 05:54 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 15

    ขออนุญาต ไม่ใช้คำพระ เพราะเป็นหลักคิดง่ายๆ ตามสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไป
    ลองคิดว่า
    ถ้าคุณเดินจากบ้านไปป้ายรถเมล์ แล้ววันดีคืนดี หมาของบ้านข้างๆเกิดเห่ากรรโชกใส่คุณไม่หยุด คุณเอง จะรีบเดินๆให้พ้นรัศมีบ้านข้างๆนั้น หรือคุณจะยืนเห่าแข่งกับหมา
    เท่านั้นล่ะ
    ถ้าเป็นเรา เราจะรีบๆเดิน ให้พ้นๆไปซะ อย่าไปสาละวน ยืนทะเลาะหรือเห่าแข่งกับหมา หรือยืนฟ้องเจ้าของหมา
    ถ้ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เรารู้ว่าเราไม่ผิด เราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเห่า เอ้ยพูด
    เราจะกลัวอะไร ชีวิตของเรา ไม่ได้เป็นไปตามน้ำลายหรือปากใครที่พูดไม่จริง
    อย่าคิดมาก



    คนเพียงหนึ่งคน 19 ก.ค. 2551 10:56 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 16

    กัต์วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
    จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
    สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุเม ชะยะมังคะลานิ
    วิธีนี้ไงลองหาคำแปลเอาเองบอกหมดไม่ได้เพราะเป็นพระคาถา
    พระพุทธเจ้าพิชิตมาร
    โอม อมิตะพุทธ



    รุ่งอรุณ 19 ก.ค. 2551 17:02 น. โพสต์: 30 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 17

    ... เหตุบังเอิญไม่มีในโลก ทุกอย่างล้วนเกิดแต่กรรม ... แต่..

    ... อันปกติธรรมดาของบ่อน้ำที่ควรพึงรักษาไว้ให้ใสสะอาด เพื่อการบริโภคดื่มกิน ชำระล้างความสกปรก ดับร้อนให้ความเย็นใจ แก่ผู้ใช้อยู่ประมาณใด ผู้รู้พึงรักษาจิตตนไว้ให้ใสสะอาด ร่าเริงขวนขวายนำธรรมมะขึ้นต้น ด้วยพรมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา ถ่ายถอนและอภัยเสียซึ่งจิตอันรุ่มร้อนนั้น เปรียบดังผู้รู้ประโยชน์แห่งบ่อน้ำ หมั่นดูแลกำจัดวัชพืชน้ำไว้ มิให้เจริญเติบโตทำน้ำเน่าเสีย ปลูกแต่พืชให้คุณ คือกุศล มีการเจริญพรมวิหารสี่เป็นต้น ดังกระทำให้บ่อน้ำนั้นใสสะอาดน่าบริโภค ชำระล้างกายให้ใจสบาย แก่ผู้รักษาไว้ บริโภคไว้ อันมีประพฤติต่างจากผู้ไม่รู้ ไม่มีปกติยินดีในประโยชน์ของการรักษาน้ำให้ใสสะอาดยังประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง และผู้ห้อมล้อม.. กักขังไว้ซึ่งตัณหาทั้งปวง ไม่เจริญความเมตตา เพื่ออภัยเป็นการถ่ายถอนเสียซึ่งตัวตัณหา สุมไว้ให้เจริญเติบโต.. เป็นบ่อน้ำเสีย ขังแล้วแต่วัชพืชน้ำมีปกติทำน้ำเน่าเสีย เป็นแหล่งเจริญแต่สิ่งส่งกลิ่นเหม็น ไม่น่าเข้าใกล้ ผู้รู้เห็นแล้ว ควรเจริญไว้ซึ่งพรมวิหารสี่ ยังจิตใจให้ใสสะอาดดังรู้ประโยชน์แห่งบ่อน้ำ หมั่นรักษาเพื่อตนเอง และเพื่อผู้ห้อมล้อมไว้โดยประมาณนั้น บ่อน้ำใสสะอาดแล้ว เป็นที่อยู่ เป็นที่ดับร้อนให้ความสำราญแก่เหล่าสรรพสัตว์แวดล้อมฉันใด.. จิตที่ผู้รู้เจริญไว้ด้วยพรมวิหารสีแล้ว จึงเป็นที่รักของเหล่าเทพยดา และผู้ห้อมล้อมฉันนั้น..



    เหตุบังเอิญไม่มีในโลก.. 20 ก.ค. 2551 02:16 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 18

    ตอบเรื่องที่กลัวถูกประจาน : ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิดศีลผิดธรรม ไม่ต้องกลัว ถ้าเขาเอาเราไปด่าไปประจานที่อื่นทั้งๆที่สิ่งที่ด่าประจานนั้นไม่จริง เมื่อความจริงปรากฏหรือผู้ที่รู้จักเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็จะไม่เชื่อง่ายๆ คำด่าหรือประจานกริยาอาการหยาบนั้นจะย้อนกลับไปประจานผู้ที่ด่าเอง แต่คุณต้องหนักแน่นที่จะไม่ด่าตอบหรือนินทาเขามิฉนั้นตัวคุณจะเสียความน่าเชื่อถือ



    ... 20 ก.ค. 2551 04:41 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 19

    ก็เพราะว่าทำผิดไว้น่ะสิคะ ถึงได้กลัวประจาน
    ผิดก็ขอโทษ ทำไม่ดีกับคนอื่นก็แค่ขอโทษ มันจะเป็นอะไรมากมั้ยจ๊ะ ดีกว่าทุรนทุรายเป็นหมูโดนไฟปิ้งอยู่บนเตาย่างด้วย



    บอกแล้วว่าหาง่าย 30 ก.ค. 2551 18:32 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 20

    หนทางธรรมะ คือพยายามสร้างบาปเพิ่มด้วยการโกหก
    ถ้าทำไปเรื่อยๆ คนอื่นก็จะพร่ำเตือนอยู่เสมอ

    แต่ถ้าคนที่เดือดเนื้อร้อนใจ จะพาลคิดว่าตัวเองโดนด่าและประจานไม่หยุด

    สิ่งที่ทำได้ คือ พึ่งตัวเอง ดับร้อนด้วยตัวเอง และอย่าโกหกตัวเอง



    คนด่ากันไม่มีทางไร้มูลเหตุผล 31 ก.ค. 2551 03:01 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 21

    *แก้ข้อความ
    หนทางธรรมะ คือ(ไม่)พยายามสร้างบาปเพิ่มด้วยการโกหก





    คนด่ากันไม่มีทางไร้มูลเหตุผล 31 ก.ค. 2551 03:02 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 22

    เรื่องทุกอย่างคุณเป็นคนเริ่มก่อนนะครับ
    ทำไมไม่มองความผิดตัวเองบ้าง

    เรื่องที่คุณก่อ ไม่เพียงแค่คุณจะไม่ขอโทษ แต่คุณยังด่ากราดคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณอีก
    แล้วทีนี้คุณโดนเอาคืนบ้าง ก็ทำมาเป็นโวยวาย

    คำว่าขอโทษนี่มันพูดยากมากนักเหรอไงครับ
     
  16. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ... เหตุบังเอิญไม่มีในโลก ทุกอย่างล้วนเกิดแต่กรรม ... แต่..

