เรื่องเด่น ตะลึง!!! ฟ้าผ่าเศียรยักษ์ วัดอรุณ หัก 2 ท่อน

เขมร ก็ว่าไทยต้องล่มสลาย คนลาวก็ว่าไทยต้องล่มจม คนไทยด้วยกันสามัคคีกันหน่อย เห็นไม๊ รอบ ๆ บ้านเรา มีแต่ผู้หวังดีทั้งนั้นเลย เราจะไม่ล่มสลาย เราจะไม่ล่มจม คนไทยที่ดี มีศีลธรรม มีเยอะกว่าคนเลว เมืองไทยต้องรุ่งเรือง ๆ และ รุ่งเรืองต่อ ๆ ไป แน่นอน ไม่ต้องมาแช่งกันหรอก

 

ขอออกความเห็นมั่งแบบคิดมั่ว ๆ เอาเองว่า "จะเป็นสัญญาณเตือนจากเบื้องบนว่าใกล้ถึงเวลาขจัดคนชั่วแล้วนะ" เพราะโดยปกติใคร ๆ ก็รู้ว่ายักษ์นั้นเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายทั้งปวง

 

ดวงแห่งแสงมี 2 ชนิด คือ
1. ดวงมืด
2. ดวงสว่าง

ดวงมืดขณะที่เขาเดิน อวิชชา เขาจะเอาเหตุข้างนอกทั้งหมด เข้าศูนย์กลางดวง กล่าวโดยย่อ คือ ทำอนันต์ให้เป็นศูนย์
(และ)
ดวงสว่างขณะที่เดิน วิชชา เขาจะเอาเหตุข้างในทั้งหมด ออกจากศูนย์กลางดวง กล่าวโดยย่อ คือ ทำศูนย์ให้เป็นอนันต์


ในกรณีที่มีร่างกายนั้นร่างกายเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบเท่านั้น ภายในก็เป็นดวง(มืด-สว่าง) เช่นเดียวกันหมด

 

รูปนี้ ถ่ายภาพติดโดยกล้อง ธรรมดา เช่น ฟิล์มเม็ดแสง หรือ กล้องดิจิตอลทั่วไปก็ทำได้ กลุ่ม ดวงแสง ที่ติดมา เราจะเห็นเป็นดวงกลม คือ กลุ่มพลังงานของสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกาย เช่น เทวดา พรหม ฯลฯ แต่ปรากฏติดกล้องออกมาได้แค่นั้น

พระอาจารย์ หรือ เราผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าโชคดีเหล่าปวงเทพลงมาก็จะสามารถถ่ายรูปออกมาติดได้ครับ


Sandy's Indiana Ghost Hunts - Sandy's Extention

 

(แบบนี้ก็ใช่ครับ)

Light orbs, interdimensional consciousness forms from other dimensions<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O> </O>
<O></O>
<O>Website of Ed Vos</O>
<O></O>
<O></O>
<O></O>
<O>อนุโมทนาด้วยครับ กับข้อมูลต่างๆ สาธุ</O>

 

แช่งกันไป แล้วก็แช่งกันมา ก็เลยตกลงว่าอาจต้องตายลงพร้อมกันทั้งหมด
พระเจ้าช่วยกล้วยน้ำว้าทอด !!

 

น่าจะเป็ยสัญญาณเตือนชาว กทม. ระมัดระวังกันด้วยก็แล้วกัน อย่างเช่นสมัยกรุงศรีอยุธยาฟ้าผ่ายอดเจดีย์พระที่นั่งสรรเพชรปราสาทหัก ลงมา คนที่เดือด.......ก็คือชาวกรุงศรีฯ..... ครั้งนี้ กทม.อาจเกิดภัยพิบัติใหญ่ก็ได้ ใครจะไปรู้ แต่ที่แน่ๆปีหน้าข้าวแพงแน่นอน อย่าโวยก็แล้วกัน เพราะเกือบทุกภาคแล้ง น้ำในเขื่อนก็น้อยไม่พอเพราะปลูก......หาเงินไว้ชื้อข้าวราคาแพงได้เลย

 

ที่ผมสัมผัสได้ในการตอบกระทู้ลำดับที่ 60

ตัวองค์เทพร่างกายดำสนิท นั้นสูงใหญ่มากๆ มนุษย์เรามีแค่สูงเท่ากับตัวปลวกเล็กๆ บริเวณหัวแม่เท้าของเขาเท่านั้น (ประมาณๆ)

