หมดแล้ว พระกริ่งพระเจ้าพรหมมหาราช เฉพาะกระทู้นี้ ยอดกฐินเพื่อซื้อที่ดิน 4,131,525 บาท

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย จารุ, 1 มกราคม 2012.

  1. sangsawang

    sangsawang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    416
    ค่าพลัง:
    +2,473


    ขอจองพระขรรค์ หนึ่งเล่มคับ

    555 ซ้อมไว้ก่อนคับ ... โมทนาเน้อ

    เดินหน้าต่อไปคับ สาธุ :cool:
     
  2. moo noi

    moo noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    6,328
    ค่าพลัง:
    +23,902
    <a href="http://image.ohozaa.com/view2/wqSPD7lDrzKTxn1o" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/f8a/UKXrGU.jpg" /></a>
     
  3. เด็ก น้อย

    เด็ก น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    516
    ค่าพลัง:
    +3,045
    วันนี้ผมส่งพัสดุด่วนจี๊เลยครับ555 คืมให้คุณจารุแล้วครับ
    อีกสองวันน่าจะถึงครับ
    ปีหน้าสร้างพระขรรค์หรือครับ:cool: แบบวัดท่าขนุนหรือเปล่าครับรุ่นสอง อะครับ
     
  4. จารุ

    จารุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    23,747
    ค่าพลัง:
    +236,439
    ยังครับ :cool::cool::cool:
     
  5. kitmee

    kitmee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +2,592
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับพี่(smile)
     
  6. แม่กลอง

    แม่กลอง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +90
    กากะเปรต จาก คำสอน พระราชพรหมยาน

    กากะเปรต
    จาก หนังสือ กฎของกรรม เล่ม ๓

    ต่อไปนี้จะขอนำเรื่องจากพระสูตรมาเล่าสู่กันฟังสักเรื่องหนึ่ง

    ครั้งหนึ่งองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่เวลานั้น องค์สมเด็จพระบรมครูประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหารในกรุงราชคฤห์มหานครกำลังแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท คือ เทศน์โปรดปัจวัคคีย์ฤๅษีทั้ง ๕ แล้วก็โปรดบรรดาชฎิล ๑,๐๐๓ องค์ ต่างคนต่างบรรลุอรหัตผลเป็นปฏิสัมภิทาญาณ

    ในวันหนึ่งอัครสาวกขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร มีนามว่าพระโมคคัลลานะเถระ ท่านจำพรรษาอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏิ ในตอนเช้าท่านก็ลงมาบิณฑบาตกับพระลักขณะความจริงพระลักขณะนี่เป็นหนึ่งในจำนวนชฎิล ๑,๐๐๐ คนเป็นพระอรหันต์ ตามแบบฉบับท่านบอกว่าพระลักขณะเป็นพระอรหันต์พร้อมทั้งปฏิสัมภิทาญาณ

    ความเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณมีกำลังไม่เท่ากัน

    ปฏิสัมภิทาญาณ ขั้นปกติมีกำลังต่ำ

    ปฏิสัมภิทาญาณ ขั้นมหาสาวกมีกำลังความเป็นทิพย์สูงกว่า

    ปฏิสัมภิทาญาณ ขั้นอัครสาวกสูงกว่าพระมหาสาวก

    รวมความว่าการเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ พุทธบริษัทพึงทราบ แม้แต่พระอรหันต์ยังความเป็นทิพย์ไม่สม่ำเสมอกัน พระอรหันต์ที่เป็นวิชชาสามมีทิพจักขุญาณหย่อนกว่าพระอัครสาวกและหย่อนกว่าพระอรหันต์ที่ได้ฉฬภิญโญ คือ อภิญญาหก ความเป็นทิพจักขุญาณของอภิญญาหกมีกำลังต่ำกว่าปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิสัมภิทาญาณก็ยังแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตามที่กล่าวมาแล้ว และความเป็นทิพย์ย่อมไม่สม่ำเสมอกัน แม้อัครสาวกก็ยังมีความเป็นทิพย์หย่อนกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีความเป็นทิพย์อ่อนกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จำตอนนี้ไว้ด้วย

    ฉะนั้นบรรดาท่านผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิได้ความเป็นทิพย์ จึงมีความรู้สึกไม่สม่ำเสมอกัน ใช้จิตมาก ๆ ใช้ปัญญาน้อย ความแจ่มใสของจิตก็น้อย การเห็นก็ไม่ค่อยจะตรงนัก ไม่ชัดเจนแจ่มใส

    ในเวลาตอนเช้าพระโมคคัลลาน์กับพระลักขณะ ลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏิจะไปบิณฑบาต เดิน ๆ มาอยู่ดี ๆ ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ยิ้มออกมาเฉย ๆ อันนี้เป็นจริยาของพระ ถ้าเขาบอกว่าพระอรหันต์ไม่หัวเราะ พระพุทธเจ้าไม่หัวเราะน่ะไม่จริง ตามปกติท่านหัวเราะ ท่านยิ้มเวลาคุยกัน ยิ้มได้หัวเราะได้ เวลาอยู่เฉย ๆ ถ้ายิ้มขึ้นมามีเรื่อง

    พระลักขณะเห็นพระโมคคัลลาน์ยิ้มมาเฉย ๆ ก็ถามว่า

    "พระคุณเจ้ายิ้มเรื่องอะไร.....?

    เวลานั้นปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์เห็นอหิเปรตกับกากเปรตอยู่ข้างหน้า พระโมคคัลลาน์ก็ไม่ตอบ ถ้าขืนตอบเวลานั้นพระลักขณะซึ่งปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกันท่านไม่เห็น สำหรับพระโมคคัลลาน์เป็นอัครสาวกมีความเข้มข้นกว่าเห็น

    ต่อมาเมื่อกลับจากบิณฑบาต ฉันข้าวเสร็จ พระโมคคัลลาน์เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั่วกัน เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักขณะก็ถามพระโมคคัลลาน์ต่อหน้าพระพุทธเจ้าถามว่า

    "เมื่อเช้าพระคุณเจ้ายิ้ม เดินมาแล้วยิ้มเฉย ๆ ผมถามท่านท่านบอกให้ถามต่อหน้า พระคุณเจ้าเวลานี้มีความว่างพอ พระพุทธเจ้าเทศน์จบและอยู่ต่อหน้าพระนราสก คือพระพุทธเจ้าอยากจะถามว่าเมื่อตอนเช้าท่านยิ้มเพราะเรื่องอะไร"

    พระโมคคัลลาน์จึงกล่าวกับพระลักขณะ บอกว่า

    "เมื่อตอนเช้าที่เรายิ้มเพราะเห็นเปรต ๒ เปรต คือ อหิเปรตกับกากเปรต"

    เมื่อพระโมคคัลลาน์กล่าวเพียงเท่านี้องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงรับรองว่า

    "อหิเปรตก็ดี กากเปรตก็ดี มีจริง ๆ ตามพระโมคคัลลาน์ว่า ตถาคตเห็นเปรตทั้งสองนี้มาตั้งแต่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคนอื่นเห็น ตถาคตก็ไม่พูดเพราะไม่มีพยาน เวลานี้โมคคัลลาน์เห็นแล้วตถาคตมีพยาน ตถาคตก็ขอยืนยัน เป็นอันว่าโมคคัลลาน์เป็นพยานให้ตถาคต ตถาคตเป็นพยานให้โมคคัลลาน์ เพราะว่าต่างคนต่างเห็นเป็นความจริง

    ต่อนั้นไปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงกล่าวถึงกรรมของเปรตทั้งสอง วันนี้เอาแค่เปรตเดียว อหิเปรตจะงดไว้จะพูดถึงกรรมของกากเปรต

    เปรตทั้งสองตนนั้นมีตัวยาวจริง ๆ ๒๕ โยชน์ ๑ โยชน์ มี ๔๐๐ เส้น ก็นับเอาว่ายาวขนาดไหน เปรตทั้งสองตัวนี้มีสภาพเหมือนกัน คือ มีไฟลุกตั้งแต่หัวพุ่งไปหาหางและไฟก่อตัวขึ้นจากหางพุ่งไปหาหัว ไฟก่อตัวขึ้นตรงกลางตัวรวมไปทั้งหัวทั้งหางและกลางเสร็จ รวมความว่า เปรตนี้มีความยาว ๒๕ โยชน์ แต่เธอก็จมอยู่ในกองเพลิงตลอดเวลา

    สำหรับอหิเปรตนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่ามีรูปร่างคล้ายคน แต่ตัวเป็นงู (อหิ แปลว่า งู) สำหรับกากเปรตนั้นมีรูปร่างเป็นคน หัวเป็นคนแต่ตัวเป็นกา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสบุพกรรมของเปรต เอาเฉพาะกากเปรตตัวเดียว