    ... อันปกติธรรมดาของบ่อน้ำที่ควรพึงรักษาไว้ให้ใสสะอาด เพื่อการบริโภคดื่มกิน ชำระล้างความสกปรก ดับร้อนให้ความเย็นใจ แก่ผู้ใช้อยู่ประมาณใด ผู้รู้พึงรักษาจิตตนไว้ให้ใสสะอาด ร่าเริงขวนขวายนำธรรมมะขึ้นต้น ด้วยพรมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา ถ่ายถอนและอภัยเสียซึ่งจิตอันรุ่มร้อนนั้น เปรียบดังผู้รู้ประโยชน์แห่งบ่อน้ำ หมั่นดูแลกำจัดวัชพืชน้ำไว้ มิให้เจริญเติบโตทำน้ำเน่าเสีย ปลูกแต่พืชให้คุณ คือกุศล มีการเจริญพรมวิหารสี่เป็นต้น ดังกระทำให้บ่อน้ำนั้นใสสะอาดน่าบริโภค ชำระล้างกายให้ใจสบาย แก่ผู้รักษาไว้ บริโภคไว้ อันมีประพฤติต่างจากผู้ไม่รู้ ไม่มีปกติยินดีในประโยชน์ของการรักษาน้ำให้ใสสะอาดยังประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง และผู้ห้อมล้อม.. กักขังไว้ซึ่งตัณหาทั้งปวง ไม่เจริญความเมตตา เพื่ออภัยเป็นการถ่ายถอนเสียซึ่งตัวตัณหา สุมไว้ให้เจริญเติบโต.. เป็นบ่อน้ำเสีย ขังแล้วแต่วัชพืชน้ำมีปกติทำน้ำเน่าเสีย เป็นแหล่งเจริญแต่สิ่งส่งกลิ่นเหม็น ไม่น่าเข้าใกล้ ผู้รู้เห็นแล้ว ควรเจริญไว้ซึ่งพรมวิหารสี่ ยังจิตใจให้ใสสะอาดดังรู้ประโยชน์แห่งบ่อน้ำ หมั่นรักษาเพื่อตนเอง และเพื่อผู้ห้อมล้อมไว้โดยประมาณนั้น บ่อน้ำใสสะอาดแล้ว เป็นที่อยู่ เป็นที่ดับร้อนให้ความสำราญแก่เหล่าสรรพสัตว์แวดล้อมฉันใด.. จิตที่ผู้รู้เจริญไว้ด้วยพรมวิหารสีแล้ว จึงเป็นที่รักของเหล่าเทพยดา และผู้ห้อมล้อมฉันนั้น..



    เหตุบังเอิญไม่มีในโลก.. 20 ก.ค. 2551 02:16 น. โพสต์: 2113 อนุโมทนา: 0 ได้รับอนุโมทนา: 0 คำตอบที่ 18
     
  17. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    ๓. ทุกข์เพราะรัก ความรัก หรือ กรรม ทำให้คนตาบอด

    เคยถามตัวเองไหมว่า “ทำไมฉันจึงรักเธอ” เมื่อเริ่มต้นรู้สึกว่ารักใครสักคนหนึ่ง บางครั้งมันอาจเป็นรักแรกพบ บางครั้งมันอาจจะเป็นความรักที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว รู้อีกทีก็รักเขาเข้าแล้ว

    ในยามที่เรามีความสุขเราอาจไม่สนใจอยากหาคำตอบมากมายว่า“ทำไมฉันจึงรักเธอ”เพราะเมื่อใดที่เรามีความสุขโดยมากเรารู้สึกพอใจความรู้สึกพอทำให้ไม่ได้คิดค้นอยากหาข้อเสีย หรือคิดคำถามให้ต้องหาคำตอบ

    แต่เมื่อเวลาที่เราทุกข์ ที่เราเสียใจ บางคนก็อาจมีคำถามขึ้นมาว่า ทำไมฉันจึงรักเธอหรือฉันรักเธอไปได้ยังไง(เนี่ย!) เพราะเธอนั้น หน้าตาก็ไม่หล่อเหมือนเคนธีรเดชไม่ได้รวยเหมือนบิลเกตส์ แถมยังช่างใจร้ายใจดำ ทำกันได้ลง และอื่นๆ.... (มากมายแล้วแต่ว่าอะไรจะผุดขึ้นมาในหัวเวลาโกรธ) แต่ก็ยังไม่พบคำตอบอยู่ดี ^^

    ในทางพุทธศาสนา เราเชื่อว่าอะไรใดๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ การที่เราจะได้เป็นคู่รัก และครองคู่กับใครนั้นย่อมมีเหตุ

    “เหตุที่ทำให้เรามีคู่ก็มาจากกรรมเก่าที่เคยร่วมทำกันมา และจะคบหายืนยาวอยู่ได้ด้วยร้ายด้วยดีต่อๆไปนั้น มาจากกรรมที่ทำเอาไว้ในปัจจุบัน กล่าวกันง่ายๆ คือ จะคบแล้วมีความสุข หรือทุกข์ เป็นผลของกรรมซึ่งสะท้อนสิ่งที่ผู้รับผลนั้นกระทำมาก่อนทั้งอดีตชาติ และชาติปัจจุบันทั้งสิ้น”

    ดังนั้นหากมีความทุกข์จากรักขึ้นมา ถ้าจะถามว่าทำไมเราต้องมาทุกข์ใจกับคนๆนี้ ก็ต้องตอบว่ามันเป็นผลมาจากกรรมที่คนทั้งสองได้ทำร่วมกัน และที่เราทำมา กรรมเก่าพาเราลงมาติดกับ

    “กรรมมันเริ่มส่งผลตั้งแต่วันแรกที่ใจคุณเข้าไปผูกกับเขา กรรมส่งผลที่ใจให้มารัก ให้มาหลง บังตาไว้ไม่ให้เห็นความสมเหตุสมผลทั้งหลาย หรือรู้ทั้งรู้ก็ยังรัก ถูกดูดเข้าไปใช้กรรม”