เขาเจตนาทำให้ฟ้าผ่าลงใส่เศียรยักษ์
ตามหลักการของฟ้าผ่าแล้ว
1. สายฟ้าควรต้องลงจากที่สูงก่อน ถ้าเอา sphere ball ตามขนาดศักดิ์ไฟฟ้ามา กลึงรอบ บริวณนั้นอาจมีโอกาสน้อยมากที่จะโดยฟ้าผ่าลงจุดดังกล่าว
2. คอยักษ์จะหักได้ก็ต่อเมื่อต้องมีความชื้น หรือ เชื่อเพลิงไฟ ฝังเพื่อโอกาสการระเบิดเป็นไปได้จริง แต่นี่ยักษ์เป็นหินล้วน ก็ถือว่าแปลกอยู่ไม่น้อย

รูปแนบ ที่ผมสัมผัสได้ก็ประมาณ ท้าวเวสสุวรรณหรือว่ายักษ์ชั้นสูง แต่น่าจะสูงล้ำกว่านั้นก็เป็นได้

 

คอยักษ์ที่หักล่วงลงมาเป็นสัญญานว่า ต่อจากนี้ไป ท่านจะมาดูแลพระพุทธศาสนา โดยจัดการกับผู้ทำลายและทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย โดยท่านเอาหัวเป็นประกัน ต้องสำเร็จเท่านั้น ทุกประการ สาธุ

 

อุ้ยย นึกว่าเข้ามาห้อง ภัยพิบัติและการเตรียมการ ซะอีก แทบจะจับต้นชนปลายไม่ถูกกับข้อมูลต่างๆ โอ้ยอะไรจริงอะไรเท็จก็ไม่รู้มีแต่คำทำนายให้ประเทศนั้นนี่ชิบหายวอด

ว่าแต่ข่าวที่ออกมานี้ หาเรื่องโปรโมทหนังเรื่องนี้ป่าววว

ปล.ความเห็นส่วนตัว ถ้าเปลี่ยนหัวยักษ์ที่ถูกฟ้าผ่า เป็นรูปข้างบนนี้ ถ้าจะฮาา เด็กๆคงอยากจะเข้าวัดกันท้วนหน้า 5555+

 

อนุโมทนา ท่าน จขกท ด้วยนะครับ หวังว่าเนื้อหาทั้งหมดนี้
คงจะเป็นประโยชน์อันควรแก่หลาย ๆ ท่านไม่มากก็น้อยครับ

แต่ทั้งนี้ ขอให้พึงพิจารณาถึงความน่าจะเป็นไปได้
เพื่อ... ลด ละ อคติ ซึ่งกันและกันด้วยครับ
ส่วนเรื่องไหน หากอ่านแล้วเห็นสาระประโยชน์
ก็เก็บไว้เป็นเครื่องเตือนสติ เตือนใจตนเองนะครับ

 

ซึ่งถ้าใช้ "ฟ้าผ่า" ได้ (สายฟ้า-วัชระ)
ก็ต้องเป็นยักษ์ชั้นสูงหน่อยสินะครับ ชั้น
ธรรมดาๆ ไม่มีของทิพย์ที่มีพลังพิเศษ
เช่นนั้นเลย


เช่น ยักษ์ที่ชื่อ "รามสูร" หรือภาคหนึ่ง
ของพระรามที่มาเกิดเป็นฤษีเพื่อล้าง...
หรืออีกนามหนึ่งคือ "ปรศุราม" นั่นเอง

 

ที่มาข้อมูล ปรศุราม หรือ ขวานฟ้าหน้าดำ (ก้อปมานะครับ ไม่ไ้ด้เขียนเองเลย)
http://www.sanggadjai.com/index.php?topic=2572.0

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""


ในฉบับที่แล้วเราได้เล่าถึงการกำเนิดของปรศุรามว่าเหตุใดจึงมีนิสัยแบบกษัตริย์และทำไมถึงมีคำว่า “ปรศุ” นำหน้าคำว่า “ราม” ซึ่งที่ได้ชื่อมาเช่นนี้ก็เพราะว่าพระศิวะทรงประทานขวานให้มาเป็นอาวุธคู่กายนั่นเอง



ฉบับนี้เราก็จะมาเล่ากันต่อถึงเรื่องนารายณ์อวตารปางที่ 6 อันมีชื่อว่า “ปรศุรามาวตาร” กันต่อว่ามีเหตุอันใดทำไมพระนารายณ์จึงต้องอวตารลงมายังโลกมนุษย์เพื่อปราบเหล่ากษัตริย์ที่ชั่วร้ายกันในปางนี้