    กากเปรตนี้ทำบาปอะไรไว้

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า

    ถอยหลังนี้ไปกัปนี้เองสมัยพระพุทธกัสสปเป็นพระพุทธเจ้าเวลานั้นบรรดาประชาชนทั้งหลาย ก็ตั้งใจถวายทานแก่พระสงฆ์เหมือน ๆ กันกับที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเตรียมอาหารมาถวายพระในวันนี้ แต่ว่าในตอนนั้นสมัยพระพุทธเจ้าเขาจะถวายพระองค์ไหนเขาก็รับบาตรจากท่านไป เพราะเวลานั้นไม่ใช้สำหรับบาตรลูกเดียว คือธุดงค์เขานำอาหารใส่บาตรแล้วก็ประเคนพระองค์ใดองค์หนึ่ง

    เวลาที่ชาวบ้านเขารับบาตรกับพระเถระไปแล้ว นำอาหารที่มีรสเลิศ หมายความว่าอาหารที่ทำดีแล้วใส่บาตรพอสมควร

    ในขณะที่ใส่ลงไปในบาตรนั้น ยังไม่ทันจะถวายพระเวลานั้นมีกาตัวหนึ่งจับอยู่บนยอดไม้ มองเห็นอาหารในบาตรเป็นที่ชอบใจ จึงได้โฉบลงมาคาบเอากับข้าวในบาตรไปเต็มปากตามกำลังที่จะนำไปได้ แล้วก็ไปยืนกิน

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่ากาทำบาปเพียงเท่านี้ เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเป็นกากเปรต มีหัวเป็นคนตัวเป็นกายาว ๒๕ โยชน์ มีไฟไหม้ก่อตัวทางหัวพุ่งไปถึงหาง ไฟไหม้ก่อตัวตรงกลางลามไปทั่วตัวต้องไหม้อยู่อย่างนี้นับเป็นพุทธันดร

    แล้วองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอีกว่า อาการที่กาขโมยอาหารเขากิน เวลานั้นจัดว่าเป็นบาป เป็นบาปหรือไม่เป็น เสร็จเป็นแน่ ถึงว่าข้าวนั้นยังไม่ได้เป็นของสงฆ์ หมายความว่า ข้าวเขายังไม่ได้ประเคนพระ ยังเป็นเจตนาที่จะถวายพระอยู่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ของบุญ ยังไม่เป็นอาหารของสงฆ์ พระพุทธเจ้าบอกว่ายังไม่ใช่ อาหารที่ถวายพระสงฆ์แล้ว พระเหลือให้แก่ชาวบ้านกิน ถ้าอย่างนี้ถ้านำเอาไปจะมีโทษมากกว่านี้มาก จะไปเกิดแค่เป็นเปรตไม่ได้ จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกก่อน ในอเวจีมหานรก เป็นต้น แต่นี้อาศัยข้าวที่เริ่มเป็นบุญ แต่ยังไม่ได้เป็นสงฆ์ กากเปรตจึงได้มาตกแค่เป็นเปรตอยู่ในเปรตภูมิ อยู่ในแดนของเปรต ไฟไหม้มาแล้วเกินกว่าหนึ่งพุทธันดรนี่ก็ไม่รู้ว่านานเท่าใด

    เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การทำตนในเขตที่เราเกิดขึ้นมานี้ขอทุกคนจงอย่างลืมว่าคนที่จะเกิดมาเป็นคนนี้ ต้องอาศัยความดี ๓ ประการเข้าประคับประคอง คือ การที่จะมีร่างกายเป็นคนได้เพราะอาศัยศีล ๕ ประการหรือกรรมบถ ๑๐ ประการ การมีศีล ๕ บริสุทธิ์มาแล้วก็ดีหรือว่ามีกรรมบถ ๑๐ มาแล้วก็ดี กรรมทั้งสองประการนี้เป็นปัจจัยให้เกิดมีรูปร่างหน้าตา เป็นคน และอย่าลืมว่าเราเกิดเป็นคนด้วยความดีเบื้องต้น

    แล้วประการที่สองที่เราจะมีอาหารกินตามสมควร มากน้อยไม่เสมอกันอันนี้เป็นกำลังผลของทานที่เรียกว่ามีกำลังไม่เท่ากัน เพราะการถวายทานในเขตพระพุทธศาสนาก็ดี นอกเขตพระพุทธศาสนาก็ดี มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน หรือว่าการถวายทานในเขตพระพุทธศาสนาก็เหมือนกันก็มีอานิสงส์ไม่เสมอกันเหมือนกัน ให้ทานเป็นส่วนบุคคลมีอานิสงส์น้อย ให้ทานเป็นสังฆทานมีอานิสงส์มาก

    อย่างกับบรรดาทานพุทธบริษัทถวายสงฆ์ในวันนี้เป็นสังฆทาน หรือไม่มีทายกนำถวายก็ไม่สำคัญ ถ้าพระสงฆ์ฉันตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไปทั้งหมดจัดเป็นสังฆทาน นำถวายหรือไม่นำก็เป็น เวลาจะถวายสังฆทานที่ไหนอย่าทำให้พระท่านลำบาก บางทีพอไปถึงแล้วบอก

    "ขอพระคุณเจ้านำถวายสังฆทานด้วยเถอะ"

    พอดีพระท่านบวชใหม่ ๆ หรือบวชเก่ายังไม่คล่องในการถวายสังฆทาน ไม่คล่องในการนำมีความลำบาก บางทีจะถวายทานแก่พระสงฆ์ที่ไปฉันตามบ้าน นำอาหารมาตั้งไว้แล้วยังหาคนนำถวายสังฆทานไม่ได้ อย่างนี้ไม่เป็นการสมควร กว่าจะหาคนได้พระก็หิว ทานอันนั้นแทนที่จะเป็นการได้บุญกลับเป็นการได้บาปไป เพราะเป็นการทรมานพระไม่สมควร

    การถวายทานกับพระสงฆ์ไม่ต้องพูดอะไรเลยมันก็เป็นทาน ถ้าพระ ๒ องค์ ๒ องค์ ๓ องค์ ถ้าฉันเวลานั้นเราจะกล่าวอย่างไรก็ตามมันก็ไม่เป็นสังฆทาน เป็น "คณะทาน" เป็นการให้ทานแต่คณะ ไม่ใช่สังฆทาน แต่พระเข้าไปในบ้านเราตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปหรือนั่งอยู่ตามทางใกล้ ๆ บ้านที่ไหนก็ตามตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป เรานำอาหารไปถวายมากก็ตามน้อยก็ตาม ดีก็ตามเลวก็ตาม จะกล่าวคำถวายทานหรือไม่กล่าวก็เป็นสังฆทาน

    ฉะนั้นขอให้บรรดาพุทธบริษัททราบตามนี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างความลำบากให้เกิดแก่ตน และไม่ต้องสร้างความลำบากให้เกิดแก่พระ ถ้าพระไปถึงบ้านแล้วไม่ต้องหาคนมานำถวาย รับศีลฟังสวดมนต์ แล้วถวายได้ทันทีเป็นสังฆทานตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป

    และการถวายสังฆทานนี่มีอานิสงส์มาก คนที่เกิดมาในชาตินี้มีฐานะดีมีความร่ำรวย เพราะผลของการถวายสังฆทาน แล้วก็คนที่มีฐานะหย่อนลงไปหน่อยหนึ่งขั้นคหบดีเพราะอานิสงส์การถวายปาฏิปุคคลิกทาน

    แต่ปาฏิปุคคลิกทานต้องดูพระ ถ้าพระไม่บริสุทธิ์เลย ท่านตายแล้วท่านลงนรก โยมถวายท่านก็น่ากลัวจะตกเหมือนกัน ในการคบคนชั่วเราก็ชั่วด้วย การคบคนดีเราก็ดีด้วย ถ้าคบคนชั่วเขาก็ไม่สอนด้านความดี ไม่แนะนำด้านความดีเป็นการส่งเสริมกันทำลายพระศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ให้ย่อยยับ ทำลายความสุขของบุคคลที่มีอยู่ในโลก เราก็ไปสวรรค์ไม่ได้เหมือนกัน

    แต่บังเอิญพระผู้นั้นไม่บริสุทธิ์หมดจด ถ้าพระมีศีลบริสุทธิ์ก็มีอานิสงส์มาก แต่ว่ายังน้อยกว่าท่านที่ปฏิบัติเพื่อพระโสดาปัตติมรรค หรือน้อยกว่าการให้ทาน หรือถวายทานแก่ท่านที่เจริญพระกรรมฐานยังไม่ได้โสดาปัตติมรรคเป็นต้น

    รวมความว่าการให้ทานส่วนบุคคลเรียกว่าปาฏิบุคลิกทาน ถ้าท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ผลมากตามลำดับจนถึงพระอรหันต์ แต่ถึงอย่างไรก็ตามการถวายทานส่วนบุคคลย่อมมีอานิสงส์ไม่เหมือนกับการถวายสังฆทาน คหบดีมาจากปาฏิปุคคลิกทาน ถ้ามีทรัพย์บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ พอบ้างไม่พอบ้าง พวกนี้ให้ทานกับท่านที่มีศีลไม่บริสุทธิ์หรือไม่มีศีลเลยเสียของมากแต่มีอานิสงส์น้อย

