จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. tom tana

    tom tana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +833
    ครูวัฒน์ลองเข้าเว็บpopatas.com ดูซิคะ. รักษาโรคโดยใช้ลมหายใจและออกคำสั่งให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ. งดใช้ยาทุกประเภท. ได้ผลค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2012
  2. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    ของหมอแกน ก็ต้องล้างพิษด้วยสูตร โพเพทัส ค่ะ เมื่อได้สูตรแบบนี้ก็ต้องทำควบคู่กันกับ นั้นแหละค่ะ ของคนอื่นอาจได้ผล แต่ของปุ๋ม ได้ผลมาตัวหนึ่ง อิอิ
    ปล. หมอแกน ใช้ยาสูตรธรรมชาติ
     
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    จัดไป !...น้องดาว..เต็มที่เลยน้อง..ช่วยพี่ภูท่านหน่อย...ปล่อยให้ท่านไป Holiday มั้ง...เอ..ว่าแต่ว่า...พี่ภู พักร้อน เอ๊ย หรือ พักหนาว...เนี่ย..แล้วพี่เพ็ญล่ะ...ใครจะให้พี่เพ็ญ... พักร้อน...ได้มั้ยเนี่ย?:cool::cool:
     
  4. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    แสงไฟ...ทำให้ใจสว่าง

    ทุกท่านเคยขับรถตอนกลางคืนไหมครับ ...
    คิดว่าเคยไม่มากก้อน้อยสินะครับ

    ท่านคิดว่าในความมืด หรือแสงสว่างพอประมาณจะทำให้ท่านเห็นอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ในอากาศหรือไม่ ...

    เราขับรถมอเตอร์ไซด์เพื่อไปซื้ออาหารให้บ่วงทั้งสอง ในความมืด เมื่อขับขึ้นสะพาน แสงไฟของรถสาดส่องในมุมที่เชิดสูงขึ้น ...

    ท่านรู้ไหมเราเห็นอะไร เมื่อแสงสาดส่องไปในอากาศที่มืดมิด
    ในความมืด เราคิดว่าคงไม่มีอะไรใช่ไหม ... คงมีอากาศ แล้วก้ออะไรอีกก้อไม่รู้ แต่ตาเราไม่สามารถมองเห็นได้มาตลอด ...

    สิ่งที่เราเห็น คือ แสงไฟสาดไป ทำให้เรามองเห็น ฝุ่น เห็น ตะกอนต่างๆ ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ถ้าในสภาวะปกติ ไม่ว่าสว่างหรือมืด หรือใช้ไฟที่ส่องในแนวธรรมดา เราคงมองได้ไม่เห็นชัดนัก ...

    เห็นแล้วทำไมอะ ... จะมาเล่าทำไม
    ไม่รู้สิ ก้อคนอยากเล่าไง อิอิ

    ในบรรยากาศที่อยู่รอบตัวเรานั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ล่องลอยอยู่ แต่เรานั้นมองไม่เห็น เราก้อเลยคิดว่ามันไม่มี ...
    เราอยู่กับมันตลอดเวลา แต่เราไม่รู้แค่นั้นเองนะ

    แต่พอวันนึง เราเริ่มมาสนใจ เรากลับพบว่า อ้าว ทำไมบ้านเรามีฝุ่น ทำไมตัวเราสกปรก ทำไมผมเราเหนียวต้องสระ ทำไมๆๆๆ หนอ มาไงหนอ

    ถ้าเราไม่สนใจมัน เราก้ออยู่กับมันไป แต่เมื่อเราไม่อยากอยู่กับมัน เราก้อต้องหาวิธีป้องกันมัน ต่างๆนาๆ แล้วแต่ความรู้ หรือความคุ้นเคยที่เราเคยพบเคยทราบมา ... แต่เราก้อยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันมาไง 5555

    เปรียบกับดวงจิตของเรานี้ ฝุ่น เม็ดผง หรืออะไรต่างๆนาๆที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ก้อไม่ต่างอะไรกับ สุข ทุกข์ เศร้า เหงา รัก หรือ โลกธรรมแปด ...

    ในยามที่เราร่างกายแข็งแรง ... สิ่งต่างๆก้อไม่สามารถทำอะไรให้เราป่วย หรือ ไม่สบายได้ เราก้อไม่ทุกข์ รู้สึกปกติ

    แต่วันหนึ่งเมื่อเราอ่อนแอ ... สิ่งเดิม ของเดิม กลับสามารถทำให้เราอ่อนแอ และเจ็บป่วย อาจถึงตายได้

    จิตเราก้อไม่คชต่างจากร่างกาย ...
    จิตที่ฝึกมาดี ต่อให้มีสิ่งกระทบแค่ไหน ก้อไม่สามารถทำให้จิตหวั่นไหวได้ ไม่สามารถสั่นคลอนได้

    แต่ ... จิตที่ยังไม่รู้ เมื่อเกิดอะไรขึ้นก้อหวั่นไหว ฟูมฟาย จะเป็นจะตาย ร้อนรน กระวนกระวาย ไม่สามารถทนอยู่ได้ มันทุกข์เหลือเกิน มันทำไมเป็นอย่างนี้ ร้องไห้คร่ำครวนกันไป แต่ก้อยังไม่พ้นทุกข์
    หลายคนจะชอบพูดว่า ทำไมเวลาแห่งความสุขมันอยู่กับเราได้ไม่นานเลย
    แต่ทำไมทุกขํนั้นมันช่างอยู่กับเราได้นานจิงๆ ทำไมๆๆๆ

    ไม่มีใครสามารถเอาชนะธรรมชาติได้นะ มีแต่ต้องอยู่กับธรรมชาติ

    จิตเรา เมื่อเห็นทุกอย่างแล้ว เปรียบเหมือน ตาของผมที่เห็นทุกสิ่งอย่างที่ล่องลอบอยู่ในอากาศที่แสงไฟสาดส่องให้ผมมองเห็น