เรื่องก็มีอยู่ในมหากาพย์รามายณะว่า ในสมัยนั้นได้มีกษัตริย์องค์หนึ่งนามว่า “การตวีรยะ อรชุน (कार्तवीर्य अर्जुन)” ซึ่งเมื่อเยาว์วัยได้ไปศึกษาคัมภีร์พระเวทอยู่ในสำนักของฤษีทัตตาเตรยะ (दत्तात्रेय) ซึ่งเป็นอวตารรวมร่างของพระนารยณ์ พระศิวะและพระพรหมรวมกัน



แล้วด้วยการที่การตวีรยะ อรชุนนั้นเป็นลูกศิษย์ที่หมั่นคอยเอาใจปรนนิบัติอาจารย์เป็นอย่างดีเสมอมา เมื่อจะจบการศึกษาฤษีทัตตาเตรยะจึงอนุญาตให้ขอพรได้ตามใจปรารถนา การตวีรยะจึงของพรด้วยกัน 7 ประการคือ



1. ขอให้ตนนั้นมีมือที่ทรงอานุภาพมีอิทธิปาฏิหาริย์จำนวน 1,000 มือ



2. ขอให้มีราชรถทองคำที่สามารถเหาะไปไหนมาไหนได้ดั่งใจปรารถนา



3. ขอให้มีอำนาจในการปราบศัตรูผู้อยุติธรรม ด้วยยุติธรรมได้



4. ขอให้ตนนั้นมีชัยชนะเลื่องลือไปทั้งสามโลก โดยเป้นใหญ่เพียงแต่ผู้เดียว



5. ขอให้ตนนั้นมีจิตที่รู้จักผิดจักชอบ เพื่อประกอบกิจของวรรณะกษัตริย์ได้อย่างสมบูรณ์



6. ขอให้ตนนั้นมีฤทธานุภาพมากมายจนเอาชนะศัตรูทั้งปวงได้โดยมิรู้พ่าย



7. เมื่อยามตนนั้นถึงคราวต้องตาย ก็ขอให้ตายด้วยฝีมือของผู้ที่มีเกียรติมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งสามโลกเท่านั้น



ฝ่ายฤษีทัตตาเตรยะก็อนุญาตให้ตามที่การตวีรยะ อรชุนขอมาทั้ง 7 ข้อ แล้วการตวีรยะ อรชุนก็เดินทางกลับมาปกครองบ้านเมืองในฐานะกษัตริย์จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วชมพูทวีป



ความโด่งดังนี้ก็มาทราบถึงเจ้าชายแห่งกรุงลงกานามว่า “ราวณะ (रावण)” หรือที่คนไทยรู้จักกันในนามว่า “ทศกัณฐ์” ซึ่งก็ได้พรจากพระพรหมมาเช่นกัน จึงคิดอยากไปลองฤทธิ์กันดูสักตั้งว่าใครจะเหนือกว่าใคร



ทศกัณฐ์จึงยกกองทัพมาประชิตเมืองของการตวีรยะ อรชุนเพื่อท้ารบ ฝ่ายอำมาตย์ผู้รักษาเมืองทราบความจึงออกไปทูลพญารากษสทศกัณฐ์ว่ากษัตริย์ของตนเวลานี้ไม่ได้ประทับอยู่ในเมือง แต่พาเหล่าสนมนางกำนัลไปพักผ่อนเที่ยวชมป่าที่ริมแม่น้ำนรรมทาอยู่ในขณะนี้



ฝ่ายทศกัณฐ์ได้ฟังดังนั้นก็ไม่รอช้ารีบตรงไปยังตอนเหนือของแม่น้ำนรรมทาในทันที พอไปถึงจึงได้กระทำพิธีบูชาพระศิวะเจ้าเพื่อเพิ่มฤทธิ์เดชให้แก่ตน ฝ่ายการติวีรยะ อรชุนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าศึกกำลังมาประชิดตน ก็ยังคงสนุกอยู่กับการเล่นน้ำพร้อมด้วยเหล่ามเหสี นางสนมกำนัล แล้วแสดงฤทธิ์เนรมิตกรขึ้นพันกรเป็นเขื่อนขวางกระแสน้ำไว้



เมื่อแม่น้ำถูกเขื่อนขวางน้ำก็เอ่อท่วมสูงขึ้นไปทางเหนือของแม่น้ำนั้น อันเป็นเหตุให้เข้าท่วมสถานที่ประกอบพิธีกรรมของทศกัณฐ์ที่กำลังทำพิธีบูชาพระศิวะเจ้าอยู่ ทำให้กระแสน้ำนั้นพัดเอาเครื่องทำพิธีสูญหายตามกระเสน้ำไปหมดสิ้น