    “ที่ว่าความรักทำให้คนตาบอดต้องกล่าวให้เป็นธรรมขึ้นว่า ‘กรรมบังตา’ คือกรรมบังคับใจให้ไปรู้สึกติดใจ ชอบ ใช่ รัก ผูกพันกับคนที่จะนำเราไปรับผลที่เราเคยก่อไว้ทั้งดีและร้ายนั่นเอง”

    เริ่มตั้งแต่ต้นที่จะรู้สึกดีกับใคร ก็กรรมกำหนด ที่จะไปได้เจอกันในเวลาที่แสนจะพอดีอย่างไรก็กรรมกำหนด กรรมจัดฉากไว้ให้ต้องไปเจอ และรู้สึกไปอย่างนั้น จนกระทั่งจิตส่งออก ทะยานออกไปเกาะเกี่ยวยึดไว้ หลงไปยึดเอาว่าของเรา คนของเรา ไปแปะป้ายว่า นี่เป็นคนที่เราต้องการ นี่เป็นแฟนเรา ต้องดีกับเรา ห้ามไปดีกับคนอื่น พอเชื่อใจ คลายความคลางแคลง มั่นใจว่าใช่แน่ๆ มอบทุกอย่างให้หมด อาจจะแต่งหรือไม่แต่งก็สุดแท้แต่ ก็จะถึงเวลาที่ของจริงส่งผล แสดงตัวจริงของจริงให้เห็น ใจก็ “จี๊ด” ขึ้นมาจนกระทั่งต้องไปถาม อาจจะเริ่มด้วยการถามเพื่อน หรือไม่ก็ไปถามเจ้าคู่กรณี ว่าเดิมไม่ใช่อย่างนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ที่รับปากไว้ ที่สัญญาไว้ ทำไมไม่ทำ ปรับโทษ อาละวาด ตีโพยตีพาย

    กรรมทั้งนั้น……

    ซึ่งไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ถ้ายังมีความเห็นยึดมั่นว่า ความรู้สึกเป็นเรา ความคิดนี้เป็นของเรา ก็จะเชื่อความรู้สึกและความคิด โดยจะหลง คิดไปเองแต่แรกว่าเขาคนนั้นต้องดีอย่างนั้นอย่างนี้ คือมีใจพร้อมจะเชื่อไปก่อนอยู่แล้ว พอเขาพูดโน่นพูดนี่นิดหน่อยก็ทึกทักเอาเองว่าต้องใช่อย่างนั้น(อย่างที่ใจขอมา)แน่นอน เราจึงพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ เป็นคู่ มีความสัมพันธ์ หลงรักคนที่ในอนาคตต่อไปจะรานน้ำใจเราซึ่งเป็นผลจากการที่เราเชื่อความรู้สึกและความคิด (ไปเอง) “ของเรา” ที่กรรมส่งมาจนในที่สุดมาพบความจริงว่า เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เป็นเราที่เข้าใจผิดไปเชื่อใจที่สั่งมาเอง แต่กว่าจะถึงตอนนั้น แทนที่จะรู้ตัว เห็นตามจริงว่าเป็นเราที่คิดไปเอง ก็กลายเป็นโทษกันระหว่างสองฝ่ายไปแทนว่าไม่รักษาสัจจะวาจาที่เคยมีให้กันสมัยความหลงยังครอบงำอยู่ และสร้างกรรมใหม่ต่อกันไปเสียอีกโดยไม่ได้ใช้หนี้กรรมเก่าเลย

    อธิบายเป็นกงกรรมกงเกวียน หรือกฎแห่งกรรมก็คือ กรรมเก่าของเรา กรรมใหม่ของเขา มันเป็นวงจร เพราะกรรม (๑) ที่เราเคยทำไว้ส่งผลให้เรามาเจอกับคนที่มีอนุสัย(นิสัย)แบบนี้เพื่อส่งผลทางใจให้เขาทำกรรม (๒) กับเรา (ตามที่เราเคยทำกับคนอื่นให้ทุกข์แบบนั้น) ซึ่งคนที่ก่อกรรม (๒) กับเราก็จะต้องไปรับผลที่ทำกรรม (๒) โดยไปเจอกับคนที่ก่อกรรม (๓) และทอดต่อๆ สืบกรรมกันไปเป็นวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีวันจบ วนไปวนมาอย่างนี้และซับซ้อนยิ่งๆขึ้น การตัดวงจรก็ควรตัดที่ส่วนของเราให้ได้ก่อน เป็นการชิงออกจากเกมงูกินหาง โดยกรรมจะหมดช้าจะหมดเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับที่แต่ละคนสะสมไว้

    กฎแห่งกรรมนั้นไม่เคยไม่เที่ยงตรง สร้างเหตุไว้อย่างไรก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้นแน่นอน ที่จะไม่ยอมรับเพราะบอกว่าเราดีกับเขา แต่เขาไม่ดีกับเรานั้นจึงเป็นการเข้าใจผิดของเราเองที่ว่า เราทำกรรมกับคนนี้อย่างไร คนนี้จะต้องทำกรรมแบบเดียวกันกับเราคืนมาเป๊ะๆเดี๋ยวนี้ตอนนี้ (ลองคิดง่ายๆว่าเราดีกับทุกๆคนที่เข้ามาดีกับเรา ตอบแทนเขาได้เท่าที่เขาทำให้เราหรือเปล่า) เช่น เราคิดว่าเราดีกับแฟนคนนี้ แฟนคนนี้ก็ต้องดีกับเรา จึงจะเรียกได้ว่า ทำดีได้ดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “กรรมจะเลือกจัดสรรให้เราได้รับผลทั้งร้ายและดีที่เราเคยทำไว้แน่นอน แต่ไม่จำเป็นต้องได้รับตอบจากคนๆ เดิมที่เราเคยทำเสมอไป”

    เช่นกรรมที่เราเคยทำไว้กับพ่อแม่ อาจจะเคยพูดไม่ดีกับท่าน ทำให้ท่านเสียใจ เราก็อาจได้รับผลนี้จากแฟน จากเพื่อนที่ทำงาน และคนอื่นๆได้ เพราะเราไม่เคยแคร์พ่อแม่ เราจึงพูดไม่ดีกับท่าน และเพราะว่าเราไม่แคร์ท่าน ดังนั้นถ้าท่านพูดไม่ดีกับเรา เราก็อาจจะไม่รู้สึกเจ็บช้ำแบบเดียวกัน กรรมจึงจะจัดสรรให้เราพบ เราเจอ เรายึด เรารักคนๆใหม่ ที่จะสามารถดึงดูดให้เราต้องทุกข์ แบบเดียวกับที่พ่อแม่ทุกข์มากเพราะรัก เพราะยึดเรามาก