    รวมความว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่จะมาเกิดเป็นคนได้ต้องอาศัยศีลและการอบรมธรรม และการมาเกิดเป็นคนแล้วกลับทำตนต่ำจะต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์นรกกว่าจะเกิดมาก็ย่ำแย่ก็เป็นการถอยหลัง ทางที่ดีก็ควรจะก้าวหน้าต่อไป อย่างน้อยจากการเป็นคนแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์เป็นเทวดา หรือนางฟ้าที่ดี ไปเป็นพรหมดียิ่งกว่านั้น ไปนิพพานดีถึงที่สุด

    วันนี้พูดถึงกาลักข้าวที่เขาจะทำบุญ อย่าลืมนะข้าวที่เขาจะทำบุญนี่ยังมีอานิสงส์น้อยอยู่ ถ้าเขาทำบุญแล้วอย่างเขามาถวายพระแล้วอย่างนี้ ขโมยกินอย่างนี้เป็นขโมยข้าวสงฆ์ ไม่ต้องละ ลงอเวจีมหานรกแน่ หรือข้าวที่เขาถวายพระเสร็จ เขาจะนำไปเลี้ยงคน อีตอนนั้นฉกฉวยเอาไปกินเป็นส่วนตัวก็ถือว่าเป็นขโมยของสงฆ์เหมือนกัน ญาติโยมพุทธบริษัทที่พระท่านอนุญาตว่ากินได้ อันนี้ไม่มีโทษ เพราะพระให้แล้ว

    ก็มีหลายท่านถามว่ากินข้าววัดต้องชำระหนี้สงฆ์ไหม ถ้าขโมยกินต้องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าพระให้กินไม่ต้องชำระหนี้สงฆ์คือพระให้ไม่เป็นหนี้

    สำหรับเรื่องกากเปรตก็ขอจบแต่เพียงนี้
     
  7. แม่กลอง

    แม่กลอง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +90
    https://sites.google.com/site/porkaermidm/hlwng-phx-vasi-ling-da-lea-reuxng-khxng-pert1

    คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ4
    เรื่องแดนของเปรต 12 จำพวก


    ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับเมื่อวันพุธก่อน ได้พาพวกพุทธบริษัทมานั่งพักนอนพักนรกขุมสุดท้ายของวัน คือนรกขุมที่ ๕ ของยมโลกียนรก ซึ่งว่าด้วยการเรี่ยไร แล้วกีดกันเงินเรี่ยไรไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เรื่องนั้นก็ว่ากันมาแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลา วันนี้ขอพาท่านพุทธบริษัททัศนาจรนรกขุมที่ ๖ ต่อไป


    สำหรับนรกขุมที่ ๖ แห่งยมโลกียนรกนี้ มีชื่อว่า ปิสสกปัพพตะนรก นรกขุมนี้มีชื่อบอกชัดว่าปัพพตะนี่แปลว่าภูเขา น่าคิด ในนรกขุมนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทมองดูให้ดี มองลงไปดูข้างหน้า จะเห็นว่าบริเวณทั้งหมดมีกำแพง ๔ ด้านกั้น เป็นบริเวณที่ใหญ่มาก แล้วจากกำแพง ๔ ด้านนั้น ก็มีไฟพุ่งเข้ามาหาส่วนกลาง พุ่งเข้ามาทั้ง ๔ ทิศแล้วในบริเวณกำแพงนั้น มีบรรดาสัตว์นรกกลาดเกลื่อน นรกขุมนี้ดูแล้วมีคนมากจริงๆ โอ้โฮ มากไม่น้อยไม่แพ้นรกขุมอื่น กลาดเกลื่อนไปหมดแล้ว นอกจากจะมีกำแพงกั้นแล้วก็มีภูเขาเหล็กใหญ่มหึมาไม่ใช่ภูเขาหิน แล้วก็ไม่ขรุขระเหมือนหินธรรมดาบนภูเขา เรียกว่าเหล็กก้อนใหญ่เหมือนภูเขาดีกว่า ท่านเรียกว่าปิสสกปัพพตะนรก เป็นนรกที่มีหินก้อนใหญ่คล้ายภูเขา เท่าๆ ภูเขาเป็นเหล็กก้อนใหญ่เท่าๆ ภูเขา แล้วเหล็กนี่ก็ถูกเผาจนแดงโชน มีอยู่ใน ๔ ทิศด้วยกันประสานกัน กลิ้งเข้ากลิ้งออก กลิ้งออกกลิ้งเข้าอยู่ตลอดเวลา แล้วบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันถูกบดขยี้ไปด้วยภูเขาเหล็กทั้ง ๔ ทิศ จะวิ่งหนีไปทางไหนนะไม่มีโอกาส แสงไฟที่พวยพุ่งเข้ามาก็มีความแรงมาก ถูกเข้าที่ไหนพังที่นั้น พอพังแล้วก็เป็นเนื้อเต็มตามเดิม เรียกว่าการหมดไปสูญไปตายไปไม่มีสำหรับสัตว์นรก เป็นแดนทรมาน เรียกว่าจะมีความสุขสักหายใจเข้าครึ่งท้องนี่ไม่มี เรียกว่าหายใจเข้าต้องไม่เต็มท้อง ไม่ต้องถึงที่สุดของลมหายใจ ดึงลมหายใจเข้าไปสักนิดหนึ่งจัดว่าเป็นความสุข เวลาเท่านั้นไม่มี ถูกไฟเผา ถูกภูเขาขยี้อยู่ตลอดเวลา กาลเวลาสำหรับในนรกขุมนี้ก็ไม่ทราบชัดเหมือนกันว่าเวลาเท่าไร ท่านบอกว่าจะต้องเสวยผลไปจนกว่าจะหมดกฎของกรรม ระยะของกรรมชั่วนี้เขาให้เวลาเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ นรกขุมนี้มีไว้ลงโทษใคร? โน่น ท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ คนที่เขามีอินทรธนู เขาบอกว่า เขาเป็นขุนนาง เขาเป็นข้าราชการ เป็นข้าราชบริพารของพระราชาที่ปฏิบัติตนตามกฎหมาย เขาว่ายังงั้น ถ้าตามกฎหมายจริงๆ ละก็ นรกขุมนี้เขาก็ไม่เคยมาเหมือนกัน แต่ว่าสำหรับท่านผู้นี้ปฏิบัติเลี่ยงกฎหมายไป คือเกรงว่ากฎหมายจะชอกช้ำ กฎหมายห้ามไว้อย่างนี้ ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายก็ต้องเรียกว่าเอากฎหมายมาใช้อยู่ตลอดเวลา ทีนี้ท่านก็เกรงใจคนร่างกฎหมาย เกรงใจคนพิมพ์กฎหมาย เกรงว่าสมุดกฎหมายนี้ช้ำมากเกินไปละก้อจะต้องซื้อใหม่โรงพิมพ์ก็ต้องจัดพิมพ์ใหม่เป็นการลำบาก ท่านก็เลยปิดกฎหมายไว้เรียบร้อยในเซฟ ใหม่เอี่ยมอยู่ตลอดเวลา เรื่องของกฎหมายบัญญัติไว้ว่าปรับเท่านี้ ลงโทษเท่านี้ ท่านไม่ทำ ไม่ทำเพราะอะไร เพราะว่าเกรงใจกฎหมาย อย่างสมมุติว่ามีคนเขาขโมยของใครๆ ไปกฎหมายจะต้องลงโทษปรับ หรือติดคุกติดตะราง แต่ทว่าคนนั้นเขาเอาสตางค์ไปให้ท่านข้าราชการผู้นั้น ท่านก็ตัดสินใจเสียใหม่ ปล่อยไปเพราะเมตตา เมตตาที่เอาสตางค์มาให้ เป็นอันว่านรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับข้าราชการทุจริต จะทุจริตแบบไหนก็ตาม ตัวอย่างนรกขุมนี้ก่อนจึงจะไปที่อื่นได้ ตานี้ว่ากันว่าข้าราชการทุจริตน่ะ ละแต่นรกขุมนี้หรือ? อย่าลืมว่าเงินหลวงเหมือนกับเงินสงฆ์ เป็นเงินส่วนกลาง แล้วการทำกับประชาชนก็เป็นการทำกับคณะบุคคลส่วนใหญ่ ถ้าฝ่ายพระก็เรียกว่าสงฆ์ เป็นคณะของสงฆ์ คำว่าสงฆ์นี่ก็แปลว่าคนหรือหมู่ก็ตาม ทำกับบุคคลที่เป็นกลุ่มก็ตาม กระทำให้ส่วนสาธารณะ ไม่ใช่สาธารณประโยชน์สาธารณโทษ ทำกิจที่เป็นโทษไปสู่กลุ่มสาธารณะรวมกันมาก มีโทษหนักเท่ากับของสงฆ์ เพราะฉะนั้น ข้าราชการประเภทนี้ ถ้าตายจากความเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าทำประเภทเดียวก็ไปลงอเวจีมหานรกก่อน แล้วก็ผ่านนรกบริวาร แล้วก็มาพักอยู่ที่นรกขุมนี้ชั่วคราวนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ว่าถ้าทำโทษอย่างอื่นอีก ก็ไปนรกขุมอื่นต่อไป กว่าจะพ้นไปได้ก็ต้องมาใช้หนี้กฎของกรรมตามที่กล่าวไปแล้ว มีอะไรบ้างก็ช่าง ใช้มาหมดแล้วก็จะปรากฏว่าการทุจริต มาลงนรกขุมนี้ นี่เป็นยังงี้นาบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ ท่านผู้ที่วิ่งอยู่ในนรกขุมนี้ถูกภูเขาทับบดละเอียดอยู่แบบนี้ ไม่ใช่ใครเป็นนักรีดนักไถ เวลาที่ท่านอยู่ในเมืองมนุษย์ท่านชอบรีดเขา มาถึงเมืองนรกเขาก็เลยรีดเอาบ้าง ใครถูกเขารีดให้แบนลงไป เมื่อภูเขาเลยไปก็กลับเป็นตัวตนขึ้นมาใหม่ถูกไฟเผา แล้วก็ถูกภูเขามารีดอีก รีดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เขาลงโทษสาสมกับคุณธรรมที่ปฏิบัติไว้ได้ดี ได้ชมนรกขุมนี้พอสมควร เวลามันจะช้าไป ลองเดินไปข้างหน้าอีกนิด วันนี้เห็นจะไม่ลงละมั่ง นรก ๑๐ ขุมเห็นจะไม่จบ เวลาคงจะไม่พอ ไปดูนรกขุมที่ ๗