    เมื่อเห็นแล้ว ทราบแล้ว ... ก้อจะเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีอยู่อย่างนั้นเอง
    มีแต่เราเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ หรืออาจจะไม่ยอมเข้าใจ

    การฝึกจิตนี้ ก้อจะทำให้เราเข้าใจในทุกสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ โดยทำให้จิตนี้มีสมาธิ ...
    สมาธิเท่านั้นที่จะทำให้เราเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ...
    แต่ เข้าใจอย่างเดียวก้อไม่พอนะจ๊ะ อิอิ

    ถึงเราเข้าใจ แต่ทำยังงัยต่อไม่เป็น ก้อปล่าวประโยชน์นะขอรับ

    เปรียบไปก้อไม่ต่างกับคนที่เข้าถึงสมาธิได้ แต่เดินต่อไม่เป็น ก้อตันอยู่แค่นั้น วนๆๆๆ แล้วก้อ วนๆๆๆ ... วนจนงง งงจนเลิก

    ทางไหนละที่จะเข้าใจธรรมชาติ และอยู่ได้อย่างไม่เป็นทุกข์

    คำตอบก้อคือ ปัญญา ...

    ก่อนที่จะมีปัญญา ก้อต้องเกิดวิปัสสนา ก่อนจะเกิดวิปัสสนา ก้อต้องมาจากสมาธิ ...

    แล้วตอนนี้ท่านรู้หรือยังว่าจะทำอย่างไร ...
    และอยากอยู่อย่างไม่ทุกข์ พบสุขแท้ได้อย่างไร ...

    ถ้าอยากรู้ ... คำตอบอยู่ในกระทู้นี้ ... สามร้อยกว่าหน้า หาเจอป่าว ...
    ถ้าหาเจอ แต่ไม่รู้แก่นอยู่ไหน ... แนะนำนะครับ หาครูสะ
    จิตจะได้แจ้ง แทงตลอดเสียที และอยู่ได้อย่างเป็นสุขแท้
    อยากเจอไหม สุขแท้แม้ยังไม่สิ้นลม เป็นสุขแท้ตลอดกาล ...

    ตามหาให้เจอนะ ไม่ใกล้ไม่ไกล ...

    ขอให้ตาสว่าง ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม

     
  5. tom tana

    tom tana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +833
    คุณปุ๋มเคยทำด้วยเหรอคะ. ที่เคยลองทำดูก้อทำควบคู่กันค่ะ โรคประจำตัว โรคที่เป็นเฉียบพลัน. รักษาได้หมดเลย. แต่ที่บ้านไม่มีใครทำตามซักคน. เคยแนะนำลูกค้าน้องเค้าเป็นอัมพฤก
    แขนข้างนึงไม่มีความรู้สึกมา 10 ปี. เค้าพยายามทำตามทฤษฎีจนตอนนี้จับของเบาๆได้แล้ว
     
  6. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    แงๆๆ ขอร้องไห้หน่อยนะ ซาบซึ้งๆ ง่ะคุณแนท นานๆมีคนเห็นใจที เอิ้ก อ่ะ ล้อเล่นจ้า เพื่อท่านพ่อยอมตายถวายชีวิตแล้วค่า แต่ขอทำไปตามกำลังนะคะ รับเกินพิกัดไม่ไหวค่า ธาตุขันธ์มันอิ๊ด รออีก 2 ปีนะ ถ้าพี่เพ็ญไ้ด้ออกจากงานคงทำได้เต็มที่กว่านี้

    ปล.หมายความว่าถ้าอีก 2 ปีข้างหน้าพี่เพ็ญยังไม่ตายนะ ของอย่างนี้ประมาทไม่ได้ อย่าไปหวังเลยว่าเราจะอยู่นาน มันจะไปวันนี้พรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้ แล้วแต่ท่านพ่อจะเมตตา สาธุ
     
  7. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ทนอยู่ หรือ อยู่ทน ...

    ท่านพ่อใหญ่ไม่อยู่ ... ลูกบ้านตัวน้อยๆ ขอบ่นแทนเด้ออออ 5555

    ทุกท่านที่ฝึกจิตเกาะพระนี้ เราคาดว่ามีหลายคนวางอารมณ์ผิดๆอยู่
    จึงอยากสื่อสารให้เกิดความเข้าใจ จะได้เดินมรรคได้อย่างถูกต้อง ไม่ต้องหลงทาง เสียเวลา ติดยาเสียอนาคต ... เดินมรรคคดๆ ตกนิพพานไม่รู้เน้อ

    หลายท่าน มักจะรับมือกับสิ่งกระทบได้ในระดับที่ไม่เท่ากัน
    บางคนทำได้ดี จิตก้อไม่ต้องมากังวลกับอะไร ก้อจะเกาะพระได้ต่อเนื่อง จิตก้อเป็นสมาธิได้ตลอด ทางเดินของจิตก้อไม่ไกล ...
    แต่หลายคน รับมือกับสิ่งกระทบไม่ถูกทาง สุดท้าย ต้องลากจิตออกมาจากสมาธิ ไปยุ่งวุ่นวายกับสิ่งที่ไม่ควรยึด ไร้สาระ ... กว่าสติจะรู้ตัว ก้อหลุดจากสมาธิไปไกล สมาธิไม่ต่อเนื่อง แล้วจะหวังให้เดินได้ไวอย่างคนที่เค้าทำได้ตลอดมิได้นะ ... ขอให้เข้าใจจุดนี้ด้วยครับ

    จิตนั้นอยู่กับพระ ถ้าเราเพียร ตั้งใจจริง ก้อจะเกาะพระได้ไม่ยากนัก ...
    แต่เมื่อเกาะพระได้แล้ว มักจะพบอุปสรรคที่จะมาทดสอบทุกท่านแน่นอน
    อุปสรรคที่ว่านั้น ก้อ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มากระทบเรานั่นแหละ ทั้ง ทุกข์ สุข อารมณ์ต่างๆ คนทั่วไป สัตว์ และอื่นๆอีกมากมาย 555