    ดังนั้นเวลาจะกล่าวอ้างถึงกฎแห่งกรรมนี้ ก็ต้องใช้กับทั้งสองข้าง อย่าใช้ข้างเดียว อย่างที่มักจะได้ยินใครหลายคนพูดกันเป็นประจำ เวลาเผชิญกับคนไม่ดีที่มาทำสิ่งที่เขาไม่ชอบใจว่า“เดี๋ยวมันก็เห็น ว่ากรรมมีจริง” หรือ “ทำกับเราอย่างนี้ เดี๋ยวกรรมก็สนองเข้าให้บ้าง” นี่คือการเข้าใจข้างเดียวเพราะถ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้และมองอย่างเป็นกลางจะรู้ว่า กฎแห่งกรรมได้ให้ผลกับคนที่กล่าวเช่นนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



    ปลดทุกข์

    พุทธศาสนาสอนในเรื่องเหตุและผล ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การที่เราได้หรือเผชิญอะไรอยู่นั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ล้วนแล้วแต่เป็นผลจากกรรมที่เราทำมาทั้งสิ้น อธิบายให้เข้าใจเรื่องกรรม กรรมคือการกระทำโดยเจตนาที่เราทำไปแล้ว ซึ่งจะมีผลตามมาเสมอ โดยกรรมจะส่งผลตรงมาที่ความรู้สึก
    เมื่อกรรมส่งผล กรรมอาจจะชักจูงให้เราไปอยู่ในสถานการณ์คล้ายหรือต่างกัน แต่ความรู้สึกที่เรารู้สึกจะเหมือนกันกับที่เราเคยทำไว้กับคนอื่นไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นหากอยากรู้ว่าไปทำกรรมอะไรจึงต้องมารู้สึกแบบนี้ก็ไม่ต้องไปถามใครที่ไหน ให้ดูเข้ามาข้างในใจ ที่ความรู้สึกที่ปรากฎอยู่ เพราะเหตุและผลของกรรมส่งมาที่กายและใจเราทั้งหมดแล้ว

    เมื่อมีทุกข์ก็ให้ดูไปตรงๆที่ความรู้สึกที่ปรากฎทุกครั้งที่ระลึกถึงเรื่องนั้นๆ รูปแบบของกรรมที่เราทำไว้ ผู้ถูกกระทำในอดีตก็รู้สึกอย่างเดียวกับที่คุณรู้สึกอยู่นี้ ถ้าเรารู้สึกไม่เป็นกลางต่อเรื่องใดๆ หรือเรียกได้ว่ายิ่ง “จี๊ด” มากเท่าไหร่ ก็เป็นตัวสะท้อนถึงระดับความรุนแรงของเหตุที่เราเคยได้สร้างไว้นั่นเอง

    ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น ก็ต้องลงมือปรับเปลี่ยนใหม่ที่ตนเอง โดยต้องเข้าใจกฎของธรรมชาติก่อนว่า เราไม่สามารถย้อนอดีตไปแก้ไขเรื่องที่ผ่าน หรือกรรมที่ทำไปแล้วได้ เราจึงหลีกเลี่ยงการที่จะได้รับผลนี้ไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลของกรรมได้ แต่เราสามารถเลือกกระทำกรรมที่จะส่งผลให้เรามีทุกข์ทางใจน้อยลงเมื่อวิบากส่งผล และสามารถเลือกสร้างเหตุที่จะทำให้ไม่ต้องเจอความทุกข์แบบนี้อีกตลอดไปได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนที่วิธีคิดอันมาจากมุมมองหรือจุดยืน เพราะทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ การจะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องแก้ที่ใจล้วนๆ และต้องแก้ให้ถูกด้วยวิธีการดังนี้คือ

    ข้อแรก แก้ให้ถูกตัว คือ แก้ที่ตัวเราใจเราแทนที่จะโทษคนอื่น หรือพยายามไปเปลี่ยนที่คนอื่น เช่น เปลี่ยนให้เขาทำตามอย่างที่เราหวังให้เป็น ให้คนอื่นทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น ก็ให้กลับมาเปลี่ยนที่ตัวเราเองก่อน ด้วยเหตุว่า เราต้องการแก้ปัญหาความทุกข์ของเรา เราจะรู้สึกทุกข์ รู้สึกแย่อย่างไร ก็ด้วยกรรมที่เราเคยมีเจตนาทำให้ผู้อื่นรู้สึกอย่างนั้น กรรมของใครก็ของคนนั้น ความทุกข์ของเรามันมาจากกรรมเก่าของเรา แทนที่จะไปเปลี่ยนแปลงการกระทำคนอื่นในปัจจุบัน ซึ่งถ้าเขายอมเปลี่ยน เขาต่างหากที่จะเป็นผู้ได้รับผลในอนาคต แต่ถ้าเรายังใช้กรรมในส่วนของเราไม่หมด ก็เหมือนเรายังต้องเป็นทุกข์เพราะมีหนี้ หนี้ที่ยังไม่ใช้ ถ้าไม่สำนึกเราก็จะต้องไปรับผลของกรรมในอดีตจากคนอื่นๆในอนาคตอยู่ดี

    การหลุดออกจากทุกข์ได้ จึงไม่ได้ทำได้ด้วยการต่อว่าบีบบังคับให้ใครเปลี่ยน หรือการหนี แต่หลุดได้ด้วยการยอมรับความจริงคือ ยอมรับในสิ่งที่กรรมจัดสรรมาให้ เราทำมาแค่ ๓ เราก็ต้องได้แค่ ๓ ถ้าทำมาแค่ ๓ แต่อยากได้เกินกว่านั้นเป็น ๔ เป็น ๙ ก็คงต้องทุกข์อย่างแน่นอนเพราะไม่มีทางที่จะได้เกินกว่า ๓ ตามที่สร้างเอาไว้ “ถ้าอยากได้ผลอย่างไรก็ต้องสร้างเหตุใหม่อย่างเดียวกันนั้น ด้วยการแก้ที่นิสัยของเรา”

    อ่านอย่างนี้หลายคนอาจเกิดความสงสัยอย่างหนักว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำนะ มีคนมาทำไม่ดีกับเรา แล้วเราจะแก้ตัวเองแบบไหนล่ะ?