    นรกขุมที่ ๗ นี่มีนามว่า ธุสะนรก ธุสะนรก เขาแปลกันว่าอะไร? ดูกันก่อนมองดูให้ดี เขาบอกชื่อว่ายังงั้น แล้วที่นี้เขามีอะไร อ๋อ มองให้ดีซิบรรดาท่านพุทธบริษัท นรกขุมนี้เป็นนรกที่มีความรื่นรมย์ดีไม่น้อยเหมือนกัน รื่นรมย์มาก คล้ายๆ กับเวตตรณีนรกเห็นไหม เขามีแม่น้ำ โอโฮ แม่น้ำใสจริง ๆ แม่น้ำนี้ใสมาก สะอาดมาก ใสแจ๋วเป็นแม่น้ำใหญ่น่ารื่นรมย์เหลือเกิน น่าโดดเล่น ตานี้ถ้าบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่ลงไปนรกต่างๆ มาแล้ว ถูกไฟเผาผลาญมีความร้อน นับเวลาไม่ได้ ก็รู้สึกว่าการทุรนทุรายต้องการน้ำ คือมีความกระหายน้ำ ก็ต้องการจะอาบน้ำเพื่อความเยือกเย็น เดินมาใกล้ถึงนรกขุมนี้ เมื่อมองเห็นน้ำใสสะอาดมีความเย็น คิดว่าเย็นดี ต่างคนต่างก็วิ่งรี่เข้าหาแม่น้ำ เพราะความหิวน้ำ เพราะความร้อนบังคับ เมื่อถึงแม่น้ำแล้วแทนที่จะดื่มกินเฉยๆ อันดับแรกก็คิดทำคราวเดียวได้ผลพร้อมกัน ใช้กระสุนนัดเดียวยิงนกให้ได้ ๒ ตัว ทำยังไง เห็นไหมบรรดาท่านพุทธบริษัทมองดูซิ มองดูลงไปสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นขึ้นมาจากนรกขุมที่ 6 มาแต่ไกล พอเห็นแม่น้ำเข้าวิ่งชิงกันออกมา วิ่งแร่เข้ามาหาแม่น้ำ พอมาถึงแล้วเขาทำยังไง ถึงขอบแม่น้ำ ทุกคนก็โดดลงไปพร้อมๆ กันหวังจะอาบน้ำแล้วกินน้ำด้วยพร้อมกัน เรียกว่าใช้กระสุนนัดเดียวได้นก ๒ ตัว แต่ที่ไหนได้ พอโดดลงไปก็ปรากฏว่าน้ำในนั้นแห้งหมด ไม่เหลือ ไม่ปรากฏว่ามีซากของน้ำสักนิดเดียว กลายเป็นแกลบ น้ำเป็นแกลบหิน หรือแกลบเหล็ก แล้วแกลบนั้นก็กลายเป็นไฟกรดลุกโพลง แกลบก็แดงโชนเป็นเหล็กแดง ไฟก็เผาผลาญ ทำยังไง? วิ่งกันพลุกพล่าน ถ้าขึ้นมาบนขอบแม่น้ำ ก็ถูกนายนิริยบาลยันลงไปด้วยหอกบ้าง ตีลงไปด้วยค้อนบ้าง ให้ลงไปบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็มีแต่ทุกขเวทนา วิ่งไปวิ่งมา วิ่งมาวิ่งไป แกลบก็เป็นแกลบเหล็กเผาแดงโชนอย่างนี้ได้รับทุกข์ทรมานสลดใจไหม


    นรกขุมนี้ เขามีไว้สำหรับคนประเภทไหน? ท่านบอกว่ามีไว้สำหรับคนไม่ซื่อ นี่ว่ากันชัดๆ นะ เรียกว่าไม่ซื่อด้วยประการทั้งปวง คนไหนที่มีความไม่ซื่อ ชอบคดโกงหลอกลวงชาวบ้าน จะเป็นกรณีใดๆ ก็ตาม เมื่อลงไปสู่นรกขุมใหญ่แล้ว ก็มาผ่านนรกขุมนี้อีก ๑ ขุม เป็นอันว่ายมโลกียนรกนี่ เป็นเศษส่วนหนึ่งของนรกขุมใหญ่ หมายความว่ามาเก็บกรรมตามกฎของกรรม นรกขุมใหญ่นะ รวมกฎของกรรม ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ร้ายแรงน้อยกว่าตกนรกขุมที่ ๑ ร้ายแรงมากอีกนิดก็ตกนรกขุมที่ ๒ แต่ต้องผ่านบริวารไป ร้ายแรงมากก็ลงอเวจี แต่ทว่ามายมโลกียนรกนี้ มาไล่เบี้ยกฎของกรรมเป็นอย่างๆ ใครทำแบบไหนต้องลงนรกขุมนั้นโดยเฉพาะ ไม่ใช่ลงโทษรวม เป็นอันว่านรกขุมใหญ่เป็นนรกแป๊ะเจี๊ยะเฉยๆ เผาผลาญเฉยๆ ลงโทษเฉยๆ ไม่ได้ให้สิทธิออกมาเลย ออกมาแล้วก็มาถูกเก็บขุมนี้อีก เป็นอันว่าทราบแล้วนะ ว่าบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มาอยู่นรกขุมนี้ทุกคนเขาเป็นคนไม่ซื่อ ความไม่ซื่อตรงด้วยกรณีใดๆ ก็ตาม ผ่านนรกขุมใหญ่แล้วก็มาขุมนี้ เอ้า ดูกันเท่านี้พอ วันนี้ไม่จบแน่ นรก ๑๐ ขุม จะเล่าให้จบเร็วๆ ก็ได้ แต่ทว่ามันก็ลัดเกินไป บรรดาท่านพุทธบริษัทหาหนังสืออ่านได้ยาก กว่าอาตมาจะนำมาเล่าได้นี่ก็ค้นหนังสือมา ๒-๓ ปี กว่าจะรวบรวมได้ครบ เอาละ อาศัยท่านเจ้าคุณศรีวิสุทธิโสภณ วัดดอน ยานนาวา ท่านรวบรวมไว้บางตอนเอามา ไปพบเข้าก็รู้สึกดีใจ ขอขอบคุณพระเดชพระคุณ พระศรีวิสุทธิโสภณ วัดดอน ยานนาวาไว้ในที่นี้ด้วย อุตส่าห์ค้นคว้าหนังสือประเภทนี้มาไว้ เพราะหนังสือประเภทนี้สูญหายไปจากความทรงจำของบรรดาท่านพุทธบริษัทเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระก็เหมือนกัน เลิกเทศน์กันเสียแล้ว ที่ไม่เทศน์ก็มีอยู่ ๒ อย่าง คือ คิดว่าไม่มีจริงบ้าง หรือขี้เกียจค้นบ้าง หรือค้นพบก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นของจริงเลยไม่เทศน์ ความจริงเทศน์เข้าไว้หน่อยก็ดี เพราะว่าเป็นพระพุทธโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงรับรอง ชมนรกขุมที่ ๗ พอสมควร ก็ย่องไปดูนรกขุมที่ ๘
     