    เมื่อมีสิ่งกระทบแล้ว เกิดอารมณ์ขึ้นแล้ว ...ท่านมักจะกดทับไว้ละสิ เรารู้นะ
    ท่านคิดว่า กดไว้ เก็บไว้ ทับไว้ เดี๋ยวมันก้อตายไปเอง ...
    ไม่ต่างอะไรกับเอาก้อนหินทับหญ้านะ หญ้าไม่ตายเพียงแต่อยู่ใต้ก้อนหินเฉยๆ จนเราคิดว่า รับมือได้แล้ว ชนะแล้ว ..เราเก่งที่สู้ดดดดดด
    จนสุดท้ายเราลืมมันไปเลยว่ามันมีอยู่ ...
    ท่านกำลังทำผิดนะ สิบอกให้ๆๆๆๆ ...

    การกดไว้ ทับไว้ เพื่อไม่ให้มองเห็นนั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ... พระพุทธเจ้าท่านสอนให้หาเหตุแห่งทุกข์ และแก้ไขที่ต้นเหตุจริงๆ ถึงจะจบ ... ลืมไปรึป่าวครับ

    แล้ววันนึง หญ้ามันขึ้นอีก ท่านทำไง ไปหาก้อนหินก้อนใหม่มาทับไว้อีกละสิ ... เหนื่อยไหมละครับ ทั้งแบก ทั้งกลิ้ง ทั้งยก เอาหินมาทับหญ้า เหนื่อยแทบตาย สุดท้าย หญ้าก้อยังอยู่ ...

    ทำไปก้อเครียดไป กังวลไป มันจะมาอีกไหมเนี่ย เหนื่อยแล้วนะเฟ้ยยย
    แล้วสุดท้าย ก้อตายไปกับความไม่แจ้ง 5555 น่าสงสารจริงๆ
    เปรียบไปก้อไมใต่งกับการอยู่อย่าง ทนอยู่ ไม่วันไดก้อวันนึง มันจะระเบิด เคยได้ยินไหม ยิ่งกด ยิ่งอันตราย ..เพราะสุดท้ายมันจะระเบิด จนเรารับมือไม่ไหว .. น่ากลัวยิ่งนัก
    แล้วจะทำอย่างไรละครับ ถึงจะรอด ไม่ต้อง ทนอยู่

    ไม่ยากครับ ... แค่กลับกันนิดเดียว ... ก้อเปลี่ยนเป็น อยู่ทน สิ

    ไม่ยากจริงๆนะ ...
    กดแล้วระเบิด ... แล้วจะไปกด ไปทับทำไม ...
    ปัญญานะมีไหม ...
    ก่อนจะมีปัญญา ก้อต้อง คิดใช่ไหม ... "ปัญญา"
    ก่อนจะคิดได้ ก้อต้องมี สมาธิกับตัวเองใช่ไหม ... "สมาธิ"
    ก่อนจะมีสมาธิ กายก้อต้องพร้อมก่อนใช่ไหม ... "ศีล"

    หญ้ามันก้ออยู่อย่างนั้น ... นั่งคิดดีๆสิว่าจะทำอย่างไร
    เคยได้ยินไหม ถอนราก ถอนโคน นะ
    จะจัดการหญ้า ก้อต้องออกแรงกันหน่อย วางแผนให้ดี ทำทีเดียว จบ
    1.ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ออกกำลังให้แข็งแรง เพื่อให้ถอนหญ้า กำจัดหญ้าได้จนหมด "เปรียบไป คือ ศีล"
    2.เมื่อกายพร้อม แข็งแรงดี ก้อถึงเวลา ลุย ถอนราก ถอนให้ถึงโคน ค่อยๆทำ ไม่ต้องรีบ มีสมาธิกับมัน ตั้งใจทำ อย่ามองไกล เดี๋ยวจะหมดกำลังใจ ค่อยๆทำ เดี๋ยวเงยหน้าทีก้อหมด .. มัวแต่มองว่าเมื่อไหร่มันจะหมด สุดท้าย หมดกำลังใจก่อนทุกราย "เปรียบไป คือ ทำอย่างมีสมาธิ"
    3.เมื่อทำไป ทำไป ต่อเนื่องๆ ก้อจะรู้เทคนิค รู้วิธี ทมีประสบการณ์ หลับตาก้อทำได้ สบายๆ เพลินละทีนี้ ทำแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับ "เปรียบไป คือ มีสมาธิต่อเนื่องและละเอียดขึ้นเรื่อยๆ"
    4.ถอนไป ขุดไป เจอปัญหาไป ก้อจพได้ความคิดแล้วละทีนี้ คิดบ่อยๆ ทำบ่อย ก้อจะฉลาดขึ้น ยิ่งคิดยิ่งฉลาด "เปรียบไป คือ มีสมาธิละเอียดจนเกิดวิปัสสนา"
    5.กายทำไป เจอปัญหาไป คิดไป คนทำก้อจะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ฉลาดไม่พอ ต้องมีเฉลียวด้วยนะ ถึงจะพร้อม คนเราคิดเยอะ ก้อจะตกผลึกทางความคิดจนเกิดปัญญา มีอะไรมาก้อใช้ปัญญาจัดการได้หมด ไม่ว่าปัญหานั้นจะเล็กจะใหญ่ รับมือได้หมด จบทุกสิ่ง "เปรียบไป คือ วิปัสสนาต่อเนื่องจนเกิดปัญญา"

    ทำไปๆ จนหมดทุ่งแล้ว .... อ้าว หมดสะแล้ว แจ้งสะแล้วรู้หมดแล้ว รับได้หมดแล้ว
    ต่อไปถ้ามีหญ้าอีก เกิดอะไรอีก เราก้อรับมือได้แล้ว ไม่ต้องกังวลบใดๆอีก อยู่กับมันได้หมดแล้ว
    รู้และเข้าใจมัน ไม่เอากับมันแล้ว ทำไป แบบ ผู้มีปัญญา ไม่ใช่คนโง่ที่ใช้แต่กำลัง

    นี่แหละครับ อยู่ทน มิใช่ ทนอยู่
    อยู่ด้วยสติ ด้วยปัญญา

    อยู่ทน อยู่ได้กับทุกสิ่งด้วยความเข้าใจในธรรมชาติ อยู่ด้วยปัญญา สภาวะใด เราก้อรับมือได้ อยู่ได่ มิใช่ทนอยู่ที่อยู่แบบข้างนอกทำได้ แต่ข้างในทนทุกข์ทรมานกับการเก็บกด น่าสงสารยิ่งนัก อยู่แบบหลอกตนเอง ...