    คำตอบนี้นำไปสู่วิธีแก้ข้อ ๒ คือ แก้ให้ถูกจุด เกาให้ถูกที่ ใส่ยาให้ถูกแผล เป็นไปตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เราเจออะไรซ้ำๆ เพราะเราทำ ในการกระทำกรรมแต่ละครั้ง เมื่อเราทำเราก็จะมีอนุสัย (นิสัย) หรือสันดานนั้นๆ ฝังอยู่ในใจ เช่น แรกๆเราเป็นคนใจเย็น แต่พอโตขึ้นเรามีปัญหาเข้ามาหลายอย่าง เราก็เริ่มหงุดหงิด พอเราชินที่จะขี้หงุดหงิด เราก็จะกลายเป็นคนขี้โมโห ตัวอย่างเมื่อกรรมส่งผลก็เช่น ถ้าเราขี้โมโห เราชอบพูดจาไม่ดีกับคนอื่น ใช้โทสะหรือความโกรธนั้นๆ ในการกระทำกรรม ทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี พอกรรมมันจะสนอง มันจะส่งให้เราไปเจอ หรือไปอยู่ท่ามกลางคนที่พูดจาไม่รักษาน้ำใจ ทำให้เรารู้สึกไม่ดี รู้สึกแย่เช่นกัน (สาวๆ สวยๆ ที่เอาแต่ใจ พึงระวัง เห็นเจอแบบนี้หลายรายแล้ว ^^) ซึ่งถึงแม้ว่าเรารับผลของกรรมแล้ว แต่ถ้าจิตยังไม่เรียนรู้ ยังไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย ยังเลือกที่จะทำแบบเดิมโดยไม่เชื่อว่ามันเป็นผลจากสิ่งที่เราทำ จิตยังไม่ได้เรียนรู้ว่ามีอะไรที่ไม่ดีที่ยังค้างอยู่ในจิตให้ต้องสืบภพ จิตก็จะมีอนุสัยสืบต่อให้ไปทำกรรมแบบนั้นแล้วได้รับผลแบบเดิมอีก และโดยมากจะยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะธรรมชาติของจิตมนุษย์นั้นไหลลงต่ำ ที่อยู่ๆจะกลับนิสัยจากร้ายเป็นดีได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าไม่ทุกข์หนักๆ จริงๆ ไม่ย้อนกลับมาดูที่ตนเอง ก็จะไม่มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง มีแต่จะเคยชินยิ่งนานยิ่งสะสมนิสัยด้านไม่ดีไว้มากขึ้น ดังนั้นหากเราจะถอดถอนวงจรการรับผลของกรรมนี้ เราก็ต้องหยุดที่ต้นเหตุ คือตัวเรา คือนิสัยที่จะสืบเนื่องให้เราได้รับผลของกรรมนั้นๆต่อไป

    โดยนัยนี้คือการเลิกขุดหลุมที่กรรมขุดล่อไว้ให้ตกลงไป โดยเห็นว่าสิ่งที่เราได้รับนั้นคือ สิ่งที่ควรกัน เหมาะสมกันแล้วกับสิ่งที่เราเคยทำมาในอดีต เป็นสิ่งที่เราต้องรับ แทนที่จะตีโพยตีพาย แทนที่จะไปโวยวาย ก่อกรรมใหม่ หรือสร้างหนี้ใหม่เพิ่มโดยไม่ได้ชดใช้หนี้เก่า ก็จะเต็มใจทยอยชดใช้ไป ด้วยการสำนึกว่าเราเคยไปทำให้คนอื่นรู้สึกแบบนี้ และเข้าใจแล้วว่าก้อนทุกข์นี้มันทำร้าย สร้างความเจ็บปวดให้เขาอย่างไร (เพราะเราเจอมาแล้วกับตัวเอง)

    ถ้านึกขึ้นได้ว่าเคยทำกับใครไว้ในชาตินี้ (ผู้ที่ถูกกระทำไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแฟนเก่า กิ๊กเก่าเท่านั้น แต่โดยมาก มากกว่าร้อยละ ๕๐ เป็นกรรมที่เราทำไว้กับพ่อแม่ รองลงมาจึงเป็นแฟนเก่า คู่รักเก่า คนที่มาชอบเรา และอื่นๆ) ให้รีบไปขออโหสิกรรมจากคนเหล่านั้นโดยเร็วที่สุด ตั้งสัจจะกับตนเอง อาจจะต่อหน้าคนที่เราเคยไปกระทำเขาไว้ หรือต่อหน้าพระพุทธรูปว่า เราจะไม่ทำกรรมอย่างนี้กับใครอีกไม่ว่าจะมีเหตุการณ์มาบีบบังคับ ลำบากเพียงใด แต่ถ้านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยไปทำอะไรแบบนี้ไว้กับใครตอนไหนในชาติปัจจุบันก็เป็นไปได้ว่าเป็นผลของกรรมที่เราทำมาในอดีตชาติ ก็ขอให้ระลึกขออโหสิกรรม และตั้งใจอย่างเดียวกันว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก
    การตั้งใจ อันมีเจตนา และสัจจะอธิษฐานที่จะละเว้นการกระทำนี้เอง คือศีล ซึ่งเป็นมโนกรรมที่ส่งผลในการปกป้องทุกข์ทางใจเป็นอันดับแรก เพราะว่าความตั้งใจทางมโนกรรมนั้นเป็นการกระทำด้วยเจตนาอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องมีผลตามมาซึ่งผลของกรรมนี้ก็คือ ปราการป้องกันใจเราจากทุกข์ (เพราะเราตั้งใจไม่ให้ผู้อื่นเป็นทุกข์) ยิ่งตั้งใจหนักแน่นมากขึ้นเท่าไหร่ ความหนักแน่นในการปกป้องทุกข์ก็จะยิ่งมั่นคงขึ้นตาม

    เมื่อเรามีศีลจิตใจก็จะเริ่มสงบจากการแส่ส่ายร้อนรนเพราะความทุกข์ ความตั้งใจที่จะละเว้นนี้ จะส่งผลให้จิตเกิดความปกติ เกิดนิสัยที่จะสำรวมการกระทำทางกายและค่อยๆเคลื่อนมาที่ การสำรวจวาจา คำพูดและในที่สุดก็คือ ความคิด อันเป็นต้นเหตุว่าสิ่งใดนำไปสู่การละเมิดใจผู้อื่น เมื่อเราสำรวจเข้ามาบ่อยเข้า และตัดไปเป็นครั้งๆ มากเข้าก็จะกลายเป็นเปลี่ยนนิสัย หรือตัดกรรมส่วนนี้ได้อย่างเด็ดขาด นั่นจึงจะเป็นทางออกจริงๆ ที่จะทำให้ทุกอย่างจบลงอย่าง Happy Ending

    การทดลองวิธีแก้กรรมโดยแก้ที่ต้นเหตุตามกระบวนการนี้ ย้ำอีกครั้งว่า สาระสำคัญของการแก้วิบากกรรมคือ
    ๑. เข้าใจกฏแห่งกรรม

    ๒. ชำระหนี้เก่า (ยอมรับสิ่งที่ได้เจอ สำนึกผิดให้ได้ก่อนในระดับ ที่จะไม่ทำอีกเลยและไปขออโหสิกรรมจากคนที่เราไปทำเขาไว้ รวมทั้งอโหสิให้กับคนที่ทำกับเรา)