  8. แม่กลอง

    แม่กลอง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +90
    คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ2

    เรื่องนรกขุมใหญ่ 1ถึง5



    ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ ตอนนี้เป็นตอนที่ ๔ สำหรับการนำทัศนาจรนรก ความจริงก็ไม่ได้นำไปทัศนาจรแต่นรกอย่างเดียว แม้สวรรค์ พรหมโลกและนิพพาน ก็จะนำขึ้นไปด้วย ทีนี้พาบรรดาพุทธศาสนิกชนและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ มานั่งแอ๋อยู่ที่สำนักของพระยายมถึง ๒ ชุด ต่อจากนี้ไป เมื่อรู้เรื่องราวของพระยายมกันแล้วว่า พระยายมไม่ใช่พวกสัตว์นรก เป็นพวกของชาวสวรรค์ที่คอยมากีดกันไม่ให้คนลงนรกด้วยความเมตตาปรานี ความจริงท่านทำหน้าที่โดยไม่มีเงินดาวเงินเดือนอะไรทั้งหมด แล้วปรากฏว่าท่านก็ไม่เบื่อหน่าย จริยาของพระยายมก็ดี เจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็ดี มีจริยาอย่างพรหม ฉะนั้น เราควรจะเรียกกันว่าพรหมก็ได้ หรือว่าใครจะค้านก็ตามใจ


    นี่เรามานั่งกันนานแล้วนี่ ลุกจากเก้าอี้แก้วมณีเสียทีดีไหม เดินทางกันต่อไป นี่พวกเราขออนุญาตพระยายมเสียหน่อย ประเดี๋ยวท่านจะหาว่าพวกเราไร้มรรยาท จะเข้าไปในเขตนรกต้องผ่านท่าน เมื่อเรามาลืมไหว้ท่านไป เมื่อเราจะกลับไปเราลาดีกว่า เอ้าลาท่านเสียทุกคน ลาท่านแล้วก็บอกท่านไว้ด้วยว่า เวลาตายมาแล้ว จะมาอยู่กับท่านที่นรกขุมไหนก็ตามใจ ประเดี๋ยวท่านทั้งหลายจะได้รู้ ว่านรกขุมไหนเราบำเพ็ญบารมีอะไรจึงมาอยู่กันได้ นี่ว่ากันถึงนรกขุมใหญ่ก่อนนะ หรือว่านรกขุมเล็กขุมน้อยอะไรก็ตามเถอะ ท่านต้องการนรกขุมไหน ถ้าได้ชมแล้วชอบใจขุมไหน กลับมาบอกกับพระยายม ว่าข้าพเจ้ากลับไปนี้แล้วจะบำเพ็ญบารมีอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อจะกลับมาอยู่นรกขุมนั้น เอ้า ตั้งใจไว้ให้ดีนะให้สัญญากันท่านไว้ ว่าจะกลับมาเป็นลูกศิษย์ท่านหรือจะบอกว่า ถ้าหากข้าพเจ้ากลับไปแล้ว รู้แล้วว่าโทษความชั่วเป็นอย่างไร ความจริงคนที่ตายมาแล้วไม่ใช่ว่าจะสิ้นทุกข์ คนที่ฆ่าตัวตายเพื่อหนีทุกข์ในโลกปัจจุบัน แต่ว่าเข้าใจว่าเมื่อตายไปแล้วนั้นมีความสุข ไม่มีความลำบาก นี่ไม่จริง ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่าตายแล้ว ถ้าทำความไม่ดีไว้ก็จะกลายเป็นโทษหนัก มีความเดือดร้อนหนัก จะไม่ยอมมาอยู่ในสถานที่นี้อีกแล้วก็จะบำเพ็ญบุญบารมีอันใดไปสวรรค์ชั้นไหน หรือไปพรหมโลกก็บอกกับท่านไว้ เรื่องจะผ่านสำนักนี้ไม่เอา บอกกับท่านยังงี้ก็ได้นะ ถ้ามั่นใจในความดีของตัว เอาละคุยกันต่อไป ลาแล้วหรือยัง ลาแล้วก็ค่อยๆ ลุกมา เก้าอี้ตัวนี้สวยนะ ที่นั่งกันทุกตัวน่ะ เก้าอี้ เป็นเก้าอี้เก้ามณี นี่ถ้าเราได้ไปสักตัวก็เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ขายราคาได้หลายพันล้าน แต่ว่าที่บ้านของพระยายมท่านมีเก้าอี้รองนั่ง เห็นไหมล่ะดีกว่าเราตั้งเยอะ


    คราวนี้ออกมาจากสำนักของพระยายม ผ่านม่านสำหรับกั้นเขาเปิดให้แล้ว ออกมาแล้วลงบันไดเดินมาถึงที่ว่าง หันหน้าไปทางทิศใต้ก่อน หันไปแล้วทุกคน “ซ้ายหัน” หันหน้าไปทางซ้าย มองดูอะไรข้างหน้า เห็นไหม ในด้านทิศตะวันออก ตรงออกไปแล้วมองออกไปทางขวา ทางด้านทิศใต้ มองไปทางซ้ายทางด้านทิศเหนือ เห็นแสงเพลิงพวยพุ่งแสงสว่างของเพลิงพวยพุ่งขึ้นจับท้องฟ้า หาที่สุดมิได้ ไกลหาประมาณมิได้เลยสุดลูกตาที่เราจะมองเห็น ก็ยังไม่สุดแสงไฟ นั่นเป็นอะไรทราบไหม บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน? แดนนี้แหละ ที่เราเรียกว่านรกขุมใหญ่ ๘ ขุม จำไว้ให้ดีนะ เดินไปอีกนิดเดียวเท่านั้นข้างหน้าของเราเห็นไหม นายนิริยบาลนำกลุ่มคนไปข้างหน้าประมาณ ๙ กลุ่มหรือ ๑๐ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีปริมาณเกินกว่า ๑๐ คน เดินเรียงรายกันเป็นแถวอย่างมีระเบียบ ทุกคนไม่ต้องล่าม ไม่ต้องผูก ไม่ต้องมัด ทุกๆ คนมีระเบียบ นายนิริยบาลเดินหน้า ทุกคนเขาเดินตามอย่างมีระเบียบ ไม่มีใครพูด ไม่มีใครจา มีแต่แสดงอาการซีดเซียวหวาดกลัว หวาดผวาอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้ว่าตัวจะมีโทษ นี่แหละคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่อยู่เขตของความดี มีความประมาท เป็นยังงี้