    อ่านแล้ว คงจะคิดได้แล้วสินะ ว่า อยากอยู่แบบไหน

    ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่การตัดสินใจของท่าน

    อยากเกิดแล้ว เกิดอีก มาทนอยู่ อีกกี่ภพกี่ชาติก้ออยู่ที่ท่าน ไม่ว่ากัน
    แต่ถ้าเบื่อแล้ว กับวังวนแห่งทุกข์ อยากพบสุขแท้ ...

    ก้อมาเดินทางสายเอกันนะ
    ไม่มีขั้นตอนมาก ก้อแค่ ศีล สมาธิ ปัญญา

    ทุกสิ่งทำได้ด้วยตัวท่านเอง ...
    ทำอย่างไรให้ศีลพร้อม
    ทำอย่างไรให้จิตเกิดสมาธิต่อเนื่อง
    ทำอย่างไรให้เกิดวิปัสสนา มิใช่วิปัสสนึก
    ทำอย่างไรให้เกิดปัญญา
    ทุกคำถาม ตอบได้ ด้วย จิตเกาะพระ

    ขออนุโมทนากับผู้เดินทางสายมรรคทุกท่าน
    ขอให้ถึงฝั่งฝันที่ท่านต้องการ
    เราจะจูงมือท่านไป


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม

     
  8. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    เห็นครูวิทย์แสดงธรรมเรื่องสุขแท้ พี่เพ็ญก็ขอแบ่งปันให้ทราบ

    แม้กายนี้จะอยู่กับสิ่งสกปรกทุกวัน ผมเหนียว หน้าเห่อ ๆ เป็นมันเยิ้ม เสื้อผ้ามอ ๆ

    พี่เพ็ญอยู่บ้านในสภาพไม่รับแขก เพราะทั้งตัวยู่ยี่มาก

    ใครบอกว่าจะมาเยี่ยมบ้านพี่เพ็ญจะเป็นจะตายเสียให้ได้

    ฉันต้องทำความสะอาดบ้านเพื่อต้อนรับแขก

    ส่วนเนื้อตัวก็ เอ่อ พยายามปั้นแต่งเท่าที่จะทำให้ดูแล้วเหมือนคนที่สุด

    (สภาพนี้น้องฟ้าคงได้สัมผัสอย่างชื่นมื่น 555555)

    แต่ขอป่าวประกาศให้ทราบว่า สุข รินรดอยู่ในจิตตลอดเวลาจ้า

    สุขจริง ๆ นะ สุขยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก เป็นสุขที่ละเอียดละมุนละไม

    ไม่ใช่สุขหยาบ ๆ ไปแป๊บมาแป๊บเหมือนสุขของชาวโลก

    เอ่อ จะอธิบายยังไงดี ที่เขาเรียกว่า บรมสุข นี้มันใช่ไหม

    มันสุขรินรด อาบ ซึม อิ่ม เอิบ วุ้ย อธิบายไม่ถูก

    เอาจิตเข้าไปสัมผัสกันเองก็แล้วกันนะ

    ขอให้ทุกท่านจงพบสุขอย่างแท้จริงขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกสมมุติใบนี้

    แล้วท่านจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...เกิดมาชาตินี้คุ้มแล้วที่ได้เกิดเป็นคน
     
  9. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    พรุ่งนี้ท่านอาจจะไม่สามรถติดต่อครูได้
    พรุ่งนี้ท่านอาจจะพิการ
    พรุ่งนี้ท่านอาจจะได้ข่าวว่าครูตาย
    พรุ่งนี้ท่านอาจะเข้าเวปไม่ได้
    พรุ่งนี้ท่านอาจจะติดต่อครูไม่ได้

    พรุ่งนี้ ไม่แน่นอนจริงๆ ...

    เข้าใจแล้ว ก้อขอให้ผู้ฝึกทุกท่านอย่ามัวเดินเล่น ชมนกชมไม้นะ ชมวิวไปเรื่อย ตั้งตนในความประมาท ว่าครูยังอยู่ เรายังฝึกอยู่ ไม่น่ามีอะไร สบายๆ ...

    ขอให้คิดเสมอว่า เราเท่านั้นที่ต้องทำ เราเท่านั้นที่จะทำได้หรือไม่ได้

    ตั้งใจอยากไปนิพพานจริง แต่ทำไม่จริงจัง ไม่เอาจริง ทีเล่นทีจริง
    ทำเล่นๆ แต่หวังเอาจริงๆ .... ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอครับ

    ผมขอเตือนไว้นะครับ ... ว่าอย่าประมาท
    ความประมาท เป็นเชหนทางแห่งความเสื่อม อันตรายยิ่งนัก

    เร่งความเพียรนะครับ ให้ทำเสมือนว่าชั่วโมงถัดไป เราจะไมมีลมหายใจแล้ว เราต้องกลับมาเกิดใหม่อีกแล้ว
    เราต้องเอาจริงแล้ว ตั้งใจจริงแล้ว ...
    ทำจริง ก้อได้จริงๆ

    ขอให้เก็บเอาไปคิดนะครับ
    คิดได้แล้วคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร

    อยากได้ของสูง แต่ไม่พยายาม ก้อย่าหวังว่าจะได้


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  10. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    เคยทำค่ะ ทำต่อเนื่องหกเดือน ทานสูตรผักผลไม้ งดอาหารตามสูตร แต่ไม่ได้ทำตามแบบฝังชิปนะ ทำอานาปนสติแทน และก็แผ่เมตตาทุกวันสวดมนต์ไหว้พระเช้าเย็นค่ะ จิตเบากายเบาเลยค่ะ

    แล้วก็ได้ผล ท้อง อิอิ เลยหยุดไปโดยปริยาย แต่ตอนนี้ก็ทานวิตามิน งดทานเนื้อบางชนิด ค่ะ
     
  11. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972



    ดุแบบนี้นี่เองครูวิทย์ ..จิตดุ เข้ม คม แบบนี้นี่เอง
     
  12. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ทุกข์เกิดดับที่จิต ...หลวงปู่บุดดา ถาวโร





    ทุกข์เกิดดับที่จิต

    (หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี)<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>

    “อวิชชา”เป็นปัจจัยให้หวนอยู่ในโลกทั้งสาม วนอยู่ในอดีต อนาคต ปัจจุบัน “วิชชา” เป็นปัจจัยให้หลุด หลุดจากอดีต หลุดอนาคต หลุดจากปัจจุบัน ไม่รู้กายกับจิต ปัจจุบัน จะเอาแต่ปริยัติก็ฟุ้ง<O:p></O:p>

    กายเป็นอารมณ์ของจิต “กายเกิดดับ”เป็นวิปัสสนาของจิต จิตเกิดดับ”เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา วิปัสสนาปัญญาตรัสรู้ที่กายสงบ จิตสงบ วิปัสสนาเป็นตัวปัญญาสัมมาทิฏฐิ<O:p></O:p>

    นิพพานมีอยู่จริงในปัจจุบัน ถ้าใครออกจากปัจจุบันไม่เห็นเลย ทุกเขญานัง มีญาณเห็นทุกข์ เห็นมันเกิดดับที่จิตนี้เอง นิพพานไม่ได้อยู่ตามต้นไม้ อยู่ที่จิตหมดอาสวะทั้งหลายนั่นเอง เราควรเป็นอย่างนั้นแน่นอน ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง ยังไม่ถึง มีตัณหาก่อน ถึงแล้วไม่มีตัณหา <O:p></O:p>

    หมดกิเลสก็นิพพานหมดทั้งนามทั้งรูป “พอถึงโลกุตตระ” ทั้งก้อน ทั้งดุ้น ถึงนิพพาน เกิดตายไม่มี<O:p></O:p>
     
  13. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    "จิตคือพุทธะ"
    โดย หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์

    พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจาก จิตหนึ่ง แล้วมิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย

    จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย มันไม่ใช่เป็นของมีสีเขียวหรือสีเหลือง และไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งทั้งที่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการตั้งอยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือของเก่า ไม่ใช่ของยาวหรือของสั้น ของใหญ่หรือของเล็ก ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัดเหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และเหนือการเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น

    จิตหนึ่ง นี้เป็นสิ่งซึ่งเราเห็นตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผล (ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ เราจะหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้เป็นเหมือนกับความว่างอันปราศจากขอบทุกๆ ด้านซึ่งไม่อาจจะหยั่งหรือวัดได้

    จิตหนึ่ง นี้เท่านั้นเป็น พุทธ ไม่มีความแตกต่างระหว่าง พุทธ กับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้นเขาจึงแสวงหา พุทธภาวะ จากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นเองทำให้เขาพลาดจาก พุทธภาวะ การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สิ่งซึ่งเป็น พุทธ ให้เที่ยวแสวงหา พุทธ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต

    แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขาอยู่ตั้งกัปป์หนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถบรรลุถึงพุทธภาวะได้เลย เขาไม่รู้ว่าถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวาย เพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธ ก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่าจิตนี้คือ พุทธ นั่นเอง และ พุทธ ก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง สิ่งๆ นี้เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฏอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่

    สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหกก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ดี เหล่านี้นั้น จงคิดดูเถิดเมื่อเราเป็นผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกๆ กรณีอยู่แล้ว คือเป็นจิตหนึ่ง หรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ พุทธ ทั้งหลายอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ เมื่อไหร่โอกาสอำนวยให้ทำ ก็ทำมันไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้วอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน

    ถ้าเรายังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า จิต นั้นคือ พุทธ ก็ดี และถ้าเรายังยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ อยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่างๆ อยู่ก็ดี และต่อวิธีการบำเพ็ญบุญกุศลต่างๆ ก็ดี แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่ และไม่เข้าร่องรอยกันกับทางๆ โน้นเสียเลย

    จิตหนึ่ง นั่นแหละ คือ พุทธ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิ เช่นเดียวกับความว่าง คือ มันไม่มีรูปร่าง หรือปรากฏการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งความคิดฝันไปต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรมซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก พุทธ ซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่ พุทธ ของความยึดมั่นถือมั่น

    การปฏิบัติปารมิตาทั้งหก และการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะเป็น พุทธ สักองค์หนึ่งนั้นเป็นการปฏิบัติชนิดคืบหน้าทีละขั้นๆ แต่ พุทธ ซึ่งมีตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้นหาใช่ พุทธ ที่บรรลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่ เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และ ลืมตา ต่อ จิตหนึ่ง นั้นเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละ คือ พุทธที่แท้จริง พุทธ และสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่ง นี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย

    จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสนและความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นย่อมให้ความสว่างทั่วทั้งพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้นมันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อพระอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง จิต ของ พุทธ และของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น