    ๓. สร้างเหตุใหม่ที่ดี (ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ใครทุกข์แบบเดียวกับที่เราทุกข์อีกแล้ว หรือไปแนะนำช่วยคนอื่นไม่ให้ทำผิดตามเรา)

    การทดลองนี้พี่ชายได้เคยทดลองทำมาแล้วด้วยตัวเอง และได้แนะนำให้คนอื่นๆได้ทดลองมาแล้วเป็นหลายร้อยครั้ง รวมทั้งตัวดิฉันเอง ถ้าสำนึกผิดอย่างแท้จริงถึงระดับที่ไม่พยายามรักษามันไว้อีกต่อไป เช่น เมื่อมีผู้กล่าวถึงความผิดนั้นๆก็ไม่โกรธเคือง และไม่ระคายใจเพราะเห็นแล้วว่าสิ่งนั้นนิสัยนั้นไม่ใช่เรื่องดี ไม่ใช่เรื่องเสียหน้า ตรงกันข้ามคือเห็นว่านิสัยแบบนั้นไม่ดีและเป็นสิ่งที่ต้องพากเพียรขัดเกลามันออกเพื่อทิ้งนิสัยนี้ไปให้หมด จนกระทั่งสามารถพูดอย่างเปิดเผยถึงความผิดนั้นๆ ทุกขั้นทุกตอนโดยละเอียดเสมือนว่าไม่ใช่เรื่องของเรา โดยสามารถพูดกับใครก็ได้ที่สนใจเพื่อเขาจะได้ไม่ทำผิดพลาดแบบเดียวกับที่เราเคยทำไปในอดีต รวมทั้งจะไม่กลับไปกระทำอย่างนั้นอีกแม้จะมีสิ่งดึงดูดใจให้กระทำ ก็จะพบว่าทุกข์ทางใจจะลดลงในชั่วข้ามคืน และคนรอบตัวที่ก่อเหตุแห่งทุกข์ก็จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้เห็นในหลักไม่กี่วัน และเรื่องราวจะ
    จบลงสิ้นเชิงในหลักไม่กี่เดือน

    ในอีกด้านหนึ่ง ถ้ายังโกรธเมื่อมีใครพูดถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีของตน หรือยังพยายามปิดบัง กลบเกลื่อน อ้างเหตุผลต่างๆ นานาเพื่อปกป้องว่าสิ่งที่เคยกระทำนั้นดีแล้ว ถูกแล้ว มีเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อจะได้ไม่เป็นผู้ผิด(หรือผิดน้อยลงหน่อย) หรือยังกล่าวโทษผู้อื่นว่าเป็นผู้ผิดหรือมีส่วนผิดที่มากระทำเอากับเรา นี่แสดงว่ายังไม่ทิ้ง นิสัยนั้น ยังพยายามปกป้องหรือเก็บรักษานิสัยนั้นๆไว้ในตนเอง นี่ยังไม่ใช่การสำนึกผิด ยังมีโอกาสกลับไปทำอีก และจะต้องไปรับผลนั้นซ้ำอีก จนกว่าจะยอมทิ้งมันไปโดยถาวร

    อธิบายให้เห็นภาพในการหยุดวงจรส่วนของเราว่า การสร้างเหตุและผลนั้นเหมือนเราเป็นคนปลูกต้นไม้ ต้นไม้จะหยุดเติบโต เมื่อเราหยุดให้น้ำ เช่นกัน การรดน้ำต้นไม้แห่งกรรมจะสิ้นสุดลง เมื่อจิตเราหมดเหตุที่จะสร้างกรรมชนิดนั้นต่อไป ซึ่งหมายถึงการที่เราสำนึกได้แล้วอย่างเด็ดขาดว่า ถ้าเราทำกรรมอย่างนี้ๆแล้ว เราจะ ได้รับกรรมอย่างนั้นๆ ซึ่งมันเชื่อมโยงกันได้ แต่การหยุดให้น้ำไม่ได้ หมายความว่าต้นไม้จะตายในทันที เช่นกัน การหยุดรดน้ำต้นกรรม ผลของกรรมก็จะไม่ได้หยุดลงในทันที แต่จะส่งผลไปอีกระยะหนึ่งให้เราได้ใช้กรรมจนกว่าเชื้อกรรมที่เราเคยทำไว้หมดลง ต้นกรรม ก็จะแห้งและตายไปในที่สุด ทำนองเดียวกับต้นไม้เล็กๆ หยุดรดน้ำ ไม่กี่วันก็ตาย แต่ถ้าเป็นต้นไม้ยืนต้น ขนาดใหญ่สัก ๖ คนโอบ หยุดรดน้ำแล้ว คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะตายและหยุดให้ผล แต่ก็ยังดีกว่าเราไม่รู้ตัวและให้ปุ๋ยให้น้ำมันไปเรื่อยๆ และจะต้องรับผลของต้นกรรมนั้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    ถ้าคุณตั้งใจดีแล้ว และได้ลองปฏิบัติตามนี้ก็หวังใจไว้ได้เลยว่าไม่นานจะออกจากวงจรกรรมนี้ได้ แต่คนส่วนมากอาจพลาด เพราะส่วนใหญ่ติดในทุกข์ หวงทุกข์เอาไว้ เพราะมีความไม่รู้เป็นเครื่องผูก ไม่รู้ว่าที่เราได้ เรามี เราเจออะไรเพราะผลของกรรม กรรมมันหลอกให้เรามาหลง มายึด มารักคนๆนี้เพื่อส่งผลให้เราได้รับผลจากกรรมที่เราทำมา ถ้าเราไม่มีสติ ไม่รู้ตัว กอดความทุกข์นี้ไว้ เราก็จะไม่ก้าวหน้าไปไหน และต้องเจอกับความทุกข์ซ้ำ แต่ถ้าเรา เลือกเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนการกระทำ เปลี่ยนนิสัยไปในทางที่ดี แฟนหรือคู่รักจะเป็นคนเดิมหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะถึงตอนนั้นใจจะคลายความยึดจากเหยื่อคือเขา/เธอตามกรรมที่ส่งมาหลอก และเราจะได้รับผลจากการกระทำดี ด้วยการมีความสุขนั่นเอง