    เอาละ ดูกันต่อไป พวกเราเห็นแล้วใช่ไหม ถ้าเห็นแล้วทุกคนจะเดินตามอาตมามาตามเขาไป เดินให้ดีนะจะผิดทาง จะลื่นไหลลงนรกไป ทางในเมืองนี้ไม่มีหัวระแหงไม่มีขรุขระ เป็นทางเรียบๆ เป็นทางเลี่ยนๆ ระวังจะลื่น คนที่เดินตามน่ะหัวล้านหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ว่าคนนำน่ะหัวล้านแน่ คนหัวล้านนี่เขาไม่ประมาทหรอก ไอ้ที่ไหนมันเรียบๆ เลี่ยนๆ เตียนๆ ละมันลื้น เหมือนกับหัวของเขา เขาไม่ประมาท ข้างหลังมีหรือเปล่า โยมจ่าพัว ชระเอม บ้านบางพุดทรา จังหวัดสิงห์บุรี ตามมาหรือเปล่า ถ้าตามมาละก้อ เราเป็นคนพวกเดียวกันนะ เราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน มา….เดินมาใกล้ๆ นายนิริยบาลจะได้เกรงใจว่าพวกมนุษย์ขึ้นมากันตั้งเยอะแยะ ไม่กล้ารวมพวก โดยเฉพาะผู้นำปาเข้าไปตั้ง ๒ ล้านแล้ว มาไปด้วยกัน เดินมาครู่หนึ่ง ตอนนี้เห็นหรือไม่ มองไปด้านซ้าย ด้านที่เราเดินเป็นทางราบรื่น ลองไปดูซิ มีอะไรเป็นทะเลเพลิง เป็นบริเวณใหญ่คล้ายๆ กับบ่อ แต่บ่อนี้ไม่ใช่บ่อเล็กๆ เรามองเท่าใดก็ตาม ไม่เห็นที่สุดของขอบบ่อ คือมองด้านนี้แล้วก็ไม่เห็นด้านโน้น ไม่ใช่บ่อลึกเฉยๆ นะ บ่อเป็นบริเวณเว้าลงไป เป็นที่ลึกลงไปมีพื้นเบื้องล่าง พื้นเบื้องล่างเป็นเหล็กหนาถูกไฟเผาจนแดงโชน ขอบข้างๆ ทั้ง ๔ ขอบ ก็ปรากฏว่าเป็นเหล็กเหมือนกัน ถูกไฟเผาจนแดงโชนเหมือนกันหมด ในบริเวณนั้นเต็มไปด้วยไฟ หาที่ว่างจากไฟไม่ได้เลย อันนี้เราเรียกอะไร ภายในระหว่างไฟนั้น ปรากฏว่ามีสรรพาวุธต่างๆ มีอาวุธนะ มีหอก มีดาบ มีอะไรต่ออะไรเกะกะระรานไปหมดถูกไฟเผาจนแดงมีแต่ความคมจัด นี่เป็นยังงี้ คนเขาจึงบอกไม่ถูกในบริเวณนั้นมีอะไรบ้าง คนวิ่งเกลื่อนหมด เท้าเหยียบพื้นเหล็กงี้แดงโชน ร้อน ร่างกายมีไฟเผาอยู่ตลอดเวลาแล้วเวลาวิ่งก็กระทบ หอกบ้าง ดาบบ้าง ทวนบ้าง ค้อนบ้าง ทุบตีฟันเข้ามา ถูกหอกเสียบดิ้นเร่าๆๆ ร้องครวญคราง หลุดจากหอกไปกระทบดาบ มาจากไหนไม่ทราบฟันฉับเข้า ขาดโน้นขาดนี่ แต่แล้วก็ติด ปั๊บ พอถูกฟันขาดแล้วก็ติด ตายไม่ได้ ไม่มีอาการตายที่นี่เขาไม่ตายกัน ถ้าตายแล้วไม่เป็นการทรมาน แล้วในบริเวณนั้นมีนายนิริยบาลตัวใหญ่ๆ เดินได้อย่างสบาย นายนิริยบาลนี่ไฟไม่ลงโทษ เดินไปอย่างสบาย มีความเย็นสบาย คล้ายๆ เราเดินในที่โล่งๆ มีลมพัดฉิวๆ น้อยๆ เย็นสบาย เพราะว่าเขาไม่มีบาป พวกสรรพาวุธต่างๆ ก็ดี ไฟก็ดี ลงโทษแต่คนที่มีบาป แต่คนที่ไม่มีบาปไม่ลงโทษสำหรับท่านที่ตามอาตมามา อย่าเหยียบลงไปนะในนั้น อย่าเผลอเดินลงไป ถ้าบังเอิญท่านทั้งหลายที่ตามมาที่นี่เป็นพระอริยเจ้าไฟนรกจะดับ อย่าลงไปนะ ในที่นี้เคยเกิดเรื่องกันมาแล้ว พระมาลัยกับพระยายม ท่านมาทีไรท่านย่องลงไปในขุมนรก ไฟของเขาก็ดับสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันพักชั่วครู่ชั่วคราว อันนี้เป็นจริยาที่ไม่ดี อย่าทำ ในเมื่อเขามีกรรมก็ต้องได้รับโทษ เราก็ทรงอุเบกขาอย่างท่านพระยายมท่าน เรียกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม อย่าไปฝืนกฎระเบียบของเขา เอา เป็นอันว่าท่านทั้งหลายเห็นแล้วใช่ไหมว่านรกนี้เต็มไปด้วยไฟ ไฟเผาตลอดเวลา มีสรรพาวุธประหัตประหารตลอดเวลา สัตว์ทั้งหลายมีแต่ความทุกข์ทรมาน จะหาเวลาไม่รู้สึกตัวนิดหนึ่งไม่มี นรกขุมนี้เขาเรียกกันว่าอะไร เขาให้ชื่อว่านรกขุมที่ ๑ นะ นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๑ เขาให้ชื่อว่า สัญชีพนรก แล้วสัตว์ที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกนี้มีอายุถึง ๕๐๐ ปี ๕๐๐ ปีของนรกขุมนี้นะ นรกขุมหนึ่งมีอายุไม่เท่ากัน ๕๐๐ ปีนรก ทีนี้ เรามานั่งเทียบกันดูวันเดือนปีของนรกกับมนุษย์เฉพาะนรกขุมนี้ ๕๐๐ ปี นับในมนุษย์ ๙ ล้านปีของเรานะ เป็นหนึ่งวันในนรกขุมนี้ แล้วก็เดือนหนึ่งมี ๓๐ วันเหมือนกัน แล้วปีหนึ่งมี ๑๒ เดือนเหมือนกัน คูณกันเข้าไป อย่าลืมนะว่าสัญชีพนรกนับในปีของมนุษย์นี่ ๙ ล้านปีเป็นหนึ่งวันของนรก แล้วเดือนหนึ่ง ๓๐ วัน ปีหนึ่ง ๑๒ เดือน สัตว์ที่ต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่ในขุมนรกนี้ ๕๐๐ ปีนรก มันนานเท่าไรก็ลองคิดดู ถ้าหากว่าสัตว์ที่ทำกรรมมาเข้านรกขุมนี้ทำบาปอะไร ก็ตอบว่า ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ แต่ว่าอย่างเบานะ ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ ทั้งหมดเป็นอย่างเบา ตานี้ ถ้าหนักลงไปอีกนิดล่ะ? ถ้าหนักลงไปอีกนิด ก็ลงนรกขุมที่ ๒ นรกขุมที่ ๒ นี่ชื่อว่ากาฬปุตตะนรก นรกขุมนี้ว่าถึงอายุเลยดีกว่า สัตว์ที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกขุมนี้ เสวยทุกขเวทนาอยู่ถึง ๑๐๐๐ ปีนรก แล้วก็ ๑๐๐๐ ปีนรกน่ะท่านอย่าคิดว่า ๙ ล้านปีของเราเป็น ๑ วันนะ ไม่ใช่ยังงั้น นรกขุมนี้มีกรรมหนักกว่า แล้วก็อายุก็มากกว่า ถ้านับปีในเมืองมนุษย์ได้ ๓๖ ล้านปี เป็น ๑ วันในนรกขุมนี้ เห็นไหมล่ะไม่เท่ากันเสียแล้วซิ นรกขุมที่ ๑, ๕๐๐ ปี เทียบ ๑ วันของเขานี่ ๙ ล้านปี นรกขุมที่ ๒ นี้ชื่อกาฬปุตตะนรก ต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่ ๑๐๐๐ ปีนรก เทียบกับเมืองเราได้ ๓๖ ล้านปี เป็น ๑ วันของเขา แล้วก็ ๓๐ วัน เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนเป็น ๑ ปีเหมือนกัน แล้วนรกขุมนี้เขาลงโทษกันด้วยอะไร นี่กรรมบถ ๑๐ นา ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ แต่ว่าหนักกว่านั้นไปนิดหนึ่ง ไม่เคารพมากไปหน่อยหนึ่ง คือว่านรกขุมนี้เขา….อ๋อ บริเวณหรือเกือบจะลืมเสียแล้ว ใครสะกิดข้างหลัง ใครมาสะกิดข้างหลังถามว่าบริเวณน่ะ มีอะไรบ้าง ลืมบอกไป


    บริเวณของนรกขุมนี้ก็เหมือนกัน มีกำแพงทั้ง ๔ เป็นเหล็ก แล้วก็มีพื้นเป็นเหล็กถูกไฟเผาจนแดงโชน โน่น เห็นไหม ภายในบริเวณของขุมนรก นายนิริยบาลตัวใหญ่ๆ จับสัตว์นรกนอนลงไป แล้วก็ไปเอาเส้นบรรทัดมาตีบรรทัด คนหนึ่งจับทางด้านหัวเชือกหนึ่ง อีกคนหนึ่งจับทางอีกหัวหนึ่ง ขึงตามยาวของตัวสัตว์ ขึงตามขวางของตัวสัตว์บ้าง อีกคนหนึ่งดึงสายบรรทัดลงมาตีเป๊ะลงไป สายบรรทัดนั่นเป็นของอะไร? เป็นสายเหล็กที่ถูกเผาไฟจนโชน แล้วพื้นที่นอนก็เป็นแผ่นเหล็กที่ถูกไฟเผาจนแดงโชน แล้วไฟก็เผาตลอดเวลา เมื่อตีเส้นลงไปแล้วเขาก็นำเลื่อยมาเลื่อยตามรอยเส้นนั้น ตามยาวก็ดี ตามขวางก็ดี บางทีคนหาเลื่อยไม่ทันก็เอาขวานบ้าง เอามีดโต้บ้างมาสับตามรอยนั้น สัตว์ในขุมนี้ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างนี้ถึง ๑๐๐๐ ปีนรก หนักลงไปนิดหนึ่ง ไม่เห็นยากเลย นี่คนที่ไม่รู้จักความดีนะ เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์นี่ดีแล้ว เลือกทางไปสวรรค์ก็ได้ พรหมโลกก็ได้ เลือกทางไปนิพพานก็ได้ แต่ว่าไม่มีใครต้องการ ส่วนใหญ่ต้องการมาลงนรก จำไว้ก็แล้วกัน เออนี่ ท่านที่ติดตามมานี่ ๒ ขุมนี่ชอบใจขุมไหน? ชอบใจขุมไหน? หรือว่าไม่ชอบเลย? ไม่ชอบเลยก็ตามใจ ถ้าชอบใจขุมไหนละก้อ จำเอาไว้นะกลับขึ้นไปละก้อกลับไปบ้าน ไปจำภาพของนรกขุมนั้นไว้ แล้วก็จำปฏิปทาที่เขาปฏิบัติว่าเขาบำเพ็ญบารมีคือไม่ยอมเคารพในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ ขนาดเบา ขนาดหนักไปนิด ขนาดหนักไปหน่อย จนกระทั่งถึงขนาดหนักที่สุด ได้มีโอกาสมาลงนรกขุมใหญ่ ความจริงก็สบายดี ตานี้ว่ามา ๒ ขุมแล้วก็ลืมไป