    ถ้าเรามองดู พุทธ ว่าเป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่บริสุทธิ์ ผ่องใส และรู้แจ้งก็ดี หรือมองสัตว์โลกทั้งหลายว่า เป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่โง่เง่า มืดมน และมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ อันเป็นผลเกิดมาจากความคิดยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้น จะกันเราไว้เสียจากความรู้อันสูงสุดถึงแม้ว่าเราจะได้ปฏิบัติมาตลอดกี่กัปป์นับไม่ถ้วน ประดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแล้วก็ตาม มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้นและไม่มีสิ่งอื่นใดแม้แต่อนุภาคเดียว ที่จะอิงอาศัยได้ เพราะจิตนั้นเองคือ พุทธะ

    เมื่อพวกเราที่เป็นนักศึกษาเรื่องทางโน้น ถ้าไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ จิตนี้ พวกเราจะปิดบังจิตนั้นเสียด้วยความคิดปรุงแต่งของเราเอง พวกเราจะเที่ยวแสวงหาพุทธนอกตัวเราเอง พวกเรายังยึดมั่นถือมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลายต่อการปฏิบัติเมาบุญต่างๆ และสิ่งอื่นๆ ทำนองนั้น ทั้งหมดนี้เป็นอันตราย และไม่ใช่หนทางอันนำไปสู่ความรู้อันสูงสุดที่กล่าวนั้นแต่อย่างใดเลย

    เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกันไม้หรือก้อนหิน คือ ภายในนั้นปราศจากความเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง กล่าวคือ ปราศจากขอบเขต หรือสิ่งกีดขวางใดๆ สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรมหรือฝ่ายรูปธรรม มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปไหนได้เลย

    จิตนี้ ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง

    หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ เลย จิตนี่แหละคือหลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่จิต จิตนั้นโดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่ มิใช่จิต การที่กล่าวว่าจิตนั้น มิใช่จิตดังนี้ นั่นแหละ ย่อมหมายถึงสิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริงสิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ผูกตัดขาดไปแล้ว และพฤติของจิต ก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว

    จิตนี้คือ พุทธโยนิ อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิดกระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติ อันหนึ่งนี้เท่านั้น และไม่มีแตกต่างกันเลย ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆ เท่านั้น ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวง ทุกชนิดไม่มีหยุด

    ธรรมชาติแห่งความเป็น พุทธ ดั้งเดิมของเรานั้นโดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตน แม้แต่สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นคือความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่ง สงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง

    จงเข้าไปสู่สิ่งๆ นี้ได้ลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง สิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าเรานี้แหละคือ สิ่งๆ นั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีกแล้ว

    จิต คือ พุทธ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย เป็นที่สุดในเบื้องสูง ลงไปจนกระทั่งถึงสัตว์ประเภทที่ต่ำต้อยที่สุด ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานอยู่ด้วยอีก และแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งมันย่อมมีส่วนแห่งความเป็น พุทธ เท่ากันหมดและทุกสิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับ พุทธ อยู่ตลอดเวลา
    ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเราเองได้สำเร็จ แล้วค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนี้เท่านั้น ก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นที่จะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย

    จิตของเรานั้น ถ้าเราทำความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิต แม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะพบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหน แม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่าเป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือกำเนิด ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย

    ในการทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่นึกคิด หรือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่

    ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฎแห่งความเป็นเหตุและผลของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร อยู่นั่นเอง ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไร ในขณะนั้น พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น

    มูลธาตุทั้ง ๕ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น เป็นของว่างเปล่า และมูลธาตุทั้ง ๔ ของรูปกายนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา จิต จริงแท้นั้น ไม่มีรูปร่าง และไม่มีอาการมาหรืออาการไป ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้นเป็นสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งไม่มีการตั้งต้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตาย แต่เป็นของสิ่งเดียวกันรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด

    จิตของเรากับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้นเป็นสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าเราทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแวบเดียวในขณะนั้น และเราเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องในโลกทั้งสามอีกต่อไป เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก เราไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว เราจะเป็นแต่ตัวเราเองเท่านั้น ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเขิง และเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น เราจะได้ลุถึงภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ฉะนั้น นี่แหละคือหลักธรรมที่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้

    สัมมาสัมโพธิ เป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา

    ปรัชญา คือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง คือจิตต้นกำเนิดดั้งเดิม ซึ่งปราศจากรูป ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ว่า ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ คือจิตและวัตถุเป็นสิ่งๆ เดียวกัน นั่นแหละ จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้ง และลึกลับเหนือคำพูด และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง

    สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้หายไปจากเรา แม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมา ในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตัตถตา ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ มันเต็มอยู่ในความว่าง เป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อารมณ์ต่างๆ ที่จิตของเราได้สร้างขึ้น ทั้งฝ่ายนามธรรมและฝ่ายรูปธรรม จะเป็นสิ่งซึ่งอยู่ภายนอกความว่างนั้นได้อย่างไร

    โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้นเป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ เราต้อง แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด

    สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วนรวมแล้วมี รูปกับนาม สองอย่างเท่านั้น นามเดิม ก็คือ ความว่างของจักรวาล เข้าคู่กันเป็น เหตุเกิด ตัวอวิชชา เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกัน เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา ให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล และ เกิดกาลเวลาขึ้น คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้

    เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิตจึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิตไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันได้

    จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนามของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ นามว่างที่ปราศจากรูป นี้ เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม

    ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิด รูปนามพิภพ ต่างๆ ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด รูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิด รูปนามสัตว์ เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็นสิ่งมีชีวิต

    ความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และ(เกิด) การเปลี่ยนแปลง บางอย่างเรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต

    เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็น เหตุให้เกิด จิต วิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม

    สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และ(มี)ความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุ ปัจจัย ภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดง มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง ไปกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่าง แล้วมาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับ รูปปรมาณู ซึ่งเป็น สุขุมรูป แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น

    เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ ได้ตายลง มี กรรมชั่ว อย่างเดียว เป็น เหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้อง ใช้หนี้ กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอม ใช้หนี้เกิด กันไม่ มันกลับ เพิ่มหนี้ ให้เป็น เหตุเกิด ทวีคูณ ด้วยเพศผู้เพศเมียเกิดเป็น สุขุมรูป ติดอยู่ใน ๕ กองนี้ เป็นทวีคูณจนปัจจุบันชาติ

    ดังนั้น ด้วยอำนาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ หรือจะเรียกว่า รูปถอด ก็ได้ เพราะถอดมาจากนามระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง รูปวิญญาณ จึงมีชีวิตอยู่คงทนอยู่ ยืนนานกว่า รูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้ นอกจาก นิพพาน เท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย

    ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้นรวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมี สำนักงานจิต ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง รวมกันเป็นที่ทำงานของ จิตกลาง แล้วไปติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้ เป็นผู้รักษา สุขุมรูป รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในวิญญาณไว้ได้เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ

    เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัย (ของ) ชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูป ปรมาณู วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย

    ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน

    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างชีวิตพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดอย่างบริบูรณ์ดังพระประสงค์แล้ว พระพุทธองค์จึงได้ทรงเสด็จสู่อนุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ, ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ คือสิ้นทั้งกิเลสและชีวิต) เป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา เป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระพุทธองค์ก็คือ ลำดับแรก ก็เจริญฌานดิ่งสนิทเข้าไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปดับลึกสุดอยู่เหนือ อรูปฌาน

    ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังไม่ได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเป็นเด็ดขาดแต่อย่างใด ยังเพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ได้ทรงพากเพียรก่อเป็นทาง เป็นแบบอย่างไว้ เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่าสิ่งอันเกิดจากที่พระองค์ได้ยอมอยู่กับธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา (เป็น) ผู้ที่มีจิตหยาบเกินกว่าจะสัมผัสว่า มันเป็นทุกข์

    นี่แหละ กระบวนการกระทำจิตตน ให้ถึงซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น เป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เป็นยอดแห่งศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำมาตีแผ่เผย แจ้งออกสู่สัตว์โลกให้พึงปฏิบัติตาม เมื่อทรงสิ่งซึ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่สภาวะต้น คือ ปฐมฌาน แล้วจึงได้ตัดสินพระทัยสุดท้าย เสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์ วิญญาณขันธ์แห่งชีวิต และร่างกายนั้น เพราะต้องดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นแรกเสียก่อน วิญญาณขันธ์จึงได้ดับ ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น

    พระองค์เริ่มดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที อันจะส่งผลให้ก่อ วิภวตัณหา ได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงได้เลื่อนเข้าสู่ ทุติยฌาน แล้วจึงดับ สัญญาขันธ์ เลื่อนเข้าสู่ ตติยฌาน เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนเข้าสู่ จตุตถฌาน คงมีแต่ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแห่งชีวิต นั้นแล คือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ

    เมื่อพระองค์ดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว แล้วก็มาดับ เวทนาขันธ์ อันเป็น จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิต เสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาน พร้อมกับมาดับ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ สุดท้ายจริงๆ ของพระองค์เสียลงเพียงนั้น

    นี่ พระองค์เข้าสู่นิพพานอย่างจริงๆ อยู่ตรงนี้ พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนดอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่นคือ พระองค์ ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตปกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดที่มาครอบงำอำพราง ให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์

    เมื่อ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแท้ๆ จริงๆ ได้ถูกทำลายลงอย่างสนิท จึงเป็นผู้บริสุทธิ์ หมดสิ้นแล้วซึ่งสังขารธรรม และหมดเชื้อ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ทั้งปวงใดๆ ในพระองค์ท่าน ไม่มีเหลือ คงทิ้งแต่ รูปขันธ์ อันจะมีชีวิตนั้นไม่ได้แน่ เพราะรูปไม่ใช่ชีวิตหากสิ้นนามเสียแล้ว ก็คือแท่ง คือก้อนวัตถุหนึ่ง เท่านั้นเอง

    นั่นแล คือ ลำดับฌาน ที่พระอนุรุทธเถระเจ้าได้นำฌานจิตเข้าไปดู เป็นวิธีการดับโดยแท้ ดับโดยจริงโดยพระองค์เป็นผู้ดับเองเสียด้วย
     
  14. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ข้อความของหลวงปู่ดุลย์ที่เราคัดลอกมาให้อ่านนี่ โคตรแก่นเลยนะ
    อ่านด้วยจิตนะ แล้วจะแจ้ง ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  15. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ...ตัวกิเลสจริงๆ ก็จิตเรานี่แหละ
    จิตที่ขี้เกียจขี้คร้าน จิตที่ไม่มีศีล จิตที่ไม่มีทาน
    จิตที่ไม่มีภาวนา จิตไม่ละกิเลส


    เมื่อจิตไม่ละกิเลส ก็นี่แหละตัวกิเลส
    ตัวกิเลสเป็นตัวอย่างไร


    ตัวกิเลสก็เป็นเหมือนตัวเรานั่นแหละ
    ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่ง
    ดวงใจที่ครองอยู่ในร่างกายอันนี้ นั้นแหละตัวกิเลส...