    แนะนำเพิ่มเติมอีกหน่อยนึงว่า ถ้าเกิดว่าเราระลึกไม่ออกว่าได้เคยไปทำผิดกับใครไว้ และอาจทำให้ไม่สามารถรู้สึกระลึกถึงความผิดนั้นๆเพื่อจะได้รู้สึกสำนึกออกมาจากใจ เป็นไปได้ว่าเราอาจยังไม่ได้สร้างเหตุให้เข้าใจกรรมของตัวเองได้เพียงพอ แนะนำให้ลองไปทำทานประเภทสละของใช้ที่เป็นของตัวเองแต่ไม่ใช้แล้วให้กับคนที่ยากไร้หรือขาดแคลนจริงๆ เพื่อเป็นการสอนใจให้ใจเลิกยึด รู้จักสละของที่รู้สึกว่าเป็นของตนออก จะทำให้ใจสามารถเปิดรับสิ่งดีๆได้ง่ายขึ้น หรือถ้ามีความทุกข์แต่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ยังไม่สามารถเข้าใจได้แนะนำให้ลองทำบุญด้วยการให้ธรรมะ แต่เน้นว่าต้องเป็นธรรมะที่เป็นไปเพื่อความเห็นไตรลักษณ์(อนิจจังทุกขังอนัตตาคือความเปลี่ยนแปลงความไม่สามารถทนอยู่และความไม่ใช่ตัวตน) ในกายและใจ จนเกิดความปล่อยวางเป็นสำคัญ เพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ โดยมีเจตนาจะให้เขาพ้นทุกข์ (ถ้าให้เพื่อช่วยเหลือเรื่องความรักก็จะตรงจุดมากยิ่งขึ้น) จะทำให้ใจสามารถรับและเข้าใจธรรมะได้มากขึ้น



    ใช้ใจทำทาน ใช้ใจรักษาศีล เพื่อให้ใจออกจากกรรม

    คุณทราบหรือไม่ว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไรหลายคนถูกประกาศตัวว่าเป็นชาวพุทธมาแต่กำเนิด (โดยพ่อแม่ หรือใครก็ตาม) และบอกใครๆเสมอมาว่าเรานับถือศาสนาพุทธ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่เคยรู้เลยว่าที่แท้พุทธศาสนาสอนอะไร และมีประโยชน์ต่อการมีชีวิตอยู่ขนาดไหน พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งในระดับการดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขในสังคม ไปจนถึงการออกจากทุกข์ถาวร

    หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องไตรสิกขา อันได้แก่ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา (หรือเรียกโดยย่อว่า ศีล สมาธิ ปัญญา)

    ไตรสิกขานี้เกี่ยวข้องเป็นประโยชน์ทั้งในระดับการดำเนินชีวิต และการออกจากบ่วง ออกจากวงจรความทุกข์ โดยเราสามารถได้ประโยชน์ทั้งสองอย่างสูงสุดด้วยการมีเป้าหมายของใจที่จะศึกษาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของความทุกข์ทางใจทุกชนิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยในจุดนี้ขอเพิ่มเรื่องทานเข้าไปเพื่อเป็นฐานแรกในการพาใจออกจากทุกข์

    ในส่วนของทานหลายคนคงได้ยินมาบ้างว่าการให้ทาน เป็นเหตุหรือเป็นบุญที่ส่งผลให้เราร่ำรวย ไม่ลำบากในชาติต่อไป นี้เป็นส่วนของประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ในการอยู่กับโลก แต่ในแง่การทำให้ออกจากทุกข์ถาวรนั้น การได้ทำทานที่เป็นทานจริงๆ เป็นประจำ คือมีกิริยาทางกายที่เป็นการให้ และประกอบด้วยกิริยาทางใจที่เป็นการสละสิ่งของที่เป็นของเรา เมื่อทำบ่อยๆจนคล่องแคล่วชำนาญจะเป็นการฝึกใจให้รู้จักปล่อยวางสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเรา ซึ่งจะมีประโยชน์มากในการฝึกใจให้รู้จักการปล่อยวางความทุกข์ด้วย ทำให้ไม่ทุกข์นาน ลองสังเกตจิตใจเปรียบเทียบกัน ระหว่างที่ได้ทำทานด้วยการสละการไม่ถือไม่ยึดจะให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง แต่เวลาที่มีความทุกข์ มันจะรู้สึกหนักและแน่น ที่มันหนักมันแน่นก็เพราะใจเรายึด เราถือมันไว้ ดังนั้นที่เรามีทุกข์ก็เพราะเราไม่เคยรู้ตรงนี้ และเพราะใจเราเคยชินที่จะถือมากกว่าปล่อย

    ส่วนเรื่องการรักษาศีล หลายคนที่ได้ศึกษาพุทธศาสนามาบ้าง คงเคยได้ยินว่าการรักษาศีลเป็นการปกป้องเราจากภยันตราย อันเนื่อง มาจากการที่เราไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็จะไม่มีใครมาเบียดเบียนเรา และการรักษาศีลอย่างหมดจดคือการไม่กระทำกรรมใดๆ ตามอำนาจกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดความเศร้าหมอง ผลที่ได้จึงเป็นไปในทางตรงกันข้ามคือจะส่งผลตกแต่งให้กาย/หน้าตาผิวพรรณดูผุดผ่อง สดใส สะสมไปมากๆก็จะเป็นฐานบุญให้ชาติใหม่มีรูปร่างหน้าตาที่สมส่วนดูดี ส่วนในแง่การรักษาศีลที่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนฝึกใจนั้น หลวงปู่เหรียญ วรลาโภเคยกล่าวไว้ว่า“คนเราละเมิดศีลกันก็เพราะกรรมที่เคยกระทำมาส่งผลให้เท่านี้ๆ แล้วยังไม่จุใจ ทางเดียวที่จะได้มาก็คือต้องไปเอาส่วนที่เป็นของคนอื่นมาเป็นของเรา จึงมีการละเมิดศีล คือไปละเมิดของที่ไม่ใช่ของเรา” การรักษาศีลจึงเป็นการฝึกความตั้งใจที่จะไม่ละเมิดผู้อื่น “ด้วยความอยาก” อันเป็นก้าวแรกที่นำชีวิตของคนเราไปสู่ความทุกข์

    หากเราได้มีการรักษาศีลไว้ดี ใจจะรู้จักสละความอยากครอบครองที่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น เมื่อฝึกจนจิตเกิดความชำนาญก็จะมีผลช่วยลดระงับความเร่าร้อนในความอยากนั้นๆ เนื่องจาก มีความเข้าใจ เห็นโทษ เพราะสามารถเชื่อมโยงได้ว่า การละเมิดใจผู้อื่น ในวันนี้ จะนำไปสู่การถูกละเมิดใจในวันหน้าอย่างแน่นอน คือสุขที่ได้ในตอนนี้จะพลิกเป็นทุกข์มหันต์ในวันหน้าได้ จึงมีผลทำให้ใจรู้จักระงับยับยั้งไม่หลงไปกระทำตามความอยากจนไปก่อกรรมที่จะทำลายความสุขทั้งของเราเองในอนาคตและความสุขของคนรอบข้างในปัจจุบัน