    เมื่อเราออกจากนรกขุมที่ ๑ นะ มันก็ต้องผ่านนรกขุมบริวาร ถึงจะมาลงขุมที่ ๒ ได้ แต่ว่านรกบริวารจะเอาไว้รวมสรุปพูดตอนหลัง ตอนนี้มาดูนรกขุมที่ ๓ นรกขุมที่ ๓ นี่เป็นยังไง อ๋อ เขาเรียกว่า สังฆาฏนรก แถมเขาเขียนป้ายไว้ เห็นไหม เห็นป้ายไหมป้ายใหญ่เบ้อเร่อเชียว ว่าขุมนี้ชื่อว่าสังฆาฏนรก มีอายุ ๒๐๐๐ ปีนรก มีอายุไม่เท่ากันนะ อายุละคูณด้วย ๒ เสมอไป คราวนี้ที่ร้ายที่สุดคือนับปีเมืองมนุษย์ไม่เท่ากันอีก เทียบปีในมนุษย์ได้ ๑๔๕ ล้านปี เท่ากับ ๑ วันของเขา แย่ไหมจำไว้นา สังฆาฏนรก มีอายุอยู่ในนรกได้ ๒๐๐๐ ปี ๒๐๐๐ ปีนรก แล้วก็เทียบเมืองมนุษย์ได้ ๑๔๕ ล้านปีเป็น ๑ วันของเขา ทีนี้การลงโทษ การลงโทษนี้ไม่เหมือนกันแฮะ มองดูไปในขุมนรกขุมนี้ซิ นอกจากมีกำแพงเหล็กไฟเผาจนแดงโชน มีพื้นเหล็กไฟเผาจนแดงโชนแล้ว ก็มีภูเขากลิ้งมาในทิศทั้ง ๔ นั่นเป็นภูเขาเหล็ก คือว่า เหล็กก้อนใหญ่คล้ายๆ ภูเขานั่นเอง มีไฟเผาจนแดงโชนเป็นเหล็กแดงกลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งเข้าหากัน บดบรรดาสัตว์ทั้งหลายให้แหลกเหลวไป เมื่อเขาเหล็กเลยไปแล้ว สัตว์ทั้งหลายก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ คือร่างกายเต็มตามเดิม แล้วก็วิ่งหนีภูเขานั้นต่างๆ วิ่งไป วิ่งไปไปเจอนายนิริยบาลเข้าพ่อก็ล่อด้วยค้อนใหญ่บ้าง ล่อด้วยหอกบ้าง แทงเสียบ้าง ตีเสียบ้าง สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็วิ่งหนีนายนิริยบาล ไอ้ที่วิ่งหนีน่ะวิ่งไปไหน? วิ่งไปบนพื้นเหล็กแดง แล้วไฟก็เผาอยู่ตลอดเวลา แย่ไหม? แย่จริงๆ นะ พื้นก็เป็นเหล็กแดงไฟก็เผาอยู่ตลอดเวลา วิ่งไปวิ่งมาไปเจอะเอาเขากลิ้งมาจากทิศโน้นอีกหนีไม่พ้น ภูเขาทับลงไปบี้แบน ไม่ตาย ตายไม่ได้เพราะเขาต้องการทรมานนี่ เขาต้องการทรมานจะตายได้อย่างไร ไม่ตายหรอก เอาละนรกขุมนี้ ท่านทั้งหลายที่ติดตามมาใครอยากจะลงบ้าง ดีเหมือนกัน สบายดีนะ มีภูเขาบดเล่นวิ่งบนพื้นเหล็กแดง วิ่งในกองไฟถูกนายนิริยบาลทุบตีเอา หรือว่าเสียบแทงเอาบ้าง โทษอะไร? ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ หนักลงมาคือใจทรามลงไปอีกนิดหนึ่งจากขุมที่ ๓


    ตานี้ มานรกขุมที่ ๔ มาดูกันให้ดี นรกขุมนี้ท่านเรียกว่า โรรุวนรก นี่ว่านรกกันเสียให้เสร็จนะ เดี๋ยวจะไม่จบ นรกขุม ๔ เรียกว่าโรรุวนรก อายุของสัตว์นรกขุมนี้มีอายุเท่าไรล่ะ? ๔๐๐๐ ปีนรก ๔๐๐๐ ปีนรกนะ ไม่ใช่ ๔๐๐๐ ปีในเมืองมนุษย์ ทีนี้มาดูวันเปรียบเทียบ ได้ ๒๓๔ ล้านปีเมืองมนุษย์เป็น ๑ วันของเขา แล้วก็อยากจะรู้ว่านรกนี้เป็นกี่ล้านปีของมนุษย์ก็คูณกันเอาเองก็แล้วกันนะ เพราะบอกไว้แล้วนี่ ว่าเดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือนเหมือนกัน การลงโทษในนรกขุมนี้ นรกขุมนี้ตามบาลีท่านเรียกว่า ปทุมนรก ปทุมดอกบัว ปทุมนรกนี้มี ๒ ขุมด้วยกัน คือขุมที่ ๔ กับขุมที่ ๕ ถ้าถามว่าโทษอะไรก็ตอบได้ว่าอย่างเดียวกัน ว่าไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ มากยิ่งขึ้น ทีนี้ในบริเวณนี้ก็มีกำแพงเหล็ก ๔ ด้านเหมือนกัน มีพื้นเป็นเหล็ก แล้วตรงกลางไฟยิ่งร้อนขุมมากขึ้นเท่าใดไฟยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น ไฟนี้ไม่มีเปลว หาเปลวไม่ได้ ตานี้ บริเวณกลางของนรกขุมนี้มีดอกบัวขึ้นสะพรั่ง ท่านจึงเรียกว่าปทุมนรก แต่ดอกบัวนี้อย่าเข้าใจว่าแบบเดียวกับดอกบัวที่เราบูชานะ ไม่ใช่ยังงั้น ไม่ใช่ดอกบัวที่เราบูชาพระ เป็นดอกบัวเหล็ก ดอกบัวเหล็กก็ใหญ่มาก กลีบก็เป็นเหล็ก มีไฟเผาจนแดงโชน การลงโทษในนรกขุมนี้นายนิริยบาลไม่ต้องมีเพราะไม่ต้องการไล่ตีสัตว์นรก สัตว์นรกทุกคนที่เข้าไปนรกขุมนี้แล้ว เขาก็บังคับให้ขึ้นไปนั่งบนดอกบัว จำให้ดีนะ ทีนี้เมื่อขึ้นไฟบนดอกบัวแล้วกลีบบัวก็บานขึ้น บานก็เป็นเหล็กแดงมีกระแสไฟพวยพุ่งออกมาจากกลีบ คราวนี้ดอกบัวก็ถูกไปเผาจนแดง ไฟกรดก็ยังเผาอยู่ตลอดเวลา พลุ่งอยู่ตลอดเวลาเขาบังคับ คือกฎของกรรมบังคับให้สัตว์ค่อยๆ ก้มหัวลง ขึ้นไปยืนบนดอกบัวแล้วนา เอาขาแหย่ลงไปในระหว่างกลีบ กรรมมันบังคับให้ตัวค่อยๆ ก้มลงๆๆ ในที่สุดก็จุ่มลงไปในโคนของกลีบดอกบัว มือทั้งสองข้างก็ยันลงไปในโคนของกลีบดอกบัว เมื่อพร้อมแล้วกลีบดอกบัวก็งับเข้ามาเป็นกลีบเหล็ก ร้อนก็ร้อน คมก็คม หัวจรดลงไปถึงแค่คาง มือจมลงไปถึงแค่ข้อมือ เท้าทั้งสองจมลงไปถึงแค่ข้อเท้า เจ็บก็เจ็บร้อนก็ร้อน ถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ดอกบัวเหล็กก็รัดเข้าไว้ ความทุกข์ทรมานก็คงอยู่อย่างนั้นนานหนักหนาจนกว่าจะสิ้นอายุ ๔๐๐๐ ปีนรก เสียงร้องระงมไปหมด แต่ร้องไม่ค่อยดังนัก เพราะไอ้ปากมันไปจมอยู่ในดอกบัว เสียงมันเลยขาด ท่านจึงให้นามว่าโรรุวนรก นรกขุมนี้ เท่าที่ได้ฟังมาพอใจไหม? พอใจก็เชิญนะลงมาได้ ถามว่าบำเพ็ญบารมีอะไรจึงจะลงนรกขุมที่ ๔ ได้ ก็บอกว่าไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ หนักขึ้น ทำใจให้ทรามมากขึ้น ไม่เคารพในพระพุทธเจ้าให้มากขึ้น ใช้ได้แล้ว