พญารากษสทศกัณฐ์โกรธกริ้วมาก จึงสั่งกองทัพเคลื่อนพลเข้าต่อกรกับราชาการติวีรยะในทันที ฝ่ายท้าวการติวีรยะ อรชุนเห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้าจับอาวุธเข้าฟาดฟันกองทัพรากษสนั้นจนแตกกระจายไปหมด แล้วมุ่งตรงไปหาจอมทัพรากษสทศกัณฐ์ในทันที



ทั้งการติวีรยะ อรชุนและพญารากษสทศกัณฐ์จึงได้มาประจันหน้าแล้วเกิดการต่อสู้กันขึ้น ผลปรากฏว่าต่อสู้กันไปสักพักหนึ่งท้าวการติวีรยะได้เอาคทาฟาดไปโดนอกของทศกัณฐ์จนล้มลง แล้วท้าวการติวีรยะจึงเนรมิตแขนทั้งพันขึ้นมาจับทศกัณฐ์รัดไว้จนแน่น ทำเอาทศกัณฐ์แทบหายใจไม่ออกแล้วเป็นลมสลบไป จากนั้นการติวีรยะก็ให้ทหารช่วยกันจับทศกัณฐ์นั้นมัดไว้ แล้วนำมาผูกที่ท้ายราชรถเหาะกลับเข้าเมืองเพื่อแห่ประจาน



ข่าวทศกัณฐ์ฝ่ายแก่ท้าวการติวีรยะ อรชุนนั้นก็แพร่ไปอย่างรวดเร็วจนถึงหูของพระนารทมุนีๆ จึงรีบนำความนี้ไปแจ้งแก่ฤษีเปาลัสต์ (วิสราวัส) ฝ่ายฤษีเปาลัสต์ทราบเรื่องก็ไม่รอช้าจึงรีบเดินทางไปเข้าเฝ้าท้าวการติวีรยะเพื่อขอให้ปล่อยบุตรของตน



ฝ่ายท้าวการติวีรยะก็เกรงใจพระมุนีจึงยอมปล่อยทศกัณฐ์ให้เป็นอิสระ อีกเท่านั้นยังไม่พอยังร่วมสาบานเป็นพี่เป็นน้องกับจอมรากษสทศกัณฐ์อีกด้วย



อันเป็นเหตุให้ท้าวการติวีรยะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเพราะสามารถเอาชนะทศกัณฐ์ที่ได้ชื่อว่าไม่มีผู้ใดสามารถพิชิตลงได้ อันจะนำท้าวการติวีรยะไปสู่การอหังการจนลืมตนและเชิดชูวรรณะกษัตริย์สูงกว่าวรรณะพราหมณ์ เมื่อใดที่เหล่าวรรณะกษัตริย์มีเรื่องกับวรรณะพราหมณ์ ท้าวการติวีรยะก็จะไปเข้าข้างวรรณะของตนเสมอ



จนครั้นหนึ่งถึงกับไปมีเรื่องกับพรหมฤษีวสิษฐ์เพื่อแย่งชิงโคกามะเธนุ จนพรหมฤษีวสิษฐ์ต้องจำแสดงฤทธิ์เสกกองทัพโคเข้าถล่มกองทัพของท้าวการติวีรยะ อรชุนจนต้องหนีแต่กพ่ายไปอย่างไม่เป็นท่า แล้วท้าวการติวีรยะก็ผูกใจอาฆาตพรหมฤษีวสิษฐ์เป็นอย่างมากที่ทำให้ตนนั้นต้องมาพบกับความปราชัยเป็นครั้งแรก



ฝ่ายพรหมฤษีวสิษฐ์เทราบความพยาบาทของท้าวการติวีรยะ อรชุนเช่นนั้น จึงนำเรื่องนี้ไปทูลให้พระนารายณ์ทรงทราบถึงการมีมมังการ มีอหังการของท้าวการติวีรยะที่มีประสงค์อาฆาตต่อวรรณะพราหมณ์



และเพราะการไปรบกับท้าวการติวีรยะนั้นพรหมฤษีวสิษฐ์ย่อมสามารถมีชัยได้อย่างที่เห็น แต่ก็หาใช่หน้าที่ของตนไม่ จึงจำต้องมาขอร้องพระนารายณ์ผู้มีหน้าที่คอยควบคุมดูแลโลกให้ทรงทำหน้าที่นี้แทนตน