    กล่าวโดยรวบยอด การทำทานและรักษาศีลนั้น ตอบโจทย์ของการอบรมจิตเพื่อป้องกันทุกข์จากทั้งสองปัญหาใหญ่ คือ ทานนั้นแก้ปัญหาทุกข์จากการกลัวจะเสียไป ส่วนศีลนั้นเป็นการแก้ปัญหาทุกข์เพราะกลัวไม่ได้มา ด้วยการสละออกที่เริ่มตั้งแต่ที่ใจ คือพร้อมจะสละในสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนของตน แทนที่จะดับความอยากนั้น ด้วยการพยายามไปครอบครองของที่ไม่ใช่ของๆตน ซึ่งจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ที่ความอยากของเรา แต่เป็นการก่อกรรมใหม่อันจะเป็นผลให้เราต้องชดใช้และมีความทุกข์ไปเรื่อยๆตามเหตุที่เราได้เคยทำให้ผู้อื่นทุกข์ใจไว้

    เมื่อจิตรู้จักสละละวางความยึดด้วยการหมั่นทำทานและรักษาศีลบ่อยเข้า เกิดความสนใจ ใส่ใจดูการกระทำของจิตบ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน จิตก็จะเกิดความฉลาดหรือปัญญาในการดูจิตมากขึ้นๆ เป็นลำดับต่อมา คือเห็นกระบวนการทำงานของจิต รู้ตั้งแต่จิตกำลังทะยาน(ตัณหา)ไปอยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา ทะยานไปยึดของที่เป็นของเราแล้วแต่อาจจะเสียไปหรือกำลังจะเสียไปว่า ตัณหา(ความอยาก)นี้แหละคือสมุทัย(เหตุแห่งทุกข์) หรือทุกข์ทั้งก้อน ถัดจากนั้นเมื่อรู้ใจตนเองมากเข้าก็จะเห็นได้ว่า ที่มันทะยานเรื่อยๆนี่เพราะมันมีความเห็นผิดว่าเป็นเราเป็นตัวเราคืออัตตา ก็ดูอยู่ที่จิตนี่แหละจนกว่าจะเห็นอนัตตา(ความไม่ใช่ของฉัน ความสั่งไม่ได้) คือเห็นว่าทุกๆอย่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเราทั้งร่างกายและจิตใจนี้มันไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้ทั้งหมดทุกโมเลกุลคืออาหารที่ยืมมาจากโลก เวลาทุกข์สั่งให้สุขไม่ได้ เวลากำลังสุขจะไปสั่งให้มันทุกข์ก็ไม่ได้คือเข้าถึงธรรมด้วยการปล่อยวางความเป็นตัวเรา ทิ้งความเป็นเรา เมื่อหมดความเห็นผิดว่าเป็นตัวเรา หมดความยึดจากการเฝ้าสังเกตใจ ก็จะหมดการกระทำอันจะนำหรือก่อให้เกิดภพ เกิดชาติ และเกิดทุกข์ทางใจได้ถาวร


    รู้ได้อย่างไรว่าหมดกรรมแล้ว

    ที่เราจะหมดกรรมได้ ก็เพราะใช้กรรมนั้นๆจนหมด และไม่มีจิตคิดสร้างกรรมใหม่ที่จะส่งให้ได้รับผลอย่างนี้อีก ถ้าเราหมดกรรมหรือได้ใช้กรรมชนิดนี้ไปบางส่วนแล้ว ใจจะไม่รู้สึกเจ็บแค้น หรือผูกพยาบาท หรือถ้ารู้สึกก็จะเบาบาง เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ลักษณะนี้ แต่ถ้ายิ่งผูกพยาบาทอาฆาตร้ายแรงเท่าไหร่ก็สะท้อนว่าเรายังมีหนี้ใจที่ยังติดค้างไม่ได้ชำระ มากเท่าๆกับความเจ็บแค้นพยาบาทที่เรากำลังรู้สึกอยู่นั่นเอง

    เมื่อเราได้ใช้กรรมเรื่องใดๆหมด ถ้าเรายังมีกรรมด้านอื่นๆร่วมกับเขาอยู่ (ทั้งในด้านบุญและบาป) เราทั้งคู่ก็ยังมีชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไปตามเหตุปัจจัยที่เราสร้างและได้ร่วมสร้างกันมา แต่ถ้าหมดกรรมกันแล้วทั้งหมด ใจเราที่รู้สึก ที่มีต่อเขาก็จะหมดตาม เราอาจจำเรื่องราวทุกอย่างที่เขาทำกับเราได้ทุกเรื่อง แต่รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น เมื่อเจอหน้ากัน เราก็จะไม่รู้สึกเจ็บ หรือจี๊ดขึ้นมาอีก เหมือนตอนเลิกกับแฟนคนแรกแล้วรู้สึกทุกข์เจียนตาย แต่พอมีแฟนใหม่ก็ทุกข์เพราะแฟนใหม่ ลืมความทุกข์ที่เคยเกิดขึ้นกับแฟนคนเก่าไปแล้วแม้ว่าอาจจะยังจำเรื่องราวได้อยู่ก็ตาม คำว่า ไม่รู้สึกอะไร ก็หมายถึงไม่ได้มีความรู้สึกไม่อยากเจอด้วย จะเป็นความรู้สึกเห็นหน้าเขาแล้วเหมือนเห็นหน้าเพื่อน หรือคนที่รู้จักคนหนึ่งซึ่งสามารถยิ้มทักทายได้เพราะไม่ได้รู้สึกผูกกับทุกข์ทางใจนั้นๆแล้ว และถ้าหมดกรรมและเกิดปัญญาเข้าใจเรื่องกรรมแล้ว เรามักจะเกิดความกรุณา คือ หวังให้เขาพ้นจากทุกข์ที่เขาจะต้องไปรับ (เพราะกรรมที่มาก่อกับเราไว้) ต่อไปในอนาคต จนสามารถอโหสิกรรมให้เขาได้จากใจ ไม่ว่าจะได้เอ่ยปากหรือไม่ก็ตามทีี
     
  18. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=8kFCK57nldo&feature=player_detailpage"]http://www.youtube.com/watch?v=8kFCK57nldo&feature=player_detailpage[/ame]​
     
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=P15GaZvQ_YY]สร้าง สติ ... ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญ - YouTube[/ame]
     
  20. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    เรือนธรรม : กายเป็นวัด จิตเป็นพระ/ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8YXWhLHDMl8&feature=player_embedded]ดร.วรภัทร ภู่เจริญ (Full version) - YouTube[/ame]​
     

แชร์หน้านี้

Loading...