    พุทฺธาจาโรวาท
    หลวงปู่สิม พุทธจาโร

     
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    WOW! WOW! WOW! Who is this? Is this my sister Natchaya?? HAhahaha...I am so proud of you..:cool:

    ยิ่งนับวัน พี่สาวเราจะคมฉับๆ ขึ้นทุกวันเล๊ย...555 บอกตามตรงว่า เกษภูมิใจในตัวพี่แนท พี่สาวคนจ๋วยของเราคนนี้จริงๆ ยังค่ะ ยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ อิๆๆ..เอ้า..เห็นว่ามีอีก 2 ท่านใช่มั้ยค่ะ ที่รอคิวอยู่ งั้นก็เดินตบเท้าเรียงแถวกันเข้ามาเลยค่ะ..ลุยโล้ดๆ เรากองหนุนได้ตลอดเวลาอยู่แล้วค่ะ เพื่อท่านพ่อและบ้านของเรา สาธุ({)({)({)[/quote]

    HELLO ....Anybody there?
    คุณครู น้องเกษ คนสวย อยู่ไหนเนี่ย ?...
    ส่งเสียงหน่อย ...เงียบกันหมดเลย ทั้งแคนาดา
    ทั้งอเมริกา...Where r u ?

    จ้า...เตรียมตัว Back up ด้วยนะจ๊ะ ...คงกำลังตัดสินใจอยู่น่ะ...รู้ว่าเข้ามาด้อมๆมองๆ เอ๊ย อ่านในกระทู้อยู่น่ะ...เดี่ยวจะหลังไมค์กระตุ้นอีกทีนะคะ ไม่นานเกินรอ...
    hello2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2012
  17. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825

    สาธุค่ะพี่เพ็ญ...อ่านธรรมะพี่เพ็ญที่ไร ดาวหัวเราะปากกว้างทุกที น้ำตาเล็ด น้ำตาร่วง...ทู๊กที มันโดนเต็มๆอะค่ะ ธรรมะพี่เพ็ญนี่แซ่บอีหลี่จริงๆ 55555+ :cool:
     
  18. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    กราบหลวงปู่ดุลย์ค่ะ

    เยี่ยมมม ค่ะคุณวิทย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1_~2.GIF
      _1_~2.GIF
      ขนาดไฟล์:
      69.7 KB
      เปิดดู:
      127
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2012
  19. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972


    สาธุๆๆ ตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ ชอบไปถวายเพลหลวงปู่ค่ะ ส่วนตัวเอง ชอบไปนั่งเล่นหน้าตึกที่หลวงปู่จำวัด แต่ไม่เคยรู้ว่าท่านสำคัญอย่างไร

    ใกล้เกลือกินด่างโดยแท้

    ไฟล์เสียงจิตคือพุทธะของหลวงปู่ค่่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pudule1.wma
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      38
  20. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    สมถะ vs วิปัสสนา

    คำถาม - ขอให้(หลวงพ่อชา)อธิบายเพิ่มที่ว่าสมถะหรือสมาธิ และวิปัสสนาหรือปัญญานี้เป็นสิ่งเดียวกัน
               นี่ก็เป็นเรื่องง่ายๆ นี่เอง สมาธิ (สมถะ) และปัญญา (วิปัสสนา) นี้ ต้องควบคู่กันไป เบื้องแรกจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่ได้โดยอาศัยอารมณ์ภาวนา จิตจะสงบตั้งมั่นอยู่ได้เฉพาะขณะที่ท่านนั่งหลับตาเท่านั้น นี่คือสมถะและอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐาน ช่วยให้เกิดปัญญาหรือวิปัสสนาได้ ในที่สุดแล้วจิตก็จะสงบไม่ว่าท่านจะนั่งหลับตาอยู่หรือเดินอยู่ในเมืองวุ่นวาย เปรียบเหมือนกับว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นเด็ก บัดนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่ แล้วเด็กกับผู้ใหญ่นี้เป็นบุคคลคนเดียวกันหรือเปล่า ท่านอาจจะพูดได้ว่าเป็น คนคนเดียวกัน หรือถ้ามองอีกแง่หนึ่งท่านก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นคนละคนกัน ในทำนองเดียวกัน สมถะกับวิปัสสนา ก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นคนละเรื่องกัน หรือเปรียบเหมือนอาหารกับอุจจาระ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนละสิ่งกัน
               อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่ผมพูดมานี้ จงฝึกปฏิบัติต่อไป และเห็นจริงด้วยตัวของท่านเอง ไม่ต้องทำอะไร พิเศษไปกว่านี้ ถ้าท่านพิจารณาว่าสมาธิและปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไรแล้ว ท่านจะรู้ความจริงได้ด้วยตัว ของท่านเอง
               ทุกวันนี้ผู้คนไปยึดมั่นอยู่กับชื่อเรียก ผู้ที่เรียกการปฏิบัติของพวกเขาว่า “วิปัสสนา” สมถะก็ถูกเหยียดหยาม  หรือผู้ที่เรียกการปฏิบัติของพวกเขาว่า “สมถะ” ก็จะพูดว่าจำเป็นต้องฝึกสมถะก่อน วิปัสสนา เหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ  อย่าไปวุ่นวายคิดถึงมันเลย เพียงแต่ฝึกปฏิบัติไป แล้วท่านจะรู้ได้ด้วย ตัวท่านเอง
    คำถาม - ในการปฏิบัติของเรา จำเป็นที่จะต้องเข้าถึงฌานหรือไม่
               ไม่  ฌานไม่ใช่เรื่องจำเป็น ท่านต้องฝึกจิตให้มีความสงบ และมีอารมณ์เป็นหนึ่ง(เอกัคคตา) แล้วอาศัยอันนี้สำรวจตนเอง ไม่ต้องทำอะไรพิเศษไปกว่านี้ ถ้าท่านได้ฌานในขณะฝึกปฏิบัตินี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่อย่าไปหลงติดอยู่ในฌาน หลายคนชะงักติดอยู่ในฌาน มันทำให้เพลิดเพลินได้มากเมื่อไปเล่นกับมัน  ท่านต้องรู้ขอบเขตที่สมควร  ถ้าท่านฉลาดท่านก็จะเห็นประโยชน์และขอบเขตของฌาน เช่นเดียวกับที่ท่านรู้ขั้นความสามารถของเด็ก และขั้นความสามารถของผู้ใหญ่
    จากหลวงพ่อชา สุภัทโท ตอบปัญหาธรรม​


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...