พระนารายณ์จึงทรงรับปากพรหมฤษีวสิษฐ์ว่าจะอวตารลงไปปราบเหล่าวรรณะกษัตริย์ที่ชั่วร้าย โดยจะอวตารลงไปเกิดเป็นบุตรของฤษีชมทัคนีกับนางเรณุกา นามว่า “ปรศุราม” ให้



นี่เองจึงเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งในการอวตารลงมาของพระนารายณ์ปางที่ 6 ในรูปปศุรามาวตาร อันจะมาทำหน้าที่ล้างผลาญวงศ์กษัตริย์ที่ชั่วร้ายให้หมดไป

 

คนไม่อาจครอบงำฟ้า
ผู้มีอำนาจเท่าใด ก็อยู่
ใต้ฟ้า ยังคงเดินดิน ต่อ
ให้มีอำนาจครอบงำผู้คน
ได้เท่าใด ก็ไม่อาจครอบงำ
ฟ้า เทพเทวดาย่อมรู้เห็น
ถูกผิด จริงเท็จ ใครดีเลว
แท้ ฟ้าย่อมรู้เห็นเองทั้งสิ้น

 

ดีชั่วอยู่ที่ใจตัวเอง แต่ก็ยังมีผู้รู้เห็นและแสดงให้ผลได้เสมอเหมือนกรรม

 

ไม่ใช่ยักษ์แต่เป็นมารมากกว่า .. ผมคิดแบบนั้น
ผมไม่สนใจเรื่องอาวุธหรอกครับ มันเถื่อน
แต่ก็เคยทำ(บุญ)มาเหมือนกัน

บางครั้งจนมากจนกระทั่งไม่มีอะไรทำบุญ ก็เลยตักน้ำใส่ขวดไปถวายพระเป็นสังฆทาน ... แล้วอธิฐานว่าน้ำจงอย่าท่วมโลกเลย

 

ขำๆ เผลอๆบุญจากการถวายน้ำเป็นสังฆทาน ถ้าแปลงเป็นน้ำขึ้นมาจริงๆนี่คงท่วมโลกได้เลยละมั้ง

 

เห็นด้วยกับความคิดค่ายักษ์ให้ลิงดู
เเต่ยักษ์ท่ี่อยู่ตามวัดวาอารามส่วนใหญ่เป็นปางหนึ่งของท่านท้าวเวสสุวรรณ เป็นยักษ์ผู้พิทักษ์
ปฏิบัติหน้าที่ดูเเลพระพุทธศาสนา. เป็นฝ่ายเทพไม่ใช่ฝ่ายมาร

 

เรื่อง เคล็ด ลาง อาถรรพ์ นั้น มีมาช้านานแล้ว และได้มีการบันทึกไว้พอน่าเชื่อถือได้จริง แต่อย่ามามั่วกัน เดากัน นิ ต้องมีเหตุมีผลจริง ๆ ..
...

หากให้ผมเดา!! ... ผมว่า คติโบราณ การให้ยักษ์มาค้ำพระเจดีย์ พระเจดีย์อันเป็นสัญลักษณ์ของพระศาสนานั้น ยักษ์เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง ความน่ากลัวเกรง และอาญา หรือการลงโทษ... เมื่อยักษ์มีฤทธิ์และความกล้ากระทำ ก็จะปกป้องพระพุทธศาสนาได้ดี

// แต่เมื่อเป็นแบบนี้ แสดงว่า บุคคลที่มีบทบาทสูง ๆ ในพระพุทธศาสนาของไทย ... ที่สำคัญ ๆ อาจมีปัญหาเสียแล้ว ...... ไม่น่าจะพ้น ปี 2555 นี้ครับ ... ก็ไม่ทราบว่าผู้ใด ... นี่เดาอย่างมีเหตุ มีผลนะ ...


สัพเพ ธรรมมา อนิจจา - ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ล้วนไม่เที่ยง ... เราชาวพุทธ ควรเร่งเพียรกระทำแต่กรรมดีเข้าไว้ให้มั่นคง


เพิ่มเติมเพื่อความรู้ภูมิปัญญาคนไทยเรา มีมาช้านาน มิใช่งมงาย ไร้สาระ แต่เป็นศาสตร์ทางสถิติที่มีมาช้านาน เช่น ผู้แต่ง ...ประยูร อุรุชาตะ (นามปากกา "พลูหลวง") ศิลปินแห่งชาติ สาขาจิตรกรรม .. หนังสือที่แต่ง เรื่องเคล็ด ลาง อาถรรพ์