    คราวนี้เรามาดูนรกขุมที่ ๕ ต่อไป นรกขุมที่ ๕ ที่มีนามว่า มหาโรรุวนรก มหาแปลว่าใหญ่ โรรุวนรกแปลว่านรกใหญ่ นรกดอกบัวใหญ่ หรือนรกร้องใหญ่ นรกร้องใหญ่นี่มันแย่นะ โรรุวเขาแปลว่าร้อง แต่มีดอกบัวเรียกว่าปทุมนรก แต่ว่าชื่อของนรกเขาแปลว่าร้องเสียงดัง ก่อนจะถึงวิธีการร้อง ก็มาพูดถึงอายุก่อน อายุนรก สัตว์ขุมนี้ ๘๐๐๐ ปีนรก เทียบกับเมืองมนุษย์ได้ ๙๒๑๖ ล้านปีเป็น ๑ วัน แล้วก็คูณเอาเองนะ บอกไว้แล้วนี่ อย่าลืมว่ามหาโรรุวนรกมีอายุ ๘๐๐๐ ปีนรก แล้วก็เทียบกับเมืองมนุษย์ได้ ๙๒๑๖ ล้านปีเป็น ๑ วัน ทีนี้การลงโทษ นรกขุมนี้มีดอกบัวเหมือนกัน มีกำแพง ๔ ด้านเหมือนกัน แล้วก็มีดอกบัวตั้งสะพรั่งเหมือนกันเป็นดอกบัวที่น่าหวาด ไม่น่าชม แต่ว่าใกล้ๆ ดอกบัวมีแหลนหลาวปักเอาปลายขึ้น มีไฟลุกโชนเหมือนกัน เรื่องนรกไม่มีไฟไม่มี ทีนี้สัตว์ทั้งหลายที่ชอบลงนรกขุมนี้เขาทำยังไง? บังคับให้ขึ้นไปอยู่บนดอกบัว ดอกบัวนี้งับไม่กางงับไม่แน่นสนิทเหมือนดอกบัวขุมก่อน ขุมก่อนงับแน่นสนิทหนีไม่ได้ ดอกบัวขุมนี้มีกลีบคมเป็นกรด คมมากเหลือเกิน ร้อนมากกว่า สัตว์ขึ้นไปบนนั้นแล้วถูกความร้อนเผาเพราะอำนาจของความร้อนเต้นเร่าๆๆๆ เต้นเพราะความร้อน เต้นไปเต้นมากลีบดอกบัวมันก็บาดเข้าไปอีก ไอ้ไฟก็เผาเนื้อแซ่บเข้าไปในที่สุดถูกไฟเผาหนักเข้า เต้นหนักเข้า เนื้อหนังก็หล่นลงมา หมากิน นายนิริยบาลเลี้ยงหมาเหมือนกัน เหมือนอาตมา อาตมาก็เลี้ยงหมา แต่หมาเขามาปล่อย แต่นั่นมันเป็นหมานรก พนหล่นลงมาแล้วก็ปรากฏว่ามาเสียบบนแหลนบนหลาว เสียบแหลนหลาวเข้าไฟก็เผาเนื้อหล่นลงมาหมากิน แทะเหลือแต่กระดูกไม่ตายหรอก พอเหลือแต่กระดูกมันเจ็บแสบเหลือเกิน ร่างกายจับเข้าเป็นกายใหม่ พอเป็นกายเต็มแล้ว นายนิริยบาลก็เอาหอกเที่ยวไล่แทง บังคับให้ขึ้นไปอยู่บนดอกบัวอีกตามเดิม ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ถึง ๘๐๐๐ ปีนรกสบายๆ โทษอะไร ก็ไม่ต้องบอกกันมาก กรรมบถ ๑๐ ยังไงล่ะ ไม่เคารพ เอาละ บรรดาพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ วันนี้เห็นจะผ่านกลุ่มนรกไม่ได้นานเสียแล้ว เพราะเวลามันหมด เหลือเวลานาที ๒ นาทีเท่านั้น เป็นอันว่าวันนี้พักตรงแค่นี้ก่อนนะ แล้วก็ยังไม่กลับ นอนพักมันอยู่ตรงนี้แหละ นอนพักมันอยู่ตรงขอบนรกขุมที่ ๕ นี่ก่อน ยังไม่ต้องกลับ พวกเราไม่หิวไม่โหยอะไรนี่ แล้วก็นอนดูให้สบายถึงการลงโทษ มองดูให้สบายถึงจริยาของพระยายม อ้อ ของนายนิริยบาล ไม่ใช่พระยายม แล้วก็ดูการทุกข์ทรมาน จะได้จำเอาไว้ เวลาที่พักผ่อน ถ้ารู้สึกว่าร่างกายสบายก็เดินไปดูนรกตั้งแต่ขุม ๕ ถึงขุม ๑ จำปฏิปทาไว้ ถ้าอยากจะมาขุมไหนกลับไปบ้านตั้งใจบำเพ็ญบารมีแบบนั้น เขาอนุญาตให้มา ทางนรกไม่ปิดบัง

    คำสอนเรื่องของเปรต
    เข้าไปอ่านกันได้เลย........
    https://sites.google.com/site/porkaermidm/kha-sxn-hlwng-phx-vasi-ling-da2
     
  9. จารุ

    จารุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    23,747
    ค่าพลัง:
    +236,439
    ได้กราบหลวงตาวรชัย พร้อมกับรับงานที่ท่านมอบหมายให้ เรียบร้อยแล้วครับ
    โครงการ ใหญ่ :cool:
     
  10. จารุ

    จารุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    23,747
    ค่าพลัง:
    +236,439
    มีรูปให้ดู ในFB นะครับ
     
  11. อนุภัทร

    อนุภัทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    3,246
    ค่าพลัง:
    +6,279
    สู้ๆ ครับ เพื่อนผม(พี่แก๋)บอกว่าให้พี่วางหินไว้ที่ใจเลยครับ ที่เหลือพินาศครับ:cool:
     
  12. จารุ

    จารุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    23,747
    ค่าพลัง:
    +236,439
    ทางข้างหน้า ยังอีกไกล อย่าสนใจ แค่หนามตำ ครับ :cool:
     
  13. KRISDAPHOTIGANIT

    KRISDAPHOTIGANIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +2,243
    วางหินไว้ที่ใจ.....ที่เหลือพินาศ...สาธุ!!!

    กมฺมุนา วตฺตตี โลโก เจตนาหํ กมฺมํ วทามิ เจตยิตฺวา กมฺมํ กโรติ กาเยน วาจาย มนสา.........สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ด้วยเจตนานั้นแลยังผลกรรมให้บังเกิด...ทั้งดีและชั่ว

    .....หนักแน่นเข้าไว้ครับคุณจารุ:cool::cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤศจิกายน 2012
  14. จารุ

    จารุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    23,747
    ค่าพลัง:
    +236,439
    ใครช่วยดึงรูปพระปัจเจก ทองคำ ทั้งช่อมาเจริญศรัทธาหน่อยครับ
     
  15. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    จาก FB คุณจารุ


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. Jirawatt

    Jirawatt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +394
    ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาในพุทธศาสนาร่วมกันสวดพระคาถาชินบัญชรกันเถอะครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=PSLKDMvaoCY]พระคาถาชินบัญชร - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 พฤศจิกายน 2012
  17. ตะวันอัสดง

    ตะวันอัสดง เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,477
    ค่าพลัง:
    +5,029
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2012
  18. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    จาก FB คุณจารุ


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. จารุ

    จารุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    23,747
    ค่าพลัง:
    +236,439
    :cool::cool::cool::cool:
     
  20. sos1234

    sos1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,131
    แจ้งโอนเงินจำนวน 2000 บาท เมื่อวานนี้ครับ สำหรับรายการ พระกริ่งเนื้อทองแดง จำนวน 5 องค์ ที่อยู่แจ้งทางpm ครับ สำหรับค่าส่งวันจันทร์จะโอนเข้าบัญชีคุณจารุอีกครั้งครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMAG0077.jpg
      IMAG0077.jpg
      ขนาดไฟล์:
      899.1 KB
      เปิดดู:
      30

แชร์หน้านี้

Loading...